The Silver Mask

9.8

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 04.04 น.

  10 บท
  0 วิจารณ์
  15.68K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ลำดับที่ 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พระจันทร์ในคืนนี้ขึ้นแปดค่ำ  แม้ไม่ได้มืดมิดดั่งคืนเดือนดับ  แต่ก็ไม่อาจสว่างเท่าคืนแห่งจันทร์เต็มดวง

คณะเดินทางของเจ้าหญิงไดอาน่าเพิ่งออกจากอาณาจักรคอนชายส์ได้ไม่นานนัก  หลังพักอยู่ที่นั่นหนึ่งคืนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการกลับไปยังโลนอนซิล

เหล่าองครักษ์จัดเวรยามรักษาการณ์บริเวณโดยรอบกระโจมตรงกลางอย่างหนาแน่น  กองไฟขนาดย่อมนี้เป็นส่วนของเหล่าเชื้อพระวงศ์  แยกออกจากอีกด้านหนึ่งขององครักษ์ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตามจำนวนคนและความจำเป็น  ไม่เว้นกระทั่งองครักษ์ผู้อาจหาญ  เสี้ยมสอนนางต่อการวางตัวอย่างงามสง่า

ไดอาน่าเคยคิดว่าการให้เขาได้อยู่ร่วมกับกององครักษ์เป็นสิ่งไม่ดีนัก  หากว่าเขาคิดจะผูกมิตรชักจูงให้ผู้คุ้มกันความปลอดภัยของนางเปิดช่องว่างหรือลอบทำการสืบข้อมูลบางอย่าง หากแต่การที่เขาเข้ามาในตำแหน่งนี้ได้  คงจะไม่เหลือปราการใดให้ต้องพยามขวางกั้นแล้ว  อีกทั้ง องค์ราชินีไม่ใช่คนประมาท พระนางคงสืบค้นประวัติของชายผู้นี้อย่างถ้วนถี่แน่ชัด

แววตาของเจ้าหญิงจับจ้องยังคนคู่หนึ่งตรงหน้า  ทั้งที่เป็นการเอนอิงกันท่ามกลางความหนาวเย็นรอบกาย  อันตัดกันกับความอบอุ่นของกองไฟตรงกลาง  นัยเนตรของพวกเขายังคงเปี่ยมด้วยความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน  เป็นความแปลกใจในตัวเองอยู่ลึกๆของสาวน้อยผู้เกิดมาอย่างสูงศักดิ์  ทั้งที่ชื่นชอบในวรรณกรรมรักอันแสนหวาน  ทั้งที่ใบหน้าก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร หากแต่สิบแปดปีที่ผ่านมา  ไฉนนางจึงไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า‘ความรัก’ จากใจจริงมาก่อน  ได้แต่เฝ้ามอง สดับฟัง เรื่องราวของคนคู่แล้วคู่เล่า

อาจเป็นเพราะคำว่า เจ้าหญิง เสมือนบางสิ่งที่ขวางกั้น ไม่อาจยินยอมให้นางมองใครอย่างจริงจัง 

ภาพของสะเก็ดไฟที่แตกระยิบดูสวยงามก็จริง  แต่ก็น่าเบื่อเสียจนเกินบรรยาย  ด้วยเสียงอันโลดแล่นขึ้นมาไม่เป็นจังหวะจนแทบจับความไพเราะแทนดนตรีขับกล่อมในค่ำคืนนี้ไม่ได้  ซิลเวอร์พบว่าตัวเองนั้นกำลังรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากคนรักข้างกาย

กุหลาบงามของเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจหรือ?  ตั้งแต่เดินทางออกจากคอนชายส์  ดูเหมือนว่าจะสิ่งติดค้างในใจอย่างบอกไม่ถูก  ทั้งการนอนพักเคียงข้างกันในสองค่ำคืนที่อาณาจักรนั้น  ฟิลลิปป์ได้โอบกอดเขาไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานเลี้ยงคืนแรก...

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”  เขาอดถามไถ่ขึ้นมาไม่ได้ หากแต่ผู้แอบอิงยังคงไม่เอ่ยกล่าวอะไรอย่างตรงไปตรงมา

“ไม่หรอก...”  ดวงตาของฟิลลิปป์หลุบลงเล็กน้อย  “ไม่เลยสักนิด  หากท่านยังอยู่เคียงข้างข้าเช่นนี้”

ไม่มีคำพูดตอบกลับจากอัศวินสีเงิน  ทว่า...อ้อมกอดอันโอบเข้ามาแนบกายจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ  มันเพียงพอแล้วสำหรับเวลา  อันเปี่ยมด้วยห้วงคำนึงในค่ำคืนนั้น

 

ทาสหนุ่มคนนั้นผละออกอย่างตกใจ  พลางวิ่งสวนหนีไปอย่างรวดเร็ว  ทิ้งให้ฟิลลิปป์ยืนเผชิญสายตาอยู่กับองค์ราชินีอะเล็ตต้า!

ผู้ที่ได้มาพบเห็นการกระทำอันผิดความคาดหมายสำหรับองค์ราชินีผู้สูงศักดิ์  เปี่ยมด้วยความสง่าและความเก่งกาจรอบด้านไม่แพ้บุรุษ  ไม่คาดฝันว่าความซับซ้อนจะนำทางมาจนพบเจอเรื่องราวเหล่านี้  เขารีบกล่าวขออภัยในสิ่งบังเอิญนี้  หากแต่ไม่อาจผละจากไปดังหวัง  เนื่องจากพระนางเรียกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาดจนน่าเกรงกลัว

ร่างกายของเขาสั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่  อาจเป็นเพราะใบหน้าของสตรีที่แลดูมีความเมตตาอยู่บ้างในงานเลี้ยงเมื่อครู่  แปรเปลี่ยนไปจนกลายเป็นคนน่าหวาดหวั่น  ดุจในมือมีคทาที่สามารถพิพากษาเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไร้ความปรานี  ในความผิดที่สับสนเส้นทางจนมาถึงห้องนี้

การกระทำนี้เหมือนจะเป็นความลับ  ฟิลลิปป์เข้าใจได้อย่างถูกต้องแทบจะในทันที  เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเข้าออกในบริเวณนี้  แม้แต่องครักษ์หน้าห้องเองก็ยังถูกสั่งห้ามให้ก้าวเข้ามา  หลังจากได้เรียนรู้ใกล้ชิดกับชีวิตในฐานะราชวงศ์ของเจ้าหญิงไดอาน่า  การไปไหนมาไหนหรืออยู่อย่างเงียบสงัดไร้คนคุ้มครอง  นับว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายไม่น้อยเลยทีเดียว

พระนางปิดประตูห้องลงกลอนอย่างดีเพื่อกั้นคนขัดจังหวะ  ความคมวาวของอาวุธประดับในห้องทำให้ผู้ถูกเชื้อเชิญกึ่งบังคับรู้สึกหวาดผวามากยิ่งขึ้น  เขาหาใช่เจ้าหญิงเจ้าชายหรือแม้แต่องค์ราชา  หากกำจัดเขาไปคงจะไม่มีผลเสียใดๆ  ถึงอย่างไร ทุกคนก็เข้าใจว่าเขาเป็นเพียงแค่คนสนิทไร้ความสำคัญต่อซิลเวอร์อย่างแท้จริง

“ถูกต้อง  ราชาแห่งโลนอนซิลไม่มีทางบาดหมางกับเราในเรื่องนี้  หรือไม่แน่ว่า...ข้าอาจจะกำจัดเจ้าอย่างเงียบๆ  ไม่ให้พวกเขารู้ก็ได้”  เสียงขององค์ราชินีเยือกเย็นจนน่าขนลุก “แต่ข้าไม่ได้ขลาดเขลา  หากว่าเจ้าหายไป  เจ้าชายผู้นั้นคงไม่มีทางอยู่เฉย  แม้จะไม่ก่อสงคราม  สิ่งที่ตามมาสำหรับข้ากลับร้ายแรงยิ่งกว่า...”

องค์ราชินีแห่งคอนชายส์ขึ้นสู่อำนาจโดยไร้ราชาเคียงข้าง  ด้วยกายาแห่งสตรีเพศจึงต้องพยามทำทุกสิ่งเพื่อไม่ให้ใครได้ดูหมิ่น  หรือแม้แต่การขับเคี่ยวกับอำนาจจากฝ่ายต่างๆ  ทั้งขุนนางและเชื้อพระวงศ์ด้วยกัน  แม้จะใช่ว่าโหดร้าย  นางก็ไม่ได้เปี่ยมเมตตาเสียทีเดียว

ราชินีอะเล็ตต้าคิดคำนวณอย่างเข้าอกเข้าใจดี  หากว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านางนี้หายไป  คนรักของเขาย่อมสืบค้นอย่างลับๆโดยนางไม่อาจสกัดกั้นได้หมดทุกทาง  หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ความสัมพันธ์กับทาสหนุ่มคนนั้นอาจถูกเปิดเผย  สำหรับองค์ราชินีที่ไร้ข้อตำหนิ  กลับกลายเป็นหญิงผู้คลุกคลีรักใคร่กับทาสชั้นต่ำในปราสาท  นั่นไม่ถือเป็นข้อด่างพร้อมที่ยิ่งใหญ่ เป็นรอยโหว่ให้คนอื่นๆโจมตีกันอย่างสนุกสนานหรอกรึ?

ฟิลลิปป์ฟังคำกล่าวเหล่านั้นอย่างนิ่งงัน  แม้แต่ตัวเขาเอง  ในตอนที่พบพระนางครั้งแรก  ยังรู้สึกถึงความสมบูรณ์ในฐานะของนางพญาผู้ปกครองเหนืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่  รวมทั้งรู้สึกิดความคาดหมายกับภาพเมื่อครู่  นั่นทำให้ความละอายเปี่ยมล้นขึ้นมาในใจของเด็กหนุ่มโดยพลัน

น้ำเสียงของเขากล่าวออกมาอย่างแน่วแน่  หากเขาไม่บอกใครในเรื่องนี้ก็พอแล้ว  ถึงอย่างไรคำพูดของคนไร้ฐานันดรศักดิ์  ซ้ำยังถูกมองว่าเป็นเพียงคนสนิทอันไร้ความสำคัญ  ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อถือต่อข้อกล่าวหานี้

“โอ...ใช่  หากว่าคนกล่าวคือเจ้า  ไม่ใช่ไดอาน่าหรือพี่ชายของนาง...จริงไหม”  น้ำเสียงนางเยียบเย็นเหมือนเช่นเคย ก่อนจะหัวเราะออกมาอ่อนแรงเปี่ยมด้วยความขื่นขม  “ความจริงข้าก็รู้...เข้าใจ...และอยากจะยุติความสัมพันธ์เหล่านี้สักทีแล้วเช่นกัน”

พระนางหลับตาลงเสมือนกำลังฉายวนเรื่องราวความลับของตนในวันวาน  ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างแข็งกร้าวเฉกเช่นเคย  “หากต้องเลือกระหว่างความรักชั่วยามกับอำนาจที่สั่งสมมา  ข้าคือสตรีที่ขี่อยู่บนหลังของพยัคฆ์  หากก้าวลงมาเมื่อไหร่ คงไม่วายถูกอำนาจที่เคยมีหันคมดาบเข้าใส่อย่างไร้ปรานีเป็นแน่”

ราชินีอะเล็ตก้าเอื้อมมือมาสัมผัสไหล่ของฟิลลิปป์เบาๆ แรงบีบจากมือของพระนางทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในทันที  หากแต่เด็กหนุ่มไม่ได้กล่าวปฏิเสธในสัมผัสอันส่งความคิดอย่างแรงกล้าออกมา  แววตาอันรวดร้าวลึกๆข้างในของสตรีผู้มีชาติกำเนิดอันสมบูรณ์  จะขาดก็เพียงคุณสมบัติเล็กๆแค่เพียงข้อเดียวเท่านั้น...แค่เพียงข้อเดียว

“เขา...คนรักของเจ้าก็เช่นกัน  เขาเองก็ถูกราชสีห์โอบอุ้มอยู่  แม้ข้าจะไม่อาจรู้อะไรในความรู้สึกของราชาแห่งโลนอนซิล  แต่เมื่อถึงวันที่มีหญิงสาวที่คู่ควร  ไม่สิ...ถูกลิขิตว่าต้องคู่ควร’ กับเขาปรากฏขึ้นเมื่อใด  เจ้าจะเข้าใจความหมายของข้าเอง”  มือขององค์ราชินีเอื้อมไปคลายกลอนประตูช้าๆ  พร้อมทั้งกล่าวโดยไม่ได้หันไปมองคู่สนทนา  “แม้ข้าจะไม่คิดจะหวนคืนความสัมพันธ์ที่จอมปลอมของทาสชั่วช้า  ผู้ล่อลวงข้าให้เผลอใจในภาพมายาคนนั้นก็ตาม  แต่ก็หวังว่าเรื่องนี้คงไม่แพร่งพรายไปไหน  หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”

ฟิลลิปป์สบตากับนางก่อนจะเดินออกจากห้องที่เกิดเรื่องราววุ่นวายสั้นๆนั่น  หมายความว่าองค์ราชินีรู้ทันในแผนการของคนรักมาตั้งแต่ต้นงั้นหรือ?  หากเป็นเมื่อห้าปีก่อน เขาคงจะถามพระนางว่าสตรีที่ทั้งเก่งกาจและชาญฉลาด  ซ้ำยังเพียบพร้อมด้วยฐานะเงินตรา  ไฉนจึงต้องการของไร้ค่าที่เสมือนหลอกใช้ทางอ้อมเช่นนี้ด้วย?

เด็กหนุ่มเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น  และเริ่มมองออกไปจากริมระเบียงอันมืดทึบไร้แสงไฟ  จะมีก็แต่เสียงจากพระจันทร์ส่องสลัวไม่ให้ทุกอย่างต้องถูกบดบังเท่านั้น

เขาเข้าใจดี...แม้เพียงภาพฝันอันไร้ค่าก็ตาม  ในความสุขสมอันเกินจะเอื้อนเอ่ย  แค่เพียงสักนาทีเดียวของแต่ละวัน แต่ละคืนเท่านั้น  แค่เพียงเท่านั้นที่ต้องการจะไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ  กลายเป็นเพียงคนคนหนึ่งซึ่งได้รับอ้อมกอดอันแสนหวานจากคนรัก

หลายนาทีต่อมาในงานเลี้ยง  เขาเห็นองค์ราชินีเดินเข้ามาพูดคุยกับแขกเหรื่อในงานอย่างแจ่มใส  เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย...

 

ไดอาน่าเริ่มอยากโอดครวญต่อความเงียบที่เกิดขึ้นนี้  ที่ผ่านมามักมีคำกลอนเพราะๆหรือเรื่องเล่าแสนสนุกเชิงย้อนความของคนคู่นี้แทนความเงียบสงัดเสมอ  หากแต่ค่ำคืนอันน่าเบื่อหน่ายเริ่มย่างกายเข้ามาสองคำรบแล้ว  แล้วในคืนที่สามนี้เล่า?  จะมีความสนุกสนานดังกล่าวเกิดขึ้นมาได้หรือไม่

ทั้งนางและพี่ชายเริ่มคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคอนชายส์  มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟิลลิปป์หายไปโดยไม่มีใครพบ  ก่อนจะกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ไม่สดชื่นเท่าไหร่นัก  แน่นอนว่ารอยยิ้มเดิมของเขาใกล้จะหมดความสนใจในงานเลี้ยงมากขึ้นทุกวินาที  ตั้งแต่พูดคุยกับแขกคนแรกเริ่มแล้ว

อัสเซลก้าวเข้ามาพร้อมขนมหวานที่ปิ้งไฟจนได้ที่  โดยกล่าวเชื้อเชิญให้บุคคลทั้งสามเข้าร่วมงานสังสรรค์รอบกองไฟที่จัดขึ้น  ซึ่งถัดออกไปไม่ไกลและมีเพียงพุ่มไม้กั้นเท่านั้น

เขาได้ยินจากเพื่อนองครักษ์ด้วยกันเกี่ยวกับเจ้าชายอยู่หลายอย่าง  ทุกคนล้วนแต่เคารพและสนิทสนมต่อราวกับหนึ่งในมิตรสหาย  หากวันใดที่มีการพักค้างอ้างแรมกลางป่าเช่นนี้  ส่วนใหญ่ซิลเวอร์จะรอจนกว่าเจ้าหญิงจะเข้าสู่นิทราเพื่อความปลอดภัย  แล้วจึงจะเข้าไปพูดคุยกับการสังสรรค์รอบกองไฟนั้น

แต่ตอนนี้ฟิลลิปป์มาด้วย  บางทีซิลเวอร์อาจไม่ต้องการเข้าไปร้องเล่นกับบรรดาองครักษ์เหมือนเก่า  อีกทั้งคืนนี้ไม่มีเสียงหัวเราะหรือใบหน้ายิ้มแย้มจากเจ้าหญิงอย่างในการเดินทางรอบแรก  บรรยากาศที่เงียบงันมืดมนนี้เป็นที่สังเกตของใครหลายคน ทว่า ผู้ที่กล้าหาญพอจะเข้ามาชักชวนเปิดประเด็นพูดคุยคือองครักษ์ใหม่ผู้นี้  แม้จะรู้ว่าการชักชวนนั้นจะถูกปฏิเสธก็ตาม

“ท่านไม่ต้องรอข้าหลับก็ได้” 

ไดอาน่ากล่าวขึ้นเพื่อต่อบทสนทนาจากองครักษ์ใจกล้า ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้นเสียทีเดียว  แต่หนึ่งในข้อแม้หลักคือเด็กหนุ่มที่ขยับจากอิงแอบเขาอยู่ต่างหากเล่า  ถึงกระนั้น นางไม่อยากจะให้รอบกายมีแต่ความเงียบงันอีกต่อไป รวมถึงการพูดคุยกันน่าจะทำให้สิ่งค้างคาใจของฟิลลิปป์ลดน้อยลง

อัสเซลเป็นฝ่ายรับช่วงต่อเมื่อเห็นการปฏิเสธซ้ำอีกครั้งของซิลเวอร์  เขาเล่าถึงการร้องเล่นครั้งสำคัญที่เรียกให้ถูกชาวเผ่าในป่าลึกยกกำลังมาโอบล้อม  หากแต่การวางกำลังที่มีอัศวินสีเงินเป็นผู้นำย่อมจบลงด้วยชัยชนะ

“โอ้ เรื่องราวครั้งนั้นเอง”  เจ้าหญิงประสานมือกันอย่างตื่นเต้นเกินความเป็นจริง  “เมื่อตอนที่พวกท่านกลับมาที่ปราสาท ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องเล่าโด่งดังไปนานเลยทีเดียว”

ฟิลลิปป์เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสนใจ  อนึ่ง เขาอดรู้สึกสงสารไดอาน่าขึ้นมาไม่ได้  นางพยามทำให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นมา  หากว่าเขายังทำหน้าเสมือนถูกกดดันจากคำพูดขององค์ราชินีอะเล็ตก้า  ไม่เท่ากับว่าชักจูงให้ทุกอย่างตกอยู่ในสภาวะมืดมนหรอกหรือ?

อัสเซลกับกับเจ้าหญิงพร้อมใจกันทำหน้ายุ่งเหยิงวุ่นวาย “ข้าเองก็ไม่ค่อยได้ฟังเรื่องนี้นัก  หากให้ท่านเล่าน่าจะได้รายละเอียดกว่ามาก”

เมื่อชายหนุ่มออกไปปิ้งขนมหวานมาให้ไดอาน่าอีกครั้ง คราวนี้มีสหายหมู่องครักษ์ติดตามมาด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง  ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็สนใจในเรื่องเล่าวีรกรรมที่ถูกกล่าวขานไปพักใหญ่นั่นเช่นเดียวกัน  ซึ่งต่างพากันทยอยเข้ามาเรื่อยๆ  บ้างก็อยู่ในเหตุการณ์ช่วยเล่าโม้โอ้อวดเกินกว่าสิ่งที่เกิดแก่บรรดาผู้ที่ยังไม่เคยฟัง  เรียกเสียงฮือฮาจากพวกเขาเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี  ยังไม่นับรวมเสียงหัวเราะและการขัดคอเชิงขบขันสำหรับผู้ที่ร่วมในวีรกรรมนั้น

แล้วค่ำคืนแห่งการเดินทางจึงกลับมาปกติสุขอีกครั้ง

 

หลังกลับมาจากคอนชายส์ได้ไม่นานนัก  ในที่สุดหนึ่งในอาคันตุกะผู้ยังไม่กลับสู่โครอนจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในชุดสวยงาม  เพื่อมาร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายกันที่ปราสาทของเจ้าหญิงไดอาน่า  ซึ่งนางกำนัลต่างลือกันหนาหูเกี่ยวกับธิดาราชวงศ์ต่างแคว้น  บ้างก็ว่านางตั้งใจจะมาพบซิลเวอร์โดยตรงเลยทีเดียว  เรื่องดื่มน้ำชานั่นก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น!

อัศวินสีเงินในคราบโคเรนซ์ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากเสียงกระซิบจากบรรดาหญิงสาวทั้งหลาย  ย่อมส่งมาถึงตัวคนรักของเขาได้ในสักวัน

เจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลก้าวเข้ามาชักชวนการเข้าร่วมดื่มชาครั้งนี้  ทั้งที่รู้อยู่ว่ากำลังเกิดข่าวลือไม่ดีอะไรขึ้น

“เขาไม่มีทางได้พบกับเจ้าชายแน่ๆ  เจ้าก็รู้”  นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ  “อีกทั้งก่อนหน้านี้  ทั้งเจ้าและเขาก็ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันคืนเป็นกรณีพิเศษ  รับรองว่าอิสตรีนางไหนย่อมชักจูงเขาไปไม่ได้”

และโคเรนซ์ยังคงไม่สบายใจเมื่อเห็นฟิลลิปป์ยินยอมเดินตามไดอาน่าไป  หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่พูดอะไรร้ายกาจออกมากับคนรักของเขา  เพราะเรื่องราวที่อาณาจักรคอนชายส์ยังเป็นปริศนาสำหรับเขา  หากว่ามีเรื่องวุ่นวายใหม่เข้า  น่ากลัวว่ามันคงจะต้องสร้างบรรยากาศมืดมนขึ้นมาอีกแน่

เขาไม่คิดว่าฟิลลิปป์เป็นตัวปัญหา  นี่มันเป็นแค่กรณีไม่ปกติเท่านั้น  หากว่าหน้ากากในนามโคเรนซ์ถูกเปิดออกเมื่อไหร่ ความวุ่นวายทุกอย่างก็จะหมดไป  แน่นอนว่าเขาหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นในเร็ววัน

อัสเซลเตรียมตัวจะก้าวเข้าไปเพื่ออารักขาเจ้าหญิงในห้องสำหรับดื่มชา  หากไม่ติดตรงเสียงเรียกของที่เจ้าชายกำลังเดินไปมาอย่างไม่เป็นสุขเท่าไหร่นัก  เนื่องจากผู้ที่ร่วมดื่มชายามบ่ายต้องการกั้นทุกคน  รวมทั้งเขาผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งองครักษ์ด้วย

คำแรกที่เขากระซิบกับโคเรนซ์จำแลงคือ...  “ฝ่าบาทเป็นเจ้าชายจริงๆใช่ไหมพะยะค่ะ?”

ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจ้องอย่างไม่วางใจ  แม้จะพบกันมานานร่วมเดือนผ่านการเดินทางทั้งไปและกลับอาณาจักรคอนชายส์ แต่ทำไมองครักษ์ที่ยังไม่นับว่าเก่าหรือคุ้นเคยกันมากนัก  จึงเอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

“วางใจเถิด  ข้าพระองค์ไม่ได้มีเจตนาร้าย  หากแต่ต้องการจะแน่ใจในคำร่ำลือบางอย่าง”  เขากล่าวอย่างเนิบช้า

ซิลเวอร์ทวนสองพยางค์หลังเบาๆ  มีคำร่ำลือใดเกิดขึ้นมางั้นหรือ...?

อัสเซลแสดงสีหน้าไม่มั่นใจในการเอ่ยปากพูดนัก  หากแต่ค่อยๆบอกโดยพยามไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากนัก  เกี่ยวกับการพบองครักษ์ที่มีบรรยากาศผิดแปลกอยู่รอบกาย  หากวันใดมีอะไรไม่ปกติในกิจวัตรประจำวันอย่างการมาใครมาเยือน  บางครั้งองครักษ์ผู้ผิดแปลกคนนั้นจะเดินกระสับกระส่ายไปมา  ซ้ำยังกล่าวกันว่าผู้เดียวที่ยังไม่ทราบเรื่องคงจะเป็นสหายคนใหม่ของเชื้อพระวงศ์ทั้งสอง

สาเหตุที่องครักษ์หนุ่มกล่าวว่าเป็นมิตรสหาย  เนื่องจากความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน  แม้ว่าจะเคยกล่าวกับชนชั้นสูงหลายต่อหลายคนด้วยความมั่นใจในชัยชนะก็ตาม  แต่ฟิลลิปป์ไม่อยากจะให้คนทั้งหลายในปราสาทต้องมองว่าเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้  เมื่อผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นดั่งที่ใครหลายคนคาดหวัง  ถึงกระนั้น ผู้ที่ระแคะระคายต่อเรื่องนี้ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว  เพียงแต่ยังไม่ได้เอ่ยถามออกมาตรงๆเท่านั้น

“ความจริงข้าพระองค์ยังไม่เคยชมโฉมของเจ้าหญิงจากโครอนสักที”  เขาถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างหยั่งเชิง  “เขาร่ำลือว่ามีความงดงามเทียบเท่าเจ้าหญิงไดอาน่าเลยหรือพะยะค่ะ”

ใบหน้าของเจ้าหญิงต่างอาณาจักรไม่เคยอยู่ในความสนใจของอัสเซล  หากแต่องครักษ์หนุ่มอยากจะรู้เท่านั้น  หากว่าการที่เจ้าหญิงเดเนียร์มาที่นี่ได้สร้างความไม่สบายใจแก่เจ้าชายผู้ปลอมตัว  มันย่อมมีความหมายนัยยะแอบแฝงอยู่เป็นแน่

“จะว่าสวยเทียบเท่าก็ว่าได้”  ซิลเวอร์อดขำกับคำถามของอีกฝ่ายไม่ได้  พลางหรี่ตาลงอย่างรู้ทัน  “ซึ่งเจ้าก็จะได้รู้เรื่องนี้เมื่อนางกลับไป  จริงไหม?”

ใบหน้าปิดครึ่งเสี้ยวเป็นกรณีพิเศษของอัสเซลตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก  พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังตัวเจ้าหญิงไดอาน่าแทน  เขากล่าวชมในความงามสง่าและการวางตัวในงานเลี้ยงของราชินีอะเล็ตก้า  หากว่านางตั้งใจแสดงอำนาจออกมาอย่างเต็มที่ก็สร้างความกดดันไม่น้อย  หากแต่ในยามปกติกลับเป็นมิตรกับทุกคนในปราสาท  สร้างความสนิทสนมรักใคร่ผูกใจบรรดาข้ารับใช้ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ทว่า ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบออกงานสังสรรค์ชั้นสูงเหล่านี้เท่าไหร่นัก  ทั้งที่มีเจ้าชายหรือราชามากมายให้ความสนใจต่อนาง”  อัสเซลให้ความคิดเห็น  พลางเผลอคิดคำนวณพร้อมรอยยิ้มบางเบาแฝงความชัยชนะที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับไดอาน่ามากกว่าคนกลุ่มนั้น

ดวงตาของซิลเวอร์แผ่รังสีเยียบเย็นออกมาจนผู้ที่พูดมากเกินควรจำต้องเงียบลง

 

ในค่ำคืนนั้น ฟิลลิปป์อดยิ้มขบขันไม่ได้  “ท่านเองก็เป็นห่วงนางไม่น้อยเลย”

แน่นอนว่าคำพูดปฏิเสธของคู่เต้นรำแทบจะปรากฏออกมาในทันทีทันใด  นั่นเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี  เขามองว่านั่นเป็นปฏิกิริยาที่กระทำไปเพราะความเขินอาย หากต้องถูกมองว่ากำลังหวงน้องสาวจากบุรุษทั้งหลายที่เข้ามาให้ความสนใจ

หากแต่ซิลเวอร์โอบเขาเข้ามาแนบชิดจนไม่อาจมองสีหน้าในครานี้ได้  “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก  การทำให้นางได้พบกับคู่ครองที่ดีที่นางนั้นรัก  รวมทั้งการกำจัดพวกบังอาจเอื้อมมามอบใจให้เจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลคือหน้าที่ของข้า  แม้แต่การปกป้องกึ่งดูแลตั้งแต่นางยังแบเบาะด้วย”

มือทั้งสองของฟิลลิปป์โอบกอดเขาให้หนาแน่นกว่าเดิม พลางปลอบโยนคนรักด้วยความสงสาร  ความจริงแล้วการที่ไดอาน่าเป็นสตรี  ซ้ำยังมีฐานะเป็นน้องสาวคงทำให้อะไรหลายอย่างกดดันมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ราชาราชินีย่อมมองว่าเขาแข็งแกร่งกว่าและควรที่จะปกป้อง

ถึงกระนั้น แม้จะเคยละเลยไปบ้างหรือแสดงออกว่าห่วงใยดูแลนางมากกว่า  แต่เมื่อฝ่าบาททั้งสองจ้องมองซิลเวอร์มา ก็เปี่ยมด้วยความรักและเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างแรงกล้า  ไม่น้อยหน้าไปกว่าเจ้าหญิงแต่ประการใดเลย  ผู้ปลอบหลบตาเขาระหว่างกล่าวถ้อยคำทั้งหมด

ฝ่ามืออันอบอุ่นของซิลเวอร์ลูบไล้ไปตามเส้นผมอันอ่อนนุ่มของคนรักผู้อ่อนโยน  พลางกระซิบคำรักซ้ำไปซ้ำมา  เสมือนว่าโลกใบนี้มีเพียงคนในอ้อมกอดนี้ที่ทราบถึงความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นไว้  นั่นทำให้ฟิลลิปป์รู้สึกเห็นใจเขาไม่น้อยเลย  บางครั้งชายผู้นี้อาจรู้สึกโดดเดี่ยวและห่างไกลจากความอบอุ่นจากบุพการี  นั่นเพราะภาระหน้าที่ซึ่งถูกลิขิตมาตั้งแต่กำเนิด

ฟิลลิปป์หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่อาณาจักรคอนชายส์ขึ้นมากะทันหัน  หากแต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาตัดพ้อสิ่งใด  แค่เพียงลบความเจ็บปวดของชายตรงหน้านี้ไปได้ก็เพียงพอ

“สิ่งที่ข้าพูด ข้าคิด...หรือแม้แต่กระทำในคืนนี้  เจ้าห้ามบอกใครเป็นอันขาดนะ”  ฟิลลิปป์รู้สึกเสมือนว่าน้ำเสียงนั้นสั่นสะท้านเจือจาง  “ข้าขอร้อง...”

เด็กหนุ่มอดคิดว่าการเก็บเงียบไว้เพียงลำพังไม่ช่วยให้ปัญหาทุกอย่างดีขึ้น  อีกทั้ง การพูดออกไปให้อีกฝ่ายเข้าใจในความรู้สึก  น่าจะเป็นสิ่งที่ขจัดปัญหานี้ไปได้เป็นอย่างดี  องค์ราชาอาจดูเข้มงวดบ้างในบางครั้ง  หรือองค์ราชินีอาจเผลอดูแลบุตรสาวมากกว่าด้วยความเป็นสตรีเหมือนกันหรือความนิสัยที่ใกล้เคียงเข้ากันได้  แต่หากองค์ทั้งสองล่วงรู้ในความคิดนี้  บางทีความรู้สึกเจ็บปวดอาจจะได้รับการบรรเทาลง...

“ไม่!  ข้าไม่ได้ต้องการการให้ใครรู้ทั้งนั้น!”  ฟิลลิปป์ตัวแข็งทื่อในน้ำเสียงนั้น  ก่อนจะได้ยินคำพูดที่อ่อนลงราวกับว่าอีกฝ่ายรู้สึกตัวในความกระด้างเมื่อครู่  “ข้าขอโทษ  แต่เชื่อข้า...ไม่ว่าใครก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้  นอกจากเจ้าเท่านั้น  ถอดหน้ากากของข้าออกมา  แล้วเราจะมีความสุขด้วยกัน”

เด็กหนุ่มจึงไม่กล่าวคัดค้านใดอีก  ได้แต่กอดปลอบประผู้เป็นที่รักของตนอย่างเงียบงันท่ามกลางเวลาที่ผันผ่านในค่ำคืนนี้ 

จนกระทั่ง อารมณ์ต่างๆเริ่มกลับสู่ความปกติดังเดิม ซิลเวอร์ชวนเขาไปเที่ยวชมหอคอยราชินีอีกครั้ง  โดยมีพาหนะคู่ใจเป็นม้าสีขาวออกเทาเงินตัวเดิม  แม้จะปกติอย่างไร สีหน้าของเขายังคงเปี่ยมด้วยความว้าวุ่นอยู่บางเบา  กระทั่งการตัดสินใจนี้ยังเป็นความคิดอย่างกะทันหันอีกด้วย

หลังตัดผ่านสายลมและความเงียบงัน  ในที่สุดสถานที่อันสวยงามจึงปรากฏขึ้นสู่สายตา  ด้วยแสงจากจันทร์ครึ่งดวงบนท้องนภาอันห่างไกลเกินกว่าจะเอื้อม  ได้แต่เฝ้ามองให้เรื่องราวของมันเคลื่อนไปอย่างช้าๆ  ทั้งจันทราและหมู่ดวงดาราอันพร่างพราว

เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหินเป็นสิ่งเดียวที่กลบความเงียบงันระหว่างขึ้นบันไดวนยาวซึ่งทอดสู่ชั้นบนสุด  มันเชื่องช้าและเป็นจังหวะ  ในความเงียบงันนั้นไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอย่างไร  พวกเขาเพียงแต่รอให้ถึงจุดหมายอันสูงจนเหน็บหนาว

ซิลเวอร์พาเดินตัดผ่านชั้นชมจันทร์รองขึ้นไปยังจุดยอดของหอคอย  มันยังคงเปี่ยมด้วยความงดงามของสิ่งต่างๆที่จัดวางอย่างลงตัวประณีต  ผู้ซึ่งได้สร้างสิ่งนี้ให้กับคนรักคงเอาใจใส่นางอย่างมากมาย  มากเท่าที่ชายคนหนึ่งจะสามารถกระทำได้

“ยังจำได้ไหม?  เมื่อครั้งนั้นที่เราก้าวเข้ามายังหอคอย เจ้าได้บอกเล่าความใฝ่ฝันอันสวยงาม  ท่ามกลางแสงจันทราในคืนวันนั้น  ความใฝ่ฝันว่าสักวันเจ้าจะได้เที่ยวท่องไปทั่วทั้งดินแดน เพื่อวาดรูปสถานที่ต่างๆ  มันเกือบจะเป็นสิ่งยากเกินจะกระทำสำหรับผู้ที่เก็บตัวอยู่แต่ในหมู่บ้านเล็กๆเพื่อมีชีวิตอย่างสงบสุขกับการสร้างสรรค์สีสันต่างๆบนผ้าใบสีขาว”

อัศวินสีเงินยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน  ก่อนจะลูบไล้เส้นผมสีดำสนิทนั้นอย่างอ่อนโยน  “ข้าจะทำให้เจ้าสมความปราถนาเอง”

ฟิลลิปป์โอบกอดเขาแนบแน่น  สายน้ำตาได้หลั่งไหลลงมาอย่างเงียบงันจนไหล่บอบบางนั้นสั่นไหว  เป็นสายน้ำตาที่ไม่มีใครล่วงรู้ความหมายเลย  เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เพื่อเขาก็ได้  ในเมื่อเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น  คนธรรมดาที่ไม่อาจมอบสิ่งพิเศษเหนืออื่นใดให้เลย

ซิลเวอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน  พลางบรรจงเช็ดหยาดหยดเหล่านั้นอย่างช้าๆ  เขาเองก็ไม่ได้สลักสำคัญใดเลย  เพราะอย่างนั้นชื่อของเจ้าชายจึงเงียบงันจนไม่มีใครรู้  หรือแม้แต่การเห็นหน้าค่าตาในขบวนชมเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชน  จะมีก็เพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ล่วงรู้การมีอยู่ของเขา  ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกไร้เดียงสา...

“เจ้ารู้ไหม  ข้าดีใจที่คืนนั้นเราได้พบกัน”

เขาคุกเข่าลงอย่างช้าๆทั้งที่ยังสัมผัสมือของคนรัก  “ข้าไม่ใช่องค์ราชา  ข้าไม่อาจสร้างหอคอยอันเปี่ยมด้วยมนตร์ขลังใดให้  ข้าไม่แม้แต่จะตอบรับต่อหน้าเทพีเฮร่า[1] ว่าเราจะเป็นคู่ครองของกันและกัน  ถึงเช่นนั้น...ฟิลลิปป์  หากว่าสามเดือนนี้สิ้นสุดลงเมื่อใด  เราจะเดินทางไปด้วยกันในดินแดนต่างๆได้ไหมหรือไม่”

ในใจอันสั่นรัวของซิลเวอร์ปรารถนาจะได้เพียงคำเล็กๆแสนสั้นว่าตกลงก็เท่านั้น  แค่เสียงสองพยางค์ที่บอกว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน  นั่นคือทุกสิ่งซึ่งเขาอยากจะวอนขอให้คนรักตรงหน้านี้ตอบรับ  เพราะทุกสิ่งถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว  แค่คำกล่าวนั้นทุกอย่างก็จะสมบูรณ์...

ฟิลลิปป์ดึงเขาขึ้นมาจุมพิตอย่างเนิ่นนาน  เป็นจุมพิตทั้งน้ำตาได้แทนคำตอบทั้งหมดทั้งมวล  ซึ่งมีเพียงอัศวินสีเงินเท่านั้นที่จะเข้าใจ

 

ในห้องน้ำชานั้นมีเพียงพวกเขาทั้งสอง  คล้อยหลังไดอาน่าที่ออกไปไม่นาน  มือของเจ้าหญิงต่างแดนได้รั้งแขนของเด็กหนุ่มไว้  ทั้งที่ก่อนหน้าไม่เคยปริปากสนทนา  ไม่แม้แต่จะปรายตามอง

ฟิลลิปป์นั่งลงที่เดิมด้วยความประหลาดใจในสีหน้า ทั้งที่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหญิง  นางเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและอารมณ์อันอ่อนหวาน  หากแต่สายตาอันจริงจังหรือใบหน้าอันเย็นชาไร้อารมณ์ล้วนแต่สร้างความแตกต่างเสมือนไม่ใช่คนเดียวกัน

“โครอนและโลนอนซิลต่างเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่” นางเกริ่นนำขึ้นมาอย่างช้าๆ  “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับคนรักบ้างไหม?  รู้หรือเปล่าว่าเป็นเจ้าชายได้อย่างไร  รู้บ้างรึไม่ว่าเหตุผลที่เขาแทบจะไม่เคยปรากฏนามให้บรรดาประชาชนได้ยินคืออะไร”

ร่างของเด็กหนุ่มเริ่มนิ่งงันตามอารมณ์ที่ใส่ลงไปในน้ำเสียงของนาง  อารมณ์อันเผ็ดร้อนที่ย้ำแน่นหนักในแต่ละคำพูด

“เมื่อรุ่งอรุณ  ข้าได้ยินพระนางตรัสกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งงานของเจ้าชายแห่งอาณาจักรหนึ่ง  ซึ่งไม่ได้มีความรักให้แก่สตรีผู้เป็นคู่วิวาห์เลย...”  ดวงตาของนางจ้องมองตรงมาจนน่าหวาดกลัว  “...บุตรธิดาเพียงองค์เดียว  ราชาและราชินีผู้สมรสกันด้วยความรักจะปล่อยให้นางเลือกคู่ครองเพื่อผลประโยชน์ได้อย่างไร  ดังนั้น ทารกชายต่างสายเลือดจึงถูกเลือกขึ้นมา  เผื่อว่าวันหนึ่งการสมรสอันไร้ซึ่งความรู้สึกจะต้องเกิดขึ้น”

เดเนียร์ยังกล่าวถึงสงครามครั้งใหญ่ที่อาจกำลังจะปะทุขึ้นระหว่างโลนอนซิลและโอเทล์ม  ซึ่งหากเขาเคยได้ยินการซ่องสุมกำลังย่อมจะเข้าใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้เกิดอะไรขึ้น รวมทั้งฝ่ายที่เริ่มก่อนย่อมมีเวลาจัดเตรียมแผนการต่างๆมากกว่า จะมีสถานการณ์ไหนที่เหมาะแก่การเชื่อมสัมพันธ์ไปมากกว่านี้

ทว่า ซิลเวอร์ได้ยืนยันหนักแน่นว่าเขาจะไม่มีวันทรยศในความรู้สึกของคนรักอย่างแน่นอน  สำหรับองค์ราชาและราชินีที่เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่  ได้มอบความรักเสมือนเป็นบุตรในอุทรแท้ๆตลอดสิบแปดปีไปอย่างไม่อาจถอนคืนได้  ไยจะกล้าทำร้ายจิตใจของเขาได้กันเล่า...?

“ถึงกระนั้น เจ้าชายผู้ไร้ซึ่งสายเลือดแห่งราชวงศ์  ไร้ซึ่งผลประโยชน์จากคู่วิวาห์  ซ้ำยังมามีความรักอันผิดแปลก  เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าสักวัน  เมื่อความมั่นคงของเขาไม่ได้มีมากมายเท่าเดิม  เขาที่ถูกทุกคนประเมินค่าด้อยกว่าเจ้าหญิงตัวจริง  ย่อมถูกเมินหยามจนแทบจะทนไม่ไหว  สุดท้ายอาจเป็นไม่ได้แม้แต่เครื่องเรือนสักชิ้นในปราสาท...”

 


[1] เทพีเฮร่าคือเทพีแห่งการสมรสของตำนานเทพเจ้ากรีก  รวมทั้งเป็นราชินีแห่งสวรรค์ด้วย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา