The Silver Mask
9.8
4) ลำดับที่ 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเจ้าหญิงไดอาน่าฟังเกี่ยวกับคนที่ขอพบด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มที่สวมผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาคล้ายชาวทะเลทราย ซ้ำยังชูถุงที่ปักตราราชวงศ์และนามให้แก่ทหารยามเป็นเครื่องต่อรองว่าเขาเคยพบกับนางจริงๆ ดูเหมือนว่าเรื่องราวมันเพิ่งเกิดไปเมื่อวานนี้เองสินะ?
เพราะเรื่องราววุ่นวายสั้นๆในช่วงมื้อค่ำของสตรีนักฆ่าทำให้เจ้าหญิงเผลอลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท ด้วยความที่รีบร้อนกลับกลับเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความไม่พอพระทัยของทางองค์ราชินีในเรื่องอันตรายของแมดดิน่า ทำให้นางมอบถุงเหรียญใบน้อยไปให้คนแปลกหน้าอย่างไม่ระวัง
ฟิลลิปป์ไม่ได้อยู่กับนางในตอนนี้ เขากำลังเรียนรู้การวาดเขียนจากจิตรกรหลวง พร้อมด้วยองครักษ์ผู้หนึ่งนามว่าโคเรนซ์ ความรู้สึกแปลกๆในตอนที่สบตาเสี้ยววินาทีนั้น อดสร้างความสะกิดใจให้นางไม่ได้ บางทีถ้าเขาเป็นซิลเวอร์จริงๆ การปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องใส่ใจกับนาง อาจเป็นการดีที่สุด
เจ้าหญิงครุ่นคิดเกี่ยวกับคนที่ขอเข้าพบเล็กน้อย แม้จะคล้ายกับการรีดไถ นางก็คงให้รางวัลเพิ่มตามที่เขาเรียกร้อง อย่างน้อยชายผู้นั้นกำช่วยไม่ให้นางกับสหายคนสำคัญต้องบาดเจ็บ
นางกำนัลรับคำสั่งอย่างเรียบร้อยด้วยใบหน้าสวมหน้ากาก เมื่อมองนานวันเข้า ทุกคนก็เริ่มชินกับสีหน้าแข็งกระด้างโดยไม่ตั้งใจของฝ่ายตรงข้ามหรือคู่สนทนา โดยมีไม่น้อยที่แอบถอดหน้ากากระหว่างวันเพื่อพูดคุยกัน แค่สวมไว้ต่อหน้าอาคันตุกะของเจ้าหญิงก็เพียงพอแล้ว พวกนางทราบว่าเป็นเช่นนั้น แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด
ไม่ช้า ชายผู้สวมผ้าคลุมปิดหน้าปิดกายมิดชิดก็ก้าวเข้ามา มีเพียงดวงตาของเขาที่เผยให้เห็นอย่างชัดเจน มันเป็นดวงตาสีเทาดุจคมดาบอันแวววาว หากแต่ไร้ซึ่งความกระหายเลือดเสมือนกับดวงตาของนักฆ่าหรือผู้มุ่งร้ายต่อสาวน้อยในชุดสีหวาน
ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนเองกำลังถูกอ่านการกระทำอย่างเงียบๆ จึงได้ตัดสินใจหลบสายตาโดยการโค้งกายทำความเคารพ ท่าทีของเขาไม่อาจบอกจุดประสงค์ใด แต่ที่แน่นอนคือมันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินรางวัลอย่างที่เจ้าหญิงคาดไว้ โดยปกติคนส่วนใหญ่มักจะอวดโอ้ในเรื่องการช่วยเชื้อพระวงศ์ไว้หรืออะไรทำนองนั้น
“ก่อนอื่น ข้าพระองค์ต้องขอกล่าวว่าสิ่งที่ข้าพระองค์ต้องการนั้นไม่ใช่เงินตราหรือทรัพย์สินล้ำค่าใด” ดูเหมือนผู้มีพระคุณของนางจะอ่านความคิดของสาวน้อยตรงหน้าได้ นั่นทำให้นางรู้สึกละอายอยู่บ้าง แต่เพราะนางไม่ได้บาดเจ็บหรือทำสิ่งของตกหล่นไว้ การที่เขาจะเข้ามาถามไถ่อาการหรือคืนสิ่งของนั้นๆให้จึงเป็นไปไม่ได้เลย
เขาเริ่มกล่าวต่อไปเพื่อไม่ให้ความลำบากใจของสตรีตรงหน้าต้องมีนานไปกว่านี้ “ข้ามาที่นี่เพื่อขอเป็นองครักษ์ของท่านเพียงเท่านั้น”
สีหน้าของไดอาน่าอันกระอักกระอ่วน เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความนึกไม่ถึง แม้ว่าเขาจะปกป้องนางจากหญิงวิกลจริตไว้ก็จริง แต่ใช่ว่าจะต้องคอยพิทักษ์นางทุกฝีก้าวถึงเพียงนั้นหรอก เพราะการออกไปในครั้งนั้นก็เป็นการหลบผู้คุ้มครองเหล่านั้นเช่นเดียวกัน
“ความจริงข้าพระองค์เคยได้รับการช่วยเหลือจากองค์ราชามาก่อนพะยะค่ะ จึงอยากตอบแทนพระองค์โดยการปกป้องฝ่าบาทจากบรรดาผู้ไม่หวังดี อีกทั้ง...” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับนาง “...หากประสงค์จะกระทำการลับเช่นนั้นอีก ฝ่าบาทสามารถเรียกใช้ข้าพระองค์ได้เสมอ เพราะข้าพระองค์ต่างจากกลุ่มคนเหล่านั้น”
ไดอาน่าเผลอยิ้มออกมากับคำกล่าวเหล่านั้น มีอย่างที่ไหนกัน เจ้าหญิงแอบออกไปเที่ยวเล่นภายนอกกำแพงปราสาท ทั้งยังหลบหลีกจากองครักษ์อันมากฝีมือของตน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าชายแปลกหน้ามาขอให้นางรับเขาเป็นหนึ่งในกององครักษ์ประจำตัว
ด้วยเหตุการณ์ของแมดดิน่า กอปรกับช่วงนี้สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยปกตินัก นางคิดว่าการระวังความปลอดภัยไม่น่าจะใช่สิ่งเสียหาย หากแต่....การจะกระทำในตำแหน่งอันเข้มงวดนี้ จำเป็นจะต้องผ่านการทดสอบฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เสียก่อน โดยเฉพาะหากเป็นต่อหน้าองค์ราชาด้วยจะดีมากยิ่งขึ้น
เจ้าหญิงไดอาน่ายกน้ำชาขึ้นจิบ กลิ่นหอมอ่อนๆยังคงปรากฏขึ้นมาอย่างเช่นเคย “ความจริงเจ้าควรต้องการคุ้มครององค์ราชามากกว่าไม่ใช่หรือ? ในเมื่อข้าไม่เคยช่วยอะไรเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
“การคุ้มครองพระองค์จำเป็นจะต้องเผยใบหน้าอันแท้จริง” ชายหนุ่มอธิบาย “แต่ข้าพบว่าในปราสาทแห่งนี้ทุกคนสามารถสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าอันแท้จริงได้ และข้าไม่อยากให้ใครพบใบหน้าอันน่ารังเกียจของข้า”
เป็นอีกครั้งที่เจ้าหญิงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ใบหน้าอัปลักษณ์งั้นรึ? คล้ายข้ออ้างของนางในครั้งนั้นไม่มีผิด แต่การที่ให้คนที่ไม่รู้จักใบหน้ามาเป็นองครักษ์ น่ากลัวว่าแม้แต่นางที่ไม่ค่อยสนใจกฎระเบียบต่างๆ ยังรู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่นัก เว้นแต่ว่า...เขาจะสามารถเผยใบหน้าอันแท้จริงให้ดูสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอ
“หากฝ่าบาทไม่รังเกียจในหน้าของข้าพระองค์” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก แล้วปลดผ้าคลุมสีดำสนิทที่ครอบศีรษะลงมาทั้งหมด
เส้นผมของเขาเป็นสีดำสนิทเงางามและปลายม้วนประดุจรูปปั้นของเทพกรีกผู้สง่างาม ดวงตาสีน้ำตาลของเขาเต็มไปด้วยความสงบเสมือนเข้าใจต่อเสียงอุทานเบาๆของเจ้าหญิงและผู้ที่การรับใช้ในบริเวณนั้น หากใบหน้าแถบหนึ่งของเขาไม่เป็นแผลน่ากลัวคล้ายถูกไฟร้อนเผาผลาญจนเห็นเด่นชัด บุรุษตรงหน้าของนางนี้คงจะมีใบหน้าอันหล่อเหลาไม่แพ้ผู้ใดเลยทีเดียว
เขาสวมผ้าคลุมปิดลงมาอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาเห็นใจของผู้ที่จ้องมองเมื่อครู่ พร้อมทั้งเอ่ยว่าตนพร้อมจะรับบททดสอบจากเจ้าหญิงเสมอ ใบหน้าของนางค่อนข้างเศร้าในสิ่งที่ชายหนุ่มพบเจอมาในอดีต อดถามขึ้นเกี่ยวกับรอยแผลนั้นไม่ได้
ดูเหมือนว่าบุรุษผู้มีแผลน่ากลัวจะเคยอยู่ในสถานที่อันโหดเหี้ยมแห่งหนึ่ง แม้จะออกมาด้วยความแข็งแกร่ง มีฝีมือในการต่อสู้ติดกายที่ซึมซับจากประสบการณ์อันโหดร้ายนั้น ใบหน้าของเขาก็เสียหายไปแถบหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
เจ้าหญิงไดอาน่าอุทานอีกครั้ง “หรือว่าสถานที่นั้นจะเป็นค่ายเชลยแห่งบริลดิช?”
นางรู้จักเกี่ยวกับความโหดร้ายในสถานที่นั้นจากปากคำบอกเล่าของพระราชินี มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านพ่อของนางเคยเข้าไปพัวพันเพื่อปลดปล่อยคนภายในค่ายนั้นออกมา มันตั้งอยู่ในส่วนหนึ่งของป่าบริลดิชใกล้กับอาณาจักรโลนอนซิลแห่งนี้ ดูเหมือนคนที่ถูกจับตัวไปที่นั่นจะถูกทารุณให้เชื่อฟังคำสั่งของผู้นำในนั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อปกครองอาณาบริเวณนั้น
ชาวโลนอนซิลจำนวนมากที่ถูกจับไปอย่างไม่เป็นธรรม สิ่งนั้นจึงเสมือนการประกาศสงครามขนาดย่อม
ชายตรงหน้าเจ้าหญิงกล่าวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความยึดมั่นในใจ แม้เขาจะไม่ใช่ชาวโลนอนซิลก็ตาม แต่ก็เป็นหนึ่งในทาสที่ได้รับการปลดปล่อยด้วยอำนาจแห่งองค์ราชา เขาจึงอยากสวามิภักดิ์ต่อพระองค์อย่างถึงที่สุด
ถึงคำพูดนั้นจะเต็มเปี่ยมด้วยความเคารพ แต่ก็ใช่ว่าจะได้สิทธิ์พิเศษใด เจ้าหญิงคิดว่าเขาคงอยากจะแสดงฝีมือต่อหน้าองค์ราชาผู้มีพระคุณ แต่น่าเสียดายที่พระองค์ผู้มาเยือนคนสำคัญหลายคนซึ่งต้องต้อนรับด้วยตนเอง หากเป็นราชินีที่สามารถบอกกล่าวเรื่องต่างๆกับพระองค์ได้ทุกเมื่อ อาจจะไม่ต่างกันนักก็เป็นได้
“แล้วข้าจะเรียกตัวเจ้าเข้ามาอีกครั้ง จงเตรียมตัวให้พร้อมทุกเมื่อ เพราะความจริงแล้วองค์ราชินีก็มิได้อ่อนต่อกฎเกณฑ์ข้อบังคับเท่าไหร่นัก แม้จะน้อยกว่าองค์ราชาก็ตาม”
เจ้าหญิงมองเขาโค้งตัวลงอีกครั้งก่อนจากไป ถึงเขาจะตอบข้อสงสัยต่างๆได้อย่างราบรื่น แต่เหล่านั้นเป็นคำพูดไร้หลักฐานทั้งสิ้น
นางหันไปทางหนึ่งในองครักษ์ซึ่งประจำตำแหน่งในบริเวณนั้น “สืบค้นเกี่ยวกับคนที่ถูกปลดปล่อยจากค่ายบริลดิช และหากข้าเข้าใจไม่ผิด ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นชาวโอเทล์ม ศัตรูคู่แค้นของอาณาจักรโลนอนซิลแห่งนี้”
ผู้แอบอ้างฐานะและนามของโคเรนซ์กำลังจ้องมองตามปลายพู่กันที่ตวัดอย่างช้าๆของจิตรกรหนุ่ม โดยภาพนั้นเกี่ยวกับปราสาทบนภูเขาแห่งหนึ่งท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำ สีโทนมืดดำให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา พร้อมด้วยพระจันทร์อันถูกเมฆครึ้มบดบังบางส่วน ประดุจจะบดบังแสงสว่างในค่ำคืนนั้นเสียสิ้น
จิตรกรหลวงสอนถึงความพลิ้วไหวของรูปที่มากขึ้น แต่โดยรวมแล้วภาพนี้สื่ออารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน คนที่มองย่อมสัมผัสถึงความน่าเกรงขามบางอย่างได้
ซิลเวอร์เพิ่งรับรู้ว่าตนไม่เคยมองระหว่างที่คนรักกำลังวาดรูปอย่างใกล้ชิดมาก่อน ทั้งสีหน้าอันแสนสงบและความผ่อนคลายบางอย่างได้แผ่ซ่านออกมา เป็นอีกมุมมองทีเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เพราะฟิลลิปป์ผู้อยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นั้นเปี่ยมด้วยความงดงามและมีชีวิตชีวาต่อสิ่งทั้งหลายที่เขาบรรจงมอบให้
เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้งั้นหรือ...? ไม่ใช่เช่นนั้นเลย แม้จะแตกต่างจากผู้ที่เขาเคยใกล้ชิดท่ามกลางความมืดมิด แต่บรรยากาศเหล่านี้ให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน เปี่ยมด้วยความลึกซึ้งต่อสิ่งที่กระทำ มันมากมายเสียจนอยากจะเข้าไปโอบกอดด้วยอ้อมแขนคู่นี้ ให้ผู้วาดภาพนึกแห่งจินตนาการได้เอนอิงท่ามกลางสายลมโชยชายเช่นนี้
อีกนิดเดียวเท่านั้น...กุหลาบแสนงามเอ๋ย อิสระของเจ้าที่สามารถโบยบินพร้อมกับคนรักซึ่งไร้หน้ากากปิดบังใด เขาเองก็ปรารถนาจะจับมือเคียงข้างกับเจ้าเช่นเดียวกัน ปรารถนาอันมากล้นยิ่งกว่าสิ่งใด
ฟิลลิปป์กล่าวขอบคุณต่อผู้ให้การฝึกสอนอย่างจริงใจ โดยไม่ได้คิดว่าตนเองนั้นเป็นสหายโปรดของเจ้าหญิง
โคเรนซ์ตัวปลอมก้าวเข้าไปใกล้เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง ก่อนจะตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อภาพวาด เป็นคำตอบที่น่าพึงพอใจมากเลยทีเดียว หากแต่จิตรกรหนุ่มคล้ายจะไม่ต้องการสิ่งนั้น เขาถามเกี่ยวกับความรู้สึกจริงๆที่ไม่ใช่การชื่นชมเลอเลิศใด
ซิลเวอร์หลบตาขณะที่กล่าวออกมา “ข้าคิดว่าภาพนี้ค่อนข้างมืดทึบทีเดียว แต่ก็งดงามมาก ถึงอย่างนั้นข้าไม่คิดว่าท่านจะชื่นชอบในการวาดภาพที่สื่อถึงความลึกลับเช่นนี้”
“ข้าชื่นชอบการวาดภาพ หากเป็นภาพที่ข้าพึงพอใจ ข้าก็อยากจะวาดมันออกมา” ฟิลลิปป์สบตากับเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆ “แต่เจ้าพูดถูก นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้วาดภาพในโทนสีนี้”
นัยน์ตาสีมรกตนั้นสะท้อนกับแสงอาทิตย์ “แล้วไฉนท่านจึงต้องวาดมันออกมา?”
ไม่มีคำตอบจากผู้ถูกถาม แต่ฝ่ายที่เอ่ยขึ้นยังคงกล่าวต่อไป “ข้ารู้สึกเหมือนท่านพยามทำทุกอย่างให้แตกต่าง สะท้อนความผิดแปลกออกมา อีกด้านที่ทุกคนไม่รู้จัก แม้แต่ท่านเองก็เช่นกัน ทำไมหรือ...?”
ความเงียบงันปกคลุมทั่วสถานที่นั้นอยู่นานจนตัวซิลเวอร์รู้สึกว่าตนกล่าวออกมามากเกินไป แต่นั่นคือความคิดของเขาจริงๆ ภาพอันมืดครึ้มไร้แสงสี ดวงจันทร์อันถูกบดบัง สายฝนและพายุอันโหมกระหน่ำ เหมือนจะแตกต่างจากภาพวาดก่อนหน้านี้อย่างบอกไม่ถูก
จิตรกรหนุ่มจับพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ปราสาทอันมืดทึบจึงส่องสว่าง แทนที่จะเป็นความเงียบงันใต้พายุบ้าคลั่ง กลับเสมือนมีงานเลี้ยงอันอบอุ่นรื่นเริงอยู่ท่ามกลางสายฝนแทน
“ข้ามีคนรักอยู่คนหนึ่ง” ฟิลลิปป์กล่าวระหว่างแก้ไขผลงาน “ข้าคิดว่าถ้าเขาได้เห็นภาพเมื่อครู่ เขาจะพูดว่าอย่างไรบ้าง แต่ในท้ายที่สุด...ข้ากลับไม่อยากให้ปราสาทนั้นต้องเงียบสงัดไร้แสงสี หากเป็นเขาจะต้องพูดออกมาแบบเดียวกับเจ้าแน่ เพราะเขาเป็นคนที่อบอุ่นอ่อนโยน และข้ารักเขาในแบบที่เป็นยิ่งกว่าใคร เหตุผลสำคัญที่ข้าไม่เคยทำให้ภาพมีแต่ความมืดมนหลังจากเขา...ก็เพราะข้าเห็น...ความหม่นหมองอย่างประหลาดในแววตานั้น”
ฟิลลิปป์ไม่ได้โกหกหรือแต่งนิทานไร้สาระขึ้นมาหลอกใคร แม้จะฉาบทาไว้ด้วยความน่าหลงใหล ความอบอุ่น แต่ในคืนแรกที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เบื้องหลังความน่าตื่นตาตื่นใจต่างๆ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เสมือนกับว่าเป็นผู้สร้างแสงสว่างสำหรับชายผู้นั้น เป็นคนสำคัญที่สุด
ในคืนต่อมาและต่อมา เด็กหนุ่มจึงไม่ปฏิเสธในการออกไปตามคำชักชวนของอัศวินผู้สวมหน้ากากสีเงิน จนกระทั่งความรู้สึกอันหนาวเหน็บนั่นจางหายไปเรื่อยๆ...
ซิลเวอร์ก้มหน้าลงปิดบังสีหน้าและความรู้สึกที่สะท้อนผ่านทางดวงตาคู่นั้น พลางเล่าเรื่องราวของใครบางคนออกมา ใครบางคนที่ต้องปกป้องสิ่งหนึ่ง ซึ่งถูกผูกมัดไว้ด้วยเงื่อนไขไร้อิสระ จนกระทั่งพบพานกับคนที่เขาต้องการจะปกป้องจริงๆ คนที่ไม่ได้เลอเลิศกว่าใคร แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา เป็นหัวใจ เป็นความรู้สึก เป็นผู้ปลอบประโลมให้หน้าที่อันหนักอึ้งนั้นหยุดลง
ผู้ฟังวางมือจากงานที่แก้ไขเสร็จ พลางย้อนถามถึงชายในเรื่องเล่านั้น หากทุกอย่างยุติลงแล้ว แล้วเขาจะมองผู้สร้างแสงสว่างคนนั้นว่าอย่างไร ในเมื่อสิ่งนั้นมันไม่จำเป็นอีกต่อไป รวมทั้ง...เขาแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาพบคือแสงสว่างอย่างแท้จริง หาใช่เพียงตะเกียงอันเล็กๆท่ามกลางความมืดมน
ท่ามกลางความมืด แม้เพียงดวงไฟเล็กๆอันไร้ค่า ผู้คนก็อยากจะไล่ตามไปทั้งนั้น
คราวนี้ซิลเวอร์เงยหน้าขึ้นมาอย่างมาดมั่น แม้ชายในเรื่องเล่านั้นจะไม่รู้อะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าดวงไฟนั้นเป็นสิ่งใด นำทางไปยังที่แห่งไหน แต่ท่ามกลางความมมืดมิดอันหนาวเหน็บ แค่แสงสว่างอันอบอุ่นนั้นก็เพียงพอ เขาต้องการแค่เท่านั้นเอง
ความเงียบงันปกคลุมอาณาบริเวณอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มของฟิลลิปป์ “ข้าเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับคนรักมามากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เป็นฝ่ายฟังบ้าง มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน”
“หากไม่มีคนคนนั้น ชายในเรื่องเล่าก็ไม่มีทางสัมผัสความรู้สึกนี้ได้เช่นกัน” อัศวินสีเงินสบตากับคนรักอย่างอ่อนโยน ก่อนจะรีบปรับให้เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาเริ่มรู้สึกหวงแหนต่อช่วงเวลาในยามทิวานี้ หวงแหนต่อการพูดคุยที่อาจจะไม่ได้ฟังในฐานะของชายสวมหน้ากากยามราตรี แต่ในตอนที่หน้ากากเหลือบเงินอันนี้ถูกสวมไว้กลางแสงแดด มันก็เผยสิ่งต่างๆออกมาอย่างน่าประหลาดใจ
แววตาของฟิลลิปป์หลุบลงต่ำเสมือนอยู่ในห้วงคำนึง ก่อนจะหันไปมองตามเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา ผู้มาเยือนถือสาห์นสารเชิญไว้ในมือสองใบ นางสบตากับองครักษ์ข้างกายเขาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะยื่นของในมือให้พร้อมรอยยิ้ม
ดูจากลักษณภายนอกแล้วค่อนข้างโดดเด่นหรูหรา เจือด้วยกลิ่นหอมแบบสุภาพ ไม่เชิงรื่นเริงเหมือนครั้งงานเลี้ยงสวมหน้ากาก ทั้งยังปะปนด้วยพิธีการ เนื่องจากนี่คืองานเลี้ยงสำหรับเฉลิมฉลองพระชนมายุครบห้าสิบห้าพรรษาของราชินีอะเล็ตก้าแห่งคอนชายส์
ไดอาน่าชี้แจงว่าท่านพ่อของนางต้องการให้เขาได้สัมผัสกับวงสังคมของชนชั้นสูง เนื่องจากมีเวลาเตรียมตัวอีกสองสามวัน เรื่องการตระเตรียมเกี่ยวกับชุดหรือการวางตัวระเบียบพิธีต่างๆจึงไม่น่าเป็นห่วงเลย
โคเรนซ์ลอบมองอย่างเงียบๆ หยั่งดูท่าทีของเจ้าหญิงว่ามีจุดประสงค์อื่นใดหรือไม่ เขาไม่ได้คิดว่าองค์ราชาจะหาทางกลั่นแกล้งอะไรในตัวคนรักของเขาอีก ทว่า มันมีความจำเป็นในจุดไหนที่ต้องพาฟิลลิปป์ไปในที่นั้น ในเมื่ออุปนิสัยในการออกงานสังคมก็ไม่อยู่ในความคิดของเด็กหนุ่มเป็นแน่
จริงดังที่องครักษ์จำแลงคาดไว้ แม้ตัวเขาจะไม่เผยท่าทีใดนัก แต่ก็ยังส่อถึงความลำบากใจที่ปะปนออกมาเจือจาง จนเจ้าหญิงต้องแสดงสีหน้าดังกล่าวออกมาอย่างชัดเจนเอง “การที่เจ้าจะเป็นคนรักของเจ้าชายในภายภาคหน้า ไม่ช้าก็เร็ว สักวันเจ้าจะได้ออกงานเคียงคู่กับเขาเพื่อเข้าสู่สิ่งเหล่านี้อีกมากมาย ฝึกฝนให้ชินไว้ก่อนก็ไม่สาย แน่นอนว่าเจ้ามีสิทธิปฏิเสธอย่างเต็มที่” นางกล่าวในตอนท้ายอย่างเห็นใจ เนื่องจากตนเองก็ไม่ค่อยนิยมออกงานต่างดินแดนนัก
ซิลเวอร์เกือบจะเอ่ยปากปกป้องด้วยการอ้างนิสัยการไม่ชอบเข้าร่วมงานสังคมของตน แต่คำพูดขององค์ราชินีเตือนใจขึ้นมาได้เสียก่อน พระนางไม่คิดว่าการที่เขากางแขนปกป้องคนรักมากจนเกินไปจะเป็นสิ่งดี อีกทั้ง ด้วยเหตุผลของไดอาน่า สีหน้าของฟิลลิปป์แสดงความเข้าใจขึ้นมา บางทีเขาควรจะปล่อยให้คนรักได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
คำตอบรับของเด็กหนุ่มสร้างความประหลาดใจแก่เจ้าชายผู้ปิดบังตัวตนเป็นอย่างยิ่ง
ไดอาน่าต้องเตรียมตัวแต่งองค์ทรงเครื่องอีกหลายอย่าง นางจึงไม่อาจเสียเวลาสนทนากับเขานานไปกว่านี้ และช่างเสื้อของเด็กหนุ่มจะตามมาในอีกไม่ช้า
ก่อนที่โคเรนซ์จะถามสิ่งใด ฟิลลิปป์นั่งลงอย่างเก้าอี้หินอ่อนสีขาว หลังจากยืนต้อนรับการมาของเจ้าหญิงไดอาน่าซึ่งมีศักดิ์สูงกว่า พลางเก็บอุปกรณ์สีต่างๆและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลปนยินดีแกมเศร้า
“การที่นางถือสารเชิญมาด้วยตนเอง ย่อมแปลว่านางกังวลกับความรู้สึกของข้ามากทีเดียว ตัวข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร อีกทั้ง...อาจเป็นความเพ้อของข้าเองก็ได้ แต่การใฝ่ฝันว่าได้เดินเคียงข้างกับเขานั้นเป็นสิ่งที่เหมือนความปราถนาทีเดียว ข้าช่างโลภเหลือเกินในการคิดเช่นนี้ แต่อย่างน้อย...แม้ผลลัพย์ในท้ายที่สุดจะออกมาเป็นเช่นไร ในวินาทีนี้เขายังเป็นคนรักของข้า เป็นคนที่สองมือนี้ยังสามารถโอบกอด เป็นคนที่สุ้มเสียงนี้ยังสามารถกล่าวคำรักได้เสมอ”
ซิลเวอร์กล่าวเสียงเบาดุจกระซิบกับตนเอง “หากเป็นเช่นนั้น คงไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่กำลังเพ้อฝัน”
ในค่ำคืนของวันนั้นไม่ได้จบลงด้วยการพบปะกันในสวนเฉกเช่นเคย แต่เป็นค่ำคืนแรกที่พวกเขาทั้งสองได้เข้าสู่ห้วงนิทราในอ้อมกอดของกันและกัน
หลังผ่านการเตรียมตัวและการเดินทางอันยาวนานสู่อาณาจักรคอนชายส์ ซึ่งมีระยะทางห่างไกลจากโลนอนซิลพอสมควร ในที่สุดก็สามารถมาทันหมายกำหนดการในสารเชิญ แม้สีหน้าของคนทั้งสองจะอิดโรยไปบ้าง แต่ยังคงความสดชื่นไว้ได้เมื่อก้าวเข้าสู่งานเลี้ยง
การเข้าร่วมในครั้งนี้ต่างจากงานเลี้ยงสวมหน้ากากมาก ทุกคนต่างใส่ชุดที่ดูฉูดฉาดน้อยลง เปี่ยมด้วยความงามสง่าและเป็นทางการ จริงอยู่ที่การพบปะชนชั้นสูงอาจเป็นสิ่งที่ฟิลลิปป์ไม่ใคร่จะคุ้นชินนัก ถึงกระนั้นเสื้อผ้าหลากสีสันยังคงน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสวงสังคมนี้เป็นครั้งที่สอง
ข้างกายของเจ้าหญิงไดอาน่ามีองครักษ์สวมหน้ากากสีเงินวาวปิดครึ่งใบหน้าด้านซ้ายจากการส่งมาขององค์ราชินี ส่วนสหายข้างกายของนางมีผู้คุ้มกันประจำตัวอยู่หนึ่งคน แม้จะไม่ใช่งานเลี้ยงสวมหน้ากาก ซิลเวอร์ก็ยังคงสวมมันเพื่อปิดบังตัวตน ตามที่คนรักเคยขอร้องเอาไว้ก่อนหน้านี้
นอกจากเครื่องแต่งกาย แขกในงานนี้ต่างดำรงตำแหน่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าหญิงไดอาน่า หลายส่วนจึงให้ความรู้สึกเคร่งเครียดกดดันเกี่ยวกับปัญหาระหว่างอาณาจักร สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาอันละเอียดอ่อน ซิลเวอร์จึงเตือนคนรักด้านการเข้าไปพัวพันหรือถูกดึงเข้าไปในวงสนทนาสิ่งนั้น อาจเป็นเรื่องน่าหัวเราะสำหรับพวกเขาทั้งสอง ตรงที่การรับฟังเงียบๆในวงซุบซิบกลับเป็นสิ่งที่ดูจะปลอดภัยที่สุด ตราบใดที่ผู้พูดถึงยังไม่รู้ตัวและรู้สึกเป็นอริ
พวกเขาทั้งสี่เป็นฝ่ายเดินเข้าหาราชินีแห่งคอนชายส์ การทักทายกึ่งอวยพรเจ้าของงานนับเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง อีกทั้ง พระนางยังรู้จักสนิทสนมกับเจ้าหญิงเจ้าชายแห่งโลนอนซิลตั้งแต่ยังเล็ก จึงให้ความเอ็นดูแก่คนทั้งสองมากพอสมควร
ราชินีอะเล็ตก้าทรงเสียงอุทานออกมาเบาๆ เมื่อได้ฟังการแนะนำฐานะของฟิลลิปป์ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของซิลเวอร์นัก การแนะนำเช่นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอับอายหรอกรึ?
พระนางหันดวงตาอันประกายความสุขุมนั้นไปทางบุรุษใต้หน้ากากสีเงิน พลางส่งสายตาเป็นกังวล “จริงอยู่ที่สิ่งเหล่านี้ธรรมดาเหลือเกินสำหรับชนชั้นสูงอย่างเรา แต่เจ้าแน่ใจแล้วรึ? เพราะคนที่เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้มีน้อยนัก ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีอายุและน่าเกรงขามเกินกว่าจะวิจารณ์ออกมาเปิดเผย”
สตรีสูงศักดิ์ซึ่งมีอายุมากแต่ยังคงความสาวไว้เกินความเป็นจริง สบตาสีเขียวมรกตอันแน่วแน่นั่นอย่างไม่ทราบจะกล่าวอย่างไร นางไม่ได้รังเกียจในความรักอันผิดแปลกนี้ แต่ใช่ว่าจะมีผู้ที่หวังดีพอในการไม่ใช้จุดนี้เพื่อหยามเหยียด แม้จะเป็นที่ยอมรับอย่างไร สิ่งที่สังคมกำหนดไว้ว่าควรจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังคงเป็นบรรทัดฐานอยู่วันยังค่ำ
บุรุษใต้หน้ากากไม่กล่าวสิ่งใด นั่นทำให้พระนางอดชำเลืองตามสายตาของเขาไม่ได้ ดูเหมือนว่าใบหน้าอันซีดสลดของฟิลลิปป์จะปรากฏออกมาให้เจือจาง โดยที่เจ้าตัวพยามปิดบังมันไว้สุดฤทธิ์ตามคำแนะนำของเจ้าหญิงไดอาน่า นางกล่าวการสื่ออารมณ์ด้านลบอย่างชัดเจนไม่ก่อให้เกิดผลดีนัก จิตใจของชนชั้นสูงส่วนใหญ่ไม่ได้ดีเลิศอย่างอาภรณ์ที่พวกเขาสวม ประหนึ่งผิวหนังขาวนวลอันน่าหลงใหลที่ห่อหุ้มกาย แต่ลึกเข้าไปคือหัวใจอันไม่น่าดูเลยสักนิด หากแต่รังจะกดต่ำอีกฝ่ายลงไปอย่างไม่ใยดี
ราชินีอะเล็ตก้ามองเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง หากเป็นเรื่องหน้าตาหรือรูปร่างอันบอบบางก็ดี แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ประสาในเรื่องการเย้ายวนมายาแก่ชายหนุ่มข้างกายเลย ทั้งที่เป็นเช่นนั้น ซิลเวอร์กลับไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับนางเพื่อยุติหัวข้อสนทนานี้ เห็นได้ชัดว่านี่อยู่นอกเหนือจากเรื่องกายภายนอก และนั่นทำให้พระนางเองก็หยุดคำหวังดีนั่นลงเพื่อความสบายใจแก่ทุกฝ่าย
ซิลเวอร์มอบรอยยิ้มแด่คนรัก อันเป็นรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นเชิงปลอบโยน ดวงตาสีม่วงของผู้ได้รับไหววูบ ก่อนจะประกายการยอมรับในเรื่องนี้ออกมาอย่างเงียบๆ นั่นทำให้บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง
ปฏิกิริยาเหล่านั้นถูกจับจ้องไว้โดยองค์ราชินี ก่อนจะหันไปทางเจ้าหญิงไดอาน่า พระนางปิดปากอมยิ้มกับผู้ที่อยู่ด้านหลังของนาง “หน้ากากงั้นหรือ เดิมทีข้าคิดว่างานเลี้ยงนี้ไม่เกี่ยวกับหน้ากากแท้ๆ รึว่านั่นเป็นใครที่ไม่อาจเปิดเผยใบหน้าได้อีกหนึ่งคนกันเล่า”
สาวน้อยในชุดสีโปรดประจำกายหัวเราะขบขันเบาๆกับมุขตลกสั้นๆนั่น พลางแนะนำถึงองครักษ์คนใหม่ของตนเองและปฏิเสธสาเหตุของการปิดบังใบหน้านั้นอย่างเหมาะสม นางไม่คิดว่าการพูดถึงเรื่องนี้จนผู้ปิดบังต้องเปิดหน้ากากพิสูจน์ความจริงจะเป็นสิ่งที่ดี
ถัดจากราชินีแห่งคอนชายส์ ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านเคานท์แห่งเคนเน็ท ซึ่งมี ‘คนสนิท’ ติดสอยห้อยตามมาอีกหนึ่ง เส้นผมและดวงตาของเขาสีดำสนิท คมกล้าดุจอินทรีที่น่าเกรงขาม แม้จะเป็นฝ่ายทำความเคารพต่อคนทั้งสองก่อน รังสีความน่าเกรงขามยังมากล้นจนน่ากลัวเลยทีเดียว
คนสนิทของเขามีรอยยิ้มอันงดงามทีเดียว ดูปลุกเร้าความสนใจแก่บุรุษผู้สนใจในความสวยงามของเพศเดียวกัน อายุของเขาน่าจะห่างท่านเคานท์อยู่สิบห้าถึงยี่สิบปี ถึงกระนั้นเจ้านายเบื้องหน้ายังคงความเยาว์ของร่างกายได้ดี เป็นธรรมชาติของชนชั้นสูงที่มักจะไม่ปล่อยตัวให้เป็นดั่งกาลเวลา
“น่าสนใจทีเดียว ไม่นึกว่าเจ้าชายแห่งโลนอนซิลจะสนใจในเรื่องเหล่านี้ด้วย” ดวงตาของเขาจับจ้องไปทางคนรักของคู่สนทนาอย่างรวดเร็ว คนสนิทคนนั้นดูจะสนใจในตัวเขาไม่น้อยเลยทีเดียว เสมือนรู้ทันในฐานะนั้น นั่นทำให้ฟิลลิปป์รู้สึกพูดอะไรไม่ออก
“ส่วนท่านนั้นเล่า ยังคงมีคนสนิทสับเปลี่ยนไม่เว้นว่างเหมือนอย่างเคย”
คำพูดตอบกลับนิ่มๆนั่นสร้างเสียงหัวเราะจากท่านเคานท์ได้เป็นอย่างดี “งั้นหรือ เผอิญว่าข้าชื่นชอบสิ่งใหม่และก้าวใหม่ จะให้ย่ำอยู่กับที่กับคนเดิมๆ เห็นทีว่าคงไม่ใช่จุดมุ่งหมาย เหนือสิ่งอื่นใด ข้าชอบการพูดคุยกับคนเร้าใจมากกว่าไร้เดียงสา”
ชายหนุ่มสง่างามหล่อเหลารู้ดีว่าการจี้จุดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับฟิลลิปป์ อาจทำให้เจ้าชายปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้สามารถเป็นเดือดเป็นแค้นได้ในพริบตา แต่ถึงกระนั้น การล่วงล้ำทางวาจาควรยุติลงแค่นี้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดี การบาดหมางเพียงเพราะความหยอกยั่วกันสั้นๆคงไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก
ระหว่างการสนทนานี้ เขาไม่ได้หันไปทางเจ้าหญิงไดอาน่าเลยสักนิด ใบหน้าของนางเองก็ใช่ว่าจะปราถนาในการสนทนากับเขาสักเท่าไหร่ สายตาเป็นกังวลเจือจางของนางเหลือบมองไปทางคนข้างกายของซิลเวอร์อยู่บ่อยครั้ง การยั่วยุเจ้าชายแห่งโลนอนซิลนับว่าเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ แต่สำหรับเจ้าหญิง...ทุกคนรู้ดีว่าไม่ควรกระทำสักเท่าไหร่นัก ในเมื่อนางเป็นบุตรสาวคนเดียวของราชาราชินีแห่งอาณาจักรนั้น
คล้อยหลังท่านเคานท์และคนสนิท ดูเหมือนนางไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากชายคนนั้นเข้าใจว่าฟิลลิปป์เป็นเพียงคนสนิทข้างกายของซิลเวอร์ ไม่ใช่ในตำแหน่งของผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างอย่างคนรัก
“สงบใจไว้ก่อนพะยะค่ะ” องครักษ์อัสเซลกล่าวอย่างสุขุม “การที่เขาจะเข้าใจในเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลยสักนิด พี่ชายของฝ่าบาทย่อมล่วงรู้ดี ตัวฝ่าบาทเองก็เช่นกัน”
“ใช่ ข้ารู้” สีหน้าของเจ้าหญิงคลายลง “ข้าเพียงแต่ไม่ชอบสายตาตอนที่เขาจับจ้องมา ข้าว่ามันน่ากลัวไม่น่าสนทนาอย่างบอกไม่ถูก เจ้ารู้สึกหรือเปล่า?”
“ฝ่าบาททรงเยือกเย็นไว้เหมือนที่เตือนท่านฟิลลิปป์เถิดพะยะค่ะ” เขากล่าวกระซิบ “แม้จะไม่แสดงออกโดยตรง ชายผู้นั้นก็ดูเหมือนจะเกรงฝ่าบาทอยู่พอสมควร”
“เพราะอำนาจหนุนหลังข้าน่ะสิ” นางอดบ่นพึมพำไม่ได้
“แน่นอน เพราะอำนาจที่หนุนหลังฝ่าบาทอยู่ มิเช่นนั้นเขาควรจะกลัวอะไรหรือพะยะค่ะ?” เขาจับจ้องสายตาอันขุ่นเคืองของสาวน้อยผู้เป็นเจ้านายอย่างไม่หวั่นเกรง ซึ่งไดอาน่าเริ่มยืดตัวตรงกว่าเดิม มือทั้งสองของนางรวบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว สีหน้าอันเย็นชาดูห่างเหินจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เป็นสิ่งที่มั่นใจได้ว่าต้องสร้างความกดดันแก่คู่สนทนาได้มากทีเดียว
เสียงกระซิบของเจ้าหญิงกดต่ำ “งั้นเจ้าเองก็ควรหวาดหวั่นต่อมันด้วยเช่นกัน”
“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท” อัสเซลยักยิ้มขึ้นเล็กน้อยกับท่าทีเหล่านั้น “เพียงเท่านี้เขาก็ต้องเกรงกลัวต่อฝ่าบาทไม่ต่างจากอำนาจที่หนุนหลังอยู่เป็นแน่”
เจ้าหญิงถึงกับพูดไม่ออก นอกจากคำว่าขอบคุณในความหวังดีที่หลอกล่อนางจนติดกับ ด้วยน้ำเสียงอันกัดฟันกล่าวเจือความโมโหเป็นอย่างยิ่ง!
ฟิลลิปป์ค้นหาทางออกในปราสาทอันซับซ้อนนี้อยู่สักพักหนึ่งแล้ว เนื่องจากเขาแยกออกมาทำธุระส่วนตัวเล็กน้อย แต่ทางจะกลับก็ถูกลบลืมไปด้วยความสับสนเส้นทาง ทั้งบริเวณนี้ยังเงียบสงัดไร้ผู้คนจนวังเวง หวังว่าซิลเวอร์คงไม่รีบร้อนรายงานต่อองค์ราชินีว่าเขาถูกลักพาตัวไปแล้วหรอกนะ?
ท่ามกลางแสงไฟสลัวของคืนขึ้นสี่ค่ำ ดูเหมือนจะมีห้องหนึ่งที่แสงไฟสว่างลอดผ่านประตูออกมา อาจเป็นห้องครัวหรือห้องอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยง แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีนางกำนัลเข้าออกวุ่นวายอย่างตอนที่เขาเคยพบในงานเลี้ยงสวมหน้ากากขององค์ราชาเลย
ถึงจะเป็นห้องอะไรก็ไม่สำคัญ คนภายในย่อมรู้ทางกลับไปในงานอยู่แล้ว ในตอนที่ฟิลลิปป์เตรียมเคาะถามทางด้วยความจนปัญญานั้น ประตูได้ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของคนสองคนที่กำลังโอบกอดกันแนบชิด
ทาสหนุ่มคนนั้นผละออกอย่างตกใจ พลางวิ่งสวนหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฟิลลิปป์ยืนเผชิญสายตาอยู่กับองค์ราชินีอะเล็ตต้า!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ