The Silver Mask
9.8
2) ลำดับที่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสองวันผ่านไป เจ้าหญิงไดอาน่าเดินทางมารับด้วยตนเอง แม้ว่าจะไม่ได้ลงจากรถม้าก็ตาม ถึงกระนั้น ธงตราราชวงศ์ปักให้เห็นเด่นชัด ข่าวลือเรื่องการซื้อขายยังไม่จางหายไปเท่าไหร่ กลุ่มคนทั้งหลายจึงมายืนมุงดูด้วยความสนอกสนใจ แต่ไม่ได้เฉลียวใจสักนิด เกี่ยวกับฐานะของบุคคลภายในรถม้าอันมืดทึบ
วันนี้นางยังคงสวมอาภรณ์สีชมพูหวานเฉกเช่นเคย พร้อมด้วยหมวกปีกกว้างเข้าชุดอีกหนึ่งใบ
แม้จะเคยพบปะสนทนากันช่วงสั้นๆ การนั่งข้างกายเชื้อพระวงศ์ยังคงสร้างเกร็งเกรงแก่ฟิลลิปป์อยู่ดี หากแต่เจ้าหญิงได้มอบความเป็นกันเองให้อย่างจริงใจ นางไม่คิดว่าการแบ่งชนชั้นกับคนรักของอัศวินสีเงินจะมีประโยชน์ตรงไหน หรือจะเป็นอคติเรื่องเพศหรือฐานันดร ทุกอย่างใช้หัวใจนำทางทั้งนั้น
“เขาไม่รู้เรื่องการมาของข้าหรอก” ไดอาน่าเอ่ยถึงฟิลลิปป์ “กว่าจะตื่นขึ้นมาได้ เราคงไปทันกล่าวทิวาสวัสดิ์พอดีนั่นแหละ เจ้าคนสันหลังยาว... โอ ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงขนาดนั้น”
ฟิลลิปป์กล่าวปลอบไม่ให้นางคิดมาก ใบหน้าของนางซีดลงเล็กน้อยอย่างเป็นกังวล
ตามความคิดที่นางตีความหมายของนิทานทุกวัน คนทั้งสองรักกันมากจนไม่อาจเว้นช่องว่างให้อะไรหรือใครมากั้นกลาง การว่าร้ายเกี่ยวกับคนรักเพียงนิดเดียวอาจสร้างความบาดหมางได้ รวมทั้ง นางไม่คิดจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกอคติต่อตนเองฐานพูดถึงบุคคลที่สามในทางไม่ดีมากเกินไป
ภายในรถม้าเงียบลงชั่วขณะ นั่นทำให้จิตรกรหนุ่มรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก เขาไม่อยากถูกเข้าใจว่าบาดหมางกับคู่สนทนาเท่าไหร่นัก เนื่องจากเข้าใจดีว่าคนทั้งสองมีความสนิทสนมกันมาก เพียงพอจะกล่าวล้อเล่นเชิงติติงได้โดยไม่คิดมาก เขาเองก็ปรารถนาจะผูกมิตรกับนาง ซึ่งเป็นสหายหรือมีความสัมพันธ์บางอย่างอันแน่นแฟ้นกับซิลเวอร์
เจ้าหญิงตัดสินใจหยุดความอดอัดนี่ลงก่อน นางเอ่ยถามเชิงหยั่งท่าที เกี่ยวกับมุมมองของฟิลลิปป์ที่มีต่ออัศวินสีเงินปริศนา เกี่ยวกับพบกันท่ามกลางแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก
“จะอยู่ใต้แสงอาทิตย์หรือสวมหน้ากากใต้แสงจันทร์ สำหรับข้าแล้วไม่ต่างกันเลยขอรับ” สีหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความหมายอันลึกซึ้ง ไม่มีอาการแข็งกระด้างออกมา
เจ้าหญิงวางใจลงได้ในที่สุด นางเลียบเคียงถามอย่างสงสัย “อย่างนี้ ถ้าเขายืนต่อหน้าเจ้า ไม่มีทางที่จะไม่รู้เลยหรือ ต่อให้เขาใส่หน้ากากและอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์งั้นรึ?”
ฟิลลิปป์รับคำอย่างมั่นใจ เขาสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย แม้เดินผ่านเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ดวงตาของเจ้าหญิงเป็นประกายอย่างตื่นเต้น สองมือกอบกุมกันอยู่อย่างนึกฝัน อาจเพราะสนิทกันมากเกินไป นางจึงไม่ค่อยเข้าใจความคิดของคู่สนทนานัก ถึงจะเหมือนกันมากกับคู่หมั้นของนาง แต่ไดอาน่าคิดว่าบุรุษที่หล่อเหลาเพียงหนึ่งเดียวของตนคือคนรักเท่านั้น เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มแดงซ่านขึ้นมา แม้จะยังไม่เข้าใจความคิดของเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีม่วงงดงามคนนี้ก็ตาม
เขาอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ ภาพลักษณ์ของฟิลลิปป์ที่มีต่อนางเป็นยังไงกันนะ?
ไดอาน่ายิ้มจืดจางราวกับอ่อนใจ “ความจริงก็เป็นคนมีน้ำใจและเป็นคนดีบ้างนะ ติดตรงที่หลงตัวเองไปหน่อย ไม่ค่อยจริงจังกับชีวิตเท่าไหร่ แต่บทจะเอาการเอางานก็ไม่เลวเลย อืม ไม่แน่นะ เจ้าอาจจะชอบก็เป็นได้ ถ้าใครฟังนิทานช่วงบ่ายของเขา ทุกคนต้องคิดว่าเจ้าเป็นนางฟ้าแน่นอน ยากจะหาข้อตำหนิได้แม้เพียงปลายนิ้ว ข้ายังคิดเลยว่าคนอย่างเขาพูดแบบนี้เป็นด้วยงั้นหรือ!”
แม้คำพูดนั้นจะลงท้ายด้วยบทเสียดสีบุคคลที่สาม แต่เขายังคงรู้สึกดีในสิ่งที่ซิลเวอร์คิดกับตนอย่างที่สุด
ตัดผ่านเส้นทางสายแล้วสายเล่า ในที่สุดรถม้าติดธงตราราชวงศ์ก็สามารถขับเคลื่อนเข้ามาในปราสาทได้ ไม่ทราบว่าเพราะอาชานัยสีเงินอ่อนตัวนั้นมีฝีเท้าว่องไว หรือกาลเวลามักล่วงเลยรวดเร็วเมื่อได้อยู่ข้างกายคนรัก การมาที่นี่กับเจ้าหญิงจึงช้ากว่าปกติ
ถึงจะเคยกล่าวว่าไม่ต่างกัน แต่การได้พบกับซิลเวอร์ในเวลาปกติ ก็อดสร้างความตื่นเต้นให้หนุ่มน้อยเส้นผมสีดำสนิทไม่ได้ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นมักจะสะท้อนแสงจันทร์เสมอ หากได้พบตอนนี้คงจะยิ่งหล่อเหลามากขึ้นเป็นแน่
สิ่งแรกที่ฟิลิป์เหลือบมองคือสวนของปราสาทอันคุ้นเคย มันไม่ลึกลับหรือเงียบงันเหมือนที่เคยเป็น อีกนัยหนึ่ง มันสว่างไสว เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งดอกไม้เบ่งบานและผู้คน...
“เจ้าต้องชอบปราสาทแห่งนี้แน่ หลังจากเราไปพบจิตรกรหลวงประจำปราสาทเรียบร้อยแล้ว ข้าจะพาเดินชมรอบๆเอง” นางกล่าวอย่างมีน้ำใจ หากแต่ยังไม่เอ่ยถึงซิลเวอร์เลยแม้แต่นิดเดียว
ทุกคนเหมือนรู้หน้าที่ดี แม้แต่คนที่มีศักดิ์เป็นอาจารย์ยังต้องยืนขึ้นเพื่อต้อนรับ ร่วมทั้งนั่งลงหลังว่าที่ลูกศิษย์ เขาต้องเข้ามาทำการสอนวาดภาพในเวลาต่างๆตามที่ถูกเรียก ซึ่งอาจจะเป็นเวลาที่ห่างกันในแต่ละครั้ง เขาย่อมรู้ดีว่าสิ่งนี้กระทำเพียงแค่ในนามเพื่อไม่ให้ชัดเจนมากเกินไป แต่สาเหตุของหลักของการกระทำนั้น ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าตนไม่จำเป็นต้องเข้าใจ
การเที่ยวชมบริเวณโดยรอบนับว่าเยี่ยมยอด เจ้าหญิงอาจไม่ได้กล่าวถึงตำนานของสิ่งของในห้องเก็บวัตถุล้ำค่า แต่นางอธิบายอย่างละเอียดถึงเขตหวงห้ามและสถานที่น่าสนใจสำหรับคนนอก รวมทั้งทางไปห้องพักของเขาด้วย
นางเหลือบมองดูพระอาทิตย์ เลยเวลาอาหารกลางวันมาพอสมควร มันคงไม่ได้ถ้าปล่อยให้แขกต้องหิว
ระหว่างมื้ออาหาร ไดอาน่าพูดคุยถึงภาพวาดสวยๆในปราสาท โดยหมายมาดให้เขานำหนึ่งในผลงานมาประดับด้วย สาวน้อยกำลังคาดหวังถึงภาพของสวนในปราสาทแห่งนี้นั่นเอง
ทุกครั้งที่เขาตอบนางอย่างสุภาพ เจ้าหญิงพบว่ามักปรากฏความไม่มั่นใจหรือลังเลในบางสิ่งบางอย่าง จนกระทั่งรวบช้อน นางคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป ทั้งที่เป็นสิ่งแปลกมากสำหรับอัศวินสีเงินคนนั้นก็ตาม
“เขาจะมาพบเจ้าแน่ๆ” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสับสน “แต่จนถึงป่านนี้ ข้ายังเดาไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร!?”
ฟิลลิปป์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ พลางนึกถึงการสวมหน้ากากเหลือบเงินของบรรดานางกำนัลในปราสาท เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น หรือว่าไม่ใช่เรื่องนี้กันงั้นหรือ...
“หนึ่งในนี้มีเขาอยู่ ข้าคิดว่าอย่างนั้นนะ” นางกุมศีรษะอย่างท้อแท้ ก่อนจะเริ่มเล่าบางสิ่งบางอย่างให้ฟัง
เรื่องข้อตกลงบางอย่างน่าจะเกิดขึ้นตอนเช้าตรู่เมื่อสองวันที่แล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นเวลานั้น เนื่องจากความงดงามในหอคอยแห่งราชินีดึงดูดคนทั้งสองไว้จนถึงรุ่งอรุณ เสมือนมนตราแห่งรักถูกส่งผ่านมาอวยพรจากสิ่งที่ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นของกำนัลแด่หญิงผู้เป็นที่รักแห่งองค์ราชา
เมื่อนางเอ่ยปากไม่เท่าไหร่ ซิลเวอร์ตอบตกลงในการให้ฟิลิปป์มาอยู่กับนางอย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกัน เขาจะแฝงตัวอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ เฝ้ามองเขาจากมุมต่างๆ ซึ่งสาเหตุนั้นทำให้ทุกคนในปราสาทต้องสวมหน้ากาก
สิ่งเหล่านี้คือการเดิมพันระหว่างอัศวินสีเงินกับองค์ราชา หากฟิลลิปป์ไม่ถอดหน้ากากของคนรักออกก่อนเวลาสามเดือน จิตรกรไร้ชื่อก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาพบกับอัศวินสีเงินอีก หนักกว่านั้นคือคนรักของเขาอาจจะต้องเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงแปลกหน้าจากอาณาจักรอื่น
สีหน้าของเจ้าหญิงเปลี่ยนไปเมื่อถูกหาสาเหตุ นางตอบเสียงเบา “ข้าบอกไม่ได้ เรื่องนี้เขาจะต้องบอกด้วยตนเอง รวมทั้ง เรื่องการพนันนี้จะต้องปิดเป็นความลับ ห้ามบอกใคร...”
ฟิลลิปป์ไม่เข้าใจในความคิดของบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งนัก เขากระทำผิดใดในหอคอยแห่งนั้นหรือ รึว่าการลอบเข้าไปที่นั่นจะทำให้องค์ราชาพิโรธ ไม่จำเป็นต้องพบพานกันใต้แสงแดดอันแผดเผาสร้างความวุ่นวายจนรุ่มร้อยนี่ก็ได้ การนัดเจอใต้แสงจันทร์และสายลมหนาวเย็นอาจเจ็บเป็นสำหรับพวกเขาแล้ว
หากแต่ไดอาน่าปฏิเสธเกี่ยวกับข้อสงสัยนั้น ถึงจะเป็นหอคอยที่สร้างขึ้นเพื่อช่วงเวลาอันแสนสุขกับคนรักโดยเฉพาะ แต่พระราชินีเอ็นดูซิลเวอร์มาก นางได้อนุญาตให้พวกเขาทั้งสองสร้างความทรงจำอันแสนสุขระหว่างกันได้ อีกทั้ง ผู้ที่เข้าขอพบองค์ราชาตั้งแต่ตะวันเริ่มทอแสง ก็คือฝ่ายนี้เองด้วย
เจ้าหญิงทรงรู้ดีเกี่ยวกับผู้ถูกพูดถึง แม้จะเป็นเกี่ยวข้องกับอนาคตระหว่างตนและคนรัก เขาก็คงไม่ใช้วิธีโกงแอบส่งสัญญาณให้ฟิลิปป์ง่ายๆ อีกนัย มันคือการไว้ใจว่าคนรักของเขาจะต้องรู้อย่างแน่นอน ทั้งที่มันเสี่ยงอย่างมหันต์แท้ๆ เหตุไฉนเขาจึงเชื่อใจในตัวคู่สนทนาของนางนัก ไม่สิ...นางรู้ดีอย่างยิ่งว่านั่นคือหนึ่งในความหมายของคำว่า ‘รัก’
ความไว้ใจ...
อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงกล่าวถึงกฎเกณฑ์พิเศษบางอย่างในช่วงกลางคืน เขายังสามารถมาพบกันได้หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและก่อนแสงจะปรากฏ
“เดิมทีข้าเคยคิดว่าหน้ากากนี้เพียงเส้นกั้นกลางเรียบบางระหว่างเราสอง แต่มันอย่างไรกันแน่ ซิลเวอร์ ท่านต้องการให้ข้ามาที่นี่เพื่ออยู่ด้วยกัน มิใช่หรือ...?”
น้ำเสียงแว่วหวานนั้นตัดพ้อระหว่างซบกับร่างของคนรัก จังหวะเต้นรำในคืนนี้ช่างเชื่องช้าเศร้าสร้อย เนื่องจากผู้ที่ไม่รู้ว่าตนมาในฐานะอะไร อยู่อย่างไรและต้องออกไปเมื่อไร
ชุดเสื้อผ้าสวยงามถูกจัดเตรียมไว้ หากแต่ผู้ใส่กลับรู้สึกไม่ยินดี ท่ามกลางเหล่าคนรับใช้มากมายใต้หน้ากากเต็มใบสีขาวเหลือบเงิน ส่วนที่ปรากฏจะมีก็แต่ช่องหายใจกับดวงตาหลากสีสัน แต่ไร้สีหน้าประหนึ่งเยือกเย็นดุจอารมณ์นั้นถูกขจัดออกไป สร้างความเหน็บหนาวว้าเหว่เหลือเกิน
ฟิลลิปป์สัมผัสได้ว่าอ้อมแขนที่โอบกอดตนอยู่ได้แนบแน่นขึ้น “ข้าอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ ได้โปรดเชื่อเถิด สิ่งเหล่านี้ก็เพื่อความสุขของเราสองคน ไม่ว่าเมื่อไหร่ ข้าจะสรรค์สร้างทุกสิ่งตามความปรารถนาของเจ้าเสมอ แค่เพียงรอ...รอเท่านั้น”
แววตาจริงจังนั่นทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก แม้จะหวาดหวั่นว่ายในสามเดือนนี้จะเป็นสามเดือนสุดท้ายสำหรับความรักครั้งนี้ ซึ่งไม่อาจหาใครมาแทนที่ได้อีกแล้ว ในเมื่อความสุขยังคงอบอวลอยู่ในค่ำคืนนี้ ไยจึงต้องทำลายมันให้สูญสิ้นไปด้วยวาจาตัดพ้อกัน
อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งคั่งค้างอยู่ในใจของจิตรกรผู้งดงาม ด้วยคำพูดของอัศวินสีเงินเมื่อครู่ แฝงด้วยความหมายอันชวนประหลาดใจ ซิลเวอร์กำลังทำอะไรบางอย่างเพื่อเขาหรือ นั่นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับพระราชาใช่รึไม่?
ดวงจันทร์เริ่มลดเสี้ยวลงแล้ว ดุจดั่งต้องการหลบหลีกเรื่องวุ่นวายที่ได้อุบัติขึ้น หากแต่ได้โปรดรับฟังคำภาวนาจากคนที่ไม่มีแม้แต่ยศฐาเทียบเท่าใครได้เลยเถิด เขาหาได้ต้องการปราแสนสวยหรืออารณ์ชั้นเลิศ แค่เพียงได้เต้นรำกับชายสวมหน้ากาก ซึ่งไม่เคยเอ่ยชื่อหรือตัวตนจริงออกมาสักครั้ง ภายใต้แสงของเทพีอาร์เทมิส ผู้สร้างแสงสว่างท่ามกลางราตรี
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ หากไร้แสงจันทร์ก็ย่อมมีดวงดาว ในค่ำคืนที่มืดมิดที่สุด ยังมีแสงสว่างพร่างพราว” อัศวินสีเงินกล่าวกระซิบ “ยังมีเวลาอีกมากมายในการค้นหา เจ้าอย่าได้ทำหน้ากังวลเช่นนี้อีกเลย ได้โปรดเถิด ที่รักของข้า ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องวุ่นวายใจ”
ฟิลลิปป์เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังสื่ออารมณ์ออกไปเช่นไร
“ข้าต่างหากที่ควรจะกล่าวคำนั้น” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “ความปรารถนาเอาแต่ใจใดหรือ ที่ทำให้ท่านต้องวุ่นวาย ทั้งที่ข้าเป็นเพียงคนต้อยต่ำ ไร้ซึ่งวาสนาเงินทองใดเทียเทียมท่านได้เลย แต่กลับ...”
คำพูดทุกอย่างถูกหยุดลงด้วยจุมพิตอันแสนหวานระคนขมในหัวใจ โดยมีสายน้ำพิสุทธิ์จากนัยเนตรสีม่วงคู่นั้นหลั่งไหลอย่างเงียบงัน
ในช่วงบ่ายวันนต่อมา ไดอาน่ายังคงสวมชุดสีหวานสวยเหมือนเช่นทุกครั้ง เพียงแต่วันนี้เหมือนสิ่งประดับกายดูจะแต่งองค์ทรงเครื่องมากกว่าปกติ ราวกับว่าเตรียมตัวจะไปร่วมงานเลี้ยงใดสักแห่ง เส้นผมสลวยสีชาดถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อย โดยมีเหล่านางกำนัลหน้ากากขาวช่วยจัดการเสริมสิ่งที่ขาดหาย
ฟิลลิปป์เองก็เช่นกัน เขาอยู่ในชุดสีขาวขลิบทองดูดี เส้นผมสีดำสนิทถูกจัดการให้เหมาะสม โดยมีนางกำนัลบางส่วนมาช่วยสอนเรื่องมารยาทในการเข้าสังคมชั้นสูงให้ตั้งแต่ช่วงสายๆ
สิ่งที่เจ้าหญิงกังวลอย่างสุดซึ้งไม่ใช่เรื่องเหล่านั้นเลย นางได้รับคำบอกเล่าจากทหารยามว่าเป็นเวลาเลยกลางค่ำคืนพอสมควร กว่าอาคันตุกะคนสำคัญจะกลับไปยังห้องของตน นางกลัวว่าเขาจะอ่อนเพลียมากเกินไป ถึงเขาจะมาในฐานะคู่ควงและยังเป็นตัวแทนในนามของซิลเวอร์...
เมื่อขึ้นรถม้าเดินทางสู่ปราสาทของแห่งองค์ราชา อันเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสำคัญต่างจากที่พำนักของนาง ที่นั่นครื้นเครงและรับรองแขกต่างเมืองคนสำคัญบ่อยครั้ง จึงมีความหรูหราและใหญ่โตกว่ามาก รวมทั้งเป็นปราสาทที่ไม่เรียบง่ายและสงบเงียบเทียบเท่าด้วย
งานเลี้ยงที่จะไปนี้เป็นงานเลี้ยงสวมหน้ากาก อาจอ้างอิงการเฉลิมฉลองบางอย่างแต่ในนามเพื่อ แต่ทุกคนรู้ว่ามันจัดขึ้นเพื่อสังสรรค์โดยเฉพาะ เมื่อองค์ราชาอุตส่าห์กล่าวเลียบเคียงเชิงนัยถึงฟิลลิปป์ นางจะไม่ตอบรับคำเชิญกึ่งคำสั่งนั่นได้อย่างไร ในเมื่ออยากพบหน้าคนรักของอัศวินสีเงิน นางก็จะจัดให้พบตามที่ต้องการ
นางกระซิบบอกฟิลลิปป์ว่าในงานอาจต้องพบกับองค์ราชา แต่ไม่พูดถึงเรื่องคำสั่งเชิงบังคับในการนำมาพบ แค่ต้องมาพบผู้เดิมพันขั้วตรงข้าม เขาก็คงอึดอัดมากพอแล้ว ส่วนเรื่องการพบปะพูดคุย นั่นจะเป็นหน้าที่ของนางเอง
ฟิลลิปป์คล้องแขนกับเจ้าหญิงตามเสียงกล่าวเบาๆก่อนเข้างาน
ในชีวิตของเด็กหนุ่ม นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในงานเลี้ยงที่อลังการขนาดนี้ ผู้คนทั้งหลายสวมเสื้อผ้าหลากสีสันและฉูดฉาด บนใบหน้ามีหน้ากากสวมเข้าชุดดูสวยงามและสง่าดุจนางพญา หรือจะเดินพร้อมหน้ากากแบบถือไปมาก็ไม่น้อย ส่วนคนที่แต่งกายหวานสวยแบบเจ้าหญิงนั้นไม่ค่อยมากนัก อาจเพราะความรู้สึกถึงบรรยากาศประชันแข่งขันอย่างบอกไม่ถูก เขาถึงคิดว่าทุกคนพร้อมใจกันสวมใส่ชุดให้โดดเด่นที่สุด
หนึ่งในผู้ที่สวมชุดหรูหราโดดเด่นแต่แฝงด้วยสีหวานสวยคือองค์ราชินี เส้นผมและนัยเนตรของนางเป็นสีชาด ความอ่อนหวานคล้ายคลึงกันนี้เหมือนส่งผ่านมายังไดอาน่าด้วยเช่นกัน ทว่า สิ่งที่แตกต่างคือความงามสง่าสมกับฐานะสูงสุดแห่งหญิงสาว
เจ้าหญิงเข้าสวมกอดพระนางด้วยความดีใจ พลางแนะนำคนข้างกายให้รู้จัก ซึ่งองค์ราชินีเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่รู้เรื่องฐานะพิเศษของฟิลลิปป์ ผ่านทางการสนทนาพบปะกับบุตรสาวบ้างหรือตัวซิลเวอร์เอง
ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นจะน่าเอ็นดูเพียงใดนะ? เมื่อสวมใส่หน้ากากสีทองดูเคร่งขรึม แต่ความเยาว์วัยแฝงไว้ในแววตาอย่างเต็มเปี่ยม รวมทั้งความโอนอ่อนผ่อนปรนง่าย สมกับที่ซิลเวอร์เลือกสรรขึ้นมาเป็นคนรัก เขาต้องมิตรที่ดีต่อบุตรสาวของนางแน่ มิฉะนั้น สาวน้อยคงไม่ชักชวนให้อยู่เป็นเพื่อนคุยในปราสาทหลังนั้น
นางกำนัลถือเครื่องดื่มเดินบริการทั่วทั้งงาน โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นแอลกอฮอลล์เบาๆ แม้ดีกรีจะไม่มากนัก ฟิลลิปป์ก็ไม่ค่อยนิยมดื่มของมึนเมา ประจวบเหมาะกับคำสั่งไม่รับเครื่องดื่มประเภทนั้นขององค์ราชินี
ทว่า...ข้างแก้วคริสตัลใสสำหรับฟิลลิปป์ มีม้วนกระดาษเล็กๆผูกติดไว้ ‘ข้ายังคงเฝ้ามองเจ้า’
“เขามาที่นี่ด้วยงั้นหรือ” ไดอาน่าอุทาน “ข้านึกแล้วเชียว ซิลเวอร์จะไม่ห่วงเจ้าได้อย่างไร”
องค์ราชินีรวบมือเข้าหากันอย่างเป็นกังวล จากเรื่องเล่าของบุตรสาว การค้นหาอัศวินสีเงินก่อนสิ้นสุดกำหนดเป็นเรื่องสำคัญมาก ในงานที่คนส่วนใหญ่ร่วมใจกันสวมหน้ากากยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งแขกผู้มีเกียรติและนางกำนัลข้ารับใช้ทั่วไปย่อมต้องสวมหน้ากากกันคนละอันทั้งนั้น
แต่ยังไม่ทันจะได้มองหา ชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยมาดแห่งความน่าเกรงขามดุจราชสีห์ หรืออีกนัย ‘องค์ราชา’
เจ้าหญิงทำความเคารพอย่างเหมาะสม โดยเหลือบมองไปข้างกายตน ฟิลลิปป์อาจจะถวายความเคารพอย่างเทิดทูน แต่ในใจเขาคิดอะไรกันอยู่หนอ กำลังมีความอคติให้กับชายตรงหน้าหรือไม่ จากความรู้สึกที่นางอ่านได้ มีแต่ความกังวลปนหวั่นเกรงเท่านั้น หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“วันนี้ดูเหมือนจะพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วสินะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา พลางมองไปทางโต๊ะยาวที่จัดเตรียมไว้ “เราจะปฏิเสธอาหารค่ำได้อย่างไร จริงไหม?”
เมื่อเจ้าของงานเริ่มนั่งลง เป็นสัญญาณว่าได้เวลารับประทานอาหารค่ำแล้ว ไดอาน่าเหลือบมองปฏิกิริยาของผู้ที่นั่งข้างต้นอีกครั้ง ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ฝ่ายองค์ราชาเองก็เช่นกัน อาจพูดคุยกับพระนางหรือเจ้าหญิงบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในสิบห้านาทีแรกเริ่ม ไม่มีแม้แต่การเหลือบมองไปทางเด็กหนุ่มไร้ฐานะเพียงคนเดียวในโต๊ะ
การใช้ช้อนต่างๆไม่มีปัญหา เนื่องจากเจ้าหญิงจะคอยแนะนำด้วยคำพูดเบาๆหรือกริยา รวมทั้งมารยาทเบื้องต้นได้ถูกอบรมก่อนมาที่นี่ได้สักพัก แม้จะเร็วสำหรับการปฏิบัติจริง เขาก็ทำได้ไม่เลวนัก
จนกระทั่งถึงจานของหวาน ชายผู้กุมอำนาจสูงสุดสังเกตเกี่ยวกับการแตะเพียงน้อยนิดพอเป็นมารยาท พระองค์กล่าวขึ้น “เค้กโรลของที่นี่ขึ้นชื่อไม่น้อย เจ้าว่าอย่างไร?” เสียงของเขาหยั่งเชิงบางอย่างอยู่ ซึ่งผู้ถูกถามไม่เข้าใจถึงคำตอบที่คู่สนทนาต้องการ
เด็กหนุ่มกล่าวจากใจ “เป็นของหวานที่เยี่ยมยอดมากขอรับ”
“ในเมื่อมันยอดเยี่ยม ไม่มีเหตุผลจะเหลือ...จริงไหม?” องค์ราชามีสีหน้าครื้นเครงคล้ายหยอกเย้า แล้วยังคงแสดงสีหน้านั้นต่อไปในประโยคถัดมา “ของหวานก็เหมือนความรัก เมื่อทานบ่อยครั้งก็ต้องมีวันเบื่อ แม้สิ่งนั้นจนนุ่มหวานลิ้นเพียงใด สุดท้ายอาหารจานหลักก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้ารู้ความรักนั้นเป็นเพียงแค่ของหวาน ก็ไร้ประโยชน์ในการจะฉุดดึงคนที่รักไปสู่ความน่าเบื่อหน่าย...”
ตอนนี้เหลือเพียงเสียงเพลงจากฟลอร์เต้นรำผสานเข้ากับเสียงฝีเท้าของคนน้อยใหญ่ที่พากันไปครึกครื้น ไม่มีผู้ใดกล่าวอะไรออกมาอีก และฟิลลิปป์ยังคงไม่แตะเค้กโรลชิ้นนั้น ซึ่งสุภาพสตรีลำดับสามถัดจากเขาได้กล่าวขึ้น เสมือนนางเข้าใจว่าเจ้าหญิงคือคนรักของเขา
“เจ้าก็ละเลียตของหวานต่ออีกหน่อยสิ แสดงให้ฝ่าบาทเห็นว่าเจ้าทานของหวานได้หมดชิ้น ไม่ต่างจากอาหารจานหลักหรอก หรือเจ้าหญิงจะทรงช่วยทานด้วยเล่าเพคะ?” สุภาพสตรีร่างท้วมในชุดสีบานเย็นใช้พัดปิดปากหัวเราะคิกคัก
ไดอาน่าเหลือบมองความอึดอัดของฟิลลิปป์ ก่อนจะกล่าวแก้ว่าเขาอาจมาพร้อมกันกับนาง แต่เป็นเพียงฐานะสหายคนใหม่เท่านั้น นั่นทำให้หญิงร่างท้วมยิ่งซักไซ้หนักขึ้นไปอีก ตามวิสัยชนชั้นสูงที่อยากรู้อยากเห็นกึ่งใช้วาจาทิ่มแทง เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวของเจ้าหญิงไม่ต่างอะไรจากคำแก้ตัว
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของบุตรสาว นั่นทำให้องค์ราชาไม่ค่อยพอพระทัยนัก พระองค์กล่าวเน้นหนักว่าเจ้าหญิงไม่ใช่คนรักของเขาเป็นแน่ ก่อนจะทุ่มหินที่ทั้งหนักและแหลมคมใส่ฟิลลิปป์ ด้วยคำถามถึงนามของคนรักที่แท้จริง พระองค์รู้ดีว่าเขายังไม่ทราบนามแท้จริงของอัศวินสีเงิน ถึงจะตอบชื่อระหว่างกันออกมา สุภาพสตรีร่างท้วมก็ไม่มีวันรู้ว่าใคร
แววตาของหญิงผู้นั้นเปล่งประกายระยิบระยับ เมื่อพบว่าความเงียบเป็นคำตอบสำคัญ แค่เพียงคนแปลกหน้าปรากฏตัวพร้อมกับเจ้าหญิงก็เป็นเรื่องน่าใคร่รู้มากพออยู่แล้ว แต่เบื้องหลังเบื้องลกยังมีอะไรมากกว่านั้นอีกหรือนี่
เสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยผสานกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของใครบางคนเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มผู้นั้นสวมหน้ากากสีเงินดูหล่อเหลา เขาโค้งให้กับคนรักอย่างสง่างาม โดยมือเรียวสีขาวดุจปุยหิมะนั้นตอบรับ หลังจากที่เจ้าหญิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ เป็นการดีที่สุดหากเขาจะหลบหน้าจากท่านพ่อของนาง
“ต้องขออภัยทุกท่าน ณ ที่นี้ด้วย ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องเชิญเขาออกจากที่นี่ ไม่ทราบว่าจะเป็นการท้าทายต่อ...” ซิลเวอร์เว้นจังหวะสักครู่ ก่อนเติมประโยคจนเต็ม “...ความสนุกสนานในการพูดคุยครั้งนี้หรือไม่?”
“โอ้ เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับเจตนา แน่นอนว่าการเต้นรำอย่างรื่นเริงสักเพลงในที่นี้ ก็นับว่าเป็นเจตนาที่ดีในการเชิญคู่สนทนาของสุภาพสตรีแห่งโลนอนซ์ไป” พระราชากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สะท้กสะท้าน “แต่ในขณะเดียว ท่านผู้หญิงยังคงอยากจะสนทนาใดกับเด็กหนุ่มคนนี้อีกหรือไม่?”
แม้ปากเตรียมจะบอกว่าไม่ตามที่คนถามกำลังจะสื่อ องค์ราชินียิ้มแย้มพร้อมกล่าวถึง ‘เรื่องเล่ากล่าวขาน’ ของชนชั้นสูง เรื่องที่ไม่ว่าใครก็ต้องอยากรู้ เท่ากับว่านางเสนอตัวเป็นคู่สนทนาคนใหม่แก่สุภาพสตรีแห่งโลนอนซ์เอง ซึ่งฝ่ายหลังรับรู้ดีว่าพระนางไม่ค่อยพูดเกี่ยวกับเรื่องเสียหายของคนอื่นนัก ความลับของเด็กหนุ่มนิรนามกับคำบอกเล่าครั้งสำคัญ สตรีร่างท้วมย่อมตัดอย่างแรกทิ้งโดยทันที
นางมองตามซิลเวอร์ที่เดินออกไปพร้อมกับคนรัก ฝ่ายนั้นเป็นใครกันหนอ เหตุไฉนจึงรู้สึกคุ้นเคยราวกับเจอกันบ่อยครั้ง ช่างเถิด เตรียมฟังข่าวลือของบุคคลที่สามดีกว่า คนในเรื่องจะเป็นใครกันนะ ดยุค? สุภาพสตรี? หรือท่านเคานท์คนใด? เจ้าตัวอาจจะเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ก็ได้
“จะบอกว่าอยู่ก็ได้นะ” พระนางแย้มยิ้ม “ท่านต้องชอบใจประวัติของหนึ่งในรูปภาพประดับของที่นี่แน่ อายุของมันประมาณ...”
สุภาพสตรีชุดบานเย็นหน้าเปลี่ยนสี นางกระแอมเบาๆ “ขออภัย บางทีเรื่องเล่านี้น่าจะมีคนรู้จักของข้ามาช่วยนั่งฟังอีกสักคน ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะขัดข้องไหม หากข้าจะไป...ไปตามหาผู้สนใจฟังเรื่องเล่านี้?”
องค์ราชามองหญิงอันเป็นที่รักผายมือให้นาง ซึ่งอาจจะใช้เวลานานในการกลับมาอีกครั้ง อย่างเช่น จนกว่าจะแน่ใจว่าองค์ราชินีจะลืมถึงการสนทนาคราวนี้ไปแล้ว
สีหน้าไม่พอพระทัยปรากฏออกมาเจือจาง หากแต่รังสีกดดันกลับครอบคลุมไปทั่วบริเวณเล็กๆนั่น พระองค์มองไปยังแขกเหรื่อที่รับประทานอาหารอยู่ในลำดับไกลๆ ก่อนจะถามถึงเหตุผลเกี่ยวกับการช่วยเหลือจิตรกรไร้ชื่อคนหนึ่ง ซึ่งหลงรักคนเพศเดียวกันเอง!
ไดอาน่าลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนเดินจากไป นางได้กล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ข้าไม่อาจทราบว่าท่านใส่ใจเกี่ยวกับตัวตนของฟิลลิปป์มากน้อยเพียงใด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสูงสุดที่ท่านอคติ จริงไหมเพคะ?”
“รั้นเหมือนท่าน แต่ชื่นชอบความรักไม่ว่ารูปแบบใดเหมือนข้า” พระราชินีหัวเราะเบาๆ พลางกอบกุมมือของชายผู้เป็นที่รักขึ้นมาพร้อมกับสบตาหวานซึ้ง “ความรักเสมือนมนตรา แม้นว่าจะถูกมองว่าเป็นเพียงของหวานคั่นเวลา พวกเขาทั้งสองก็พร้อมรับคำนั้นแล้วก้าวไปด้วยกัน เสมือนกับท่านและข้าในเวลานั้นอย่างไรเล่า”
สีหน้าขององค์ราชาอ่อนลง แต่ยังคงน้ำเสียงแข็งขืน “ไม่เหมือน ข้ามอบสิ่งดีที่สุดให้เจ้า ไม่ว่าความรัก ตำแหน่ง หรือเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง เด็กหนุ่มคนนั้นกลับกันไม่ใช่หรือ”
“เขาไม่ได้มอบอำนาจใดให้คนรักก็จริง แต่อย่างหนึ่งที่ข้ามั่นใจว่าต้องเป็นเฉกเช่นเดียวกัน นั่นคือกล่าวถึงความรักก่อนสิ่งใด” พระนางคลี่ยิ้มแผ่วบางพร้อมวาจาอันอ่อนหวาน
ความรักไม่ใช่สิ่งเจือจุนทุกอย่าง พระราชาอยากจะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่า สิ่งในกายของสตรีที่เขารู้จักและหลงรักมาตลอด นั่นคือความรู้สึกอันอ่อนโยนนี้มิใช่หรือไร?
ในคืนนี้อาจพ่ายแพ้ต่อซิลเวอร์ รวมทั้งยังรู้สึกเสมือนถูกท้าทายอยู่บ้าง แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาตั้งแต่เด็กหนุ่มคนนั้นเติบโตขึ้น เติบโตด้วยความเป็นตัวของตนจนแย้งเขาขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง จะเรียกชาญฉลาดหรือมีความเก่งกล้าเกินตัวตั้งแต่เยาว์วัยดีนะ?
“สหายของไดอาน่าควรจะมีคนเรียบร้อยสักคน เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครปกติสักนิด” พระองค์ส่ายหน้าเบาๆ พลางยื่นรอยยิ้มและพระหัตถ์ไปทางราชินี “ว่าอย่างไรเล่า หญิงสาวแสนสวยผู้ชื่นชมในรัก จะให้เกียรติข้าผู้แข็งกระด้างเกินกว่าจะมีหัวใจได้เต้นรำกับท่านหรือไม่?”
“แน่นอน” พระนางตอบรับอย่างรู้สึกสนุก “และข้าทราบดีว่าท่านยังคงมีหัวใจไม่ต่างจากในวันวาน”
“เจ้าไม่โกรธที่องค์ราชากล่าวเช่นนั้นหรือ” อัศวินสีเงินพินิจใบหน้าของคนรัก อันเปี่ยมด้วยรอยยิ้มระหว่างซบตนอยู่อย่างสบายใจ “ถ้าเป็นข้าคงจะต้องแย้งย้อนกลับไปสักประโยค”
“ข้าไม่อยู่ในฐานะที่สามารถกระทำเช่นนั้นหรอก ท่านเองก็ไม่ควรนะ” ฟิลลิปป์กล่าวติงด้วยความเป็นห่วง ไม่ว่าฐานะสูงส่งเพียงไร ก็ไม่อาจเทียบกับองค์ราชาได้หรอก อีกทั้งการกระทำไม่ให้เกียรติผู้มาอายุมากกว่าต่อหน้าธารกำนัล คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ซิลเวอร์ไม่ตอบรับอย่างทุกที เพียงแต่ยิ้มมุมปากสื่อความนัยเชิงหลีกเลี่ยง นั่นสร้างค้อนเล็กๆจากคนในอ้อมกอดได้ โดยมีสายลมพัดผ่านระหว่างบังคับม้าให้วิ่งตรงไปข้างหน้า
ตั้งแต่จำความได้ เขาก็เป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าหญิงมาตั้งแต่ยังเล็ก ได้รับการเอ็นดูจากองค์สูงสุดทั้งสองอย่างมีเมตตา ประหนึ่งบุตรในอุทรไม่ต่างจากไดอาน่า อาจเพราะเหตุนั้นจึงกระทำการบางอย่างโดยไม่เกรงกลัวไปได้ อีกเหตุผลหนึ่ง...นั่นคือคนรัก จะปล่อยให้โดนไล่จนมุมอย่างนั้นมิน่าสงสารแย่หรือ ทั้งนี้ ต้องขอบพระทัยองค์ราชินี พระนางทรงแก้ปัญหาได้ดีทีเดียว แต่จะแก้ได้อีกครั้งและอีกครั้งไหม...?
ในตอนนี้เอง เขาได้พูดขึ้น “เดินทางไปด้วยกันไหม มีเพียงแค่เรากับโลกกว้างใบใหญ่”
ฟิลลิปป์เบิกตากว้าง เขาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างรวดเร็ว หากแต่สิ่งที่ปรากฏก็มีเพียงรอยยิ้มอันมั่นใจเท่านั้น ช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหล ไร้ซึ่งการปฏิเสธเสียเหลือเกิน แต่ไม่ได้หรอก ถึงจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่องค์ราชาร่วมลงสนามในครั้งนี้มาแล้ว มันไม่ทันการตั้งแต่วินาทีนั้น!
ซิลเวอร์ยังคงไม่คลายรอยยิ้มนั้น เขาถามบางสิ่งบางอย่างที่รู้อยู่แก่ใจว่าย่อมสร้างความโกรธเคืองแก่อีกฝ่ายได้ไม่ยาก แต่หากเขาไม่หลงเหลือสิ่งปกปิดภายใต้หน้ากากนี้ หรือสิ้นสูญทุกสิ่ง ไม่ได้สวมเสื้อผ้าอารณ์ใด ฟิลลิปป์จะยังสนใจจะมาพบเขาอีกหรือไม่
แวบแรกคือความโกรธเคือง ทว่า ผู้ถูกถามสัมผัสได้ว่านั่นไม่ใช่การดูถูก เหยียบย่ำความรู้สึกของเขาว่าวาดหวังในเงินตราหรือลาภยศสรรเสริญ มันคือความหวั่นเกรงจากใจ และหวาดกลัวว่าเมื่อตนถอดหน้ากากสีเงินนี้ทิ้ง นั่นอาจจะหมายถึงการเลิกราในรักครั้งนี้ไปด้วย
“ข้าเคยบอกความใฝ่ฝันแก่ท่าน” ฟิลลิปป์ซบลงกับร่างคนรักอีกครั้ง สายลมยังคงพัดผ่านเกิดเป็นเสียงคลอแห่งท่วงทำนองของสิ่งรอบกาย “ข้าผู้มีความต้องการเช่นนั้น ย่อมปราถนาเพียงคนรักที่อยู่เคียงข้างข้า หาใช่ความชืดชาของเหรียญเงินตราเหล่านั้นไม่”
อัศวินสีเงินรู้สึกอบอุ่น ในขณะเดียวกันก็ผสมผสานความโล่งใจไว้ในขณะเดียวกัน หากว่าฟิลลิปป์เลือกที่จะหลบหนีไปพร้อมกับเขา องค์ราชาอาจไม่ยอมอยู่เฉย และครั้งนี้ องค์ราชินีหรือเจ้าหญิงก็คงจะยอมไม่ได้ ปัญหาวุ่นวายตามมามากเกินกว่าจะปล่อยทิ้งไว้ง่ายดาย
เหตุที่เขาถาม นั่นเพราะอยากทราบความในใจของคนรัก หากวันหนึ่งที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน เดินทางไปเรื่อยๆอย่างไร้ฐานันดรใด ไร้เส้นแบ่งไหนมากีดขวาง ตัวตนผู้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษไปกว่าชายที่มอบความรักให้แก่บุคคลอันเป็นที่รักอย่างลึกซึ้ง ยังคงถูกต้องการต่อไปอีกหรือไม่
หน้ากากสีเงินเอ๋ย เจ้าสร้างภาพลวงแวววาว ประดุจล่อหลอกผู้เป็นรักแท้
แม้ว่าคนผู้นั้น จะมองลึกเข้าไปในแววตา ประดุจล่วงรู้หัวใจอันจริงจังแห่งเสน่หานี้
“ท่านรู้เสมอ ข้าใช้เวลาที่ผ่านมาทุกวินาทีในการรู้สึกและโลดแล่นไปพร้อมกับตัวตน หาใช่สิ่งที่ครอบคลุมกายท่านไม่...!” ฟิลลิปป์ยืนยันหนักแน่น “ในทุกวัน ข้าเฝ้ามองสีสันและบรรจงสร้างขึ้นเป็นภาพต่างๆ แม้ข้าจะไม่อาจรู้ว่าท่านเป็นใครหรือมาจากไหน แต่ข้ารับรู้ว่าสิ่งใดที่เป็นเพียงอาภรณ์หรือหัวใจอย่างแน่นอน”TBC.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ