The Silver Mask

9.8

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 04.04 น.

  10 บท
  0 วิจารณ์
  15.96K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ลำดับที่ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
สองวันผ่านไป เจ้าหญิงไดอาน่าเดินทางมารับด้วยตนเอง  แม้ว่าจะไม่ได้ลงจากรถม้าก็ตาม  ถึงกระนั้น ธงตราราชวงศ์ปักให้เห็นเด่นชัด  ข่าวลือเรื่องการซื้อขายยังไม่จางหายไปเท่าไหร่  กลุ่มคนทั้งหลายจึงมายืนมุงดูด้วยความสนอกสนใจ  แต่ไม่ได้เฉลียวใจสักนิด  เกี่ยวกับฐานะของบุคคลภายในรถม้าอันมืดทึบ
วันนี้นางยังคงสวมอาภรณ์สีชมพูหวานเฉกเช่นเคย  พร้อมด้วยหมวกปีกกว้างเข้าชุดอีกหนึ่งใบ
แม้จะเคยพบปะสนทนากันช่วงสั้นๆ  การนั่งข้างกายเชื้อพระวงศ์ยังคงสร้างเกร็งเกรงแก่ฟิลลิปป์อยู่ดี  หากแต่เจ้าหญิงได้มอบความเป็นกันเองให้อย่างจริงใจ  นางไม่คิดว่าการแบ่งชนชั้นกับคนรักของอัศวินสีเงินจะมีประโยชน์ตรงไหน  หรือจะเป็นอคติเรื่องเพศหรือฐานันดร  ทุกอย่างใช้หัวใจนำทางทั้งนั้น
“เขาไม่รู้เรื่องการมาของข้าหรอก”  ไดอาน่าเอ่ยถึงฟิลลิปป์  “กว่าจะตื่นขึ้นมาได้  เราคงไปทันกล่าวทิวาสวัสดิ์พอดีนั่นแหละ  เจ้าคนสันหลังยาว...  โอ ขออภัย  ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงขนาดนั้น”
ฟิลลิปป์กล่าวปลอบไม่ให้นางคิดมาก  ใบหน้าของนางซีดลงเล็กน้อยอย่างเป็นกังวล
ตามความคิดที่นางตีความหมายของนิทานทุกวัน  คนทั้งสองรักกันมากจนไม่อาจเว้นช่องว่างให้อะไรหรือใครมากั้นกลาง  การว่าร้ายเกี่ยวกับคนรักเพียงนิดเดียวอาจสร้างความบาดหมางได้  รวมทั้ง นางไม่คิดจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกอคติต่อตนเองฐานพูดถึงบุคคลที่สามในทางไม่ดีมากเกินไป
ภายในรถม้าเงียบลงชั่วขณะ  นั่นทำให้จิตรกรหนุ่มรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก  เขาไม่อยากถูกเข้าใจว่าบาดหมางกับคู่สนทนาเท่าไหร่นัก  เนื่องจากเข้าใจดีว่าคนทั้งสองมีความสนิทสนมกันมาก  เพียงพอจะกล่าวล้อเล่นเชิงติติงได้โดยไม่คิดมาก  เขาเองก็ปรารถนาจะผูกมิตรกับนาง  ซึ่งเป็นสหายหรือมีความสัมพันธ์บางอย่างอันแน่นแฟ้นกับซิลเวอร์
เจ้าหญิงตัดสินใจหยุดความอดอัดนี่ลงก่อน  นางเอ่ยถามเชิงหยั่งท่าที  เกี่ยวกับมุมมองของฟิลลิปป์ที่มีต่ออัศวินสีเงินปริศนา  เกี่ยวกับพบกันท่ามกลางแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก
“จะอยู่ใต้แสงอาทิตย์หรือสวมหน้ากากใต้แสงจันทร์  สำหรับข้าแล้วไม่ต่างกันเลยขอรับ”  สีหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความหมายอันลึกซึ้ง  ไม่มีอาการแข็งกระด้างออกมา
เจ้าหญิงวางใจลงได้ในที่สุด  นางเลียบเคียงถามอย่างสงสัย  “อย่างนี้ ถ้าเขายืนต่อหน้าเจ้า  ไม่มีทางที่จะไม่รู้เลยหรือ  ต่อให้เขาใส่หน้ากากและอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์งั้นรึ?”
ฟิลลิปป์รับคำอย่างมั่นใจ  เขาสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย  แม้เดินผ่านเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ดวงตาของเจ้าหญิงเป็นประกายอย่างตื่นเต้น  สองมือกอบกุมกันอยู่อย่างนึกฝัน  อาจเพราะสนิทกันมากเกินไป  นางจึงไม่ค่อยเข้าใจความคิดของคู่สนทนานัก  ถึงจะเหมือนกันมากกับคู่หมั้นของนาง  แต่ไดอาน่าคิดว่าบุรุษที่หล่อเหลาเพียงหนึ่งเดียวของตนคือคนรักเท่านั้น  เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มแดงซ่านขึ้นมา  แม้จะยังไม่เข้าใจความคิดของเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีม่วงงดงามคนนี้ก็ตาม
เขาอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้  ภาพลักษณ์ของฟิลลิปป์ที่มีต่อนางเป็นยังไงกันนะ?
ไดอาน่ายิ้มจืดจางราวกับอ่อนใจ  “ความจริงก็เป็นคนมีน้ำใจและเป็นคนดีบ้างนะ  ติดตรงที่หลงตัวเองไปหน่อย  ไม่ค่อยจริงจังกับชีวิตเท่าไหร่  แต่บทจะเอาการเอางานก็ไม่เลวเลย  อืม ไม่แน่นะ  เจ้าอาจจะชอบก็เป็นได้  ถ้าใครฟังนิทานช่วงบ่ายของเขา  ทุกคนต้องคิดว่าเจ้าเป็นนางฟ้าแน่นอน  ยากจะหาข้อตำหนิได้แม้เพียงปลายนิ้ว  ข้ายังคิดเลยว่าคนอย่างเขาพูดแบบนี้เป็นด้วยงั้นหรือ!”
แม้คำพูดนั้นจะลงท้ายด้วยบทเสียดสีบุคคลที่สาม  แต่เขายังคงรู้สึกดีในสิ่งที่ซิลเวอร์คิดกับตนอย่างที่สุด
 
ตัดผ่านเส้นทางสายแล้วสายเล่า ในที่สุดรถม้าติดธงตราราชวงศ์ก็สามารถขับเคลื่อนเข้ามาในปราสาทได้  ไม่ทราบว่าเพราะอาชานัยสีเงินอ่อนตัวนั้นมีฝีเท้าว่องไว  หรือกาลเวลามักล่วงเลยรวดเร็วเมื่อได้อยู่ข้างกายคนรัก  การมาที่นี่กับเจ้าหญิงจึงช้ากว่าปกติ
ถึงจะเคยกล่าวว่าไม่ต่างกัน  แต่การได้พบกับซิลเวอร์ในเวลาปกติ  ก็อดสร้างความตื่นเต้นให้หนุ่มน้อยเส้นผมสีดำสนิทไม่ได้  เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นมักจะสะท้อนแสงจันทร์เสมอ  หากได้พบตอนนี้คงจะยิ่งหล่อเหลามากขึ้นเป็นแน่
สิ่งแรกที่ฟิลิป์เหลือบมองคือสวนของปราสาทอันคุ้นเคย  มันไม่ลึกลับหรือเงียบงันเหมือนที่เคยเป็น  อีกนัยหนึ่ง มันสว่างไสว  เต็มไปด้วยชีวิตชีวา  ทั้งดอกไม้เบ่งบานและผู้คน...
“เจ้าต้องชอบปราสาทแห่งนี้แน่  หลังจากเราไปพบจิตรกรหลวงประจำปราสาทเรียบร้อยแล้ว  ข้าจะพาเดินชมรอบๆเอง”  นางกล่าวอย่างมีน้ำใจ  หากแต่ยังไม่เอ่ยถึงซิลเวอร์เลยแม้แต่นิดเดียว
ทุกคนเหมือนรู้หน้าที่ดี  แม้แต่คนที่มีศักดิ์เป็นอาจารย์ยังต้องยืนขึ้นเพื่อต้อนรับ  ร่วมทั้งนั่งลงหลังว่าที่ลูกศิษย์  เขาต้องเข้ามาทำการสอนวาดภาพในเวลาต่างๆตามที่ถูกเรียก  ซึ่งอาจจะเป็นเวลาที่ห่างกันในแต่ละครั้ง  เขาย่อมรู้ดีว่าสิ่งนี้กระทำเพียงแค่ในนามเพื่อไม่ให้ชัดเจนมากเกินไป  แต่สาเหตุของหลักของการกระทำนั้น  ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าตนไม่จำเป็นต้องเข้าใจ
การเที่ยวชมบริเวณโดยรอบนับว่าเยี่ยมยอด  เจ้าหญิงอาจไม่ได้กล่าวถึงตำนานของสิ่งของในห้องเก็บวัตถุล้ำค่า  แต่นางอธิบายอย่างละเอียดถึงเขตหวงห้ามและสถานที่น่าสนใจสำหรับคนนอก  รวมทั้งทางไปห้องพักของเขาด้วย
นางเหลือบมองดูพระอาทิตย์  เลยเวลาอาหารกลางวันมาพอสมควร  มันคงไม่ได้ถ้าปล่อยให้แขกต้องหิว
ระหว่างมื้ออาหาร ไดอาน่าพูดคุยถึงภาพวาดสวยๆในปราสาท  โดยหมายมาดให้เขานำหนึ่งในผลงานมาประดับด้วย  สาวน้อยกำลังคาดหวังถึงภาพของสวนในปราสาทแห่งนี้นั่นเอง
ทุกครั้งที่เขาตอบนางอย่างสุภาพ  เจ้าหญิงพบว่ามักปรากฏความไม่มั่นใจหรือลังเลในบางสิ่งบางอย่าง  จนกระทั่งรวบช้อน  นางคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป  ทั้งที่เป็นสิ่งแปลกมากสำหรับอัศวินสีเงินคนนั้นก็ตาม
“เขาจะมาพบเจ้าแน่ๆ”  สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสับสน  “แต่จนถึงป่านนี้ ข้ายังเดาไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร!?”
ฟิลลิปป์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ  พลางนึกถึงการสวมหน้ากากเหลือบเงินของบรรดานางกำนัลในปราสาท  เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น  หรือว่าไม่ใช่เรื่องนี้กันงั้นหรือ...
“หนึ่งในนี้มีเขาอยู่  ข้าคิดว่าอย่างนั้นนะ”  นางกุมศีรษะอย่างท้อแท้  ก่อนจะเริ่มเล่าบางสิ่งบางอย่างให้ฟัง
เรื่องข้อตกลงบางอย่างน่าจะเกิดขึ้นตอนเช้าตรู่เมื่อสองวันที่แล้ว  แน่นอนว่าต้องเป็นเวลานั้น  เนื่องจากความงดงามในหอคอยแห่งราชินีดึงดูดคนทั้งสองไว้จนถึงรุ่งอรุณ  เสมือนมนตราแห่งรักถูกส่งผ่านมาอวยพรจากสิ่งที่ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นของกำนัลแด่หญิงผู้เป็นที่รักแห่งองค์ราชา
เมื่อนางเอ่ยปากไม่เท่าไหร่  ซิลเวอร์ตอบตกลงในการให้ฟิลิปป์มาอยู่กับนางอย่างง่ายดาย  ในขณะเดียวกัน เขาจะแฝงตัวอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ  เฝ้ามองเขาจากมุมต่างๆ  ซึ่งสาเหตุนั้นทำให้ทุกคนในปราสาทต้องสวมหน้ากาก  
สิ่งเหล่านี้คือการเดิมพันระหว่างอัศวินสีเงินกับองค์ราชา  หากฟิลลิปป์ไม่ถอดหน้ากากของคนรักออกก่อนเวลาสามเดือน  จิตรกรไร้ชื่อก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาพบกับอัศวินสีเงินอีก  หนักกว่านั้นคือคนรักของเขาอาจจะต้องเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงแปลกหน้าจากอาณาจักรอื่น
สีหน้าของเจ้าหญิงเปลี่ยนไปเมื่อถูกหาสาเหตุ  นางตอบเสียงเบา  “ข้าบอกไม่ได้  เรื่องนี้เขาจะต้องบอกด้วยตนเอง  รวมทั้ง เรื่องการพนันนี้จะต้องปิดเป็นความลับ  ห้ามบอกใคร...”
ฟิลลิปป์ไม่เข้าใจในความคิดของบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งนัก  เขากระทำผิดใดในหอคอยแห่งนั้นหรือ  รึว่าการลอบเข้าไปที่นั่นจะทำให้องค์ราชาพิโรธ  ไม่จำเป็นต้องพบพานกันใต้แสงแดดอันแผดเผาสร้างความวุ่นวายจนรุ่มร้อยนี่ก็ได้  การนัดเจอใต้แสงจันทร์และสายลมหนาวเย็นอาจเจ็บเป็นสำหรับพวกเขาแล้ว
หากแต่ไดอาน่าปฏิเสธเกี่ยวกับข้อสงสัยนั้น  ถึงจะเป็นหอคอยที่สร้างขึ้นเพื่อช่วงเวลาอันแสนสุขกับคนรักโดยเฉพาะ  แต่พระราชินีเอ็นดูซิลเวอร์มาก  นางได้อนุญาตให้พวกเขาทั้งสองสร้างความทรงจำอันแสนสุขระหว่างกันได้  อีกทั้ง ผู้ที่เข้าขอพบองค์ราชาตั้งแต่ตะวันเริ่มทอแสง  ก็คือฝ่ายนี้เองด้วย
เจ้าหญิงทรงรู้ดีเกี่ยวกับผู้ถูกพูดถึง  แม้จะเป็นเกี่ยวข้องกับอนาคตระหว่างตนและคนรัก  เขาก็คงไม่ใช้วิธีโกงแอบส่งสัญญาณให้ฟิลิปป์ง่ายๆ  อีกนัย มันคือการไว้ใจว่าคนรักของเขาจะต้องรู้อย่างแน่นอน  ทั้งที่มันเสี่ยงอย่างมหันต์แท้ๆ  เหตุไฉนเขาจึงเชื่อใจในตัวคู่สนทนาของนางนัก  ไม่สิ...นางรู้ดีอย่างยิ่งว่านั่นคือหนึ่งในความหมายของคำว่า ‘รัก’
ความไว้ใจ...
อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงกล่าวถึงกฎเกณฑ์พิเศษบางอย่างในช่วงกลางคืน  เขายังสามารถมาพบกันได้หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและก่อนแสงจะปรากฏ
 
“เดิมทีข้าเคยคิดว่าหน้ากากนี้เพียงเส้นกั้นกลางเรียบบางระหว่างเราสอง  แต่มันอย่างไรกันแน่ ซิลเวอร์  ท่านต้องการให้ข้ามาที่นี่เพื่ออยู่ด้วยกัน  มิใช่หรือ...?”
น้ำเสียงแว่วหวานนั้นตัดพ้อระหว่างซบกับร่างของคนรัก  จังหวะเต้นรำในคืนนี้ช่างเชื่องช้าเศร้าสร้อย  เนื่องจากผู้ที่ไม่รู้ว่าตนมาในฐานะอะไร  อยู่อย่างไรและต้องออกไปเมื่อไร
ชุดเสื้อผ้าสวยงามถูกจัดเตรียมไว้  หากแต่ผู้ใส่กลับรู้สึกไม่ยินดี  ท่ามกลางเหล่าคนรับใช้มากมายใต้หน้ากากเต็มใบสีขาวเหลือบเงิน  ส่วนที่ปรากฏจะมีก็แต่ช่องหายใจกับดวงตาหลากสีสัน  แต่ไร้สีหน้าประหนึ่งเยือกเย็นดุจอารมณ์นั้นถูกขจัดออกไป  สร้างความเหน็บหนาวว้าเหว่เหลือเกิน
ฟิลลิปป์สัมผัสได้ว่าอ้อมแขนที่โอบกอดตนอยู่ได้แนบแน่นขึ้น  “ข้าอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ  ได้โปรดเชื่อเถิด  สิ่งเหล่านี้ก็เพื่อความสุขของเราสองคน  ไม่ว่าเมื่อไหร่  ข้าจะสรรค์สร้างทุกสิ่งตามความปรารถนาของเจ้าเสมอ  แค่เพียงรอ...รอเท่านั้น”
แววตาจริงจังนั่นทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก  แม้จะหวาดหวั่นว่ายในสามเดือนนี้จะเป็นสามเดือนสุดท้ายสำหรับความรักครั้งนี้  ซึ่งไม่อาจหาใครมาแทนที่ได้อีกแล้ว  ในเมื่อความสุขยังคงอบอวลอยู่ในค่ำคืนนี้  ไยจึงต้องทำลายมันให้สูญสิ้นไปด้วยวาจาตัดพ้อกัน
อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งคั่งค้างอยู่ในใจของจิตรกรผู้งดงาม  ด้วยคำพูดของอัศวินสีเงินเมื่อครู่  แฝงด้วยความหมายอันชวนประหลาดใจ  ซิลเวอร์กำลังทำอะไรบางอย่างเพื่อเขาหรือ  นั่นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับพระราชาใช่รึไม่?
ดวงจันทร์เริ่มลดเสี้ยวลงแล้ว  ดุจดั่งต้องการหลบหลีกเรื่องวุ่นวายที่ได้อุบัติขึ้น  หากแต่ได้โปรดรับฟังคำภาวนาจากคนที่ไม่มีแม้แต่ยศฐาเทียบเท่าใครได้เลยเถิด  เขาหาได้ต้องการปราแสนสวยหรืออารณ์ชั้นเลิศ  แค่เพียงได้เต้นรำกับชายสวมหน้ากาก  ซึ่งไม่เคยเอ่ยชื่อหรือตัวตนจริงออกมาสักครั้ง  ภายใต้แสงของเทพีอาร์เทมิส   ผู้สร้างแสงสว่างท่ามกลางราตรี
“ไม่ว่าเมื่อไหร่  หากไร้แสงจันทร์ก็ย่อมมีดวงดาว  ในค่ำคืนที่มืดมิดที่สุด  ยังมีแสงสว่างพร่างพราว”  อัศวินสีเงินกล่าวกระซิบ  “ยังมีเวลาอีกมากมายในการค้นหา  เจ้าอย่าได้ทำหน้ากังวลเช่นนี้อีกเลย  ได้โปรดเถิด ที่รักของข้า  ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องวุ่นวายใจ”
ฟิลลิปป์เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังสื่ออารมณ์ออกไปเช่นไร
“ข้าต่างหากที่ควรจะกล่าวคำนั้น”  เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน  “ความปรารถนาเอาแต่ใจใดหรือ  ที่ทำให้ท่านต้องวุ่นวาย  ทั้งที่ข้าเป็นเพียงคนต้อยต่ำ  ไร้ซึ่งวาสนาเงินทองใดเทียเทียมท่านได้เลย  แต่กลับ...”
คำพูดทุกอย่างถูกหยุดลงด้วยจุมพิตอันแสนหวานระคนขมในหัวใจ  โดยมีสายน้ำพิสุทธิ์จากนัยเนตรสีม่วงคู่นั้นหลั่งไหลอย่างเงียบงัน
 
ในช่วงบ่ายวันนต่อมา ไดอาน่ายังคงสวมชุดสีหวานสวยเหมือนเช่นทุกครั้ง  เพียงแต่วันนี้เหมือนสิ่งประดับกายดูจะแต่งองค์ทรงเครื่องมากกว่าปกติ  ราวกับว่าเตรียมตัวจะไปร่วมงานเลี้ยงใดสักแห่ง  เส้นผมสลวยสีชาดถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อย  โดยมีเหล่านางกำนัลหน้ากากขาวช่วยจัดการเสริมสิ่งที่ขาดหาย
ฟิลลิปป์เองก็เช่นกัน  เขาอยู่ในชุดสีขาวขลิบทองดูดี  เส้นผมสีดำสนิทถูกจัดการให้เหมาะสม  โดยมีนางกำนัลบางส่วนมาช่วยสอนเรื่องมารยาทในการเข้าสังคมชั้นสูงให้ตั้งแต่ช่วงสายๆ
สิ่งที่เจ้าหญิงกังวลอย่างสุดซึ้งไม่ใช่เรื่องเหล่านั้นเลย  นางได้รับคำบอกเล่าจากทหารยามว่าเป็นเวลาเลยกลางค่ำคืนพอสมควร  กว่าอาคันตุกะคนสำคัญจะกลับไปยังห้องของตน  นางกลัวว่าเขาจะอ่อนเพลียมากเกินไป  ถึงเขาจะมาในฐานะคู่ควงและยังเป็นตัวแทนในนามของซิลเวอร์...
เมื่อขึ้นรถม้าเดินทางสู่ปราสาทของแห่งองค์ราชา  อันเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสำคัญต่างจากที่พำนักของนาง  ที่นั่นครื้นเครงและรับรองแขกต่างเมืองคนสำคัญบ่อยครั้ง  จึงมีความหรูหราและใหญ่โตกว่ามาก  รวมทั้งเป็นปราสาทที่ไม่เรียบง่ายและสงบเงียบเทียบเท่าด้วย
งานเลี้ยงที่จะไปนี้เป็นงานเลี้ยงสวมหน้ากาก  อาจอ้างอิงการเฉลิมฉลองบางอย่างแต่ในนามเพื่อ  แต่ทุกคนรู้ว่ามันจัดขึ้นเพื่อสังสรรค์โดยเฉพาะ  เมื่อองค์ราชาอุตส่าห์กล่าวเลียบเคียงเชิงนัยถึงฟิลลิปป์  นางจะไม่ตอบรับคำเชิญกึ่งคำสั่งนั่นได้อย่างไร  ในเมื่ออยากพบหน้าคนรักของอัศวินสีเงิน  นางก็จะจัดให้พบตามที่ต้องการ
นางกระซิบบอกฟิลลิปป์ว่าในงานอาจต้องพบกับองค์ราชา  แต่ไม่พูดถึงเรื่องคำสั่งเชิงบังคับในการนำมาพบ  แค่ต้องมาพบผู้เดิมพันขั้วตรงข้าม  เขาก็คงอึดอัดมากพอแล้ว  ส่วนเรื่องการพบปะพูดคุย  นั่นจะเป็นหน้าที่ของนางเอง
ฟิลลิปป์คล้องแขนกับเจ้าหญิงตามเสียงกล่าวเบาๆก่อนเข้างาน
ในชีวิตของเด็กหนุ่ม  นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในงานเลี้ยงที่อลังการขนาดนี้  ผู้คนทั้งหลายสวมเสื้อผ้าหลากสีสันและฉูดฉาด  บนใบหน้ามีหน้ากากสวมเข้าชุดดูสวยงามและสง่าดุจนางพญา  หรือจะเดินพร้อมหน้ากากแบบถือไปมาก็ไม่น้อย  ส่วนคนที่แต่งกายหวานสวยแบบเจ้าหญิงนั้นไม่ค่อยมากนัก  อาจเพราะความรู้สึกถึงบรรยากาศประชันแข่งขันอย่างบอกไม่ถูก  เขาถึงคิดว่าทุกคนพร้อมใจกันสวมใส่ชุดให้โดดเด่นที่สุด
หนึ่งในผู้ที่สวมชุดหรูหราโดดเด่นแต่แฝงด้วยสีหวานสวยคือองค์ราชินี  เส้นผมและนัยเนตรของนางเป็นสีชาด  ความอ่อนหวานคล้ายคลึงกันนี้เหมือนส่งผ่านมายังไดอาน่าด้วยเช่นกัน  ทว่า สิ่งที่แตกต่างคือความงามสง่าสมกับฐานะสูงสุดแห่งหญิงสาว
เจ้าหญิงเข้าสวมกอดพระนางด้วยความดีใจ  พลางแนะนำคนข้างกายให้รู้จัก  ซึ่งองค์ราชินีเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่รู้เรื่องฐานะพิเศษของฟิลลิปป์  ผ่านทางการสนทนาพบปะกับบุตรสาวบ้างหรือตัวซิลเวอร์เอง
ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นจะน่าเอ็นดูเพียงใดนะ?  เมื่อสวมใส่หน้ากากสีทองดูเคร่งขรึม  แต่ความเยาว์วัยแฝงไว้ในแววตาอย่างเต็มเปี่ยม  รวมทั้งความโอนอ่อนผ่อนปรนง่าย  สมกับที่ซิลเวอร์เลือกสรรขึ้นมาเป็นคนรัก  เขาต้องมิตรที่ดีต่อบุตรสาวของนางแน่  มิฉะนั้น สาวน้อยคงไม่ชักชวนให้อยู่เป็นเพื่อนคุยในปราสาทหลังนั้น
นางกำนัลถือเครื่องดื่มเดินบริการทั่วทั้งงาน  โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นแอลกอฮอลล์เบาๆ  แม้ดีกรีจะไม่มากนัก  ฟิลลิปป์ก็ไม่ค่อยนิยมดื่มของมึนเมา  ประจวบเหมาะกับคำสั่งไม่รับเครื่องดื่มประเภทนั้นขององค์ราชินี
ทว่า...ข้างแก้วคริสตัลใสสำหรับฟิลลิปป์  มีม้วนกระดาษเล็กๆผูกติดไว้ ‘ข้ายังคงเฝ้ามองเจ้า’
“เขามาที่นี่ด้วยงั้นหรือ”  ไดอาน่าอุทาน  “ข้านึกแล้วเชียว  ซิลเวอร์จะไม่ห่วงเจ้าได้อย่างไร”
องค์ราชินีรวบมือเข้าหากันอย่างเป็นกังวล  จากเรื่องเล่าของบุตรสาว  การค้นหาอัศวินสีเงินก่อนสิ้นสุดกำหนดเป็นเรื่องสำคัญมาก  ในงานที่คนส่วนใหญ่ร่วมใจกันสวมหน้ากากยิ่งแล้วใหญ่  ทั้งแขกผู้มีเกียรติและนางกำนัลข้ารับใช้ทั่วไปย่อมต้องสวมหน้ากากกันคนละอันทั้งนั้น
แต่ยังไม่ทันจะได้มองหา  ชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยมาดแห่งความน่าเกรงขามดุจราชสีห์  หรืออีกนัย ‘องค์ราชา’
เจ้าหญิงทำความเคารพอย่างเหมาะสม  โดยเหลือบมองไปข้างกายตน  ฟิลลิปป์อาจจะถวายความเคารพอย่างเทิดทูน  แต่ในใจเขาคิดอะไรกันอยู่หนอ  กำลังมีความอคติให้กับชายตรงหน้าหรือไม่  จากความรู้สึกที่นางอ่านได้  มีแต่ความกังวลปนหวั่นเกรงเท่านั้น  หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“วันนี้ดูเหมือนจะพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วสินะ”  เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา  พลางมองไปทางโต๊ะยาวที่จัดเตรียมไว้  “เราจะปฏิเสธอาหารค่ำได้อย่างไร  จริงไหม?”
เมื่อเจ้าของงานเริ่มนั่งลง  เป็นสัญญาณว่าได้เวลารับประทานอาหารค่ำแล้ว  ไดอาน่าเหลือบมองปฏิกิริยาของผู้ที่นั่งข้างต้นอีกครั้ง  ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ฝ่ายองค์ราชาเองก็เช่นกัน  อาจพูดคุยกับพระนางหรือเจ้าหญิงบ้างเป็นบางครั้ง  แต่ในสิบห้านาทีแรกเริ่ม  ไม่มีแม้แต่การเหลือบมองไปทางเด็กหนุ่มไร้ฐานะเพียงคนเดียวในโต๊ะ
การใช้ช้อนต่างๆไม่มีปัญหา  เนื่องจากเจ้าหญิงจะคอยแนะนำด้วยคำพูดเบาๆหรือกริยา  รวมทั้งมารยาทเบื้องต้นได้ถูกอบรมก่อนมาที่นี่ได้สักพัก  แม้จะเร็วสำหรับการปฏิบัติจริง  เขาก็ทำได้ไม่เลวนัก
จนกระทั่งถึงจานของหวาน  ชายผู้กุมอำนาจสูงสุดสังเกตเกี่ยวกับการแตะเพียงน้อยนิดพอเป็นมารยาท  พระองค์กล่าวขึ้น  “เค้กโรลของที่นี่ขึ้นชื่อไม่น้อย  เจ้าว่าอย่างไร?”  เสียงของเขาหยั่งเชิงบางอย่างอยู่  ซึ่งผู้ถูกถามไม่เข้าใจถึงคำตอบที่คู่สนทนาต้องการ
เด็กหนุ่มกล่าวจากใจ  “เป็นของหวานที่เยี่ยมยอดมากขอรับ” 
 “ในเมื่อมันยอดเยี่ยม  ไม่มีเหตุผลจะเหลือ...จริงไหม?”  องค์ราชามีสีหน้าครื้นเครงคล้ายหยอกเย้า  แล้วยังคงแสดงสีหน้านั้นต่อไปในประโยคถัดมา  “ของหวานก็เหมือนความรัก  เมื่อทานบ่อยครั้งก็ต้องมีวันเบื่อ  แม้สิ่งนั้นจนนุ่มหวานลิ้นเพียงใด  สุดท้ายอาหารจานหลักก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ถ้ารู้ความรักนั้นเป็นเพียงแค่ของหวาน  ก็ไร้ประโยชน์ในการจะฉุดดึงคนที่รักไปสู่ความน่าเบื่อหน่าย...”
ตอนนี้เหลือเพียงเสียงเพลงจากฟลอร์เต้นรำผสานเข้ากับเสียงฝีเท้าของคนน้อยใหญ่ที่พากันไปครึกครื้น  ไม่มีผู้ใดกล่าวอะไรออกมาอีก  และฟิลลิปป์ยังคงไม่แตะเค้กโรลชิ้นนั้น  ซึ่งสุภาพสตรีลำดับสามถัดจากเขาได้กล่าวขึ้น  เสมือนนางเข้าใจว่าเจ้าหญิงคือคนรักของเขา  
“เจ้าก็ละเลียตของหวานต่ออีกหน่อยสิ  แสดงให้ฝ่าบาทเห็นว่าเจ้าทานของหวานได้หมดชิ้น  ไม่ต่างจากอาหารจานหลักหรอก  หรือเจ้าหญิงจะทรงช่วยทานด้วยเล่าเพคะ?”  สุภาพสตรีร่างท้วมในชุดสีบานเย็นใช้พัดปิดปากหัวเราะคิกคัก
ไดอาน่าเหลือบมองความอึดอัดของฟิลลิปป์  ก่อนจะกล่าวแก้ว่าเขาอาจมาพร้อมกันกับนาง  แต่เป็นเพียงฐานะสหายคนใหม่เท่านั้น  นั่นทำให้หญิงร่างท้วมยิ่งซักไซ้หนักขึ้นไปอีก  ตามวิสัยชนชั้นสูงที่อยากรู้อยากเห็นกึ่งใช้วาจาทิ่มแทง  เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวของเจ้าหญิงไม่ต่างอะไรจากคำแก้ตัว
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของบุตรสาว  นั่นทำให้องค์ราชาไม่ค่อยพอพระทัยนัก  พระองค์กล่าวเน้นหนักว่าเจ้าหญิงไม่ใช่คนรักของเขาเป็นแน่  ก่อนจะทุ่มหินที่ทั้งหนักและแหลมคมใส่ฟิลลิปป์  ด้วยคำถามถึงนามของคนรักที่แท้จริง  พระองค์รู้ดีว่าเขายังไม่ทราบนามแท้จริงของอัศวินสีเงิน  ถึงจะตอบชื่อระหว่างกันออกมา  สุภาพสตรีร่างท้วมก็ไม่มีวันรู้ว่าใคร
แววตาของหญิงผู้นั้นเปล่งประกายระยิบระยับ  เมื่อพบว่าความเงียบเป็นคำตอบสำคัญ  แค่เพียงคนแปลกหน้าปรากฏตัวพร้อมกับเจ้าหญิงก็เป็นเรื่องน่าใคร่รู้มากพออยู่แล้ว  แต่เบื้องหลังเบื้องลกยังมีอะไรมากกว่านั้นอีกหรือนี่
เสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยผสานกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของใครบางคนเข้ามาใกล้  ชายหนุ่มผู้นั้นสวมหน้ากากสีเงินดูหล่อเหลา  เขาโค้งให้กับคนรักอย่างสง่างาม  โดยมือเรียวสีขาวดุจปุยหิมะนั้นตอบรับ  หลังจากที่เจ้าหญิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ  เป็นการดีที่สุดหากเขาจะหลบหน้าจากท่านพ่อของนาง
“ต้องขออภัยทุกท่าน ณ ที่นี้ด้วย  ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องเชิญเขาออกจากที่นี่  ไม่ทราบว่าจะเป็นการท้าทายต่อ...”  ซิลเวอร์เว้นจังหวะสักครู่  ก่อนเติมประโยคจนเต็ม  “...ความสนุกสนานในการพูดคุยครั้งนี้หรือไม่?”
“โอ้ เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับเจตนา  แน่นอนว่าการเต้นรำอย่างรื่นเริงสักเพลงในที่นี้  ก็นับว่าเป็นเจตนาที่ดีในการเชิญคู่สนทนาของสุภาพสตรีแห่งโลนอนซ์ไป”  พระราชากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สะท้กสะท้าน  “แต่ในขณะเดียว ท่านผู้หญิงยังคงอยากจะสนทนาใดกับเด็กหนุ่มคนนี้อีกหรือไม่?”
แม้ปากเตรียมจะบอกว่าไม่ตามที่คนถามกำลังจะสื่อ  องค์ราชินียิ้มแย้มพร้อมกล่าวถึง ‘เรื่องเล่ากล่าวขาน’ ของชนชั้นสูง  เรื่องที่ไม่ว่าใครก็ต้องอยากรู้  เท่ากับว่านางเสนอตัวเป็นคู่สนทนาคนใหม่แก่สุภาพสตรีแห่งโลนอนซ์เอง  ซึ่งฝ่ายหลังรับรู้ดีว่าพระนางไม่ค่อยพูดเกี่ยวกับเรื่องเสียหายของคนอื่นนัก  ความลับของเด็กหนุ่มนิรนามกับคำบอกเล่าครั้งสำคัญ  สตรีร่างท้วมย่อมตัดอย่างแรกทิ้งโดยทันที
นางมองตามซิลเวอร์ที่เดินออกไปพร้อมกับคนรัก  ฝ่ายนั้นเป็นใครกันหนอ  เหตุไฉนจึงรู้สึกคุ้นเคยราวกับเจอกันบ่อยครั้ง  ช่างเถิด เตรียมฟังข่าวลือของบุคคลที่สามดีกว่า  คนในเรื่องจะเป็นใครกันนะ  ดยุค? สุภาพสตรี?  หรือท่านเคานท์คนใด?  เจ้าตัวอาจจะเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ก็ได้
“จะบอกว่าอยู่ก็ได้นะ”  พระนางแย้มยิ้ม  “ท่านต้องชอบใจประวัติของหนึ่งในรูปภาพประดับของที่นี่แน่  อายุของมันประมาณ...”
สุภาพสตรีชุดบานเย็นหน้าเปลี่ยนสี  นางกระแอมเบาๆ  “ขออภัย บางทีเรื่องเล่านี้น่าจะมีคนรู้จักของข้ามาช่วยนั่งฟังอีกสักคน  ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะขัดข้องไหม  หากข้าจะไป...ไปตามหาผู้สนใจฟังเรื่องเล่านี้?”
องค์ราชามองหญิงอันเป็นที่รักผายมือให้นาง  ซึ่งอาจจะใช้เวลานานในการกลับมาอีกครั้ง  อย่างเช่น จนกว่าจะแน่ใจว่าองค์ราชินีจะลืมถึงการสนทนาคราวนี้ไปแล้ว
สีหน้าไม่พอพระทัยปรากฏออกมาเจือจาง  หากแต่รังสีกดดันกลับครอบคลุมไปทั่วบริเวณเล็กๆนั่น  พระองค์มองไปยังแขกเหรื่อที่รับประทานอาหารอยู่ในลำดับไกลๆ  ก่อนจะถามถึงเหตุผลเกี่ยวกับการช่วยเหลือจิตรกรไร้ชื่อคนหนึ่ง  ซึ่งหลงรักคนเพศเดียวกันเอง!
ไดอาน่าลุกขึ้นอย่างช้าๆ  ก่อนเดินจากไป  นางได้กล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก  “ข้าไม่อาจทราบว่าท่านใส่ใจเกี่ยวกับตัวตนของฟิลลิปป์มากน้อยเพียงใด  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสูงสุดที่ท่านอคติ  จริงไหมเพคะ?”
“รั้นเหมือนท่าน  แต่ชื่นชอบความรักไม่ว่ารูปแบบใดเหมือนข้า”  พระราชินีหัวเราะเบาๆ  พลางกอบกุมมือของชายผู้เป็นที่รักขึ้นมาพร้อมกับสบตาหวานซึ้ง  “ความรักเสมือนมนตรา  แม้นว่าจะถูกมองว่าเป็นเพียงของหวานคั่นเวลา  พวกเขาทั้งสองก็พร้อมรับคำนั้นแล้วก้าวไปด้วยกัน  เสมือนกับท่านและข้าในเวลานั้นอย่างไรเล่า”
สีหน้าขององค์ราชาอ่อนลง  แต่ยังคงน้ำเสียงแข็งขืน  “ไม่เหมือน  ข้ามอบสิ่งดีที่สุดให้เจ้า  ไม่ว่าความรัก ตำแหน่ง หรือเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง  เด็กหนุ่มคนนั้นกลับกันไม่ใช่หรือ”
“เขาไม่ได้มอบอำนาจใดให้คนรักก็จริง  แต่อย่างหนึ่งที่ข้ามั่นใจว่าต้องเป็นเฉกเช่นเดียวกัน  นั่นคือกล่าวถึงความรักก่อนสิ่งใด”  พระนางคลี่ยิ้มแผ่วบางพร้อมวาจาอันอ่อนหวาน
ความรักไม่ใช่สิ่งเจือจุนทุกอย่าง  พระราชาอยากจะกล่าวออกไปเช่นนั้น  ทว่า สิ่งในกายของสตรีที่เขารู้จักและหลงรักมาตลอด  นั่นคือความรู้สึกอันอ่อนโยนนี้มิใช่หรือไร?
ในคืนนี้อาจพ่ายแพ้ต่อซิลเวอร์  รวมทั้งยังรู้สึกเสมือนถูกท้าทายอยู่บ้าง  แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาตั้งแต่เด็กหนุ่มคนนั้นเติบโตขึ้น  เติบโตด้วยความเป็นตัวของตนจนแย้งเขาขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง  จะเรียกชาญฉลาดหรือมีความเก่งกล้าเกินตัวตั้งแต่เยาว์วัยดีนะ?
“สหายของไดอาน่าควรจะมีคนเรียบร้อยสักคน  เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครปกติสักนิด”  พระองค์ส่ายหน้าเบาๆ  พลางยื่นรอยยิ้มและพระหัตถ์ไปทางราชินี  “ว่าอย่างไรเล่า  หญิงสาวแสนสวยผู้ชื่นชมในรัก  จะให้เกียรติข้าผู้แข็งกระด้างเกินกว่าจะมีหัวใจได้เต้นรำกับท่านหรือไม่?”
“แน่นอน”  พระนางตอบรับอย่างรู้สึกสนุก  “และข้าทราบดีว่าท่านยังคงมีหัวใจไม่ต่างจากในวันวาน”
 
“เจ้าไม่โกรธที่องค์ราชากล่าวเช่นนั้นหรือ”  อัศวินสีเงินพินิจใบหน้าของคนรัก  อันเปี่ยมด้วยรอยยิ้มระหว่างซบตนอยู่อย่างสบายใจ  “ถ้าเป็นข้าคงจะต้องแย้งย้อนกลับไปสักประโยค”
“ข้าไม่อยู่ในฐานะที่สามารถกระทำเช่นนั้นหรอก  ท่านเองก็ไม่ควรนะ”  ฟิลลิปป์กล่าวติงด้วยความเป็นห่วง  ไม่ว่าฐานะสูงส่งเพียงไร  ก็ไม่อาจเทียบกับองค์ราชาได้หรอก  อีกทั้งการกระทำไม่ให้เกียรติผู้มาอายุมากกว่าต่อหน้าธารกำนัล  คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ซิลเวอร์ไม่ตอบรับอย่างทุกที  เพียงแต่ยิ้มมุมปากสื่อความนัยเชิงหลีกเลี่ยง  นั่นสร้างค้อนเล็กๆจากคนในอ้อมกอดได้  โดยมีสายลมพัดผ่านระหว่างบังคับม้าให้วิ่งตรงไปข้างหน้า
ตั้งแต่จำความได้  เขาก็เป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าหญิงมาตั้งแต่ยังเล็ก  ได้รับการเอ็นดูจากองค์สูงสุดทั้งสองอย่างมีเมตตา  ประหนึ่งบุตรในอุทรไม่ต่างจากไดอาน่า  อาจเพราะเหตุนั้นจึงกระทำการบางอย่างโดยไม่เกรงกลัวไปได้  อีกเหตุผลหนึ่ง...นั่นคือคนรัก  จะปล่อยให้โดนไล่จนมุมอย่างนั้นมิน่าสงสารแย่หรือ  ทั้งนี้ ต้องขอบพระทัยองค์ราชินี  พระนางทรงแก้ปัญหาได้ดีทีเดียว  แต่จะแก้ได้อีกครั้งและอีกครั้งไหม...?
ในตอนนี้เอง  เขาได้พูดขึ้น  “เดินทางไปด้วยกันไหม  มีเพียงแค่เรากับโลกกว้างใบใหญ่”
ฟิลลิปป์เบิกตากว้าง  เขาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างรวดเร็ว  หากแต่สิ่งที่ปรากฏก็มีเพียงรอยยิ้มอันมั่นใจเท่านั้น  ช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหล  ไร้ซึ่งการปฏิเสธเสียเหลือเกิน  แต่ไม่ได้หรอก  ถึงจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด  แต่องค์ราชาร่วมลงสนามในครั้งนี้มาแล้ว  มันไม่ทันการตั้งแต่วินาทีนั้น!
ซิลเวอร์ยังคงไม่คลายรอยยิ้มนั้น  เขาถามบางสิ่งบางอย่างที่รู้อยู่แก่ใจว่าย่อมสร้างความโกรธเคืองแก่อีกฝ่ายได้ไม่ยาก  แต่หากเขาไม่หลงเหลือสิ่งปกปิดภายใต้หน้ากากนี้  หรือสิ้นสูญทุกสิ่ง  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าอารณ์ใด  ฟิลลิปป์จะยังสนใจจะมาพบเขาอีกหรือไม่
แวบแรกคือความโกรธเคือง  ทว่า ผู้ถูกถามสัมผัสได้ว่านั่นไม่ใช่การดูถูก  เหยียบย่ำความรู้สึกของเขาว่าวาดหวังในเงินตราหรือลาภยศสรรเสริญ  มันคือความหวั่นเกรงจากใจ  และหวาดกลัวว่าเมื่อตนถอดหน้ากากสีเงินนี้ทิ้ง  นั่นอาจจะหมายถึงการเลิกราในรักครั้งนี้ไปด้วย
“ข้าเคยบอกความใฝ่ฝันแก่ท่าน”  ฟิลลิปป์ซบลงกับร่างคนรักอีกครั้ง  สายลมยังคงพัดผ่านเกิดเป็นเสียงคลอแห่งท่วงทำนองของสิ่งรอบกาย  “ข้าผู้มีความต้องการเช่นนั้น  ย่อมปราถนาเพียงคนรักที่อยู่เคียงข้างข้า  หาใช่ความชืดชาของเหรียญเงินตราเหล่านั้นไม่”
อัศวินสีเงินรู้สึกอบอุ่น  ในขณะเดียวกันก็ผสมผสานความโล่งใจไว้ในขณะเดียวกัน  หากว่าฟิลลิปป์เลือกที่จะหลบหนีไปพร้อมกับเขา  องค์ราชาอาจไม่ยอมอยู่เฉย  และครั้งนี้ องค์ราชินีหรือเจ้าหญิงก็คงจะยอมไม่ได้  ปัญหาวุ่นวายตามมามากเกินกว่าจะปล่อยทิ้งไว้ง่ายดาย
เหตุที่เขาถาม  นั่นเพราะอยากทราบความในใจของคนรัก  หากวันหนึ่งที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน  เดินทางไปเรื่อยๆอย่างไร้ฐานันดรใด  ไร้เส้นแบ่งไหนมากีดขวาง  ตัวตนผู้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษไปกว่าชายที่มอบความรักให้แก่บุคคลอันเป็นที่รักอย่างลึกซึ้ง  ยังคงถูกต้องการต่อไปอีกหรือไม่
หน้ากากสีเงินเอ๋ย  เจ้าสร้างภาพลวงแวววาว  ประดุจล่อหลอกผู้เป็นรักแท้
แม้ว่าคนผู้นั้น  จะมองลึกเข้าไปในแววตา  ประดุจล่วงรู้หัวใจอันจริงจังแห่งเสน่หานี้
“ท่านรู้เสมอ  ข้าใช้เวลาที่ผ่านมาทุกวินาทีในการรู้สึกและโลดแล่นไปพร้อมกับตัวตน  หาใช่สิ่งที่ครอบคลุมกายท่านไม่...!”  ฟิลลิปป์ยืนยันหนักแน่น  “ในทุกวัน  ข้าเฝ้ามองสีสันและบรรจงสร้างขึ้นเป็นภาพต่างๆ  แม้ข้าจะไม่อาจรู้ว่าท่านเป็นใครหรือมาจากไหน  แต่ข้ารับรู้ว่าสิ่งใดที่เป็นเพียงอาภรณ์หรือหัวใจอย่างแน่นอน”TBC.

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา