The Silver Mask

9.8

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 04.04 น.

  10 บท
  0 วิจารณ์
  15.68K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ลำดับที่ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


“...แล้วเขาก็จุมพิตข้าอย่างนุ่มนวลที่สุด”  ฟิลลิปป์เล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เหล่าเด็กผู้ชายมักจะหัวเราะคิกคักกับเรื่องเล่าเหล่านี้ในทุกเช้า  ผิดกับเด็กหญิงและสาวน้อยทั้งหลายที่พร้อมใจกันถอนหายใจให้ความรักอันแสนหวานนั้น  หากแต่ในเรื่องเล่าไม่เคยระบุสถานที่สักที  แม้อยากจะพานพบอัศวินในหน้ากากสีเงินนั่นดูสักครา  ก็จนปัญญาในการค้นหาตามรอยอาชาสีเงิน

พวกนางหลายคนเคยแอบลอบมองจากทางหน้าต่างในคืนสว่าง  หากแต่อัศวินสวมหมวกกว้างปักขนนก  สิ่งอื่นนอกจากนั้นถูกปิดบังไว้หมด  จึงพิสูจน์ได้แค่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่นิทานหรือคำโกหก  ต่อให้พวกผู้ใหญ่ใจแข็งทั้งหลายที่มองว่าไร้สาระ เปี่ยมด้วยความมดเท็จและท้ายที่สุดคือเป็นความรักอันผิดแปลก  แต่ยังมีคนที่ชอบเรื่องเล่าและมาฟังได้ทุกเช้าเช่นเดียวกัน

ความรักคือสิ่งบริสุทธิ์  จำกัดไว้เหนือขอบเขตใดของโลก  เหล่านักฟังทั้งหลายยึดมั่นไว้เช่นนั้น  พร้อมกับวาดฝันถึงอัศวินม้าขาวของตนบ้าง

แม้ว่าจะถูกขอให้วาดรูปของซิลเวอร์  จิตรกรหนุ่มก็มักจะกล่าวปฏิเสธได้อย่างสม่ำเสมอ  ไม่ใช่ว่าวาดรูปคนไม่ได้หรือไม่มั่นใจ  แต่เขาอยากเก็บไว้เป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคนมากกว่า  แม้แต่รูปลักษณ์หรือชื่อเรียกขานระหว่างพวกเขา  อัศวินหน้ากากเงินผู้นั้นเองก็ชอบความเป็นส่วนตัวแบบนี้  แค่เล่าให้ผู้อื่นฟังก็นับว่ามากเกินพอแล้ว

“บางทีเขาอาจจะมาซื้อภาพที่นี่หรือไม่ก็มานั่งเป็นแบบให้เขียนภาพเหมือนก็ได้”  หนึ่งในผู้ฟังเสนอขึ้นด้วยความตื่นเต้น  “ชายหนุ่มนิรนามคนนั้นอาจจะเคยมาหาเจ้าด้วยความรัก  พูดคุยกับเจ้าแฝงด้วยความนัยอันลึกซึ้งจนเจ้าไม่รู้ตัว!”

ฟิลลิปป์เคยหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น  เพราะเขาแน่ใจว่าตนไม่เคยพูดหรือเขียนภาพของซิลเวอร์อย่างแน่นอน  ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนหรือดวงตาสีเขียวชวนให้หวั่นไหว  มันโดดเด่นชัดเจนและสะดุดตา  ไม่มีทางที่จับจ้องแล้วจะเมินลืมไปได้เป็นอันขาด!

หญิงสาวนักฟังคนเดิมทำหน้าเบ้  แอบยุแยงเล็กน้อย  “ไม่มาเจอเจ้าในตอนกลางวันตลอดห้าปี  ข้าว่า...เขาอาจจะไม่จริงใจ  เห็นเจ้าเป็นของเล่น  แล้วก็มีใครอีกคน  เลยมาพบเจ้าที่นี่ไม่ได้!”

ผิดกับชายหนุ่มจำนวนน้อยในบรรดาผู้ฟัง  ซึ่งโดนนิ้วของหญิงสาวคนนั้นหยิกเอาหลายรอบ  เสมือนว่าเมื่อครู่กำลังพูดถึงกรณีของตน  เขาแอบตัวสั่นเล็กน้อย “ระ...หรือว่าไม่มีใครเลย  เพราะเขาไม่มีตัวมีตน  เพราะงั้นเลยมาแต่ตอนกลางคืนไง  บรื๋อ!”

สารพัดความคิดเห็นต่อชายที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘ชายหนุ่มปริศนา’  หากแต่ตัวคนรักก็ได้เพียงยิ้มขำต่อคำพูดเหล่านั้น  ไม่ว่าจะเสียงกระซิบหรือไออุ่นอันแผ่ซ่านน่าหลงใหล รวมทั้ง...ความนุ่มนวลอย่างจุมพิต  เขาเชื่อมั่นว่ายังไงซิลเวอร์ก็ต้องเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน  แต่เขาจะเป็นใคร  แอบมองเขาหรือว่าอยู่ข้างกายมาโดยตลอด  ฟิลลิปป์ก็ไม่อาจรู้ได้

ทันใดนั้นเอง ชายสูงอายุคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในร้านภาพเขียน  ตัวเขาเตี้ยและรูปร่างท้วมทีเดียว  ใบหน้าท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่าต้องเป็นผู้คร่ำหวอดกับหนังสือเป็นแน่  หากแต่ทำไมคนที่คลุกคลีอยู่กับหนังสือทั้งวัน  จึงวิ่งร้อนรนเข้ามาในร้านขายรูปเช่นนี้เล่า

เจ้าของร้านปลีกตัวออกมาจากบรรดาผู้ฟัง  ซึ่งสนใจใคร่รู้ในตัวลูกค้าคนใหม่ไม่น้อย  หาใช่บุคลิกท่าทางไม่  แต่เป็นเสื้อผ้าดูดีมีระดับ  หลายคนแอบคิดว่าเขาต้องมาจากชายหนุ่มปริศนาผู้นั้นแน่  บางทีอาจจะเชิญฟิลลิปป์ไปร่วมงานเลี้ยงฉลอง  หรือถึงขั้นประกาศตัวในงานราตรีนั้น!

หญิงชราช่างตัดเสื้อเอามือกุมไว้กลางอกด้วยความเคลิ้มฝัน  มาดมั่นจะเป็นคนมอบชุดที่ดีที่สุดให้กับชายหนุ่มที่ตนเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยให้ได้

แม้สีหน้าจะไม่ปรากฏ  ในใจก็อดคาดหวังยินดีไม่ได้  ร้านของเขามีขนาดเล็กมาก  หากเทียบกับอีกหลายแห่งที่อยู่ในเมืองนี้  ถ้าคนมีฐานะเกินปกติจะต้องการภาพเขียนดีๆสักภาพ  ร้านแห่งนี้น่าจะถูกเมิน...

“เจ้าพอจะมีภาพในสวนสักแห่งไหม  ประดับประดาด้วยดอกไม้  ขนาดประมาณ...พอดีๆน่ะ”  ชายร่างท้วมคนนั้นทำหน้าหนักใจ  ก่อนจะทำมือประกอบไปมา  ขนาดของมันประมาณครึ่งตัวคนเห็นจะได้  “เป็นสวนท่ามกลางแสงจันทร์  คล้ายจะมีมนตราติดตรึง  เจ้ามีรูปแบบนั้นหรือเปล่า?”

เหล่าผู้แอบฟังด้านนอกต่างสูดลมหายใจเข้าไปอย่างรู้สึกทึ่ง  พากันคาดเดาไม่แพ้ฟิลลิปป์ว่าคนที่ส่งชายคนนี้มาต้องเป็นบุรุษปริศนากลางราตรีแน่นอน!

จิตรกรหนุ่มพยามลดอาการเกร็งเต็มที่  เมื่อถามถึงผู้ที่ต้องการมัน

“เจ้านายของข้าเอง  ระบุลงมาว่าต้องเป็นที่นี่เท่านั้น”  ชายร่างท้วมคนนั้นยิ้มแย้มตอบชัดเจน  “เจ้าหญิงไดอาน่า”

สีหน้าของฟิลลิปป์เปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายคนผิดหวัง  หากแต่รีบปรับให้เป็นปกติและยิ้มรับพร้อมผายมือไปทางภาพในลักษณะคล้ายกันกับที่ชายร่างท้วมบรรยาย  มันดูมีมนตราติดตรึงอย่างที่ว่า  แม้มันจะไม่ใช่สวนแห่งการเต้นรำของเขากับซิลเวอร์

ชายร่างท้วมดูจะประทับใจในฝีมือ  แม้จะยังไม่จัดจ้านอย่างจิตรกรชั้นสูง  แต่สำหรับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีเท่านี้ก็นับว่าเยี่ยมยอด  อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่รูปภาพแบบที่เขาต้องการ  มันต้องเป็นภาพของสวนที่มีมนตราและจิตวิญญาณของผู้เขียนมากกว่านี้  ภาพที่นอกจากจะเป็นจินตนาการ  ยังต้องแฝงด้วยอารมณ์อันลึกซึ้ง  เห็นได้ชัดว่าภาพนี้อาจมีทุกสิ่งครบถ้วน  เพียงแค่ยังไม่ถึงที่สุดเท่านั้น

ฟิลลิปป์มีภาพเขียนนั้นอยู่อย่างแน่นอน  แต่เขาขายไม่ได้  ต่อให้เป็นเหรียญทองสูงเท่าภูเขามาแลก  เขาก็ไม่อาจจะขายสัญลักษณ์สถานที่ระหว่างตนกับชายหนุ่มในหน้ากากไป

ชายร่างท้วมเสนอราคางามสำหรับจิตรกรไม่มีชื่อเสียง  แต่ยังคงได้รับการยืนยันว่าไม่มีภาพนั้นขายอยู่ดี  ทำให้กลุ่มคนด้านนอกแอบถกเถียงกันในเรื่องนี้  เนื่องจากพวกเขาไม่ทราบว่าภาพนั้นได้ถูกวางเก็บไว้  จึงคิดว่าตัวฟิลลิปป์น่าจะสร้างเล่ห์กลยื้อเอาไว้สักหน่อย  ถ้านำภาพวาดใหม่ไปเสนอแล้วพลาด  ก็ยังมีสิทธิขายรูปนั้นได้ตามปกติอยู่ดี  ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้แสนกลในการค้า  ทว่า ราคาที่ถูกเสนอมามันไม่ใช่น้อยๆเลย

สุดท้าย ชายร่างท้วมจึงกลับไปพร้อมความผิดหวัง  โดยฝากไว้เพียงแค่ชื่อติดต่อ  เมื่อจิตรกรหนุ่มต้องการนาพที่ตนต้องการไปเสนอ

“ทำไมเจ้าถึงไม่คิดจะต่อรองเวลาสักหน่อยล่ะ”  หนึ่งในนั้นแนะขึ้น  “ฝีมือเจ้าไปถูกใจเจ้าหญิงได้  แปลว่านางต้องการภาพชั้นเลิศที่สุดของเจ้าไง  เจ้าน่าจะวาดภาพแบบนั้นได้ไม่ใช่หรือ”

ฟิลลิปป์ไม่ตอบ

 

“ทำไมท่านถึงเดาออกว่าข้าวาดภาพสวนแห่งนี้กัน”

นักเขียนภาพยังคงเชื่อมั่นว่าการที่มีคนมาซื้อรูปในนามเจ้าหญิง  จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับซิลเวอร์เป็นแน่  ลูกค้าส่วนใหญ่ของเขาเป็นคนธรรมดา  ไม่น่าจะเกี่ยวข้องหรือให้การต้อนรับชนชั้นสูงได้  โดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์ขั้นเจ้าหญิง  จิตรกรไร้ชื่ออย่างเขายังไม่เคยเจอสักองค์  แล้วภาพเขียนของเขาจะเคยผ่านตานางได้อย่างไร

อนึ่ง ฟิลลิปป์คิดว่าเขาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับไดอาน่ามากพอสมควร  ถึงขั้นใช้ชื่อของนางในการทำสิ่งเหล่านี้ได้  ไม่แน่ว่า...อาจจะเป็นความสัมพันธ์พิเศษ  ความสัมพันธ์ที่ถูกเปิดเผยในตอนกลางวัน!

“ไม่ยักรู้ว่าดอกกุหลาบของข้า  เริ่มคิดจะใช้หนามแหลมคมแห่งความหึง...หันมาทางข้าแล้วหรือนี่”  อัศวินสีเงินหยอกเย้า  พลางก้าวเท้าไปตามจังหวะ  “ถ้ามีเจ้าในยามราตรี  แล้วมีใครในรุ่งทิวา  ข้าคงจะใช้ธนูยิงดวงตะวันในตอนเช้าทิ้งไป  เพื่อให้ได้พบกับเจ้าเพียงคนเดียว”

คำกล่าวจริงจังนั้นถูกกระซิบแผ่วเบา  “วางใจเถิด กุหลาบรัตติกาลของข้า  ศิลปินรังสรรค์ผลงานสะท้อนหัวใจตน  นางก็แค่อยากจะรับชมภาพนั้น  ซึ่งกลั่นมาจากความรู้สึกอันอ่อนไหวของเจ้า”

ฟิลลิปป์คิดว่ามันน่าจะมีเบื้องหลังกว่านี้  จะเป็นได้หรือ  สำหรับการใช้นามอันสูงส่งแฝงด้วยอำนาจในการมาประกาศในที่สาธารณะ  ซ้ำยังด้วยเรื่องไร้แก่นสารอีก

ซิลเวอร์เผยยิ้มอ่อนใจออกมา  หญิงสาวเส้นผมสีแดงคนนั้นก็มักจะเป็นแบบนี้  หากเป็นเรื่องที่ตนมุ่งหมายใจ  ต่อให้ไร้แก่นสารเพียงใด  ก็พร้อมจะทุ่มทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา  จะเตือนไปกี่ครั้งก็ยังไม่อาจแก้ได้  เป็นเจ้าหญิงอ่อนโยนผู้ดื้อดึง  อีกนัยหนึ่ง เขาจำเป็นต้องหลับตาลงหนึ่งข้างในการปล่อยให้นางทำแบบนั้น

ฟิลลิปป์ไม่เข้าใจเลยสักนิด  ทำไมเขาถึงต้องรู้เกี่ยวกับการไปเยี่ยมชมราษฏรอย่างลับๆของไดอาน่า  การได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวเล็กๆแห่งหนึ่ง  ซึ่งที่นั่นมีภาพของเขาแขวนอยู่  ที่มาของภาพนั้นชวนซาบซึ่งจนถึงที่สุด  ด้วยความประทับใจในเรื่องราวและฝีมือ  เจ้าหญิงจึงต้องการบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษ  เพื่อตอบแทนจิตรกรนิรนามคนนั้น

เขาจำได้ว่าตัวเองไม่เคยสร้างความซาบซึ้งให้ใคร  ยกเว้นเวลาเล่าถึงอัศวินสีเงิน  อีกฝ่ายรู้เรื่องนิทานตอนเช้าของเขาดี  ซ้ำยังไม่เอ่ยปากห้าม  ดูจากรูปการแล้ว...คงไม่ใช่แค่เขาฝ่ายเดียวที่มีนิทานสำหรับคนสนิท

“ไม่ต้องห่วง  ถ้าเจ้าหญิงไดอาน่าบอกว่ามี  ไม่ช้าก็จะมีขึ้นมาเอง”  ซิลเวอร์กล่าวขรึมๆ  “ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  เพราะเกรงว่าเจ้าจะไม่ชอบใจ  แต่นางต้องการให้เจ้าเป็นจิตรกรหลวงประจำปราสาท”

ฟิลลิปป์ตอบปฏิเสธในทันใด  ทั้งเพื่อนสนิทมิตรสหายหรือเหล่าเด็กๆ  ไม่นับรวมนักฟังประจำเช้าอีก  เขาไม่อาจละเลยคนเหล่านั้น  แล้วก้าวเข้าไปในฐานะอันแปลกใหม่ในสถานที่หรูหรา  ทั้งที่เคยได้แต่มองอย่างเงียบๆจากสวนแห่งนี้  ใช่แล้ว สถานที่เต้นรำของพวกเขาทั้งสองคือสวนในปราสาทนั่นเอง

อีกทั้ง ฝีมือเขายังไม่ดีเด่นถึงขั้นจะรับตำแหน่งอันทรงเกียรติได้  การเป็นคนโปรดของเจ้าหญิงอาจก้าวเข้าไปในฐานะอื่น  โดยไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยสักนิด

สีหน้าของซิลเวอร์สลดลงไปเล็กน้อย  “ถึงจะบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง  แต่ความจริงแล้ว...ข้าก็อยากให้เจ้าตอบรับแผนของนาง  เพื่อจะได้พบเจ้ามากขึ้น  ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนท่ามกลางความมืดเช่นนี้อีก”

สำหรับฟิลลิปป์  การให้เรื่องเป็นแบบนี้ต่อไปย่อมดีที่สุด  หากวันหนึ่งอัศวินสีเงินเริ่มเบื่อหน่ายเขาขึ้นมา  หรืออาจจะถึงขั้นต้องเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงสาวซึ่งเขาไม่เคยได้รู้จัก  ทุกอย่างจะได้ถูกปิดผผผนกลงด้วยแสงอาทิตยฺแห่งรุ่งอรุณ  ไม่จำเป็นต้องหลงใหลเนิ่นนานเกินกาล  เสมือนเสียงระฆังของซินเดอเรลล่า  ผู้ไม่อาจดื่มด่ำจนเกินพอดีกับความรักของเจ้าชาย

หากมากเกินไป  ความรักนั้นเล่าจะแผดเผาหัวใจจนแทบถอนตัวไม่ขึ้น  การเฝ้าใฝ่ฝันในยามราตรีจงเป็นการดีสำหรับพวกเขาทั้งสองคน

รวมทั้ง แสงแดดนั้นโหดร้ายและดีเลิศ  มันทั้งส่องแสงสว่างและฉายภาพชัดเจนของความเป็นจริง  ซึ่งภาพมายาแสนหวานก็ถูกมันสาดส่องจนเลือนราง  ทิ้งไว้เพียงความปวดร้าวในควันอากาศเท่านั้น

“เจ้าหญิงไดอาน่าไม่หยุดง่ายๆ  หากเจ้าไม่ตอบรับในตอนนี้  ไม่แน่ว่านางอาจจะเดินทางไปพบเจ้า”  อัศวินสีเงินเตือนถึงวิสัยของสาวน้อยนัยเนตรสีชาด  พลางเปลี่ยนหัวข้อใหม่  “เจ้ายังไม่รู้ว่าข้าเป็นใครหรือว่า...กำลังลังเลว่าข้าเป็นใครหรือเปล่า”

ฟิลลิปป์ซบลงกับแผ่นอกอันอบอุ่นอีกฝ่าย  เขารู้ตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรกแล้วว่าอัศวินสีเงินต้องการปิดเป็นความลับ  แม้ทีแรกจะอยากรู้เพียงไร  เขาก็ไม่เคยใจกล้าในการลองสืบค้นดูสักครั้ง  คงเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธ  และไม่มาพบเขาอีกต่อไป

 

ทว่า จริงดังคำเตือนของซิลเวอร์  เมื่อเขาเปิดร้านภาพเขียนขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น  แล้วพบกับหญิงสาวเส้นผมสีแดงยืนคอยอยู่  ชุดของนางเหมือนจะกลืนไปกับชาวบ้าน  หากแต่ยังเจือความมั่งคั่งและอำนาจในรังสีที่แผ่ซ่าน  บ่งบอกว่านางไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

ยังไม่ทันจะกล่าวอะไร เสียงของพวกเด็กๆซึ่งรอฟังนิทานทุกเช้าก็ดังข้นมาแต่ไกล  สาวน้อยมุดเข้าไปในร้านเขียนภาพอย่างถือวิสาสะ  ปล่อยให้ฟิลลิปป์เชิญคำถามกับนักฟังของตนเองเพียงลำพัง

ด้วยคำพูดจ้อกแจ้กจากเด็กๆ  คนอื่นซึ่งมาทีหลังต่างตกใจ  ไม่คิดว่าเขาจะนอกใจชายหนุ่มปริศนาคนนั้น  ซ้ำยังซุกซ่อนไม่ให้พวกเขารู้ว่านางเป็นใครอีก   โดยที่พยานรู้เห็นยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน  เกี่ยวกับลักษณะด้านหลังในเสี้ยววินาทีของสตรี  มิใช่บุรุษแต่ประการใด

หญิงสาวคนเดิมประณามโดยทันที  ระหว่างพูดก็หยิกชายคนรักผู้เคราะห์ร้ายไปพร้อมกัน

คนถูกว่าร้ายเกือบจะให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด  หากไม่นึกถึงคำพูดของซิลเวอร์ขึ้นมาได้  เรื่องคงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม  ถ้าทุกคนรู้ว่าเจ้าหญิงมายืนรอเขาตั้งแต่เช้าตรู่

“นาง...นางเป็นคนรู้จักของบุรุษปริศนาน่ะ”

เขาเล่าโยงไปถึงเรื่องกลางค่ำคืนตามกิจวัตรตามปกติ  ในขณะเดียวกันก็เติมแต่งส่วนที่เหมาะสม  ไม่เอ่ยชื่อเจ้าหญิงไดอาน่า  สาวน้อยที่อาจจะกำลังแอบอยู่ในร้านภาพเขียนเล็กๆของเขา  โดยพูดปดอีกเล็กน้อย  หากพวกเขารู้เกี่ยวกับนางเมื่อไหร่  ชายสวมหน้ากากจะไม่มาพบเขาอีก

ชายคนรักของหญิงสาวจอมหยิก  รีบร้องโวยวายลั่น  หาว่าสาวน้อยปริศนาภายในเป็นแม่มด  ส่วนร่างจริงของชายหนุ่มใต้แสงจันทร์คืออสูรร้าย!

“อีกแล้วนะ!  เจ้าเลิกอ่านเรื่องแปลกๆสักทีเถอะ!”  นางบิดหูสามีอย่างรวดเร็ว  โดยที่เขาไม่กล้าโต้แย้ง  เกี่ยวกับประเด็นนอกใจที่นางพร่ำพูดกรอกหูนักเล่าบ่อยๆ  “เอาเถอะ นางคงมีความสำคัญบางอย่าง  พวกเราก็ไม่อยากจะขัดขวางความรักของพวกเจ้าสองคนด้วย  เฮ้อ ทำไมข้าถึงไม่เจอใครแบบนั้นบ้างนะ”

ฟิลลิปป์ยิ้มจืดๆ  ทั้งที่มันเคยเป็นนิทานให้พวกเด็กๆกลุ่มเล็กๆฟังเท่านั้น  คนหนึ่งเล่าไปสู่อีกคนหนึ่ง  กิจวัตรประหลาดนี้จึงเริ่มมีผู้ฟังมากขึ้นเรื่อยๆ...

เขาปิดประตูกลับมาเหมือนเดิมทันทีที่เคลียร์ความวุ่นวายต่างๆได้  แต่นัยเนตรสีแดงเชอรี่ทำให้เขาเกือบตกใจ  สาวน้อยปริศนาในผ้าคลุมศีรษะผืนสีชมพูสวยกำลังจ้องมองเขาด้วยความตื่นเต้น  สองมือประสานระหว่างกลางอกอย่างเพ้อฝัน  ที่สำคัญ การยืนใกล้ชิดทำให้จิตรกรเส้นผมสีดำสนิทถึงกับตกใจ

“เหมือนกับที่เขาเล่าเปี๊ยบเลย!”  เจ้าหญิงไดอาน่าเอ่ยอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้ม  “อัศวินในหน้ากากสีเงินรูปหล่อ  กับหนุ่มน้อยหน้าสวย  ผู้บังเอิญได้มาพบกันในสวนของปราสาทอันแสนโรแมนติค!  ว้าว!”

ว้าว?  ฟิลลิปป์คาใจกับสรรพบุรุษที่สามของประโยคแรก  เขาที่หมายถึงจะเป็นซิลเวอร์หรือเปล่านะ  งั้นนางก็ถูกส่งมาจากอัศวินสวมหน้ากากคนนั้นจริงๆ!

ไดอาน่าเล่าเกี่ยวกับการฟังนิทานแสนหวานประจำการทักทายทิวาสวัสดิ์   แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตื่นแต่เช้ามาตลอดห้าปีแล้ว  ผิดกับฟิลลิปป์ที่ต้องหาโอกาสพักผ่อนตอนกลางวันเป็นช่วงๆ  คงไม่แปลกสำหรับคนที่สวมอารณ์ชั้นดีทุกครั้งที่พบกัน  เขาหมายถึงชุดเสื้อผ้าลวดลายเดิม  แต่ทุกชุดมีร่องรอยการตัดเย็บใหม่เกือบทั้งนั้น  ฝีมือก็เลิศเลอเกินกว่าจะเป็นช่างผ้าธรรมดาได้

เขาจะเป็นเจ้าชายเหมือนยศของนางหรือเปล่า  เขาเองก็ไม่อาจทราบ  รู้แต่ว่าลูกขุนนางหลายคนก็แทบจะใช้เวลาตื่นตอนนั้นเป็นประจำ  หรืออาจจะเป็นบุตรชายของพ่อค้ามั่งคั่งสักคนในเมือง  ซึ่งแต่ละสิ่งมีสิทธิสนิทกับเจ้าหญิงได้ทั้งนั้น  ด้วยฐานะหรือเงินตรา  รวมทั้งอายุประมาณสิบแปดปีของพวกเขาทั้งสามคน

อย่างไรก็ตาม นางไม่เอ่ยเกี่ยวกับซิลเวอร์สักคำ  ราวกับจงใจเลี่ยงโดยเฉพาะ

“ข้าอ่านจากจดหมายสั่งห้ามรบกวนเจ้าในตอนเช้าวันนี้เอง  เจ้าไม่อยากรับตำแหน่งเพราะฝีมือไม่ถึงหรือ?  เอ ข้าไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับศิลปะนะ  แต่ภาพของเจ้าสวยทั้งนั้นเลย  โดยเฉพาะภาพเทพีแสงอาทิตย์ตรงนู้นน่ะ”  นางชี้ไปหลังร้าน  ซึ่งหน้าร้านยังไม่มีที่วางภาพใหม่  คนวาดจึงเอาผ้าคลุมมันไว้มิดชิด  ไม่มีกรณีลมพัดแล้วปรากฏเองแน่นอน  “แต่ถ้าลำบากใจจริงๆ  ข้าให้จิตรกรหลวงของเรารับเจ้าไว้เป็นศิษย์ก่อน  เอาไหม?”

ฟิลลิปป์ยืนยันชัดถ้อยชัดคำ  ยังไงเขาก็ไม่อาจทิ้งชาวบ้านที่ต่างช่วยเหลือกันมาโดยตลอด  ทั้งหญิงชรารับจ้างเย็บผ้าผู้ใจดี  ภรรยาขี้หึงกับสามีผู้หลงใหลเรื่องแปลกประหลาดพอๆกับกลัว  หรือจะเป็นเด็กเล็กเด็กน้อยที่รอฟังนิทานอล้วสรุปในแบบคนไม่ประสีประสาเรื่องความรัก

นัยเนตรสีชาดของเจ้าหญิงฉายแววไม่เดือดเนื้อร้อนใจ  เตรียมสั่งให้ทุกคนที่ถูกร่ายรายชื่อให้ย้ายไปพร้อมกับฟิลลิปป์  นั่นทำให้เขาเกือบจะอ้าปากค้าง  หากแต่ควบคุมให้กล่าวปฏิเสธได้เสียก่อน

ไดอาน่าไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญตรงไหน  หมู่บ้านนี้ก็น่ารักดีอยู่หรอก  ทว่า มันไม่หรูหราน่าอยู่เท่าที่ตนจัดเตรียมไว้แน่ๆ  หรือถ้ารู้สึกผูกพันกับหมู่บ้านมาก  จนไม่อาจละทิ้งไปได้ง่ายๆ  นางจะสร้างหมู่บ้านจำลองไว้ที่นั่น  เท่านี้ก็ไม่รู้สึกแปลกแล้ว!

เป็นเวลานานเอาการ  กว่าฟิลลิปป์จะพูดให้เจ้าหญิงเข้าใจว่าการอยู่สถานที่จริงกับสถานที่จำลอง  มันต่างกันมากแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงไดอาน่ายอมรับรู้ในส่วนนั้นเพียงอย่างเดียว  แต่ยังคงดึงดันให้เขาตามไปเป็นลูกศิษย์จิตรกรหลวงประจำปราสาท  ไม่อยากเป็นศิษย์ใครโดยไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร  เพราะนางตั้งใจให้เขาไปอยู่ในฐานะแขกคนสำคัญอยู่แล้ว  จะได้พูดคุยเรื่องราวในห้าปีที่ผ่านมา  จากมุมอีกด้านของคู่เต้นรำแสนงามกลางค่ำคืน

ดวงตากลมโตของเจ้าหญิงเปี่ยมด้วยความคาดหวัง  แม้คำปฏิเสธยังคงไม่เสื่อมคลาย  ความจริงจะใช้อำนาจบังคับไปเลยก็ดี  ให้ทหารอุ้มตัวไปเลยก็ได้  แต่คนคนนี้เป็นคนรักของของอัศวินสีเงินผู้นั้น  ไหนจะคำบอกเล่าเกี่ยวกับความบอบบางประหนึ่งดอกไม้  ซึ่งดูจากรูปการและรูปกายแล้ว  มันคงไม่ใช่เรื่องโกหกนัก

ฟิลลิปป์ไม่รู้เรื่องนี้  มิฉะนั้น เขาคงเถียงเต็มที่เกี่ยวกับพละกำลัง  ด้วยความที่ไม่มีใครคอยรับใช้อย่างเจ้าหญิงเจ้าชาย  งานต่างๆจึงต้องทำเองทั้งหมด  รวมทั้งถือค้อนหนักซ่อมเก้าอี้ ซ่อมโต๊ะ ยามที่อุปกรณ์เหล่านั้นเสียหาย  ไม่นับรวมเวลาแบกรูปภาพหลายต่อหลายรูปอีก  ถ้าไม่ติดตรงร่างกายอันผอมบาง  พละกำลังก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วไปนัก

สุดท้าย เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล  นางจึงหุนหันกลับไปด้วยความโมโห  โดยไม่ลืมสวมผ้าคลุมปิดบังหน้าตาจากการแอบมองของคนในละแวกนั้น  โชคดีที่ชาวบ้านแถบนี้เองก็ไม่ค่อยได้พบเชื้อพระวงศ์เหมือนกัน  จึงไม่ได้คิดเกี่ยวโยงไปถึงการซื้อขายในนามของนางเมื่อวาน

ฟิลลิปป์มองประตูที่ถูกผลักออกอย่างแรง  บางส่วนเหมือนจะได้ผลกระทบหนักทีเดียว  เห็นทีว่าคนร่างน้อยแรงหนัก  คงไม่ใช่แค่เขาฝ่ายเดียวเท่านั้นสินะ

 

อัศวินสีเงินถูกอิงแอบด้วยความสุขใจ  ระหว่างควบม้าผ่านสายลมอันหนาวเหน็บ  หากแต่เสื้อผ้าหนานุ่มช่วยกำบังไว้ได้ดี  ส่วนเสื้อคลุมก็ห่มกายคนรักไว้มิดชิด  ไม่มีทางที่ความเย็นเพียงเท่านี้จะหยุดพวกเขาไว้ได้

วันนี้เขาไม่ได้ไปเต้นรำที่สวนในปราสาทเหมือนอย่างทุกที  และได้อธิบายถึงแนการอันมองออกง่ายดายของไดอาน่า  นางต้องเตรียมกำลังรอให้พวกเขาไปที่นั่น  แล้วใช้คำพูดชักชวนรบกวนเป็นแน่  ความจริงแล้ว เมื่อไม่กี่วันมานี้ เขาก็เผลอพูดว่าอยากชวนฟิลลิปป์มาอยู่ด้วยกันแท้ๆ  นางถึงได้เริ่มก่อความไม่สงบขึ้นมา  ถึงจะเป็นความหวังดีต่อพวกเขา  แต่ความสมัครใจของคนในอ้อมกอดนี้ต้องมาก่อน

ความรักมิใช่ความฝืนใจ  เมื่อฝืนหักหาญไป  ใยกุหลาบงามจะไม่หมองมัว?

กวีตอนหนึ่งในหนังสือวรรณกรรมรักเคยว่าไว้อย่างนั้น  ความจริงเขาเองคงไม่เฉียดกรายเข้าไปใกล้หรือได้ยินสิ่งเหล่านี้  แต่ไดอาน่าขยันสรรค์หามาอ่านยิ่งกว่าสิ่งใด

ตอนนี้ เขาเริ่มเข้าใจของความหมายในบทกวีนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  ในทุกวินาทีต่อวินาทีที่ได้อยู่กับฟิลลิปป์  แม้ใจจริงอยากจะดื้อรั้นลักพาไปไกลสุดขอบฟ้า  ที่มีเพียงพวกเขาทั้งสอง  ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่อาจทำให้กุหลาบงามหนึ่งเดียวต้องขุ่นข้องหมองใจไปได้เลย  เพียงคิดถึงนัยเนตรสีม่วงงดงามที่จับจ้องด้วยความเสียใจ  เขาก็เจ็บปวดมากจนเกินจะบรรยาย

เป็นแบบนี้ต่อไปนั้นดีแล้ว  จนกว่าฟิลลิปป์พร้อมจะยื่นมือมา  เพื่อฝากร่างนั้นไว้ในอ้อมกอดให้เขาดูแลอย่างทะนุถนอม  เขาจะเฝ้ารอด้วยความหวังอย่างสุดหัวใจ

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน  ทำให้อีกฝ่ายเริ่มขยับเคลื่อนไหวบ้างเป็นครั้งคราว  อัศวินสีเงินปลอบโยนด้วยการบรรยายถึงสถานที่อันงดงาม  ไม่แพ้สวนในปราสาทแห่งนั้น  หรืออาจจะมากกว่าหลายร้อยเท่า  เพราะมันเป็นที่ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับการชมท้องฟ้ายามค่ำคืน

จริงดังที่เขาว่า  เมื่ออาชาไนยสีเงินก้าวล้ำผ่านประตูที่เปิดกว้างนั้น  หอคอยแห่งหนึ่งได้ปรากฏอย่างชัดเจน  มันถูกสร้างด้วยหินก้อนเรียงกันอย่างแข็งแรง

“เจ้าลองหลับตาแล้วก้าวตามการเต้นรำของข้าสิ”  ซิลเวอร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม  “รับรองว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บแน่”

การกระทำเช่นนั้นอันตรายมาก  แต่ไหนเลยฟิลลิปป์จะปฏิเสธนัยเนตรสีเขียวแฝงแววเชื่อมั่นนั่นได้  เมื่อปิดดวงตาแสนงามคู่นั้นลง  เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่โอบกายตนไว้...เป็นการเต้นรำอันใกล้ชิดแสนคุ้นเคย  และยังคงมอบความน่าไว้วางใจให้ไม่เสื่อมคลาย  ในตอนที่ผ่านช่วงแรกมาได้  สิ่งต่างๆก็เริ่มง่ายขึ้น

จนมาหยุด ณ จุดหนึ่ง  ซึ่งได้รับอนุญาตให้จ้องมองทุกสิ่งเบื้องหน้า  ทั้งดวงดาราพร่างพรายหรือจันทราเต็มดวง  ในสวนของปราสาทนั้นมองแล้วช่างห่างไกล  ทว่า ฟิลลิปป์รู้สึกเหมือนตนอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสประกายเล็กๆประดุจเพชรบนท้องฟ้ายามราตรีเหล่านั้น

ช่องหน้าต่างกว้างใหญ่ไร้บานกระจกถูกเว้นไว้สำหรับชมความงามยามค่ำคืนก็จริง  แต่เมื่อถึงจุดที่พระจันทร์ลอยสูงสู่กลางฟ้า  สิ่งก่อสร้างต่างๆเริ่มเป็นอุปสรรคเสียแล้ว

“งั้นก็ขึ้นไปสูงกว่านี้เถอะ”  ซิลเวอร์ไม่รอฟังคำตอบ  เขาจับมือกับคนรักวิ่งขึ้นตามบันไดเล็กๆ  สู่ยอดหอคอยที่รอบด้านกั้นไว้ด้วยลักษณะรั้วหินงดงาม  ตามจังหวะโค้งของมันบ่งบอกว่าหอคอยแห่งนี้เป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม  โดยที่นี่ไร้หลังคาใดๆจะมาปิดบังท้องนภาเอาไว้อีก

หากมองลงเบื้องหลัง  ที่นี่เองก็มีสวนดอกไม้เช่นกัน  เรียงในลักษณะของรูปหัวใจมีปีก  มันเป็นดอกไม้สีชมพูที่บานพลิ้วไหวในตอนกลางคืน  เป็นดอกไม้ราตรีแสนสวย  ซึ่งเป็นสิ่งที่พระราชาทรงมีรับสั่งสร้างขึ้นแด่องค์ราชินีคู่บัลลังค์โดยเฉพาะ

ฟิลลิปป์เพิ่งรับรู้เรื่องนี้  เมื่อมองกลุ่มดอกไม้เหล่านั้น  ซึ่งส่องแสงสว่างตามจุดอย่างเหมาะสม  ดูมืดสลัวและสว่างอย่างเงียบงันไปในตัว  แน่นอนว่าเขาค่อนข้างกังวลทีเดียว  “ท่าน...นี่จะไม่เป็นไรแน่หรือ”

“ในตอนทางเข้าก็ไม่มีทหารยามนี่”  เขาขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์  “ไม่รู้ก็ไม่ถูกจับหรอก”

ความจริงคือเขาสั่งการพวกนั้นไม่ให้ปรากฏตัวไว้ตั้งแต่ต้น  ทันทีที่เสียงฝีเท้าของอาชาสีขาวมาแต่ไกล  หรือจะให้แน่ยิ่งกว่านั้นคือเมื่อเห็นอัศวินสีเงินเช่นเขาใกล้เข้ามา

ฟิลลิปป์ไม่มีทางแสดงความตื่นตระหนกไปมากกว่านี้  ยังไงซิลเวอร์ก็คงไม่ทำเรื่องร้ายแรงมากมายนัก  โดยเฉพาะเรื่องที่มีเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง  จิตรกรหนุ่มรับรู้เรื่องนั้นดียิ่งกว่าใคร  ด้วยความไว้วางใจในบุรุษปริศนา  แม้ไม่เคยพบเห็นใบหน้าใต้หน้ากากนั้นเลยสักครั้ง

และตอนนี้ ท้องฟ้ามืดมิดเจือแสงสว่างจากดวงจันทราก็เริ่มดึงดูดความสนใจจากเขาอีกครั้ง

อัศวินสีเงินโอบรอบเอวบอบบางของคนรักเบาๆ  พลางหยอกเย้าเล็กน้อย  “กุหลาบของข้า  เห็นทีว่าคงจะเบื่อหน่ายยามมองชายผู้รักท่านอย่างสุดหัวใจแล้วกระนั้นหรือ?”

“ไม่เคยลืมและไม่เคยหน่าย  ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน”  ฟิลลิปป์หมุนกายกลับมาพร้อมรอยยิ้ม  “ทั้งน้ำเสียง แววตา หรือความอบอุ่นในกาย  ข้าผู้มอบหัวใจแก่มนตร์สะกดแห่งรักของท่าน  ไหนเลยจะกล้ากระทำสิ่งนั้น”

ซิลเวอร์เผยยิ้มพึงพอใจ  เบื้องหลังของคนรักคือดวงดาวอันระยิบระยับ  ความเน้นให้ร่างในอ้อมกอดนี้คล้ายดั่งเทพีแสนงาม  แม้ร่างนั้นจะเป็นบุรุษเพศ  แต่ไหนเลยจะหักหามใจมิให้หวั่นไหว  เขาโน้มตัวลงมอบจุมพิตอันแสนหวาน  ประหนึ่งยาพิษที่ทำให้ลุ่มหลงจนไม่อาจถอนตัวได้  มันทั้งนุ่มนวลดูดดื่มจนสร้างกำแพงเถากุหลาบ  ปิดกั้นสิ่งรบกวนภายนอกเป็นอย่างดี

เมื่อจุมพิตนั้นยุติลง  ฟิลลิปป์ซบลงกับร่างของคนรักประดุจไร้เรี่ยวแรง  “โอ...  ท่านตั้งใจมอบพิษรักเหลือร้ายให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  มันแทบจะแผดเผาใจข้าจนเต้นระรัวไปหมด”

“ตั้งแต่เมื่อแรกพบเจ้า  นับแต่นั้นข้าก็ลืมทุกสิ่งในโลกนี้  ประหนึ่งดาราหยุดเคลื่อนไหว  สายลมหยุดพัดผ่าน  มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น”  ซิลเวอร์สบตากับเขา  แฝงด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมล้น  “แล้วความฝันอันแสนดีของข้าก็เริ่มต้นขึ้น  โดยไม่อาจเลือนใบหน้าของกุหลาบงามดอกนี้ไปได้เลย  แม้เพียงเสี้ยววินาที”

อัศวินสีเงินตัดสินใจ  เขาโอบกอดกายของคนรักแน่นหนา  “มาอยู่กับข้าเถอะ!  ไม่ว่าสิ่งใดในโลกนี้  ข้าก็สามารถนำมาให้เจ้าได้ทั้งนั้น!”

แววตาลังเลของฟิลลิปป์ฉายอย่างชัดเจน  เขาจะทอดทิ้งทุกสิ่งที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันได้อย่างนั้นหรือ?

กวีของซิลเวอร์เริ่มเปล่งขึ้นมาทีละวรรคตอน  ขับขานเว้าวอนคนรักของเขาในค่ำคืนนี้  และนั่นทำให้ร่างในอ้อมกอดตัดสินใจ...

ได้โปรดออกมาพบข้าเถิด   แม้จะรู้ว่าเจ้าจะเกิดความลังเล

ได้โปรดรับคำรักจากข้าเถิด   ต่อให้รู้ว่าเจ้าจะเกิดความหวั่นใจ

ได้โปรดลุ่มหลงในอ้อมกอดของข้าเถิด   เพื่อให้รู้ว่าเจ้าจะเกิดความหวั่นไหว

ได้โปรดตอบตกลงสักนิดเถิด ก่อนแสงจันทร์ในคืนนี้จะลับเลือนกลาย

โอ เจ้าผู้เป็นที่รักของข้า อย่าปล่อยให้กาลผ่านหาย  พร้อมความหวังของข้าเลย...


TBC.

ทิวาสวัสดิ์ เป็นการทักทายช่วงกลางวันค่ะ  เหมือนอรุณสวัสดิ์ในตอนเช้า

ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ (โค้ง)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา