คำสาปกุหลาบเเห่งรัตติกาล
7.2
1) ภาพวาดปริศนา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความศตวรรษที่ 21
“ไปหาปู่กับย่าที่เยอรมัน!” ผมทวนคำ นัยน์ตาสีน้ำเงินกระพริบปริบๆ ขณะที่มองดูแม่ แม่นั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวโปรดในห้องนั่งเล่นแล้วสบตาผมนิ่ง เพื่อรอคำตอบ
“แม่ครับ!! ผมไม่อยากไป” “ไม่ได้!! ลูกไม่ไปเยี่ยมพวกท่านมาสามปีแล้วนะ” แม่พูดแล้วถอนหายใจเหนื่อยๆ “แม่ก็รู้นิว่าทำไม!” ผมพูด จะมีอะไรเซ็งไปกว่าการถ่อสังขารจากกรุงเทพไปเยอรมันเพื่อพบคุณปู่สุดเฮี้ยบที่ชอบบังคับให้ผมฟันดาบและยินธนูบ้าๆนั่นอีก นี่มันสมัยไหนกันแล้ว ส่วนคุณย่าถึงท่านจะใจดีแค่ไหนแต่ถ้ายังไม่เลิกพร่ำเพ้อถึงประเทศที่ไม่มีอยู่จริงในแผนที่ให้ผมฟังจนหูชาละก็คงจะดีกว่านี้มากเลย
“จ้า แม่รู้ว่าลูกเบื่อ แต่ลูกไม่คิดถึงพวกท่านบ้างเลยเหรอ เมื่อวันก่อนคุณย่าโทรมาบอกว่าอยากเจอหลานชายคนเดียว แล้วลูกจะไม่ไปได้ยังไงกันละ โรมินิก!”
“แม่!! อย่าเรียกชื่อนิยายนั่นสิ ผมไม่ชอบนะ”
“จะชอบหรือไม่ ชื่อนี้ก็เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้นะ!!” แม่ดุ ดวงตาสีดำฉายแววไม่พอใจ เครื่องหน้าทุกส่วนแบบหญิงไทยนั่นแตกต่างจากผมโดยสิ้นเชิง ผมได้ดวงตาสีน้ำเงินจากคุณพ่อ ใบหน้าติดไปทางตะวันตกส่วนที่มาของชื่อ โรมินิก เฮฟาเซีย มาจากตระกูลเก่าแก่ที่มีเชื้อสายราชวงศ์ทางของพ่อ ผมไม่รู้ว่า เฮฟาเซีย สืบเชื้อสายมาจากสัญชาติใด แต่บรรพบุรุษของผมก็อาศัยประเทศเยอรมันมาโดยตลอดและลงหลักปักฐานก่อตั้งบริษัทใหญ่โต แต่น่าเศร้าเพราะคุณพ่อได้จากผมกับแม่ไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ผมอายุเพียง 1 ขวบ คุณย่าไม่ชอบคุณแม่ที่เป็นหญิงสามัญแต่ท่านก็ไม่ได้ขัดขวางการแต่งงานนี้ แต่หลังจากคุณพ่อจากไป คุณแม่ก็พาผมออกจากคฤหาสน์มาเช่าบ้านอยู่กันสองคน ซึ่งได้รับเงินเลี้ยงดูจากคุณปู่คุณย่าเสมอ สามปีต่อมาแม่แต่งงานใหม่กับคุณพิภพนักธุรกิจชาวไทย เพื่อนเก่าคุณพ่อ และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน พวกเราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ไม่เคยสักครั้งที่จะมีปัญหากันรุนแรง คุณพิภพเป็นเหมือนพ่อคนที่สองที่ผมรักและเคารพ ทุกคนคงคิดจริงๆว่าผมเป็นลูกชายแท้ๆของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่ไม่มีส่วนใดคล้ายคลึงพวกเค้าเลย
ชื่อ โรมินิก จึงทำให้ผมรู้สึกแตกต่างออกไป ผมจึงชอบมากกว่าที่จะถูกเรียกว่า โรม
“ครับ! ผมจะไปเยี่ยมปู่กับย่าสักสองสามวัน”
“ยังไงลูกก็เรียนจบวิศวะแล้วช่วงที่กำลังรอรับปริญญาก็ไปอยู่กับพวกท่านสักเดือนสิ!”
“1 เดือน!!” ผมร้อง จะมีอะไรน่าเหลือเชื่อกว่านี้อีกมั้ย ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ว่าเรื่องนี้มันเปรียบได้กับอะไร คงจะนึกภาพออกได้ไม่ยากสินะว่าคุณถูกยับโยนเข้าไปในหนังสือนิยายสมันสงครามและเวทมนต์ ที่มีแต่คนแปลกๆอยู่ในคฤหาสน์แปลกๆ ห่างไกลคนปกตินะ “แม่ก็รู้ว่าผมไม่มีทางอยู่ที่นั่นได้เกินหนึ่งอาทิตย์เลยสักครั้ง”
“แต่ครั้งนี้แม่ไม่ยอมแล้วนะ!! คุณปู่อยากให้ลูกไปบริหารธุรกิจต่อ”
“ผมรู้!! ถึงไม่อยากไปไงละ ผมเรียนวิศวะมาก็อยากใช้ความสามารถที่มี ไม่ใช่เพราะอำนาจคุณปู่” ผมอ้างแต่นั่นก็มีความจริงอยู่บ้างละนะ
“ลูกก็รู้ว่าลูกเป็นหลานชายคนเดียว คุณอามีลูกสาวแค่สองคน ยังไงคุณปู่ก็รอยกบริษัทให้ลูก”
“แต่ผมยังไม่พร้อม” ผมบอกปัด “พรุ่งนี้ผมนัดเพื่อนไปวินด์เซิร์ฟที่ซานดิเอโก แล้วพ่อก็อนุญาตแล้วใช่มั้ยครับ” ผมหันไปขอคำยืนยันจากพ่อเลี้ยงที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆแม่บนโซฟา เขาพับหนังสือพิมพ์ในมือแล้วส่งยิ้มใจดีมาให้
“ได้! พ่อไม่ลืมหรอกโรม แต่ไปหาปู่กับย่าก่อนก็ได้นิ”
“ผมจองไฟร์บินไว้แล้ว”
“ก็ยกเลิกได้!”
“โรม!!” แม่ขัดขึ้น
“ครับ?”
“อยากได้อะไรมากที่สุด” แม่ถามซึ่งคำตอบของผมก็หลุดจากปากทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“อิสระ!! ผมอยากไปเที่ยวรอบโลก ทำอะไรที่มันตื้นเต้นท้าทายความสามารถตัวเองดี”
“ก็ได้จ๊ะ”แม่พยักหน้ารับ พลางทำสีหน้าครุ่นคิด “แลกกับการไปหาปู่กับย่าหนึ่งเดือนแล้วหลังจากนั้น ลูกอยากไปไหนอยากทำอะไร แม่จะไม่ห้ามเลย”
“จริงเหรอครับ? ผมอยากปีนเขาเอเวอร์เรส” ผมโพล่งออกไปนั่นเป็นเรื่องที่ผมอยากทำในอันดับต้นๆ
“อะไรนะ!!” แม่อุทาน เมื่อ ได้ยินคำขอแสนบ้าคลั่งของลูกชายตัวเอง แต่ทำไงได้ละ ผมหลงรัก ความเสี่ยง ซะด้วยซิ
“ปีนเขาเอเวอร์เรสนี่มันอันตรายมากนะลูก ไปทำอย่างอื่นแทนได้มั้ยแม่เป็นห่วง”
“แม่ครับ! ผมดูแลตัวเองได้” ผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนแบบที่รู้ว่าแม่ต้องใจอ่อน และครั้งนี้ก็สำเร็จ
“เฮ้อ! ก็ได้แม่อนุญาต แต่ต้องไปหาปู่ก่อนนะ ” แม่ถอนหายใจยอมแพ้ ขณะที่ผมลุกขึ้นไปกอดแม่ที่รัก
“ครับ ผมจะไปเก็บของ”
ห้องนอน
ผมเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วค้นชุดกับของใช้จำเป็นออกมายัดใส่กระเป๋าเดินทาง เอาน่าคิดซะว่า ไปพักผ่อน บริเวณคฤหาสน์ตระกูลคุณปู่ก็สวยอยู่หรอก ล้อมรอบด้วยป่าเขียวขจี ดอกไม้และสวนผมไม้เมืองหนาว ไว้ค่อยไปหาภูเขาแถวนั้นปีนไปพลางๆก่อนก็ได้ (ซ้อมไว้ ก่อนไปเอเวอร์เรส)
พลัว!!
ประตูห้องนอนถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง ผมหันไปมองที่มาของเสียง เห็นไอ้คนไร้มารยาทเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่นบนปลายเตียงแถมประตูก็เปิดทิ้งไว้ปล่อยให้บรรดายุงบินว่อนเข้ามาในห้องผม
“ไอ้พรีซ!! ฉันบอกแกว่าให้เคาะประตูก่อนเข้าห้องฉัน”
“อ๋อ…ผมลืม!!” คำตอบแบบไร้สมองจากน้องชายคนละพ่อทำให้ผมอยากจะเสยมันสักที “พ่อกับแม่เรียกพี่ไปทำไมอ่ะ”
“เรื่องของฉัน!!”
“ก็ผมอยากรู้อ่ะ คราวนี้จะไปเที่ยวไหนอีก ให้ผมไปด้วยนะๆ” พรีซพยายามทำสีหน้าอ้อนวอนที่น่าถีบมากกว่าจะน่ารัก ก็นอกจากมันจะเสือกแล้วยังหน้าด้านอีกด้วย แต่จะว่าไปถ้าเอามันไปด้วยอย่างน้อยก็ไม่น่าเบื่อ
“ได้!!” ผมพูด คุณปู่เป็นคนเคร่งครัดกฎระเบียบประจำตระกูลไม่ยอมให้ผมพาเพื่อนไปแน่ แต่พรีซถึงมันจะเป็นคนนอก แต่ยังไงก็มีศักดิ์เป็นน้องชายผมเพราะงั้น ไปได้
“จริงเหรอ?” พรีซถาม ดวงตาเป็นประกายแบบเด็กๆ(ปัญญาอ่อน)
“เออ!!”
“แล้วเราจะไปไหนกันละ”
“เยอรมัน!!”
“ว้าว!! ปีนี้ไปเที่ยวนอกไง๊”
“อืม…ฉันจะไปหาปู่”
“แว๊ก!!” น้องชายผมส่งเสียงประหลาดก่อนจะกลิ้งตัวลงจากเตียงเตรียมพุ่งออกจากห้อง แต่ผมเร็วกว่า กระโจนไปถีบประตูปิดดังโครม! แล้วกอดอกพิงประตูมองหน้ามัน
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก ยังไงแกก็ได้ไปแน่!!”
“ม้ายยยย!! ถอนตัวตอนนี้ทันมั้ย?”
“ไม่ได้!!”
“ไม่ไป!! ปู่พี่ต้องฆ่าผมแน่” พรีซพูดพลางกลืนน้ำลายเอือกเมื่อเจ็ดปีก่อน มันไปส่งผมที่คฤหาสน์คุณปู่แล้วเผลอไปทำแจกันเก่าแกแตก แล้วมันก็โดนสวดยับเยินยาวสองชั่วโมง และหลังจากวันนั้นมันก็ไม่เคยพูดปู่ของผมอีกเลยและแน่นอนว่ามันไม่คิดจะกลับไปเหยียบที่นั้น
“แกต้องไป!!” ผมตัดบทแล้วงัดไม้ตายออกมาใช้ ก็แม่ยังงัดได้ผมก็เอาบ้างดิ “คนสมองเรียบไร้รอยหยักอย่างแกเอนท์ติดมหาลัยได้เพราะใครช่วยติวให้”
“พี่!”
“ตอนแกสับรางบรรดากิ๊กๆไม่ทัน แกให้ใครช่วย!!”
“พี่!!” พรีซตอบอ่อยๆ
“ตอนที่แก--”
“เฮ้ย! พอหยุดๆ” มันรีบยกมือขึ้นห้าม “ให้ผมได้เหลืออะไรดีๆไว้บ้างดิ ทวงบุญคุณขนาดนี้ ใครจะปฎิเสธได้ว่ะ” พรีซบ่นงึมงำ
“ก็ไม่ต้องปฏิเสธ ไปเก็บของเลยไป!”
“อืม! แล้วจะไปกี่วันละ”
“1 เดือน!!”
“ว๊ากกกกกก !! ผมเฉาตายพอดี”
ผมกับพรีซขึ้นเครื่องบินไปลงที่สนามบินในตัวเมืองของรัฐเล็กๆประเทศเยอรมัน คุณปู่ส่งคนขับรถสปอร์ตยุโรปคันหรูสีดำมารับ รถแล่นไปทางตอนใต้ของรัฐ อากาศเริ่มเย็นชื้นขึ้นเรื่อยๆระหว่างทาง พรีซนั่งเงียบ ก้มหน้าเล่นเกมส์ในไอแพทตลอดทาง ผมมองผ่านกระจกรถที่มีไอเย็นสีขาวเกาะอยู่ เห็นทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากตึกอาคารเป็นป่าดำ ป่าที่มีต้นสนใหญ่ยืนเบียดเสียดกันแน่นหนาทำให้บรรยากาศรอบข้างดูมืดมัว ถูกโอบล้อมด้วยทิวเขาสูงชันรถแล่นต่อไปเรื่อยๆ ความเงียบก็ยังดำเนินราวกับไม่มีที่สิ้นสุดจนกระทั่ง ดวงตะวันคล้อยต่ำลงรถก็เลี้ยวเข้าไปในถนนส่วนบุคคล ขับต่อไปราวๆ 20 นาที ก็พบสนามหญ้ากว้างใหญ่มีต้นไม้และดอกไม้สวยงามบ่งบอกว่าได้รับการดูแลอย่างดี ตรงส่วนที่เป็นเนินสูง…. คฤหาสน์เก่าแก่ตั้งเป็นสง่าอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็น มันทำให้ผมนึกถึงภาพความทรงจำวัยเด็ก นึกถึง พ่อ!!
รถสปอร์ตแล่นไปหยุดอยู่หน้า ประตูไม้สักลวดลายอ่อนช้อยแปลกตา คุณป้าจูโน หัวหน้าแม่บ้านที่ทำงานมานานตั้งแต่ผมยังไม่เกิดกับเด็กสาวรับใช้อีกนับสิบกำลังยืนต้อนรับเราอยู่ พวกเค้าเปิดประตูรถให้ผมกับพรีซก้าวลงมา เมื่อทุกคนเห็นผมต่างก็ก้มศีรษะทำความเคารพแล้วแยกย้ายกันไปยกกระเป๋าสำพาระของเรา
“ยินดีต้อนรับการกลับมาคะ คุณโรมินิก” ป้าจูโนทักเป็นภาษาอังกฤษด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามแบบฉบับเดิม ร่างผอมแห้งอยู่ในชุดเครื่องแบบแม่บ้านคือ กระโปรงยาวสีน้ำเงินและคาดทับด้วยผ้ากัน เปื้อนสีขาว
“สวัสดีครับคุณป้า” ผมตอบเป็นภาษาเดียวกัน
“สวัสดีคุณพรีซ!” ป้าจูโนพูดกับพรีซ มันยืนนิ่งอยู่ข้างผมเล่นเกมส์ในไอแพทอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมใช้เท้าสะกิดมันแรงๆ พรีซสะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมาเจอกับป้าจูโนที่ปรายตามองมันอยู่
“สวัสดีครับ” พรีซทักแล้วก้มหน้ามองไอแพท ผมจึงรีบฉวยมันออกมาจากมือพรีซแล้วส่งมันให้สาวใช้คนหนึ่ง
“โห้!! พี่อ่ะ แล้วผมจะใช้อะไรเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองละ” น้องชายผมโวยวายเป็นภาษาไทย สายตามันเริ่มโฟกัสไปรอบๆตัวอย่างหวาดระแวง
“นิ่งไว้!” ผมพึมพำแล้วหันไปฉีกยิ้มหน้านิ่งๆของป้าจูโน
“เชิญทางนี้เลยคะ คุณท่านกำลังรอพวกคุณอยู่”
ผมกับพรีซเดินตามป้าจูโนเข้าไปในคฤหาสน์ผ่านโถงทางเดินหรูหราที่ถูกปูพื้นด้วยหินอ่อนสีขาว ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นทุกอย่างไม่เป็นเช่นนี้ ภายในห้องถูกตกแต่งใหม่ทั้งเครื่องเรือน ผนัง หรือแม้แต่หลอดไฟ ราวกับเนรมิตคฤหาสน์หลังใหม่ที่เหลือเค้าเดิมเพียงน้อยนิด สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆถูกเปลี่ยนให้ทันสมัยและหรูหราขึ้น แต่ไฟในคฤหาสน์ยังคงหรี่ให้เหลือเพียงแสงสลัวๆเช่นเดิม เงาของพวกเราสะท้อนทาบทับผนังขณะเดิน
“คฤหาสน์หลังนี้ประหยัดไฟเหรอครับ” พรีซโผล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบด้วยภาษาอังกฤษ
“เปล่าหรอกคะ! คุณท่านชอบความมืด!!” ป้าจูโนหันมาตอบเรียบๆแล้วเดินต่อ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณปู่ชอบความมืดก็เพราะว่าท่ามกลางป่าไม้และเนินเขา คฤหาสน์เก่าแก่ที่มีสไตร์การตกแต่งแบบย้อนยุคจะดูมีเสน่ห์มากที่สุดในความมืดและเวลากลางคืนอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยแต่คงจะใช้ไม่ได้กับพรีซ มันเริ่มออกอาการวอกแวกบ่อยขึ้นขณะเดิน ก็ต้องทำใจในเมื่อน้องชายผมเป็นประเภทไร้ความคลาสิกอารมณ์ที่เข้าถึงคงไม่พ้นคำว่าผี!
ป้าจูโนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งแล้วยกมือขึ้นเคาะเบาๆ
ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!
“เข้ามา!!” เสียงทุ้มดังขึ้นจากข้างในห้อง แม้จะไม่ได้ยินมานานแต่ผมยังจำได้แม่นว่าเป็นเสียงของคุณปู่ ป้าจูโนเปิดประตูแล้วผายมือเป็นการเชิญให้ผมกับพรีซเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูตามหลังเรา
คุณปู่นั่งเอนหลังอยู่บนโซฟากำลังเชคตารางหุ้นปัจจุบันจากเทคบุ๊ค ใบหน้ายังเคร่งครึมแบบปกติ นัยน์ตาสีน้ำเงินสงบนิ่งดูทรงอำนาจบางอย่างที่ชวนให้น่าเกรงขาม ส่วนคุณย่านอนเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวยาวท่าทางผ่อนคลายในมือถือวรรณกรรมคลาสิกเรื่องโปรด นัยน์ตาสีเขียวใจดีทอดมองมายังผมด้วยความอ่อนโยน ย่าวางหนังสือลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่ามันจะเจ็บก่อนจะลุกขึ้นมาโอบกอดผมแน่น
“โรมินิกของย่า มาแล้ว! ” คุณย่าพูดด้วยภาษาเยอรมัน ซึ่งคนโง่ๆอย่างพรีซต้องขมวดคิ้วมุ้ย
“สวัสดีครับย่า” ผมพูดกับย่าด้วยภาษาเดียวกันหลังจากย่าปล่อยผมแล้ว “สวัสดีครับปู่” ผมพูดแล้วยกมือขึ้นไหว้ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองตามมารยาทแบบไทยที่แม่เคยสอนมา
“อืม… นั่งสิ” คุณปู่กล่าว ผมดึงพรีซนั่งลงข้างๆมันรีบยกมือขึ้นไหว้ปู่กับย่าแล้วนั่งนิ่ง
คุณย่าถามไถทุกข์สุขของผมกับแม่ แล้วก็ให้ผมเล่าเรื่องต่างๆที่ทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณปู่ไม่พูดอะไรมาก สายตายังจับจ้องแทคบุ๊คอยู่ราวกับไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่าปู่ฟังทุกคำของผมนั่นเหละ ด้วยความที่พรีซฟังภาษาเยอรมันไม่ออกแล้วมันยังอ่อนด้อยภาษาอังกฤษ มันจึงขอตัวไปพักที่ห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
“หลานเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยแล้ว” ย่าพูดขึ้นหลังจากที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมอยากจะนอนแล้ว “ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวย่าพาไป”
“ครับ!” ผมลาปู่แล้วเดินตามย่าออกจากห้องนั่งเล่นผ่านห้องโถงสู่บันไดเวียนที่มีราวจับสีทองสลักรวดลายแปลกตา ถูกปูด้วยพรมสีแดงสดราวกับทางเดินของเหล่า ขัตติยะวงศ์ ระเบียงชั้นสองมีภาพถ่ายบรรพบุรุษของผมตั้งแต่รุ่นแรกที่เป็นผู้สร้างคฤหาสน์หลังนี้ขึ้นมาใส่กรอบทองแขวนตามผนังใต้ภาพเขียนปี ค.ศ. ระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จนสิ้นอายุไงและภาพสุดท้ายสิ้นสุดลงที่ภาพคุณพ่อ ซึ่งเดาได้เลยว่าภาพต่อไปเว้นที่ว่างไว้สำหรับผม! ซึ่งไม่เคยต้องการ!
ผมเดินตามคุณย่าผ่านเข้าไปในโถงเล็กของส่วนที่เป็นห้องพัก บริเวณผนังติดภาพวาดสีน้ำต่างๆของศิลปินชื่อดังทั้งหมดเป็นภาพทิวทัศน์และสถานที่ที่มีชื่อเสียงแต่แล้วสายตาผมก็ไม่สะดุดลงที่ภาพภาพหนึ่ง มันเป็นภาพบุคคลเพียงภาพเดียวในห้องนี้ สองขาของผมก้าวเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ สายตาไล่มองมันช้าๆ
ภาพนั้นเป็นภาพวาดเก่าแก่ที่สุด ถูกวาดด้วยสีขาวและดำ ทำความสะอาดแล้วใส่กรอบเงินแบบทันสมัย หญิงสาวในภาพมีดวงตากลมโตคู่สวยลึกลับ จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง เส้นผมยาวสลวยล้อมใบหน้ารูปไข่ เธออยู่ในชุดทรงของราชวงศ์ตะวันตก สวมมงกุฎบ่งบอกฐานะราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยายที่ไร้ตัวตน ศิลปินคงจะเก่งมากถึงได้ถ่ายทอดความงามแบบมีเสน่ห์หน้าหลงใหลออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้
“สวยมากใช่มั้ย” คุณย่าถามขึ้นหลังจากเห็นผมนิ่งไปนาน
“ครับ!” ผมยอมรับ “ย่าได้ภาพนี้มาจากไหนครับ”
“ย่าซื้อมาจากพ่อค้าของเก่าผิดกฎหมายเมื่อต้นปีก่อน มันเป็นอะไรที่คลาสสิกมาก จนย่าอดไม่ได้ต้องซื้อ” ย่าตอบพลางทำหน้าเพ้อฝันแบบเวลาที่อ่านวรรณกรรมคลาสสิกของเชกสเปีย
“เธอมีตัวตนจริงๆหรือเปล่าครับ”
“โอ้!! แน่นอนว่ามีสิ เธอคือเจ้าฟ้าหญิงแห่ง เกราซา แต่ย่าจำชื่อเธอไม่ได้หรอกนะ มันยาวแล้วเรื่องนั้นก็นานมากแล้ว ” ย่าพูดพลางยกมือขึ้นลูบภาพวาดเบาๆอย่างอ่อนโยน
“แห่งอะไรนะครับ?”
“เกราซา”
“มันมีด้วยเหรอ = =;” ผมถามอย่างไม่เชื่อหู มันคืออะไรกัน ประเทศ เมือง แคว้น หรือว่ารัฐ
“พูดอะไรอย่างนั้นจ๊ะ” ย่าถอนหายใจแล้วส่ายหน้านิดๆ “มันยังมีอะไรอีกมากที่หลานสมควรรู้แต่ยังไม่รู้”
“อะไรละครับ?” คงไม่ใช่ว่าคุณย่ากำลังจะเริ่มเพ้ออีกแล้วนะ
“เออ! เอาเป็นว่านิยายแฟนตาซีก็กลายเป็นเรื่องจริงได้”
นั่น!! เอาแล้วไงละถ้าเป็นงี้ก็เลิกคุยได้เลย คุณอาจจะคิดว่าผมเป็นหลานที่แย่มาก แต่ด้วยความปรารถนาดี ผมอยากให้ย่าไปเชคประสารท
“ผมง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน” ผมรีบตัดบทแล้วก้มลงหอมแก้มย่าเบาๆ
“ฝันดีครับ”
ภายในห้องนอนห้องเดิมของผมถูกจัดตกแต่งใหม่ด้วยสไตร์เรียบง่าย เตียงสี่เสาขนาดบิ๊กไซร์ตั้งอยู่กลางห้อง ม่านรอบเตียงสีแดงเลือดนกสีเดียวกับผ้าม่านที่ปักดิ้นทองงดงามซึ่งเข้ากับเตียงตู้และโต๊ะที่ทำจากไม้สักขัดเงา ของเล่นสมัยเด็กของผมยังครบทุกชิ้น หุ่นยนต์ตัวแรกของผมที่พ่อซื้อให้ตั้งอยู่ในตู้กระจกข้างๆวางตุ๊กตาที่แม่ให้เป็นของขวัญวันเกิดและบรรดาเทพนิยายที่ย่าให้ผมแต่ในบรรดาของสั่งสมไม่มีชิ้นไหนที่คุณปู่มอบให้ผมสักอย่าง ในความหมายของผมคือเขามักจะให้ผ่านย่า ซึ่งผมก็ดีใจ ผนังห้องแขวนรูปของครอบครัวมี พ่อ แม่ ปู่ ย่า และอา(หญิง) ส่วนใหญ่เป็นภาพของผมตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน มีรูปพ่อเพียงสองรูปคือตอนที่พ่อแต่งงานกับแม่และตอนพ่ออุ้มผมเมื่อผมยังเล็กมาก
ผมล้มตัวนอนบนเตียงหลับตาลง ปล่อยให้ความมืดเข้าครอบครองแล้วความเหนื่ออ่อนก็ทำให้ผมหลับไปในที่สุด
ภาพเหตุการณ์ซับซ้อนก่อตัวขึ้นในหัวผม มันรวดเร็วจนทำให้สับสนว่าผมกำลังมองอะไร หรือว่าอยู่ที่ไหน
เสียงลมหวีดหวิว… กระทบใบไม้ไหว ป่าไม้สีดำ ขุนเขาเสียงไหลของสายน้ำแต่สิ่งเดียวที่ผมจำได้และเห็นชัดเจนที่สุดคือ หญิงสาวในภาพวาดเก่าแก่ที่ห้องโถง ผมเห็นใบหน้าเศร้าหมองกำลังมีหยาดน้ำใสๆไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอ ผมพยายามเอื้อมมือเข้าไปหา… ผมอยากช่วยเหลือเธอจากความเจ็บปวดแล้วเสียงกรีดร้อง!! ราวกัยจะขาดใจก็ดึงผมออกจากความฝัน
ตุ้บ!!
ผมสะดุ้งตื่นเพราะสิ่งมีชีวิตบางอย่างพุ่งกระแทกประตูกระจกที่ระเบียง ผมยันตัวขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปดึงม่านสีแดงเลือดนกให้เปิดออกก็แค่นกฮูกแก่ๆบินชนกระจกเท่านั้น ผมเปิดประตู สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาปะทะใบหน้า นกฮูกมึนงงพยายามกระพือปีกถี่ๆหาทางออก เพราะแกแท้ๆที่ทำให้ฉันตื่นจากความฝัน ผมก้มไปอุ้มร่างพองๆของมันขึ้นมาวางบนระเบียง นกฮูกทรงตัวก่อนจะกางปีกถลาสู่ท้องฟ้ารัตติกาล
ผมกวาดตามองทิวทัศน์ขุนเขาและป่าสนรอบๆคฤหาสต์ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดทุกอย่างที่เห็นทำให้ผมไม่อาจไล่ความฝันออกไปจากสมองได้เลย ภาพน้ำตาที่ไหลช้าๆออกมาจากดวงตาคู่งามฉายความรวดร้าว จนยากที่ผมจะทำใจให้ลืมแล้วข่มตาหลับ
“ไปหาปู่กับย่าที่เยอรมัน!” ผมทวนคำ นัยน์ตาสีน้ำเงินกระพริบปริบๆ ขณะที่มองดูแม่ แม่นั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวโปรดในห้องนั่งเล่นแล้วสบตาผมนิ่ง เพื่อรอคำตอบ
“แม่ครับ!! ผมไม่อยากไป” “ไม่ได้!! ลูกไม่ไปเยี่ยมพวกท่านมาสามปีแล้วนะ” แม่พูดแล้วถอนหายใจเหนื่อยๆ “แม่ก็รู้นิว่าทำไม!” ผมพูด จะมีอะไรเซ็งไปกว่าการถ่อสังขารจากกรุงเทพไปเยอรมันเพื่อพบคุณปู่สุดเฮี้ยบที่ชอบบังคับให้ผมฟันดาบและยินธนูบ้าๆนั่นอีก นี่มันสมัยไหนกันแล้ว ส่วนคุณย่าถึงท่านจะใจดีแค่ไหนแต่ถ้ายังไม่เลิกพร่ำเพ้อถึงประเทศที่ไม่มีอยู่จริงในแผนที่ให้ผมฟังจนหูชาละก็คงจะดีกว่านี้มากเลย
“จ้า แม่รู้ว่าลูกเบื่อ แต่ลูกไม่คิดถึงพวกท่านบ้างเลยเหรอ เมื่อวันก่อนคุณย่าโทรมาบอกว่าอยากเจอหลานชายคนเดียว แล้วลูกจะไม่ไปได้ยังไงกันละ โรมินิก!”
“แม่!! อย่าเรียกชื่อนิยายนั่นสิ ผมไม่ชอบนะ”
“จะชอบหรือไม่ ชื่อนี้ก็เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้นะ!!” แม่ดุ ดวงตาสีดำฉายแววไม่พอใจ เครื่องหน้าทุกส่วนแบบหญิงไทยนั่นแตกต่างจากผมโดยสิ้นเชิง ผมได้ดวงตาสีน้ำเงินจากคุณพ่อ ใบหน้าติดไปทางตะวันตกส่วนที่มาของชื่อ โรมินิก เฮฟาเซีย มาจากตระกูลเก่าแก่ที่มีเชื้อสายราชวงศ์ทางของพ่อ ผมไม่รู้ว่า เฮฟาเซีย สืบเชื้อสายมาจากสัญชาติใด แต่บรรพบุรุษของผมก็อาศัยประเทศเยอรมันมาโดยตลอดและลงหลักปักฐานก่อตั้งบริษัทใหญ่โต แต่น่าเศร้าเพราะคุณพ่อได้จากผมกับแม่ไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ผมอายุเพียง 1 ขวบ คุณย่าไม่ชอบคุณแม่ที่เป็นหญิงสามัญแต่ท่านก็ไม่ได้ขัดขวางการแต่งงานนี้ แต่หลังจากคุณพ่อจากไป คุณแม่ก็พาผมออกจากคฤหาสน์มาเช่าบ้านอยู่กันสองคน ซึ่งได้รับเงินเลี้ยงดูจากคุณปู่คุณย่าเสมอ สามปีต่อมาแม่แต่งงานใหม่กับคุณพิภพนักธุรกิจชาวไทย เพื่อนเก่าคุณพ่อ และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน พวกเราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ไม่เคยสักครั้งที่จะมีปัญหากันรุนแรง คุณพิภพเป็นเหมือนพ่อคนที่สองที่ผมรักและเคารพ ทุกคนคงคิดจริงๆว่าผมเป็นลูกชายแท้ๆของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่ไม่มีส่วนใดคล้ายคลึงพวกเค้าเลย
ชื่อ โรมินิก จึงทำให้ผมรู้สึกแตกต่างออกไป ผมจึงชอบมากกว่าที่จะถูกเรียกว่า โรม
“ครับ! ผมจะไปเยี่ยมปู่กับย่าสักสองสามวัน”
“ยังไงลูกก็เรียนจบวิศวะแล้วช่วงที่กำลังรอรับปริญญาก็ไปอยู่กับพวกท่านสักเดือนสิ!”
“1 เดือน!!” ผมร้อง จะมีอะไรน่าเหลือเชื่อกว่านี้อีกมั้ย ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ว่าเรื่องนี้มันเปรียบได้กับอะไร คงจะนึกภาพออกได้ไม่ยากสินะว่าคุณถูกยับโยนเข้าไปในหนังสือนิยายสมันสงครามและเวทมนต์ ที่มีแต่คนแปลกๆอยู่ในคฤหาสน์แปลกๆ ห่างไกลคนปกตินะ “แม่ก็รู้ว่าผมไม่มีทางอยู่ที่นั่นได้เกินหนึ่งอาทิตย์เลยสักครั้ง”
“แต่ครั้งนี้แม่ไม่ยอมแล้วนะ!! คุณปู่อยากให้ลูกไปบริหารธุรกิจต่อ”
“ผมรู้!! ถึงไม่อยากไปไงละ ผมเรียนวิศวะมาก็อยากใช้ความสามารถที่มี ไม่ใช่เพราะอำนาจคุณปู่” ผมอ้างแต่นั่นก็มีความจริงอยู่บ้างละนะ
“ลูกก็รู้ว่าลูกเป็นหลานชายคนเดียว คุณอามีลูกสาวแค่สองคน ยังไงคุณปู่ก็รอยกบริษัทให้ลูก”
“แต่ผมยังไม่พร้อม” ผมบอกปัด “พรุ่งนี้ผมนัดเพื่อนไปวินด์เซิร์ฟที่ซานดิเอโก แล้วพ่อก็อนุญาตแล้วใช่มั้ยครับ” ผมหันไปขอคำยืนยันจากพ่อเลี้ยงที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆแม่บนโซฟา เขาพับหนังสือพิมพ์ในมือแล้วส่งยิ้มใจดีมาให้
“ได้! พ่อไม่ลืมหรอกโรม แต่ไปหาปู่กับย่าก่อนก็ได้นิ”
“ผมจองไฟร์บินไว้แล้ว”
“ก็ยกเลิกได้!”
“โรม!!” แม่ขัดขึ้น
“ครับ?”
“อยากได้อะไรมากที่สุด” แม่ถามซึ่งคำตอบของผมก็หลุดจากปากทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“อิสระ!! ผมอยากไปเที่ยวรอบโลก ทำอะไรที่มันตื้นเต้นท้าทายความสามารถตัวเองดี”
“ก็ได้จ๊ะ”แม่พยักหน้ารับ พลางทำสีหน้าครุ่นคิด “แลกกับการไปหาปู่กับย่าหนึ่งเดือนแล้วหลังจากนั้น ลูกอยากไปไหนอยากทำอะไร แม่จะไม่ห้ามเลย”
“จริงเหรอครับ? ผมอยากปีนเขาเอเวอร์เรส” ผมโพล่งออกไปนั่นเป็นเรื่องที่ผมอยากทำในอันดับต้นๆ
“อะไรนะ!!” แม่อุทาน เมื่อ ได้ยินคำขอแสนบ้าคลั่งของลูกชายตัวเอง แต่ทำไงได้ละ ผมหลงรัก ความเสี่ยง ซะด้วยซิ
“ปีนเขาเอเวอร์เรสนี่มันอันตรายมากนะลูก ไปทำอย่างอื่นแทนได้มั้ยแม่เป็นห่วง”
“แม่ครับ! ผมดูแลตัวเองได้” ผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนแบบที่รู้ว่าแม่ต้องใจอ่อน และครั้งนี้ก็สำเร็จ
“เฮ้อ! ก็ได้แม่อนุญาต แต่ต้องไปหาปู่ก่อนนะ ” แม่ถอนหายใจยอมแพ้ ขณะที่ผมลุกขึ้นไปกอดแม่ที่รัก
“ครับ ผมจะไปเก็บของ”
ห้องนอน
ผมเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วค้นชุดกับของใช้จำเป็นออกมายัดใส่กระเป๋าเดินทาง เอาน่าคิดซะว่า ไปพักผ่อน บริเวณคฤหาสน์ตระกูลคุณปู่ก็สวยอยู่หรอก ล้อมรอบด้วยป่าเขียวขจี ดอกไม้และสวนผมไม้เมืองหนาว ไว้ค่อยไปหาภูเขาแถวนั้นปีนไปพลางๆก่อนก็ได้ (ซ้อมไว้ ก่อนไปเอเวอร์เรส)
พลัว!!
ประตูห้องนอนถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง ผมหันไปมองที่มาของเสียง เห็นไอ้คนไร้มารยาทเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่นบนปลายเตียงแถมประตูก็เปิดทิ้งไว้ปล่อยให้บรรดายุงบินว่อนเข้ามาในห้องผม
“ไอ้พรีซ!! ฉันบอกแกว่าให้เคาะประตูก่อนเข้าห้องฉัน”
“อ๋อ…ผมลืม!!” คำตอบแบบไร้สมองจากน้องชายคนละพ่อทำให้ผมอยากจะเสยมันสักที “พ่อกับแม่เรียกพี่ไปทำไมอ่ะ”
“เรื่องของฉัน!!”
“ก็ผมอยากรู้อ่ะ คราวนี้จะไปเที่ยวไหนอีก ให้ผมไปด้วยนะๆ” พรีซพยายามทำสีหน้าอ้อนวอนที่น่าถีบมากกว่าจะน่ารัก ก็นอกจากมันจะเสือกแล้วยังหน้าด้านอีกด้วย แต่จะว่าไปถ้าเอามันไปด้วยอย่างน้อยก็ไม่น่าเบื่อ
“ได้!!” ผมพูด คุณปู่เป็นคนเคร่งครัดกฎระเบียบประจำตระกูลไม่ยอมให้ผมพาเพื่อนไปแน่ แต่พรีซถึงมันจะเป็นคนนอก แต่ยังไงก็มีศักดิ์เป็นน้องชายผมเพราะงั้น ไปได้
“จริงเหรอ?” พรีซถาม ดวงตาเป็นประกายแบบเด็กๆ(ปัญญาอ่อน)
“เออ!!”
“แล้วเราจะไปไหนกันละ”
“เยอรมัน!!”
“ว้าว!! ปีนี้ไปเที่ยวนอกไง๊”
“อืม…ฉันจะไปหาปู่”
“แว๊ก!!” น้องชายผมส่งเสียงประหลาดก่อนจะกลิ้งตัวลงจากเตียงเตรียมพุ่งออกจากห้อง แต่ผมเร็วกว่า กระโจนไปถีบประตูปิดดังโครม! แล้วกอดอกพิงประตูมองหน้ามัน
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก ยังไงแกก็ได้ไปแน่!!”
“ม้ายยยย!! ถอนตัวตอนนี้ทันมั้ย?”
“ไม่ได้!!”
“ไม่ไป!! ปู่พี่ต้องฆ่าผมแน่” พรีซพูดพลางกลืนน้ำลายเอือกเมื่อเจ็ดปีก่อน มันไปส่งผมที่คฤหาสน์คุณปู่แล้วเผลอไปทำแจกันเก่าแกแตก แล้วมันก็โดนสวดยับเยินยาวสองชั่วโมง และหลังจากวันนั้นมันก็ไม่เคยพูดปู่ของผมอีกเลยและแน่นอนว่ามันไม่คิดจะกลับไปเหยียบที่นั้น
“แกต้องไป!!” ผมตัดบทแล้วงัดไม้ตายออกมาใช้ ก็แม่ยังงัดได้ผมก็เอาบ้างดิ “คนสมองเรียบไร้รอยหยักอย่างแกเอนท์ติดมหาลัยได้เพราะใครช่วยติวให้”
“พี่!”
“ตอนแกสับรางบรรดากิ๊กๆไม่ทัน แกให้ใครช่วย!!”
“พี่!!” พรีซตอบอ่อยๆ
“ตอนที่แก--”
“เฮ้ย! พอหยุดๆ” มันรีบยกมือขึ้นห้าม “ให้ผมได้เหลืออะไรดีๆไว้บ้างดิ ทวงบุญคุณขนาดนี้ ใครจะปฎิเสธได้ว่ะ” พรีซบ่นงึมงำ
“ก็ไม่ต้องปฏิเสธ ไปเก็บของเลยไป!”
“อืม! แล้วจะไปกี่วันละ”
“1 เดือน!!”
“ว๊ากกกกกก !! ผมเฉาตายพอดี”
ผมกับพรีซขึ้นเครื่องบินไปลงที่สนามบินในตัวเมืองของรัฐเล็กๆประเทศเยอรมัน คุณปู่ส่งคนขับรถสปอร์ตยุโรปคันหรูสีดำมารับ รถแล่นไปทางตอนใต้ของรัฐ อากาศเริ่มเย็นชื้นขึ้นเรื่อยๆระหว่างทาง พรีซนั่งเงียบ ก้มหน้าเล่นเกมส์ในไอแพทตลอดทาง ผมมองผ่านกระจกรถที่มีไอเย็นสีขาวเกาะอยู่ เห็นทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากตึกอาคารเป็นป่าดำ ป่าที่มีต้นสนใหญ่ยืนเบียดเสียดกันแน่นหนาทำให้บรรยากาศรอบข้างดูมืดมัว ถูกโอบล้อมด้วยทิวเขาสูงชันรถแล่นต่อไปเรื่อยๆ ความเงียบก็ยังดำเนินราวกับไม่มีที่สิ้นสุดจนกระทั่ง ดวงตะวันคล้อยต่ำลงรถก็เลี้ยวเข้าไปในถนนส่วนบุคคล ขับต่อไปราวๆ 20 นาที ก็พบสนามหญ้ากว้างใหญ่มีต้นไม้และดอกไม้สวยงามบ่งบอกว่าได้รับการดูแลอย่างดี ตรงส่วนที่เป็นเนินสูง…. คฤหาสน์เก่าแก่ตั้งเป็นสง่าอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็น มันทำให้ผมนึกถึงภาพความทรงจำวัยเด็ก นึกถึง พ่อ!!
รถสปอร์ตแล่นไปหยุดอยู่หน้า ประตูไม้สักลวดลายอ่อนช้อยแปลกตา คุณป้าจูโน หัวหน้าแม่บ้านที่ทำงานมานานตั้งแต่ผมยังไม่เกิดกับเด็กสาวรับใช้อีกนับสิบกำลังยืนต้อนรับเราอยู่ พวกเค้าเปิดประตูรถให้ผมกับพรีซก้าวลงมา เมื่อทุกคนเห็นผมต่างก็ก้มศีรษะทำความเคารพแล้วแยกย้ายกันไปยกกระเป๋าสำพาระของเรา
“ยินดีต้อนรับการกลับมาคะ คุณโรมินิก” ป้าจูโนทักเป็นภาษาอังกฤษด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามแบบฉบับเดิม ร่างผอมแห้งอยู่ในชุดเครื่องแบบแม่บ้านคือ กระโปรงยาวสีน้ำเงินและคาดทับด้วยผ้ากัน เปื้อนสีขาว
“สวัสดีครับคุณป้า” ผมตอบเป็นภาษาเดียวกัน
“สวัสดีคุณพรีซ!” ป้าจูโนพูดกับพรีซ มันยืนนิ่งอยู่ข้างผมเล่นเกมส์ในไอแพทอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมใช้เท้าสะกิดมันแรงๆ พรีซสะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมาเจอกับป้าจูโนที่ปรายตามองมันอยู่
“สวัสดีครับ” พรีซทักแล้วก้มหน้ามองไอแพท ผมจึงรีบฉวยมันออกมาจากมือพรีซแล้วส่งมันให้สาวใช้คนหนึ่ง
“โห้!! พี่อ่ะ แล้วผมจะใช้อะไรเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองละ” น้องชายผมโวยวายเป็นภาษาไทย สายตามันเริ่มโฟกัสไปรอบๆตัวอย่างหวาดระแวง
“นิ่งไว้!” ผมพึมพำแล้วหันไปฉีกยิ้มหน้านิ่งๆของป้าจูโน
“เชิญทางนี้เลยคะ คุณท่านกำลังรอพวกคุณอยู่”
ผมกับพรีซเดินตามป้าจูโนเข้าไปในคฤหาสน์ผ่านโถงทางเดินหรูหราที่ถูกปูพื้นด้วยหินอ่อนสีขาว ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นทุกอย่างไม่เป็นเช่นนี้ ภายในห้องถูกตกแต่งใหม่ทั้งเครื่องเรือน ผนัง หรือแม้แต่หลอดไฟ ราวกับเนรมิตคฤหาสน์หลังใหม่ที่เหลือเค้าเดิมเพียงน้อยนิด สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆถูกเปลี่ยนให้ทันสมัยและหรูหราขึ้น แต่ไฟในคฤหาสน์ยังคงหรี่ให้เหลือเพียงแสงสลัวๆเช่นเดิม เงาของพวกเราสะท้อนทาบทับผนังขณะเดิน
“คฤหาสน์หลังนี้ประหยัดไฟเหรอครับ” พรีซโผล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบด้วยภาษาอังกฤษ
“เปล่าหรอกคะ! คุณท่านชอบความมืด!!” ป้าจูโนหันมาตอบเรียบๆแล้วเดินต่อ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณปู่ชอบความมืดก็เพราะว่าท่ามกลางป่าไม้และเนินเขา คฤหาสน์เก่าแก่ที่มีสไตร์การตกแต่งแบบย้อนยุคจะดูมีเสน่ห์มากที่สุดในความมืดและเวลากลางคืนอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยแต่คงจะใช้ไม่ได้กับพรีซ มันเริ่มออกอาการวอกแวกบ่อยขึ้นขณะเดิน ก็ต้องทำใจในเมื่อน้องชายผมเป็นประเภทไร้ความคลาสิกอารมณ์ที่เข้าถึงคงไม่พ้นคำว่าผี!
ป้าจูโนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งแล้วยกมือขึ้นเคาะเบาๆ
ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!
“เข้ามา!!” เสียงทุ้มดังขึ้นจากข้างในห้อง แม้จะไม่ได้ยินมานานแต่ผมยังจำได้แม่นว่าเป็นเสียงของคุณปู่ ป้าจูโนเปิดประตูแล้วผายมือเป็นการเชิญให้ผมกับพรีซเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูตามหลังเรา
คุณปู่นั่งเอนหลังอยู่บนโซฟากำลังเชคตารางหุ้นปัจจุบันจากเทคบุ๊ค ใบหน้ายังเคร่งครึมแบบปกติ นัยน์ตาสีน้ำเงินสงบนิ่งดูทรงอำนาจบางอย่างที่ชวนให้น่าเกรงขาม ส่วนคุณย่านอนเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวยาวท่าทางผ่อนคลายในมือถือวรรณกรรมคลาสิกเรื่องโปรด นัยน์ตาสีเขียวใจดีทอดมองมายังผมด้วยความอ่อนโยน ย่าวางหนังสือลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่ามันจะเจ็บก่อนจะลุกขึ้นมาโอบกอดผมแน่น
“โรมินิกของย่า มาแล้ว! ” คุณย่าพูดด้วยภาษาเยอรมัน ซึ่งคนโง่ๆอย่างพรีซต้องขมวดคิ้วมุ้ย
“สวัสดีครับย่า” ผมพูดกับย่าด้วยภาษาเดียวกันหลังจากย่าปล่อยผมแล้ว “สวัสดีครับปู่” ผมพูดแล้วยกมือขึ้นไหว้ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองตามมารยาทแบบไทยที่แม่เคยสอนมา
“อืม… นั่งสิ” คุณปู่กล่าว ผมดึงพรีซนั่งลงข้างๆมันรีบยกมือขึ้นไหว้ปู่กับย่าแล้วนั่งนิ่ง
คุณย่าถามไถทุกข์สุขของผมกับแม่ แล้วก็ให้ผมเล่าเรื่องต่างๆที่ทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณปู่ไม่พูดอะไรมาก สายตายังจับจ้องแทคบุ๊คอยู่ราวกับไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่าปู่ฟังทุกคำของผมนั่นเหละ ด้วยความที่พรีซฟังภาษาเยอรมันไม่ออกแล้วมันยังอ่อนด้อยภาษาอังกฤษ มันจึงขอตัวไปพักที่ห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
“หลานเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยแล้ว” ย่าพูดขึ้นหลังจากที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมอยากจะนอนแล้ว “ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวย่าพาไป”
“ครับ!” ผมลาปู่แล้วเดินตามย่าออกจากห้องนั่งเล่นผ่านห้องโถงสู่บันไดเวียนที่มีราวจับสีทองสลักรวดลายแปลกตา ถูกปูด้วยพรมสีแดงสดราวกับทางเดินของเหล่า ขัตติยะวงศ์ ระเบียงชั้นสองมีภาพถ่ายบรรพบุรุษของผมตั้งแต่รุ่นแรกที่เป็นผู้สร้างคฤหาสน์หลังนี้ขึ้นมาใส่กรอบทองแขวนตามผนังใต้ภาพเขียนปี ค.ศ. ระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จนสิ้นอายุไงและภาพสุดท้ายสิ้นสุดลงที่ภาพคุณพ่อ ซึ่งเดาได้เลยว่าภาพต่อไปเว้นที่ว่างไว้สำหรับผม! ซึ่งไม่เคยต้องการ!
ผมเดินตามคุณย่าผ่านเข้าไปในโถงเล็กของส่วนที่เป็นห้องพัก บริเวณผนังติดภาพวาดสีน้ำต่างๆของศิลปินชื่อดังทั้งหมดเป็นภาพทิวทัศน์และสถานที่ที่มีชื่อเสียงแต่แล้วสายตาผมก็ไม่สะดุดลงที่ภาพภาพหนึ่ง มันเป็นภาพบุคคลเพียงภาพเดียวในห้องนี้ สองขาของผมก้าวเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ สายตาไล่มองมันช้าๆ
ภาพนั้นเป็นภาพวาดเก่าแก่ที่สุด ถูกวาดด้วยสีขาวและดำ ทำความสะอาดแล้วใส่กรอบเงินแบบทันสมัย หญิงสาวในภาพมีดวงตากลมโตคู่สวยลึกลับ จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง เส้นผมยาวสลวยล้อมใบหน้ารูปไข่ เธออยู่ในชุดทรงของราชวงศ์ตะวันตก สวมมงกุฎบ่งบอกฐานะราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยายที่ไร้ตัวตน ศิลปินคงจะเก่งมากถึงได้ถ่ายทอดความงามแบบมีเสน่ห์หน้าหลงใหลออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้
“สวยมากใช่มั้ย” คุณย่าถามขึ้นหลังจากเห็นผมนิ่งไปนาน
“ครับ!” ผมยอมรับ “ย่าได้ภาพนี้มาจากไหนครับ”
“ย่าซื้อมาจากพ่อค้าของเก่าผิดกฎหมายเมื่อต้นปีก่อน มันเป็นอะไรที่คลาสสิกมาก จนย่าอดไม่ได้ต้องซื้อ” ย่าตอบพลางทำหน้าเพ้อฝันแบบเวลาที่อ่านวรรณกรรมคลาสสิกของเชกสเปีย
“เธอมีตัวตนจริงๆหรือเปล่าครับ”
“โอ้!! แน่นอนว่ามีสิ เธอคือเจ้าฟ้าหญิงแห่ง เกราซา แต่ย่าจำชื่อเธอไม่ได้หรอกนะ มันยาวแล้วเรื่องนั้นก็นานมากแล้ว ” ย่าพูดพลางยกมือขึ้นลูบภาพวาดเบาๆอย่างอ่อนโยน
“แห่งอะไรนะครับ?”
“เกราซา”
“มันมีด้วยเหรอ = =;” ผมถามอย่างไม่เชื่อหู มันคืออะไรกัน ประเทศ เมือง แคว้น หรือว่ารัฐ
“พูดอะไรอย่างนั้นจ๊ะ” ย่าถอนหายใจแล้วส่ายหน้านิดๆ “มันยังมีอะไรอีกมากที่หลานสมควรรู้แต่ยังไม่รู้”
“อะไรละครับ?” คงไม่ใช่ว่าคุณย่ากำลังจะเริ่มเพ้ออีกแล้วนะ
“เออ! เอาเป็นว่านิยายแฟนตาซีก็กลายเป็นเรื่องจริงได้”
นั่น!! เอาแล้วไงละถ้าเป็นงี้ก็เลิกคุยได้เลย คุณอาจจะคิดว่าผมเป็นหลานที่แย่มาก แต่ด้วยความปรารถนาดี ผมอยากให้ย่าไปเชคประสารท
“ผมง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน” ผมรีบตัดบทแล้วก้มลงหอมแก้มย่าเบาๆ
“ฝันดีครับ”
ภายในห้องนอนห้องเดิมของผมถูกจัดตกแต่งใหม่ด้วยสไตร์เรียบง่าย เตียงสี่เสาขนาดบิ๊กไซร์ตั้งอยู่กลางห้อง ม่านรอบเตียงสีแดงเลือดนกสีเดียวกับผ้าม่านที่ปักดิ้นทองงดงามซึ่งเข้ากับเตียงตู้และโต๊ะที่ทำจากไม้สักขัดเงา ของเล่นสมัยเด็กของผมยังครบทุกชิ้น หุ่นยนต์ตัวแรกของผมที่พ่อซื้อให้ตั้งอยู่ในตู้กระจกข้างๆวางตุ๊กตาที่แม่ให้เป็นของขวัญวันเกิดและบรรดาเทพนิยายที่ย่าให้ผมแต่ในบรรดาของสั่งสมไม่มีชิ้นไหนที่คุณปู่มอบให้ผมสักอย่าง ในความหมายของผมคือเขามักจะให้ผ่านย่า ซึ่งผมก็ดีใจ ผนังห้องแขวนรูปของครอบครัวมี พ่อ แม่ ปู่ ย่า และอา(หญิง) ส่วนใหญ่เป็นภาพของผมตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน มีรูปพ่อเพียงสองรูปคือตอนที่พ่อแต่งงานกับแม่และตอนพ่ออุ้มผมเมื่อผมยังเล็กมาก
ผมล้มตัวนอนบนเตียงหลับตาลง ปล่อยให้ความมืดเข้าครอบครองแล้วความเหนื่ออ่อนก็ทำให้ผมหลับไปในที่สุด
ภาพเหตุการณ์ซับซ้อนก่อตัวขึ้นในหัวผม มันรวดเร็วจนทำให้สับสนว่าผมกำลังมองอะไร หรือว่าอยู่ที่ไหน
เสียงลมหวีดหวิว… กระทบใบไม้ไหว ป่าไม้สีดำ ขุนเขาเสียงไหลของสายน้ำแต่สิ่งเดียวที่ผมจำได้และเห็นชัดเจนที่สุดคือ หญิงสาวในภาพวาดเก่าแก่ที่ห้องโถง ผมเห็นใบหน้าเศร้าหมองกำลังมีหยาดน้ำใสๆไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอ ผมพยายามเอื้อมมือเข้าไปหา… ผมอยากช่วยเหลือเธอจากความเจ็บปวดแล้วเสียงกรีดร้อง!! ราวกัยจะขาดใจก็ดึงผมออกจากความฝัน
ตุ้บ!!
ผมสะดุ้งตื่นเพราะสิ่งมีชีวิตบางอย่างพุ่งกระแทกประตูกระจกที่ระเบียง ผมยันตัวขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปดึงม่านสีแดงเลือดนกให้เปิดออกก็แค่นกฮูกแก่ๆบินชนกระจกเท่านั้น ผมเปิดประตู สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาปะทะใบหน้า นกฮูกมึนงงพยายามกระพือปีกถี่ๆหาทางออก เพราะแกแท้ๆที่ทำให้ฉันตื่นจากความฝัน ผมก้มไปอุ้มร่างพองๆของมันขึ้นมาวางบนระเบียง นกฮูกทรงตัวก่อนจะกางปีกถลาสู่ท้องฟ้ารัตติกาล
ผมกวาดตามองทิวทัศน์ขุนเขาและป่าสนรอบๆคฤหาสต์ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดทุกอย่างที่เห็นทำให้ผมไม่อาจไล่ความฝันออกไปจากสมองได้เลย ภาพน้ำตาที่ไหลช้าๆออกมาจากดวงตาคู่งามฉายความรวดร้าว จนยากที่ผมจะทำใจให้ลืมแล้วข่มตาหลับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ