SaE:The Begining of Esper
3) คำเตือน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3 คำเตือน
ในยามเช้าที่แสงอาทิตย์สาดส่อง เหล่าฝูงนกต่างบินว่อนไปมาส่งเสียงประสาน ท้องฟ้าที่ไร้เมฆโชว์ความงามของสีฟ้า เด็กหนุ่มผมสีแดงเข็มกำลังแต่งตัวอย่างขมักเขม้นเพื่อที่จะเตรียมไปเรียน เขาไม่ลืมที่จะหยิบสมุดและหนังสือที่จะต้องเรียนใส่กระเป๋าเป้ใบโปรดที่มักพกไปไหนมาไหนด้วยเสมอ และเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพแล้วไรเซ็นก็เดินลงมาจากห้องนอนด้วยสภาพที่สดชื่นในยามเช้า
“วันนี้ดูอารมณ์ดีจริงนะ” นั่นคือประโยคบทสนทนาแรกของวันนี้ที่เด็กหนุ่มได้ยิน
“ก็นิดหน่อยครับ...... ว่าแต่ตอนเช้ามีอะไรกินบ้าง” ไรเซ็นทักทายอย่างร่าเริงขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปยังมื้อเช้าสุดสำคัญ
“แซนวิชแฮมไข่ดาวจ๊ะ” แม่ของไรเซ็นเอ่ยพลางยื่นแซนวิชสุดแสนน่ากินให้กับเขาซึ่งเขาก็รีบคว้าอย่างไม่เกรงใจ
“ผมไปก่อนนะครับ”
“ระวังตัวด้วยละ”
ก่อนที่จะเดินออกจากประตูไป ไรเซ็นไม่ลืมที่จะหันมายิ้มให้กับแม่ของเขาที่คอยดูแลเขามาตลอด เขาทำแบบนี้ทุกเช้าเพื่อเป็นการขอบคุณแม่ของเขาเสมอ ไรเซ็นเดินตรงไปที่โรงเรียนโดยไม่ได้เถลไถลแวะไปที่อื่น ยิ่งวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสแต่ไม่ร้อนมากยิ่งทำให้ร่างกายของเขาสดชื่น
แม้ว่าเมื่อวานเขาจะคำนวณพลาดเรื่องเวลาการไปถึงโรงเรียนของเขาไปบ้าง ดังนั้นวันนี้เขาจึงแก้ตัวด้วยการออกจากบ้านสายกว่าเมื่อวานเล็กน้อยซึ่งก็ได้ผล ไรเซ็นมาถึงโรงเรียนในเวลาที่พอเหมาะพอดี เขาไม่รอช้าที่จะตรงขึ้นไปยังห้องเรียนซึ่งก็พบว่าเพื่อนซี้ใหม่ของเขา 2 คนคือทัคกี้และโรเช่นั้นอยู่ในห้องเรียนแล้ว พวกเขาทักทายและคุยเล่นหยอกล้อกันตามประสาเด็กหนุ่มวัย 13 ปีเพื่อรอเวลาเข้าเรียน ในเวลาเดียวกันไรเซ็นก็เริ่มที่จะพยายามจำชื่อและหน้าตาของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นด้วยเช่นกัน
ไรเซ็นรู้สึกได้ว่านี่ละคือชีวิตที่เขาต้องการ ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องเป็นคนพิเศษ หรือมีพลังพิเศษ แต่เป็นชีวิตที่ได้ใช้ชีวิตในฐานะเด็กม.ต้นอย่างเต็มที่ ได้เรียนและได้สนุกกับเพื่อนๆ นั่นละชีวิตม.ต้นในนิยามของเขา
การเรียนในช่วงเช้าของปี 1 ห้อง B เป็นไปอย่างสนุกสนาน ทุกคนดูครึกครื้นกับวันศุกร์มากอาจจะเพราะเป็นวันเรียนวันสุดท้ายของสัปดาห์ก็ได้ นอกจากนั้นไรเซ็นเองก็มีสมาธิในการเรียนมากขึ้นเพราะไม่มีสิ่งใดมารบกวนจิตใจของเขาให้ว้าวุ่นเหมือนช่วงที่เคยผ่านมา หลังจากการเรียนช่วงเช้าเสร็จสิ้นไรเซ็นและเพื่อนๆ จึงได้ตัดสินใจที่จะไปกินข้าวกันที่โรงอาหารในที่นั่งประจำของพวกเขา คือที่ๆ วันแรกพวกเขาได้ไปนั่งกินอาหารกัน
“เฮ้ย!ของนายดูน่ากินดีนี่หว่า!!!!” โรเช่ที่เห็นจานข้าวของไรเซ็นดูมีอาหารหน้าตาแปลกๆ จึงเอ่ยออกมา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่น่าจะอร่อยนะ” ไรเซ็นไม่ได้พูดเปล่าแต่บรรจงยัดอาหารเข้าปากเพื่อลิ้มรสชาติของอาหารในจาน
“อือ.....อร่อยยยย~~”
“นายกินอะไรก็บอกอร่อยหมดนั่นแหละ” ทัคกี้แอบกัดไรเซ็นบนโต๊ะอาหาร
“คนเราต้องมีความสุขกับการกินสิ” ไรเซ็นแย้งพร้อมกับทำหน้ามีความสุขเมื่อได้เอาอาหารเข้าปากอีกครั้ง
“ว่าแต่ดูนายอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ!” โรเช่ที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของไรเซ็นจึงเอ่ยถามขึ้นมา “มีอะไรรึเปล่า?”
ไรเซ็นยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนที่พูดออกไป “ฉันให้พวกนายเดา”
“อืมมมมมม..... ได้เกมส์ใหม่” โรเช่เริ่มเดาเป็นคนแรก
“ไม่ใช่!” ไรเซ็นหัวเราะชอบใจที่เพื่อนของเขาเดาผิด
“ได้หนังสือเล่มใหม่” คราวนี้เป็นตาของทัคกี้ที่เดาบ้าง
“ผิดแล้ว ว่าแต่นายหมกมุ่นกับหนังสือจริงๆ นะทัค”
“มีสาวๆ ชวนเดทรึไง” โรเช่ยังคงไม่หยุดที่จะเดา
“เป็นอย่างนั้นก็ดีสิ!”
“ได้หนังสือมือ 2 เล่มใหม่” ทัคกี้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่หนังสือ!!!”
“หรือว่า.............. ได้หนังโป๊มารึไง” คำพูดของโรเช่ทำเอาไรเซ็นถึงกับสำลักอาหารออกมา
“ไม่ใช่แล้วเฟ้ยยยยย!”
“งั้นอะไรเล่า! เฉลยมาสักทีสิเว้ย!” ทั้งทัคกี้และโรเช่ต่างประสานเสียงพร้อมกัน
“ฮะๆ คือว่าพ่อของฉันที่อยู่กรีนทาวน์กำลังจะมาหาฉันที่นี่!” ไรเซ็นทำสีหน้ามีความสุขก่อนที่จะเฉลยออกมา
“อ่าว! ฉันก็นึกว่าพ่อของนายอยู่ด้วยกันกับนายซะอีก” โรเช่แสดงความคิดเห็นของเขาออกมา
“เปล่า....... พอดีเขาติดงานที่นั่นเลยย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยไม่ได้” ไรเซ็นบอกซึ่งเพื่อนทั้ง 2 คนที่เข้าใจแล้วจึงไม่ได้ถามต่อถึงเรื่องงานของพ่อของเขา
“ยินดีด้วยนะ จะได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัวเสียที” โรเช่อวยพรออกมาจากใจ
“ขอบใจเพื่อน!”
ทว่าในระหว่างที่คุยกันอย่างสนุกสนานอยู่นั่นเอง เด็กสาวผมสีเงินผู้ได้ฉายาว่าป๊อปปูล่าแห่งปี 1 คนที่แม้แต่ไรเซ็นก็ไม่ได้คาดฝันกำลังเดินตรงดิ่งมายังที่โต๊ะของเขาก่อนที่จะมาหยุดยืนอยู่ที่หัวโต๊ะ ณ ตอนนี้สายตาของผู้คนทั้งโรงอาหารต่างจับจ้องมายังที่โต๊ะที่พวกไรเซ็นนั่งอยู่ หญิงสาวผมเงินจ้องหน้าไรเซ็นด้วยสีหน้าและแววตาที่มุ่งมั่นยิ่งทำให้เธอดูน่ารักมากขึ้นในสายตาของเขา
“คุณคงเป็น คุณไรเซ็นสินะคะ” เอ็นวี่เป็นฝ่ายเริ่มที่จะทักทายเขาก่อน
“อ......เอ่อ ช.....ใช่ครับ” เขาตอบอย่างตะกุกตะกักด้วยความประหม่า
“ไม่ทราบว่าวันพรุ่งนี้คุณไรเซ็นว่างไหมคะ” เธอถามพร้อมกับทำสีหน้าที่คาดหวังคำตอบที่เธอต้องการอยู่ในใจ
“ก....ก็ว่างครับ มีอะไรรึเปล่า”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ ช่วยไปที่เกทสแควร์เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ”
“อะไรนะ!!!!!!” ทุกคนที่อยู่ในโรงอาหารร้องตะโกนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“....... หรือว่าคุณไม่อยากไปกับฉันคะ?”
“อยากกกกก!!!!!”
ไรเซ็นรีบลุกขึ้นพร้อมโพล่งออกมาอย่างสุดเสียง นี่คือโอกาสที่เขาไม่คิดจะได้รับและเขาไม่คิดปล่อยให้โอกาสมันพลาดไปอย่างน่าเสียดายแน่นอน
...........................................................
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นข่าวเรื่องของไรเซ็นและเอ็นวี่ถึงกับแพร่กระจายไปทั่วแผนกม.ต้นราวกับไฟลามทุ่งที่ไม่มีอะไรสามารถมาดับมันลงได้ ทำให้แผนกม.ต้นทั้งแผนกเกิดความโกลาหลวุ่นวายทุกหย่อมย่านของตึก แม้ว่าทั้งไรเซ็นและเอ็นวี่จะปฏิเสธในทำนองเดียวกันว่าพวกเขาแค่ไปเที่ยวในฐานะเพื่อนกันเท่านั้นแต่..... แต่ยิ่งทั้งคู่ปฏิเสธข่าวลือกลับยิ่งดุเดือดและรุนแรงขึ้นจนน่าใจหาย สุดท้ายทั้งคู่จึงต้องยอมปล่อยให้สถานการณ์อันเลวร้าย(?)เป็นไปตามวัฎจักรของมัน
เมื่อระฆังหมดเวลาเรียนดังขึ้นไรเซ็นคาดการณ์ได้ทันทีว่าถ้าหากเขายังคงนั่งแช่อยู่ที่โต๊ะ ภายในไม่ถึง 2 วินาทีเขาจะถูกรุมล้อมด้วยกองทัพ “กูรู” ผู้(อยาก)รู้เรื่องของชาวบ้านไปทั่ว เสียยิ่งกว่ามดรุมตอมน้ำตาลเสียอีก ดังนั้นเขาจึงรีบเผ่นออกจากห้องอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแล็บ ทว่ามีสิ่งที่หนึ่งไรเซ็นไม่เคยรู้นั่นคือข่าวลือนั้นเปรียบเสมือนบูมเมอแรง เมื่อเขาได้ปามันออกไปครั้งหนึ่งแล้ว ยิ่งวิ่งหนีเท่าไหร่มันก็ยิ่งสวนกลับมาแรงขึ้นเท่านั้น
“แฮกๆๆ สถิติใหม่เลยนะเนี่ย....... วิ่งจากห้องเรียนลงมาหน้าโรงเรียนใช้เวลา 1 นาทีเนี่ย” ไรเซ็นบ่นกับตัวเองขณะที่เขากำลังยืนหอบด้วยความเหนื่อยอยู่หน้าโรงเรียน
“ใช่คะ พึ่งเคยวิ่งไวอย่างนี้เป็นครั้งแรกเลย......”
“นั่นสิ!แต่ก็สนุกดีนะ ได้ออกกำลังกายด้วย” ไรเซ็นตอบกลับโดยไม่ทันได้สังเกตว่าผู้ที่เขากำลังสนทนาด้วยนั้นคือใคร……
“ออกกำลังกายนี่ดีต่อสุขภาพจริงๆ นะคะ”
“เอ๋!!!!!!!!!” ทั้งคู่อุทานออกมาพร้อมกัน
กว่าพวกเขาจะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว เบื้องหลังของพวกเขา........คือกลุ่มนักเรียนม.ต้นหลายร้อยชีวิตกำลังยืนมองทั้งคู่ผ่านทางหน้าต่าง สิ่งที่ทุกคนมองเห็นคือภาพที่ไรเซ็นกำลังยืนหอบอยู่หน้าโรงเรียนพร้อมกับเอ็นวี่ที่วิ่งตามเขาลงมาเหมือนกัน และแน่นอนเรื่องนี้จะกลายเป็นข่าวใหญ่อีกหนึ่งข่าวที่ทุกคนจะจดจำไว้ในจิตใจไปแสนนาน........
“ม่ายยยยยยยยยยยยยย”
...........................................................
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะลั่นบ้านของหญิงสาวผู้ที่ไรเซ็นเรียกว่าแม่
‘รู้อย่างนี้ไม่น่าเล่าให้ฟังเลย’ ไรเซ็นคิดในใจขณะที่สายตากำลังจับจ้องไปยังแม่ของเขาเองที่เอาแต่หัวเราะชอบใจหลังจากที่เขาเล่าถึงวีรกรรมสุดเปิ่นที่ตัวเองพึ่งก่อขึ้น
“เอาละๆ พรุ่งนี้วันสำคัญไม่ใช่เหรอ” คุณแม่ผู้ใจดีของไรเซ็นพยามเตือนว่าเขาควรเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ “แต่งตัวหล่อๆ ละหนุ่มน้อย”
หลังจากนั้นเธอก็เดินมาจูบที่หัวของลูกชายสุดที่รักก่อนที่จะไปนั่งตรงโซฟาพลางเปิดโทรทัศน์ดูปล่อยให้ไรเซ็นนั่งคิดอะไรตามลำพัง ในโลกนี้อาจจะมีแม่หลายๆ คนถูกลูกมองในลักษณะผู้คุมกฏอันเด็ดขาดหรือว่าสาวสุดโหดประจำบ้านแต่อย่างน้อยหนึ่งในนั้นไม่ใช่ไรเซ็น เพราะว่าไรเซ็นมองว่าแม่ของเขาคือผู้หญิงที่สามารถเข้าใจในตัวของไรเซ็นมากที่สุด และในยามที่เขาประสบปัญหาเธอก็ไม่เคยปล่อยให้ลูกชายเผชิญกับความอ้างว้างเพียงลำพัง แต่เธอคอยดูแลลูกชายของตัวเองอย่างห่างๆ เสมอ นั่นละคือเสน่ของเธอในแบบที่ไรเซ็นเข้าใจ
“ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีกว่า” ว่าแล้วไรเซ็นก็เพื่อคลายความกังวล
...........................................................
ณ โรงเรียนมัธยมเบรนด์ทรัสในช่วงยามเย็นที่แสงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ฝูงปักษาต่างพากันอพยพเข้ารัง ช่างเป็นยามเย็นที่เงียบสงบ ไร้ซึ่งกลุ่มที่ต้องพาเดินออกจากโรงเรียนในช่วงเวลานี้เพราะต้องอยู่ซ้อมกีฬากันจนถึงเย็นหรือเด็กคงแก่เรียนที่มักรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันในห้องสมุด ไม่มีแม้กระทั่งเหงาของอาจารย์ที่ควรจะต้องเดินตรวจความเรียบร้อยตามห้องเรียนในชั้นต่างๆ คล้ายกับว่าทั้งโรงเรียนมีเพียงเธอ....สาวน้อยผู้มีนัยตาสีทองที่คอยจับจ้องทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้ผ่านห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3
“วันศุกร์......เป็นวันที่เงียบเหงาจริงๆ นั่นแหละ” เธอเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ขณะที่เธอยังคงจับจ้องสายตาออกไปยังข้างนอกผ่านหน้าต่างของห้องทดลอง
“คงจะต้องกลับบ้านแล้วสินะ” เธอไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังห้องที่กำลังบ่งบอกว่าตอนนี้ใกล้จะ 6 โมงเย็นแล้ว
ว่าแล้วเธอก็เดินตรวจเช็คความเรียบร้อยของห้องทดลองอีกครั้งก่อนที่จะทำการจัดทรงผมสีชมพูอ่อนของเธอให้ดูเป็นระเบียบเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วเฟรเน่จึงปิดห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 แต่ระหว่างที่ปิดห้องอยู่นั่นเอง เธอกลับได้ยินเสียงของคนคุยกันดังก้องมาจากชั้นบนของตึก และมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับอีกฝ่ายกำลังเดินลงบันไดมาจากชั้นบนของตึก ด้วยความสงสัยใคร่รู้เฟรเน่จึงตัดสินใจกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องทดลองเหมือนเดิม
สิ่งที่เธอเห็นคือกลุ่มของนักเรียนปี 3 กลุ่มหนึ่งกำลังเดินลงบันไดมาพลางคุยกันส่งเสียงเอะอะไปทั่วโดยไม่รู้เลยว่าทุกสิ่งที่พวกเขาได้คุยกันนั้นล่วงรู้ไปถึงหูของเฟรเน่ซึ่งแอบฟังอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
...........................................................
ในเช้าวันเสาร์ที่อากาศสดใสไร้หมู่เมฆมาบดบังท้องฟ้าสีน้ำเงิน ท่ามกลางย่านที่ผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองนามว่าเกทสแควร์ ไรเซ็นกำลังนับเวลารอเอ็นวี่อย่างใจจดใจจ่อ ความจริงคือเขาตื่นเต้นเสียจนรีบมาก่อนเวลานัดถึงครึ่งชั่วโมง แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ใจของเขาสงบได้เลย และเมื่อยิ่งใกล้เวลานัดเข้าไปเท่าไหร่หัวใจของไรเซ็นก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นจนแทบระเบิดออกมา
“โอ้ยยยยย! ประสาทจะกินอยู่แล้วเฟ้ย!” ไรเซ็นบ่นกับตัวเองเบาๆ หลังจากหันไปดูนาฬิกาที่กำลังส่งเสียงบอกเขาเบาๆ ว่าอีก 5 นาทีจะถึงเวลาที่นัดกันได้
แต่แล้วในระหว่างที่ไรเซ็นกำลังรออยู่นั่นเอง สายตาของเขาก็หันไปเห็นเอ็นวี่กำลังเดินตรงมาหาเขาพลางโบกไม้โบกมือให้เขา เธอสวมชุดเดรสสีชมพูอ่อนพร้อมกับปล่อยให้ผมสีเงินของเธอสยายออก ทำให้เธอดูน่ารักกว่าเดิมจนแทบจำไม่ได้แม่ว่าปกติเธอจะน่ารักอยู่แล้วก็ตาม
“รอนานไหมคะ” เอ็นวี่เริ่มทักทายก่อนไรเซ็นที่กำลังอึ้งกับความน่ารักของเธออยู่
“อ....เอ้อ ไม่นานเท่าไหร่ครับ แหะๆ” เขาตอบแกมหัวเราะแห้งๆ
“ถ้าอย่างนั้นเราจะเริ่มไปที่ไหนก่อนดีคะ” ถึงเธอจะถามไรเซ็นอย่างนั้นก็เถอะแต่ให้พูดตามความจริงคือเขาพึ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
“ไม่รู้สิครับ แล้วแต่เอ็นวี่เลย” ไรเซ็นพูด
“ถ้าอย่างนั้น เราไปเดินเล่นที่เกทสแควร์ก่อนดีไหม”
“ดีครับ”
เกทแสควร์คือชื่อของห้างสรรพสินค้าที่สูงถึง 10 ชั้น โดยประกอบด้วยตึกขนาดใหญ่จำนวน 2 ตึกที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินระหว่างชั้น เกทสแควร์ถือว่าเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองคาปาเทลซิตี้แห่งนี้ดังนั้นเมื่อถึงวันหยุด เกทสแควร์จะคราคร่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมาพักผ่อนกันในวันหยุด
เอ็นวี่พาเขาเดินสำรวจตามมุมต่างๆ ของห้างไม่ว่าจะเป็นมุมเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และอื่นๆ อีกมากมาย แม้ว่าโดยมากแล้วเธอมักจะแวะเข้าร้านเสื้อผ้าเพื่อลองชุดน่ารักๆ ก็ตาม แต่ไรเซ็นก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อเลยเขาคิดว่าดีเสียอีกที่ได้เห็นเอ็นวี่ในชุดสวยๆ แบบนี้ ตลอดการเดินเที่ยวของพวกเขาก็มักจะคุยกันถึงเรื่องส่วนตัว เอ็นวี่เองก็ดูจะสนใจถึงเรื่องราวในอดีตของไรเซ็นก่อนที่เขาจะย้ายมาอยู่ที่นี่ แถมเธอยังบ่นว่าตลอดชีวิตของเธอไม่เคยได้ไปยังเมืองอื่นเลยเนื่องจากทั้งพ่อและแม่ของเธอนั้นต้องทำงานทุกวัน ซึ่งจากที่คุยกันมาไรเซ็นก็พอจะเดาได้ว่าครอบครัวของเธอน่าจะเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะพอสมควร
หลังจากที่ทั้งคู่เดินเล่นกันจนเหนื่อยแล้วทั้งคู่จึงตัดสินใจนั่งพักกันที่ร้านไอศกรีมแห่งหนึ่ง ภายในร้านจัดแต่งอย่างสวยงาม รอบๆ ร้านนั้นเป็นกระจกทำให้สามารถเห็นวิวด์ข้างนอกได้อย่างชัดเจน ทั้งคู่นั่งกินไอศกรีมไปและคุยกันไปอย่างสนุกสนาน นี่อาจเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำสำหรับชีวิตของไรเซ็น การที่ได้นั่งคุยกับเด็กผู้หญิงที่น่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ ในสถานที่ที่ไม่น่าเชื่อแห่งนี้ อย่างไรก็ตามมีบางเรื่องที่ยังคาใจเขาอยู่และไรเซ็นคิดว่าเขาควรที่จะถามเธอไปตรงๆ
“ทำไมละ” ไรเซ็นเห็นจังหวะเหมาะจึงลงมือถามเอ็นวี่ที่กำลังเอร็ดอร่อยกับไอศกรีมรสช็อคโกแล็ตอยู่
“?”
“ทำไมถึงชวนผมมาเที่ยวละครับ” ไรเซ็นถามอย่างสุภาพ
“ถามได้ตรงประเด็นพอดีเลยคะ” เอ็นวี่หยุดรับประทานไอศกรีมพลางเช็ดปากที่เปื้อนช็อคโกแล็ตก่อนที่เธอจะหันมาสบตาคู่สนทนา “ความจริงที่นัดคุณมาวันนี้เพราะฉันมีเรื่องที่อยากจะขอร้องคุณไรเซ็นคะ”
“ขอร้องคนอย่างผมเหรอครับ?” ไรเซ็นกล่าวพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวของเขาเอง
“คะ...... เรื่องชมรม SaE นั่นแหละค่ะ”
ทันทีที่เอ็นวี่พูดจบไรเซ็นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนที่จะเขาจะพูดต่อ “กะไว้แล้วละครับว่ามันจะต้องเป็นเรื่องนี้”
“ฉันอยากให้คุณไรเซ็นทบทวนเรื่องการถอนตัวจากชมรมอีกครั้งนึงคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจนเขาแทบละลาย
“ผมไม่ได้เชื่อเรื่องพลังเหนือธรรมชาติหรอกนะครับ ของแบบนั้นจะไปมีอยู่จริงได้ไงกัน” ไรเซ็นแสดงความคิดเห็นของเขาให้เธอฟัง
“มีสิคะ มีจริงๆ นะคะ” เอ็นวี่ไม่ได้พูดเปล่า แต่เธอยื่นมือทั้ง 2 ข้างของเธอมากุมมือของไรเซ็นที่วางอยู่บนโต๊ะราวกับกำลังภาวนาให้เขานั้นเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
“ต.....แต่ ถึงอย่างนั้นมันก็พิสูจน์ไม่ได้นี่ครับว่าพลังอย่างนั้นมีจริง” ไรเซ็นพยายามที่จะหลบสายตาของเธอเพื่อไม่ให้ตัวของเขาเองใจอ่อน
“ถ้าพิสูจน์ได้จะยอมเชื่อเหรอคะ?”
น้ำเสียงของเธอแสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าขณะที่ดวงตาสีฟ้าของเธอเองก็ฉายแววจริงจัง เธอกุมมือของไรเซ็นไว้แน่นด้วยความคาดหวังและนั่น....... ทำให้เขาเริ่มรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ในหัวของเขาตอนนี้ก็คือทำไมเธอถึงเชื่อว่าพลังเหนือธรรมชาติมีจริงจนถึงขั้นมาขอร้องเขาแบบนี้ ทำไมเธอถึงมั่นใจว่าจะทำให้เขาเชื่อได้ หรือเธออาจจะทำได้จริงๆ ก็ได้ และลึกๆ ในใจของเขานั้นเองก็คงอยากที่จะพิสูจน์เพื่อหาคำตอบของคำถามมากมายที่อยู่ในหัวเขาเช่นกัน
“อาจจะเชื่อก็ได้ครับ แต่คุณเอ็นวี่ต้องแสดงให้ผมเห็นตอนนี้เลย” ไรเซ็นกลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้นแต่ในเวลาเดียวกันเอ็นวี่กลับค่อยๆ ปล่อยมือของเธอออก
“คือ......ฉัน......... ยังไม่มั่นใจว่าจะควบคุมมันได้คะ” เธอพูดด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“หมายความว่ายังไงครับ” ไรเซ็นถามอย่างสงสัย
“พลังจิตของฉันคือรูปแบบ “เอ็มพาที” คะ หรือจะพูดให้ฟังง่ายๆ คือฉันสามารถรับรู้ถึงความคิดหรือความรู้สึกของคนอื่นได้คะ แต่ว่า.......” เธออธิบายถึงรูปแบบพลังพิเศษของเธอให้ฟัง “ฉันยังควบคุมมันไม่ได้คะ มันจะเกิดขึ้นแค่บางช่วงเท่านั้น”
“ดีจังนะครับ ถ้าเราสามารถรู้ว่าใครคิดอะไรอยู่ได้เนี่ย!” ไรเซ็นพูดติดตลกแต่เธอหันมามองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความผิดหวัง
“ไม่เสมอไปหรอกคะ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะคิดถึงเรื่องดีๆ เสมอไป”
“นั่นสินะครับ” ไรเซ็นที่พูดออกไปโดยไม่ทันยั้งคิดจึงรู้สึกผิด
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดแต่เธอนั้นดูมุ่งมั่นเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ ถึงเขาจะไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วเธอกำลังโกหกเขาอยู่หรือเธอทำได้จริงๆ แต่ไรเซ็นรู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่ควรทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ ดังนั้นถ้าจะมีอะไรที่เขาพอช่วยให้เธอสบายใจขึ้นมาได้เขาก็คิดว่าตัวเองควรจะทำ
“ผมจะลองกลับไปคิดทบทวนดูอีกทีนะครับ” ไรเซ็นตอบปัดไปเพราะเขาเองก็ไม่อยากที่จะทำร้ายจิตใจของเธอ แม้ลึกๆ แล้วไรเซ็นก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่เธอเล่ามาก็ตามที
“จริงเหรอคะ! ดีใจจังเลยคะ ฉันเองก็จะตั้งใจฝึกฝนแล้วจะมาแสดงให้คุณไรเซ็นดูแน่นอนคะ” ความพยายามของไรเซ็นได้ผลอย่างน้อยตอนนี้เธอก็ดูกลับมาร่าเริงอีกครั้งนึงแล้ว
“แต่ผมไม่ได้รับปากนะครับว่าจะเชื่อ”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้วคะ” เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนรับข้อเสนอ
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็นั่งกินไอศกรีมกันต่อพลางพูดคุยเรื่องต่างๆ และนั่นก็ทำให้ไรเซ็นรู้จักเธอมากขึ้นอีกด้วย กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะไปเดินเล่นกันต่ออย่างสนุกสนานก่อนที่คนขับรถส่วนตัวจะโทรมาหาเธอเพื่อบอกว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว
ในช่วงตอนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน เอ็นวี่เสนอที่จะไปส่งไรเซ็นที่บ้านแต่ด้วยความเกรงใจเขาจึงให้เอ็นวี่ ไปส่งที่หน้าโรงเรียนพอซึ่งเธอเองก็ไม่ขัด พวกเขายังคงคุยกันต่ออย่างสนุกสนานจนกระทั่งรถมาจอดอยู่ที่หน้าโรงเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“กลับบ้านดีๆ นะคะ แล้วเจอกันใหม่ในวันจันทร์คะ” เอ็นวี่เลื่อนกระจกรถลงเพื่อบอกลาไรเซ็น
“ขอบคุณครับ วันนี้สนุกมากเลย” ไรเซ็นยิ้มให้เป็นการตอบรับ
เมื่อร่ำลากันเสร็จแล้วรถของเอ็นวี่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ โดยมีเป้าหมายมุ่งตรงไปสู่บ้านของเธอ ส่วนไรเซ็นก็เอาแต่ยืนมองตามรถของเธอด้วยสีหน้าที่มีความสุขจนกระทั่งรถของเธอหายลับไปจากสายตาเขาจึงยอมที่จะกลับบ้านแต่ทว่าเขาก็พบสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น..............
นัยแววตาสีน้ำตาลของเขาสะท้อนภาพของหญิงสาวผมสีชมพูสวมชุดที่สวมชุดนักเรียนแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเสาร์และที่แขนขวานั้นมีปลอกแขนสีแดงติดอยู่ เธอยืนพิงผนังรั้วกำแพงโรงเรียนราวกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่
“รุ่นพี่เฟรเน่!” ไรเซ็นร้องออกมาด้วยความแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้
“อ้าว! มีความสุขดีนี่นา” เฟรเน่ทักทายพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ไรเซ็นที่ยืนจ้องเธอด้วยความสงสัยก่อนที่จะมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ แล้วแต่งชุดอะไรกัน” ไรเซ็นถามอย่างสงสัย
“ฉันมาเตือนนาย!..........” เธอไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ของเขาแต่กลับพูดบางสิ่งที่ไรเซ็นไม่เข้าใจออกมาแทน
“เตือนผม?” คำพูดของเฟรเน่ยิ่งทำให้เขาสับสนไปกันใหญ่ “เรื่องอะไรครับ?”
“ระวังตัวให้ดี! อยู่ห่างจากเอ็นวี่เข้าไว้แล้วนายจะปลอดภัย” เฟรเน่พูดด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจังกว่าทุกครั้งที่เขาพบมาขณะที่ไรเซ็นถึงกับอึ้งเมื่อได้ยิน
“หมายความว่ายังไง” ไรเซ็นถามด้วยแววตาที่จริงจังแต่เฟรเน่ไม่ยอมที่จะตอบ ในทางกลับกันเธอเลือกที่จะเดินหนีเขา
“เดี๋ยวสิ! ตอบมาก่อนว่านี่หมายความว่ายังไง” ไรเซ็นตะโกนถามซ้ำแต่ท่าทีของเธอก็ยังคงเหมือนเดิม
ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรแต่เฟรเน่ก็ไม่คิดจะหันกลับมาตอบ จนในที่สุดเธอก็เดินจากไปโดยที่ไม่หันกลับมามองเขาอีกเลยทั้งพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ของเธอ ทั้งสิ่งที่เธอพูด ทุกอย่างล้วนแต่ทำให้ไรเซ็นสับสน ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่และทำไมเขาถึงต้องอยู่ให้ห่างจากเอ็นวี่ เฟรเน่ตั้งใจที่จะมาเตือนเขาจริงๆ หรือสิ่งที่เธอพูดจะเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ตั้งขึ้นมาให้เขาปวดหัวเล่นเท่านั้น หรือเธอตั้งใจที่จะมาเอาคืนในเรื่องที่เขาตัดสินใจออกจากชมรม นั่นคือสิ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้ไม่ว่าจะใช้กลวิธีใดก็ตาม
“ปัดโธ่โว้ยยยยยยยย!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ