SaE:The Begining of Esper
2) ปฏิเสธ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2 ปฏิเสธ
“วันนี้มันร้อนเกินไปรึเปล่า” ไรเซ็นกล่าวด้วยน้ำเสียงชวนห่อเหี่ยว “พึ่งจะ7โมงแท้ๆ ทำไมมันร้อนอย่างนี้นะ”
เขากำลังเดินไปโรงเรียนพร้อบกับคาบขนมปังอยู่ในปากขณะที่สายตาหันไปสำรวจดูนาฬิกาเรือนใหม่ที่แม่พึ่งซื้อให้เขาเป็นของขวัญเมื่อวาน....... ซึ่งตามความจริงแล้วเมื่อวานเกิดเรื่องราวมากมายขึ้นเยอะมาก พอไรเซ็นกลับมาคิดดูอีกทีถ้าหากโรเช่หรือทัคกี้ได้ยินว่าเมื่อวานเขาตัดสินใจเข้าชมรม SaE ทั้งคู่จะทำหน้าอย่างไรนะ ที่แน่ๆ ไรเซ็นคิดว่าอย่างน้อยโรเช่คงต้องเอ็ดเขาชุดใหญ่แน่นอนที่ดันไปสมัครเข้าชมรมสุดเพี้ยน
บ้านของไรเซ็นไม่ได้อยู่ห่างจากโรงเรียนมัธยมเบรนด์ทรัสเท่าไหร่นัก แต่การเดินไปเรียนในวันที่ร้อนอบอ้าวขนาดนี้มันทำให้เขารู้สึกหมดแรง เมื่อวานหลังจากกลับไปที่บ้านเซ็นพึ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วโรงเรียนมัธยมเบรนด์ทรัสนั้นถือเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงพอสมควร แม้ว่าจะตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองพอสมควรแต่ก็ยังมีลูกคุณหนูหลายคนตั้งใจเรียนในที่แห่งนี้ แต่เหตุผลที่ไรเซ็นได้มาเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้กลับต่างออกไปจากเด็กนักเรียนคนอื่น เหตุผลของเขาก็คือมันเป็นโรงเรียนใกล้บ้านใหม่ซึ่งทำให้ตอนเช้าแม่ของเขาไม่ต้องเสียเวลาที่จะขับรถมาส่งแต่สามารถไปทำงานตั้งแต่ตอนเช้าได้เลย กว่าไรเซ็นจะรู้สึกตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่ที่หน้ารั้วโรงเรียนเสียแล้ว
“เฮ้อ ~~ มาถึงไวไปสินะเนี่ย” ไรเซ็นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อรู้ว่าเขามาถึงโรงเรียนเร็วกว่าที่คาดการไว้ “เหลือเวลาตั้ง 45 นาที จะทำอะไรดีละเนี่ย”
“เฮ้! นายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นหน่ะ” ระหว่างที่เขากำลังยืนอยู่ที่หน้าโรงเรียนอยู่ๆ เสียงของหญิงสาวที่ช่างคุ้นหูก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขาทำให้เขารีบหันกลับไปดูหน้าตาของเจ้าของเสียง
สิ่งที่สายตาของไรเซ็นจับจ้องคือคุณผู้หญิงหน้าตาน่ารักผู้มีผมสีชมพูที่เมื่อวานพวกเขาได้เจอกันในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 พริบตาที่ไรเซ็นเห็นเขาก็ถึงกับผงะด้วยความตกใจจนทำกระเป๋าเป้ที่สะพายไว้บนไหล่ข้างซ้ายตกพื้น
“เป็นอะไรย่ะ!” เธอวีนออกมาเมื่อเห็นท่าทีตกใจของไรเซ็นก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าพึ่งทำตัวเสียมารยาทในฐานะคนที่พึ่งรู้จักกัน
“ขอโทษด้วยครับ พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ไรเซ็นกล่าวขอโทษอย่างสุภาพ
“ไอ้ที่คิดนี่ต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ” เธอยังไม่หยุดที่จะแว๊ดๆ ใส่เขา “ให้ตายสิ! เด็กผู้ชายสมัยนี้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
“ก็บอกว่าขอโทษแล้วยังไงละ” ไรเซ็นเริ่มยั้วะแล้วจึงโพล่งออกไป
“ช่างเถอะ....... เถียงกับรุ่นน้องอย่างนายไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” เธอเหน็บแนมใส่เขา
“เอ๋! รู้ได้ไงว่าผมคือรุ่นน้อง”
“จำไว้ซะด้วย นอกจากพวกเด็กใหม่ที่พึ่งเข้ามาแล้ว...... ไม่มีใครไม่รู้จักชั้นหรอกนะจะบอกให้” เธอเริ่มสาธยายพลางโบกมือไปมาประกอบการสนทนา
“แม่คนนี้ดังขนาดนั้นเชียวเหรอ.......” ไรเซ็นคิดในใจพร้อมกับจ้องไปยังคู่กรณี
“เอาเถอะ! ยังไงซะวันนี้ 4 โมงเย็น ไปที่ชมรมด้วยละ วันนี้พวกเรามีจัดกิจกรรมทดลองกัน”
“เดี๋ยวสิ! แล้วเธอเป็นใครกันแน่” ไรเซ็นรีบชิ่งถามอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเดินจากไป
หญิงสาวผมสีชมพูหันกลับมาพลางยิ้มที่มุมปากเบาๆ ช่วงเวลานั้นราวกับเวลาถูกหยุดลง ทุกสิ่งดูเคลื่อนไหวช้าจนผิดปกติมีเพียงสิ่งเดียวที่ไรเซ็นเห็นคืออยู่ๆ มือของเธอก็มี..........มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา พร้อมกับคำพูดเบาๆ ที่ลอยมาพร้อมกับสายลมจะตราตรึงอยู่ในจิตใจของไรเซ็นไปตลอดกาล
“ประธานชมรม SaE นักเรียนม.ต้น ปี 2 เฟรเน่ เดรโครเซ่......................... ฉันคือเฟรมมาสเตอร์ยังไงละ!”
...........................................................
แม้ว่าช่วงเช้าจะอากาศร้อนอบอ้าวแต่ช่วงบ่ายยิ่งร้อนหนักกว่าเดิมเสียอีก นักเรียนหลายคนที่ได้กินข้าวเที่ยงจนอิ่มกำลังเริ่มส่งสายตาหวานๆ ให้แก่กันและกัน บางคนที่ออกฤทธิ์เร็วกว่านั้นถึงกับนอนหลับกันอย่างไม่เกรงใจอาจารย์จนอาจารย์สาวที่กำลังสอนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ถึงกับต้องเดินมาเขกหัวเรียกสติคืนกลับมา แต่ว่าถึงจะเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้ไรเซ็นสลัดความคิดที่อยู่ในหัวได้เลย
ต้องยอมรับว่าตลอดทั้งวันที่ผ่านมาเขาไม่มีสมาธิในการเรียนเอาเสียเลย ในสมองได้แต่นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเช้าของวันนี้...... ตอนที่เธอแนะนำตัวเองออกมา ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งว้าวุ่นใจจนไม่เป็นอันเรียนเลย
“เฟรมมาสเตอร์............ ของแบบนั้นจะไปมีได้ไง” ไรเซ็นพึมพัมเบาๆ ออกมาจนลืมไปว่าเจ้าหัวหน้าห้องที่นั่งอยู่ข้างหน้าของเขาเป็นหนึ่งในคนหูดีชนิดหาตัวได้ยากและเมื่อได้ยินเรื่องที่น่าสนใจเข้าตัวก็รีบหันควับมาอย่างรวดเร็ว
“พูดถึงอะไร? การ์ตูนเรื่องไหนล่ะ?” เจ้าตัวเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม
“เอ้อ!เปล่า..... ไม่มีอะไรแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเอง” ไรเซ็นตอบปัดพลางหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อนแต่คู่กรณีเริ่มทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้น
“นายต้องมีอะไรแน่ๆ หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับชมรมเพี้ยนๆ นั่นหรอกนะ” โรเช่บุ้ยหน้าใส่เพราะรู้ว่ายังไงไรเซ็นจะต้องไม่ยอมบอกแน่ส่วนไรเซ็นตอนนี้นั่งแข็งทื่อเป็นหินไปแล้ว
“ไอ้พวกตรงนั้นถ้ายังไม่หยุดคุยกันโดนทำโทษแน่” อาจารย์สาวขาวีนพูดตักเตือนทั้งคู่ทำให้โรเช่ต้องเก็บความสงสัยนั่นไว้แล้วหันกลับไปนั่งเรียนต่อ
ถึงจะยังคาใจอยู่บ้างแต่การเรียนก็สำคัญเช่นกันดังนั้นไรเซ็นจึงพยายามเรียกสติกลับคืนมาแล้วตั้งใจเรียนในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ เขาตัดสินใจที่จะเก็บความสงสัยที่คาใจอยู่ไว้ไปถามเจ้าตัวตอนเย็นดีกว่าเพราะอย่างไรก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้วที่สำคัญ......... ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นแค่มายากลที่เฟรเน่ใช้หลอกเพื่อให้เขาเชื่อก็เป็นได้
ช่วงเวลาค่อยๆ หมุนผ่านไปขณะที่ในใจเด็กหนุ่มกำลังพองโตด้วยความตื่นเต้นปนความสงสัยและคาใจ กระทั่งไม่นานเสียงกริ่งหมดเวลาก็ดังขึ้นพร้อมกับไรเซ็นที่ลุกพรวดและทะยานออกจากห้องราวกับจรวจแม้โรเช่จะพยายามชักชวนให้เขาไปเที่ยวแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว....... ขาทั้ง 2 ข้างของไรเซ็นรีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้น 4 ของตึกอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 แต่เมื่อดูนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือมันกลับบอกว่า นายยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง
“แล้วฉันจะรีบมาทำไมเนี่ยยยยย!!!!” ไรเซ็นบ่นออกมาในความโง่ของตัวเขาเองพลางหอบแฮกๆ อยู่หน้าห้องทดลอง
“โอ๋!มาถึงก่อนใครเลยแหะ น่าแปลกใจจริงๆ” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นซึ่งคราวนี้ไรเซ็นจำได้แม่นเลยว่าเจ้าของเสียงคือใคร
“อ่าว! รุ่นพี่เฟร่เน่เองเหรอ?” ไรเซ็นหันกลับไปพบว่าเธอยืนอยู่ข้างหลังของเขาในสภาพที่สวมชุดนักเรียนพร้อมปลอกแขนสีแดง
“แล้วนายคิดว่าเป็นใครกันละ?” เฟรเน่ถามด้วยความสงสัย
“อ้อเปล่าไม่มีอะไรครับ” ไรเซ็นรีบบอกปัดไปอย่างรวดเร็ว
“ช่างเถอะ! เดี๋ยวฉันจะเปิดห้องนี้ นายหลบไปหน่อย”
หลังจากที่เฟรเน่ได้เปิดห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 แล้ว ไรเซ็นก็เดินตามเข้าไป เขาพบว่าแท้จริงแล้วห้องนี้เวลาเปิดไฟก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อันที่จริงมันก็ดูเหมือนห้องทดลองอื่นๆ มีโต๊ะสีขาวทรงสี่เหลี่ยมอยู่กลางห้องซึ่งไรเซ็นคาดว่าน่าจะเป็นโต๊ะที่ใช้สำหรับทำการทดลอง รอบห้องเป็นตู้เก็บสารทดลองต่างๆ ซึ่งบางอย่างเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน ที่หน้าห้องมีโต๊ะสำหรับอาจารย์และกระดานไวท์บอร์ดสีขาว ด้านหลังของห้องเป็นอ่างน้ำที่ใช้สำหรับล้างอุปกรณ์ทดลองรวมถึงสารเคมี
“เลือกที่นั่งรอเวลาได้ตามใจเลยเด็กใหม่” เฟรเน่พูดก่อนที่เธอจะเดินไปนั่งที่โต๊ะของอาจารย์
“นี่...... ถึงจะได้ใช้ห้องนี้เป็นห้องชมรมแต่ว่าไปนั่งตรงนั้นจะดีเหรอ” ไรเซ็นที่เห็นกิริยาของเฟรเน่จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“อย่าบ่นมาก เลือกที่นั่งแล้วไปนั่งซะ ไม่มีอาจารย์คนไหนเข้ามาหรอกน่า!” เฟรเน่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงชวนโมโห
ท้ายที่สุดไรเซ็นก็ต้องจำใจยอมไปนั่งแต่โดยดีเพราะนี่คือโอกาสเหมาะที่เขาจะถามเรื่องราวที่ยังคงคาใจเขาตลอดทั้งวันนี้กับสิ่งที่เธอพูดเมื่อเช้า ไรเซ็นเริ่มสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ รวมรวบความกล้าขณะที่เฟรเน่นั่งจ้องพฤติกรรมแปลกๆ ของเขาอยู่โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว
“คือมีเรื่องจะถามหน่อย.......” ไรเซ็นเริ่มเปิดประเด็นด้วยการขออนุญาต
“........ ว่ามา”
‘ดีละ! เธอเปิดทางแล้ว’ เขาคิดในใจก่อนที่จะเริ่มถามต่อ
“เรื่องเมื่อตอนเช้าเป็นมายากลใช่ไหม ไอ้แบบที่ราดแอลกอฮอส์ใส่มือแล้วจุดไฟแบบนั้นใช่ไหม แล้วไอ้ชมรมนี้อีกเป็นชมรมล้อกันเล่นสินะ”
“อ่อ!” เฟรเน่อุทานออกมาเบาๆ “ฉันสามารถตอบสิ่งที่นายอยากรู้ได้........... แต่ตัวนายเองจะพร้อมกับคำตอบนี้รึเปล่า?”
สายตาของเธอที่หันมาสบตากับไรเซ็นช่างดูดุดันเสียจนใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มือของเขากำแน่นขณะที่มีเหงื่อไหลออกมา ราวกับไรเซ็นกำลังกลัวคำตอบ....... กลัวสิ่งที่เขาจะได้ยินต่อไปนี้จะมาเปลี่ยนแปลงหลายๆ สิ่งในชีวิตของเขา แต่อีกใจหนึ่งเขาเองก็อยากที่จะรู้ความจริงว่าแท้จริงแล้ว เธอต้องการพูดแกล้งเขาหรือเธอหมายความอย่างนั้นจริงๆ กันแน่ ไรเซ็นนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะพยักหน้าเพื่อให้สัญญาณว่าเขาพร้อมที่จะรับฟังคำตอบ
“เรื่องแรก อย่างที่ฉันได้บอกนายไปแล้วว่าฉันคือเฟรมมาสเตอร์ หมายถึงฉันมีพลังพิเศษในการควบคุมไฟได้จริงๆ ไม่ใช่มายากล.......” เฟรเน่ลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอพลางเดินมาใกล้ไรเซ็นมากขึ้น แววตาของเธอดูจริงจังเกินกว่าที่นั่นจะเป็นคำพูดโกหก
“ส่วนอีกเรื่อง ชมรมนี้ก็ตามชื่อของมันนั่นแหละ เป็นชมรมที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และพลังจิต หมายถึงเราศึกษาการใช้พลังจิตในแง่มุมของวิทยาศาสตร์ยังไงละ ซึ่งนอกจากฉันที่เป็นประธานชมรมกับนายที่เป็นเด็กใหม่ตรงนี้ ก็ยังมีสมาชิกอีกแค่ 2 คน จริงๆ ตอนแรกเราก็กังวลอยู่ว่า ถ้าหากชมรมเราไม่มีสมาชิกที่เพิ่มขึ้นมามากกว่านี้ เราก็คงโดนยุบชมรมแน่นอน”
“เอ่อ.......... จะว่ายังไงดีละ ผมหน่ะ.........ไม่เชื่อหรอกนะเรื่องพลังเหนือธรรมชาติอะไรพวกนี้ ที่เข้ามาที่ชมรมนี้ก็เพราะผมอยากเจอใครบางคนเท่านั้น แต่ถ้าจะให้มาเชื่อหรือฝึกไอ้การใช้พลังจิตเนี่ยไม่เอาหรอก......” ไรเซ็นกอดอกพูดด้วยความมั่นใจ “เพราะอย่างนั้นพอดีกว่า ถึงผมจะอยู่ชมรมนี้ต่อไปยังไงก็ไม่ดีขึ้นมา”
“ก็กะไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้” เฟรเน่ถอนหายใจออกมาเพราะเธอก็นึกแล้วว่ามันจะต้องลงเอยแบบนี้“ใบสมัครเข้าชมรมของนายอยู่ตรงนั้น ถ้าจะเปลี่ยนใจก็ยังทัน”
ตาของไรเซ็นหันไปตามนิ้วของเฟรเน่ที่กำลังชี้ไปยังโต๊ะของอาจารย์ซึ่งตรงนั้นยังคงมีใบสมัครเข้าชมรมของเขาวางไว้อยู่ ถึงแม้ว่าจะช่างใจอยู่พักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายไรเซ็นก็ตัดสินใจที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบไปสมัครเข้าชมรมที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าสิ่งที่เขาได้ยินมาในวันนี้ไม่ใช่อะไรที่จะยอมรับกันง่ายๆ เรื่องพลังเหนือธรรมชาติแบบนี้มันดูจะเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะเข้าใจหรือจินตนาการถึงได้ และนั่นหมายถึงว่าเขาควรจะถอนตัวจากตรงนี้เสียดีกว่า......
“ขอโทษทีทำให้เสียเวลานะครับ......”
“..............” เฟรเน่ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยืนมองดูไรเซ็นที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง “น่าแปลกนะว่าไหม........ หลายคนที่ไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้พยายามที่จะค้นหาการมีอยู่ของมัน แต่บางคนที่ได้เห็นและได้สัมผัสกลับต้องการที่จะปฏิเสธมัน”
ไรเซ็นยืนฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป ถึงเฟรเน่จะพูดอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ ไรเซ็นเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังหันกลับไปมองยังห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 อีกเลย......
...........................................................
“แฮกๆๆๆ” เสียงหอบของสาวน้อยผมสีเงินขณะที่เธอกำลังยืนหอบอยู่ที่ระเบียงทางเดินด้วยความเหน็ดเหนื่อยหลังจากที่รีบวิ่งขึ้นบันไดจากชั้นที่ 2 ขึ้นมา
เบื้องหน้าของหญิงสาวคือห้องที่มีป้ายเขียนหน้าห้องว่าห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 นัยตาสีฟ้าสดใสกำลังฉายแววถึงความตื่นเต้นราวกับเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นใหม่ ดังนั้นเธอไม่รีรอที่เปิดประตูห้องทดลองอย่างรวดเร็ว
“ไหนละๆ สมาชิกใหม่ที่บอกว่าจะแนะนำให้รู้จักคะ” เด็กสาวผมสีเงินร้องทักออกมาทั้งที่ตัวเธอเองยังไม่รู้เลยว่ามีใครอยู่ในห้องนี้บ้าง
สิ่งที่เด็กสาวผมสีเงินเห็นภายในห้องมีเพียแค่งเฟรเน่เท่านั้นที่ยังคงนั่งรออยู่ สายตาของเธอดูเหม่อลอยจนผิดปกติ สัญชาติญาณของเด็กสาวผู้มีผมสีเงินรู้ได้ทันทีว่าจะต้องเกิดอะไรบางสิ่งขึ้นแน่นอน
“ไปแล้วละ............” เฟรเน่ตอบขณะที่เธอกำลังนั่งหันหน้าจ้องเข้ากับกำแพงด้วยสายตาที่เหม่อลอย
“เอ๋! ไม่จริง.......... แล้วกันอย่างนี้ชมรมของเราก็ต้องปิดตัวลงสิคะ” เด็กสาวผมเงินที่ถูกเรียกว่าเอ็นวี่พูดอย่างผิดหวังก่อนที่เธอจะเริ่มปาดหยดน้ำเล็กๆ ที่ซึมออกมาจากดวงตาสีฟ้า“อุตส่าห์คิดว่าจะเราจะไปรอดแล้วแท้ๆ......”
“ขอโทษนะเอ็นวี่.........” เฟรเน่กัดฟันพูดออกมา
“ไม่ใช่ความผิดของรุ่นพี่เฟรเน่หรอกค่ะ” เธอเอ่ยให้กำลังใจเพราะรู้ว่าในใจลึกๆ ของเฟรเน่ก็ยังรู้สึกผิดที่จะทำให้ชมรมนี้ถูกปิดตัวลง
เฟรเน่ในขณะนี้รู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองไม่สามารถรักษาสภาพให้ชมรมนี้เปิดต่อไปได้เนื่องจากมีสมาชิกไม่ถึง 5 คน จึงจำจะต้องปิดชมรมลง แต่เธอก็ไม่คิดจะโทษใครเช่นกันเพราะเฟรเน่เองก็คิดอยู่แล้วว่าเหตุการณ์มันจะต้องเป็นแบบนี้ แม้จะรู้สึกเจ็บใจแต่สิ่งที่เธอควรทำทั้งในฐานะประธานชมรมและในฐานะรุ่นพี่ไม่ใช่การนั่งร้องไห้ปาดน้ำตาแต่เป็นการอดกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจแล้วแสดงออกถึงความเข็มแข็งออกมา เฟรเน่ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินไปหาเอ็นวี่ที่ยังคงยืนร้องไห้ด้วยความผิดหวัง เธอยื่นมืออันอ่อนโยนไปวางไว้บนไหล่ของเอ็นวี่อย่างนุ่มนวล ทั้งคู่ต่างจ้องไปยังดวงตาของอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะไม่มีชมรมนี้อีกต่อไปแล้ว แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่นา” เฟรเน่พูดด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงเพื่อปลอบใจเอ็นวี่
“แต่ว่าชมรมนี้มันสำคัญกับรุ่นพี่ไม่ใช่เหรอคะ” เอ็นวี่ที่เห็นถึงความตั้งใจดีของเฟรเน่ที่จะช่วยเธอจึงหยุดที่จะร้องไห้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายลำบากใจ
“ก็นิดหน่อยนะ” เฟรเน่ตอบแกมหัวเราะเบาๆ
“รุ่นพี่คะ.........คนๆ นั้นเป็นใครคะ เด็กใหม่คนนั้น” เอ็นวี่ช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยถามออกมาสร้างความประหลาดใจให้กับเฟรเน่เป็นอย่างมาก
“เรายังพอมีเวลาไม่ใช่เหรอคะ ฉันจะลองไปคุยกับเขาดูอีกที ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ค่ะ”
สิ่งที่เฟรเน่มองเห็นในดวงตาของคู่สนทนานั้นไม่ใช่แววตาของคนที่รู้สึกหมดหวังหรือโศกเศร้าด้วยความผิดหวังอีกต่อไป แต่เป็นคนที่มีแววตามุ่งมั่นเอาจริง เป็นแววตาใสๆ ที่ไม่ว่าใครที่จับจ้องไปยังดวงตาสีฟ้าคู่นี้ก็จะต้องถูกมนต์สะกดอย่างแน่นอน เฟรเน่ยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เอ็นวี่แล้วกระซิบเบาๆ ถึงชื่อของเจ้าตัวป่วนที่ไม่ยอมเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งที่ตัวเองได้เห็นกับตามาแล้วแท้ๆ..................
...........................................................
“ฮัดเช่ย!”
“...............ไม่สบายรึเปล่า” แม่ของไรเซ็นหันมาถามเด็กหนุ่มที่พึ่งจามเสียงดังลั่นบ้าน
“คงไม่ใช่หรอกครับ” ไรเซ็นบอกปัดไปขณะที่เขากำลังนั่งทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ที่พึ่งสั่งมาวันนี้อยู่ที่โต๊ะอาหารเพื่อรอรับประทานอาหาร
“ก็ดีแล้ว รักษาสุขภาพด้วยละ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว คาปาเทลซิตี้เป็นอย่างนี้เสมอเลยรึเปล่านะ” เธอบ่นอุบตามประสาของสาววัยกลางคน
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ลูกชายตัวแสบตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นักเพราะสิ่งที่เขาต้องใส่ใจมากกว่าคือการบ้าน
เมื่อหวนนึกย้อนไปหลังจากที่ไรเซ็นได้ออกมาจากห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 แล้วเขาก็รีบตรงดิ่งกลับบ้านทันทีโดยไม่ได้แวะไปไหนเลย ที่จริงแล้วสิ่งที่ไรเซ็นต้องการจริงๆ คือชีวิตวัยรุ่นธรรมดา ชีวิตที่มีเวลาได้ไปเที่ยวและเล่นกับกลุ่มเพื่อน ได้ออกเดทกับสาวๆ น่ารักๆ ได้อยู่ที่บ้านนั่งฟังคุณแม่ขี้บ่นเล่าเรื่องต่างๆ หลังจากกลับมาจากที่ทำงาน เขาไม่ได้ต้องการที่จะรู้ถึงความลับที่ซ่อนอยู่ ไม่ได้ต้องการที่จะเข้าใจมันด้วยซ้ำ อย่างน้อยเขาก็อยากเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุ 13 ที่เป็นปกติชนทั่วไป ไม่ข้องแวะกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติใดๆ นี่คือเหตุผลที่ไรเซ็นตัดสินใจที่จะออกจากชมรม(ทั้งที่พึ่งเข้าไปได้แค่ 1 วัน)
“อ้าวๆ รีบทำให้เสร็จเร็วเข้า..... จะได้กินข้าวกัน” ไรเซ็นได้ยินเสียงแม่ดังมาจากทางห้องครัวที่ซึ่งเธอกำลังไปเตรียมอาหารให้ลูกชายสุดที่รักอยู่
“คร๊าบบบบ ใกล้จะเสร็จแล้วครับ”
‘มีแม่แบบนี้ก็ไม่เหงาดีแหะ’ ไรเซ็นคิดในใจ
หลังจากนั้นเขาก็รีบจัดการกับการบ้านให้เสร็จ ได้กินข้าวพร้อมกับแม่อย่างเอร็ดอร่อย นอนดูหนังเรื่องโปรด 2 ชั่วโมงก่อนที่จะขึ้นไปนอนตามกิจวัตรประจำวันของเด็กธรรมดา…….
...........................................................
ณ อีกมุมหนึ่งของคาปาเทลซิตี้.............. ที่ซึ่งมีตึกสูงระฟ้าจำนวนมากกำลังส่องประกายยามค่ำคืนราวกับเมืองแห่งนี้หลับไหลไม่เป็น ผู้คนพลุกพล่านตามท้องถนนแม้เวลานี้จะเลย 5 ทุ่มมาแล้วก็ตาม ทุกคนดูช่างรีบเร่งและไม่ได้สนใจกันและกันเท่าไหร่นัก นั่นแหละคือโอกาสเหมาะ! เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านฝูงชน เขาสวมเสื้อคลุมสีดำที่มีฮูดปกปิดใบหน้าขัดกับบรรยากาศในค่ำคืนนี้ที่ร้อนอบอ้าว สายตาของเขากวัดแกว่งตามพื้นไปมาคล้ายกับสัตว์ที่กำลังค้นหาเหยื่อจนกระทั่ง....
เขาพบรอยคราบเลือดหยดเป็นทาง เด็กหนุ่มจึงเดินตามรอยคราบเลือดไปอย่างใจเย็นเหมือนกับเพชฌฆาตที่กำลังเดินเข้าไปแดนประหารเพื่อสังหารนักโทษ ทว่ายิ่งเดินตามรอยเลือดไปไกลเท่าไหร่เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกว่ารอยเลือดนั้นกำลังออกห่างจากฝูงชนมากขึ้นจนกระทั่ง.......... อยู่ๆ รอยเลือดที่เปรอะไปตามพื้นก็หายไปเอาดื้อๆ ที่หน้าทางเข้าสวนสาธารณะ
“หึ! น่าสนุกดีนี่ หนีเก่งเหลือเกินนะ” เด็กหนุ่มแสยะยิ้มโชว์ฟันอันแหลมคม
“ใครว่าฉันหนีกันวะ” พริบตาที่เด็กหนุ่มได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งเขาก็รีบหันกลับไปแต่............
บรึมมม!..................
ร่างของเด็กหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมสีดำปลิวออกไปจากจุดที่เขายืนหลายเมตรก่อนที่เขาจะตกสู่พื้นดินหนุ่มรีบลุกขึ้นตั้งหลักอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าของเขาคือชายวัยกลางคนอายุน่าจะราวๆ 30-35 ปี ไว้ผมยาวประบ่าสีดำ ตัวสูงน่าจะราวๆ 174 หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่งตัวใส่สูทผูกไทค์ ที่มือของเขาสวมถุงมือหนังสีน้ำตาลอยู่ ทว่าที่ไหล่ซ้ายของเขามีรอยโดนยิงจนเลือดไหลออกมา
“ถอดฮูดที่คลุมหน้าออกซะ อย่างน้อยก็ให้ฉันได้เห็นหน้าของแกก่อนตายซะหน่อย” ชายหนุ่มวัยกลางคนกล่าวพร้อมๆ กับเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม
“หึๆ แกนี่พูดอะไรน่าตลกดีนะ” เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจสร้างความไม่พอใจให้กับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
“ขำอะไรนักหนา!”
“แกเนี่ยพูดอะ.....ไรไม่ดูสภาพตัวเองเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ” เด็กหนุ่มตะโกนลั่นพลางวิ่งลุยเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
มือของเขาแอบหยิบมีดที่ซ่อนอยู่จากข้างหลังออกมาหวังจะแทงอีกฝ่ายแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยกมือข้างซ้ายขึ้นมาก่อนที่จะ....... บรึมมมมมม! เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มสวมฮูดปลิวออกจากจุดที่ยืนอยู่ซึ่งคราวนี้ถึงกับกระเด็นกว่าสามร้อยเมตร
‘เป็นแบบไหนกันนะ....... ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรแท้ๆ อยู่ๆ ก็เหมือนชนกับอะไรบางอย่างก่อนที่จะปลิวออกมา’ แม้ว่าจะโดนไปขนาดนั้นแต่เด็กหนุ่มก็ยังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็นไม่ผลีผลามวิ่งเข้าใส่อย่างที่ผ่านมา
“กลัวรึไง........ ไม่แปลกหรอกนะไอ้หนู ใครที่เจอกับฉันก็กลัวทั้งนั้นนั่นแหละ” ชายวัยกลางคนพูดเยาะเย้ยแต่ดูท่าเด็กหนุ่มสวมฮูดจะได้สนใจด้วยซ้ำ “เอาเถอะไหนๆ จะต้องฆ่าแกแล้ว ฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้แกฟัง........”
“พลังของฉันคือการบิดอากาศให้เกิดช่องว่างได้ ลองคิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันบิดอากาศรอบๆ ตัวแก”
“แกก็จะสร้างระเบิดอากาศได้.........” เด็กหนุ่มที่สวมฮูดอยู่วิเคราะห์ถึงพลังพิเศษที่อีกฝ่ายใช้พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่เขาปลิวออกมาก็เพราะแบบนี้นั่นเอง
“ถูกต้อง...... ฉลาดดีเหมือนกันนี่หว่า แต่ว่าได้เวลาไปลงนรกแล้วนะไอ้หนู” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับเริ่มใช้พลังอีกครั้ง
รอบๆ ตัวของเด็กหนุ่มเริ่มมีอากาศไหลเวียนผิดปกติ หากทว่าไม่ใช่เพียงจุดเดียวแต่คราวนี้เกิดขึ้นหลายจุดรอบตัวจนนับไม่ถ้วน เด็กหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นกลุ่มก้อนของอากาศที่ถูกปิดไปรวมกันเป็นก้อนเล็กๆ รอบตัวมากขึ้นแต่เขากลับไม่ยอมที่จะหนี.......... เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายสร้างความประหลาดใจให้กับชายหนุ่มผู้มีพลังบิดอากาศเป็นอย่างมาก
“แกยิ้มทำไม หรือดีใจที่จะตายกันแน่.........” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามในท่าทียียวนกวนประสาทของเด็กหนุ่ม
“แกนี่โง่กว่าที่คิดนะ.... ฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้แกฟังถือเป็นการแลกเปลี่ยนก็แล้วกัน” แม้เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดแต่เด็กหนุ่มผู้สวมกลับไม่มีท่าทางจะกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ปกติเนี่ย ไม่มีใครเขาเอาเรื่องความลับพลังของตัวเองไปบอกศัตรูหรอกนะไอ้โง่เอ้ย! หึๆ อีกเรื่องที่แกควรรู้ไว้.....”
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เด็กหนุ่มควักปืนพกอันเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมของเขาออกมาพร้อมกับระดมยิงเข้าไปยังร่างของอีกฝ่ายก่อนที่ร่างของชายหนุ่มวัยกลางคนจะค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นราวกับภาพสโลโมชั่น เลือดสีแดงฉานไหลรินออกมาจากบาดแผลนับไม่ถ้วนบนร่างกายของชายหนุ่ม ที่น่าแปลกคือบาดแผลส่วนใหญ่มักโดนในจุดที่ไม่สำคัญเช่นแขน ขา หรือหัวไหล่ มีเพียงไม่กี่นัดที่เข้าตรงท้อง แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มคนนี้ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ เด็กหนุ่มมือสังหารเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะก้มกระซิบบางสิ่งซึ่งนั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มผู้นี้จะได้ยิน
“ไม่ต้องห่วง.......... ฉันยังไม่รีบฆ่าแกหรอก มีคนเขาอยากได้ตัวแก ส่วนฉันมีหน้าที่พาแกไปหาเขาในสภาพเป็นๆ เท่านั้น”
“ก......แก ฉ.....ฉันจะ ฉันจะฆ่.......ฆ่าแก” ชายหนุ่มโพล่งออกมาด้วยความเจ็บแค้นใจ
“หึๆๆๆๆ แกไม่มีวันให้ The Gunslinger (มือปืนพิฆาต) คนนี้บาดเจ็บได้หรอก จงจำใส่หัวโง่ๆ ของแกเอาไว้เถอะ” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายจะได้ยินก่อนที่เขาจะสลบไป
เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า The Gunslinger ค่อยๆ แบกร่างอันไร้สติของชายหนุ่มผู้เป็นเหยื่อพาดบ่าแม้ว่าเขาจะตัวเล็กกว่าก็ตาม เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิดก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในความมืดยามราตรีพร้อมกับทิ้งประโยคคำพูดสุดท้ายเอาไว้
“Good Night (ราตรีสวัสดิ์)”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ