SaE:The Begining of Esper

9.9

เขียนโดย VictoR

วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 02.26 น.

  4 ตอน
  7 วิจารณ์
  7,912 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ตื่น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 4 ตื่น

 

 

                นอนไม่หลับ............... นั่นคืออาการที่ไรเซ็นกำลังเผชิญอยู่ เขาเอาแต่นอนกลิ้งไปมาบนเตียงเพราะในหัวของเขามีแต่ช่วงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นของวันเสาร์ ตอนที่เฟรเน่เข้ามาเตือนให้เขาอยู่ห่างจากเอ็นวี่ ไม่ว่าไรเซ็นจะพยายามคิดถึงเหตุและผลว่าทำไมเฟรเน่ถึงพูดแบบนั้นออกมามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งว้าวุ่นใจมากขึ้นเท่านั้น แต่การจะให้สลัดเรื่องนี้ออกจากหัวก็ไม่สามารถทำได้แม้ว่าเวลาจะร่วงเลยมา 1 วันแล้วก็ตาม ดังนั้นไรเซ็นจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่กังวลจนนอนหลับไม่ลง

 

 

                ครั้งนี้ก็เกือบจะเป็นครั้งที่สิบของคืนนี้แล้วที่เขาหันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงนอนของเขาเอง มันบ่งบอกว่าขณะนี้เวลาตี 3 แล้วและอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเข้าสู่เช้าวันจันทร์ สุดท้ายไรเซ็นก็ยังไม่ได้นอนเลยจนกระทั่งถึงเช้า เขาต้องลุกขึ้นจากที่นอนพลางทิ้งเรื่องราวที่คาใจไว้ก่อนเพื่อที่จะอาบน้ำแต่งตัวเตรียมที่จะไปเรียน

 

 

“เป็นอะไรไป ดูไม่ค่อยสดชื่นตั้งแต่วันเสาร์แล้ว” แม่ของไรเซ็นเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

 

 

“ก็นิดหน่อยครับ” ไรเซ็นตอบขณะที่กำลังหยิบแซนวิชจากจานที่อยู่ในมือแม่ของเขา

 

 

“ถ้าต้องการคำปรึกษา..... แม่ยินดีรับฟังนะ” ไม่ทันที่เธอจะพูดจบไรเซ็นก็เดินออกจากบ้านไปเสียแล้ว

 

 

“……………..”

 

 

‘จะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับเอ็นวี่ดีไหมนะ’ เขาคิดในใจระหว่างที่กำลังเดินไปเรียน

 

 

‘แต่จะไปปรึกษาได้ไง ยัยนั่นบอกไม่ให้เราเข้าใกล้เอ็นวี่นี่นา’

 

 

                ไม่ว่าจะคิดอย่างไรสิ่งที่ไรเซ็นจะเจอก็ดูเหมือนจะมีแต่ทางตัน คล้ายกับว่าปัญหานี้มันไม่ได้สร้างทางออกมาสำหรับเขา แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี จะต้องเชื่อในสิ่งที่เฟรเน่พูดหรือจะไม่สนใจเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเอ็นวี่ดี ไม่ว่าจะตัดสินใจแบบไหนก็ดูเหมือนจะเลวร้ายไปซะทุกด้านเลย

 

 

“อ้าว! ถึงแล้วเหรอ..... ไวจังแหะ” ไรเซ็นพึมพำกับตัวเองเมื่อรู้ว่าตัวเขามาถึงโรงเรียนก่อนกำหนดอีกแล้ว “ช่างเถอะ...... ไปเรียนก่อนแล้วก็ค่อยว่ากัน”

 

 

                ตอนเรียนช่วงเช้าเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ที่เขาชอบซึ่งมันก็พอที่จะทำให้เขาลืมคำเตือนของเฟรเน่ไปได้ชั่วครู่หนึ่ง แถมอาจารย์จิลเลสที่สอนวิชานี้เธอก็เป็นคนที่เก่งเสียด้วยจึงทำให้การเรียนไมได้น่าเบื่อ ไรเซ็นคิดว่าศักยภาพของอาจารย์จิลเลสนั้นดูไม่น่าที่จะมาสอนที่ระดับม.ต้นเลย อย่างเธอน่าจะเป็นอาจารย์สอนในระดับม.ปลายหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยไปแล้ว

 

 

                ในระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเองอยู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของเขา เพราะอาจารย์จิลเลสเป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างเก่ง ไม่แน่ว่าเธออาจจะตอบคำถามที่คาใจเขาอยู่ได้ก็เป็นได้................. ถ้าหากเป็นเธอคนนี้ อาจจะช่วยเขาไขความลับถึงการมีตัวตนอยู่ของพลังจิตก็ได้ ไรเซ็นจึงตัดสินใจว่าหมดชั่วโมงเขาจะลองถามเธอดู และยังไม่ทันไรเสียงกริ่งหมดเวลาก็ดังขึ้น

 

 

“เอาละ อย่าลืมทำการบ้านมาด้วยละ” จิลเลสย้ำกับนักเรียนทุกคนก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้อง “เจอกันอาทิตย์หน้านะ”

 

 

“อาจารย์ครับรอเดี๋ยว!” ไรเซ็นที่เห็นว่าจิลเลสกำลังเดินออกจากห้องไปจึงรีบร้องทักก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกใจของทุกคน “ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาอาจารย์หน่อยครับ!”

 

 

                เธอยิ้มจางๆ ให้เขาเป็นการตอบรับข้อเสนอ

 

 

“ไรเซ็นสินะ ตามอาจารย์มาสิ”

 

 

                ไรเซ็นไม่รอช้าที่จะรีบเดินตามเธอไป ถ้าหากเธอจะช่วยให้คำตอบเขาได้..........

 

 

...........................................................

 

 

                ห้องพักอาจารย์แผนกวิทยาศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนชั้น 5 ของตึก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาที่ห้องพักอาจารย์ก็ว่าได้ ในสายตาของเขาอาจารย์ทุกคนในแผนกวิทยาศาสตร์ดูที่จะวุ่นวายเหลือเกิน แต่ละคนต่างก้มหน้าก้มตาขีดเขียนอะไรบางอย่างแถมโต๊ะของอาจารย์แต่ละคนก็มีเอกสารกองโตเต็มไปหมด เว้นเสียแต่โต๊ะของจิลเลสที่ดูสะอาดกว่าใคร

 

 

“มานั่งตรงนี้สิ” จิลเลสเรียกไรเซ็นที่ยังคงยืนเกะกะขวางการทำงานของอาจารย์คนอื่น

 

 

“มีอะไรจะปรึกษาฉันเหรอ?” เธอเริ่มถามไรเซ็นที่พึ่งมานั่งใกล้ๆ กับโต๊ะทำงานของเธอตามคำสั่ง

 

 

“อ.....เอ่อ เรื่องที่ผมจะถามนี่รู้กัน 2 คนนะครับอาจารย์” ไรเซ็นกระซิบกระซาบเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน

 

 

“จ้าๆ รู้กันแค่เฉพาะเรานี่แหละ” จิลเลสหัวเราะกับท่าทีเปิ่นๆ ของไรเซ็น

 

 

“คือ..... พอดีผมไปอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งมาหน่ะครับ ไม่มั่นใจว่าอาจารย์เคยอ่านเจอไหม  ค..... คือมันเป็นเรื่องของ พลังจิตครับ” ไรเซ็นพูดตะกุกตะกักด้วยความอายที่ต้องมาถามเรื่องนี้

 

 

“หืม? เธอสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอเนี่ย?” จิสเลสกล่าวถามด้วยน้ำเสียงชวนแปลกใจที่ลูกศิษย์ของเธอมาถามเรื่องนี้กับเธอ

 

 

“ก.....ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แค่อยากรู้ว่ามันมีจริงไหม” ไรเซ็นรีบแก้ตัวเพราะเขาไม่อยากถูกจิลเลสมองว่าบ้า “โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอกครับ ว่ามันจะมีอยู่จริง”

 

 

“ดีแล้วจ๊ะ” จิลเลสพูดสั้นๆ ขณะที่เธอกำลังจิบกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งไรเซ็นก็คิดว่านั่นคงเป็นคำตอบที่เธอจะให้กับเขา

 

 

“ก็กะไว้แล้วครับ แหะๆ” ไรเซ็นหัวเราะแห้งๆ แก้เขินพลางคิดในใจว่านี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ มาถามในเรื่องที่ตัวเองน่าจะรู้อยู่แล้วทำไมกัน

 

 

“ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นผมไปแล้วนะครับ”

 

 

                ไรเซ็นกล่าวขอบคุณจากใจแล้วเตรียมที่จะเดินออกจากห้อง แต่ในช่วงที่เขากำลังจะหันหลังเพื่อออกจากห้องจิลเลสก็ยื่นมือของเธอมาจับแขนของไรเซ็นไว้

 

 

“จะรีบไปไหน ฉันยังอธิบายไม่จบเลย” คำพูดที่ออกจากปากเธอสะกดให้ไรเซ็นหยุดนิ่งอีกครั้ง เขาหันกลับมาหาเธอเพื่อจะฟังสิ่งที่เธอกำลังจะบอกเขา “ฉันเองก็ไม่เคยเจอหรอกนะ แล้วก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีจริงด้วยแต่..........”

 

 

ไรเซ็นกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอด้วยความตื่นเต้นก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

 

 

“แต่อะไรครับอาจารย์”

 

 

                จิลเลสจิบกาแฟอีกครั้งพลางหันมาสบตากับไรเซ็นเพื่อให้แน่ใจว่าคู่สนทนาต้องการคำตอบที่เธอจะบอกเขาจริงๆ หรือไม่ ส่วนไรเซ็นนั้นตื่นเต้นเสียจนหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ

 

 

“แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะหมายถึงในแง่วิทยาศาสตร์หน่ะ.... ทุกสิ่งอาจจะเป็นไปได้ ก็เหมือนกับการผ่าเหล่าของสัตว์นั้นแหละ อาจจะมีใครซักคนหนึ่งที่เกิดมาพิเศษกว่าคนอื่นๆ ในเผ่าพันธ์ ธรรมชาติอาจเลือกให้เป็นผู้ที่พิเศษกว่าเพื่อการพัฒนาไปอีกขั้นของมนุษย์ก็เป็นได้นะ”

 

 

                หลังจากที่จิลเลสอธิบายเสร็จเธอก็หันมายิ้มให้กับไรเซ็นที่ยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออกเพราะไม่คิดว่าคำตอบนี้จะมาจากเธอที่เป็นอาจารย์สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งที่จิลเลสพูดเป็นความจริงนั่นก็หมายความว่าไม่แน่ว่าพวกเอ็นวี่อาจจะไม่ได้โกหกเขาอยู่ก็เป็นได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแปลว่าเขาจะต้องรีบไปคุยเรื่องนี้กับเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

“อาจารย์ขอบคุณมากนะครับ!” ไรเซ็นก้มหัวขอบคุณจิสเลส

 

 

“ไม่เป็นไรจ๊ะ” เธอยิ้มหวานให้เขาเป็นการตอบรับคำขอบคุณ

 

 

                สิ่งที่แรกอยู่ในหัวของไรเซ็นคือ เขาต้องไปหาเอ็นวี่ต้องคุยเรื่องนี้กับเธอ และสถานที่เดียวที่เขาจะพบกับเอ็นวี่ได้คือโรงอาหาร!!! ไรเซ็นรีบวิ่งไปตามระเบียงทางเดินของชั้นที่ 5 เพื่อที่จะไปให้ถึงโรงอาหารโดยเร็วที่สุดเท่าที่ขาทั้ง 2 ข้างของเขาจะทำได้ ไม่นานนักไรเซ็นก็มาถึงโรงอาหารและเขาไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือไปเปิดประตู

 

 

ปังงงงงงง!

 

 

                เสียงเปิดประตูที่ดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ทุกสายตาที่อยู่ในโรงอาหารต่างหันมาจับจ้องที่ผู้เปิดแต่เพียงผู้เดียว สายตาของเขาควานหาสาวน้อยผมเงินเจ้าของฉายาป๊อปปูล่าแห่งปี 1 กระทั่งเขาก็พบเธอที่กำลังนั่งชะเง้อคอมองเขาอยู่ที่โต๊ะกลางห้องอาหาร

 

 

“ดีละ” ไรเซ็นสุดหายใจเข้าไปเต็มปอดเพิ่มความมั่นใจก่อนที่เดินเข้าไปหาเอ็นวี่ที่ยังคงงงๆ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

 

 

“เอ็นวี่...... มาด้วยกันหน่อยสิ พอดีผมมีเรื่องจะคุยด้วย” ไรเซ็นไม่ได้พูดเปล่าแต่เขาเผลอคว้ามือของเธอขึ้นมา

 

 

“อะ....เดี๋ยวค่ะ” เอ็นวี่พยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่างแต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะตอนนี้เธอถูกไรเซ็นลากออกไปจากโรงอาหารท่ามกลางทุกคนที่นั่งอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น

 

 

...........................................................

 

 

“เฮ้ๆ แบบนี้จะดีเหรอลูกพี่!” ชายหนุ่มคนหนึ่งร้องถามขณะที่สายตาของเขาจับจ้องลงมาจากชั้นลอยในโรงอาหาร “ไอ้บ้านั่นพาไอดอลของลูกพี่ชาคอสไปไหนก็ไม่รู้ด้วยแหน่ะ”

 

 

“หุบปาก!” ชายร่างใหญ่ที่นั่งเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดตะคอกใส่ชายหนุ่มที่ร่างเล็กกว่าพลางเอามือลูบผมสีน้ำตาลของตัวเอง ส่วนมืออีกข้างก็ถือบุหรี่ที่ถูกจุดไว้แล้ว

 

 

                ชายร่างใหญ่สูบบุหรี่อีกครั้งก่อนที่จะพ่นควัญลอยฟุ้งออกมา เขาหันไปสบตากับกลุ่มนักเรียนอีกนับสิบที่แต่คนละแต่งตัวคล้ายกับกลุ่มอันพาลก็ไม่ปานพร้อมกับแสยะยิ้มโชว์ฟันแหลมๆ ออกมา

 

 

“เย็นนี้ไปจัดการมันซะ”

 

 

...........................................................

 

 

                สำหรับเอ็นวี่แล้วนี่คือครั้งแรกในชีวิตของเธอที่ถูกผู้ชายนอกเหนือจากพ่อของเธอมาแตะตัวแบบนี้เธอจึงทำอะไรไม่ถูก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถขัดขืนเขาได้เลย สุดท้ายจึงได้แต่เดินตามไรเซ็นไปกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเธอก็มายืนอยู่ที่หน้าระเบียงชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นที่มีห้องทดลองวิทยาศาสตร์ตั้งอยู่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ในห้องเลยเพราะนี่เป็นเวลาพัก รวมถึงห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 ก็ถูกปิดเสียด้วย จากการสำรวจของไรเซ็นเขาก็พบว่ามันถูกล็อคอยู่และคนที่น่าจะมีกุญแจเปิดห้องก็คือเฟรเน่

 

 

“อ.....เอ่อ มีอะไรเหรอคะ” เอ็นวี่เริ่มเอ่ยถามออกมาแต่ก็พยายามหลบหน้าไม่ยอมสบตากับไรเซ็นเพราะรู้สึกเขินกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นไปเมื่อครู่

 

 

“อ๋อ.....”

 

 

                หลังจากที่ไรเซ็นเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วเขาจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้ไปคุยกับอาจารย์จิลเลสให้กับเธอฟัง ซึ่งตลอดการเล่าเรื่องสีหน้าของเธอดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในความคิดของไรเซ็นแล้วสีหน้าที่ดูมีความสุขของเอ็นวี่นี่แหละคือสีหน้าที่เธอดูน่ารักที่สุดในสายตาเขา

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าตอนนี้คุณไรเซ็นเชื่อแล้วสินะคะ” เอ็นวี่ร้องถามด้วยสีหน้าและแววตาที่เปล่งประกายเหมือนกับว่าเธอกำลังคาดหวังให้เขาตอบว่าใช่

 

 

“ก็นิดหน่อยนะครับแต่ถ้ายังไม่เห็นก็ไม่เชื่อหรอก” ไรเซ็นตอบปัดไปแม้ในใจของเขาจะรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็ตาม

 

 

“อะไรกัน! รู้ตั้งขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่ออีก หัวแข็งจริงๆ นะคะ” เอ็นวี่บุ้ยปากพูดก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

 

 

                ไม่รู้ว่าทำไมแต่ไรเซ็นรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นเอ็นวี่หัวเราะแบบนี้ เหมือนกับโลกทั้งใบดูสดใสขึ้นมาในพริบตา ทั้งไรเซ็นและเอ็นวี่ต่างไม่ได้พูดอะไรกันออกมาแต่ทั้งคู่ต่างสบตาซึ่งกันและกันและยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ในเวลานี้ไรเซ็นคิดว่ายังมีบางเรื่องที่เธอควรรู้ ยังมีบางเรื่องที่เขาควรเล่าให้เธอฟัง

 

 

                เขาเริ่มรวบรวมความกล้าที่มี เริ่มที่จะเล่าเรื่องราวที่ยังคาใจเขาอยู่อีกเรื่องให้เธอฟัง ซึ่งเอ็นวี่เองก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีโดยไม่ขัดจังหวะในช่วงที่เขาเล่าเลยจนกระทั่งเขาเล่าจบ...... เธอทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะเริ่มพูดกับเขาอีกครั้ง

 

 

“อย่างนั้นเหรอคะ..... ฉันเองก็พึ่งรู้เรื่องจากคุณไรเซ็นนี่แหละค่ะ.............”

 

 

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแต่..........” ไรเซ็นแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาทุกครั้งที่เขาคิดถึงเหตุการณ์นั้น มันเหมือนกับว่าเขากำลังถูกเกลียดและเขาก็ไม่ชอบการถูกใครเกลียดเสียด้วย

 

 

“ไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ จากที่ฉันรู้จักรุ่นพี่เฟรเน่มา เธอไม่ใช่คนแบบนั้น แม้ลักษณะภายนอกจะดูเย็นชาและเก็บตัว แต่ลึกๆ ในใจของรุ่นพี่เฟรเน่นั้นอบอุ่นมากเลยนะคะ” ถึงแม้ว่าไรเซ็นจะไม่รู้ว่าทำไมแต่ดูเหมือนเอ็นวี่จะรู้สึกประทับใจเฟรเน่เป็นอย่างมาก เขาสังเกตได้จากท่าทีที่เธอพูดถึงเฟรเน่

 

 

“อบอุ่นเหรอ....” ไรเซ็นที่พยายามนึกถึงภาพของเฟรเน่ในลักษณะที่เอ็นวี่บอกแต่เขากลับเป็นแต่ฉากในอดีตที่ผุดขึ้นมา ไม่ทำตัวลึกลับจนน่าสงสัย ก็ตรงเข้ามาขู่เขา ดูเหมือนเฟรเน่ในมุมมองที่เขาเห็นคงจะต่างจากมุมมองที่เอ็นวี่เห็นเป็นแน่แท้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจเบาๆ ออกมา “อย่างยัยนั่นเนี่ยนะ.........”

 

 

“จริงๆ นะคะ เธอเป็นคนนิสัยดีจริงๆ” เอ็นวี่พยายามอธิบายอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ไรเซ็นเชื่อ

 

 

“เรื่องนั้นหน่ะช่างมันเถอะ ว่าแต่เราจะเอายังไงกันต่อดี?”

 

 

“ฉันคิดว่า เราน่าจะไปคุยกับรุ่นพี่เฟรเน่ตรงๆ ค่ะ” เธอกล่าวด้วยแววตาที่ดูมุ่งมั่นที่อยากจะรู้ความจริงของเรื่องนี้

 

 

“นั่นสิครับ ถามกันตรงๆ เลยน่าจะดีกว่า......” ไรเซ็นสนับสนุนซึ่งเธอก็พยักหน้าตอบรับ “ถ้าอย่างนั้น เรามาเจอกันที่นี่หลังเลิกเรียนตอน 4 โมงเย็นนะครับ”

 

 

“ได้ค่ะ!” เธอตอบกลับอย่างหนักแน่น

 

 

                เมื่อตกลงกันเสร็จสิ้นแล้วทั้งไรเซ็นและเอ็นวี่จึงต่างตัดสินใจแยกย้ายกันเพื่อที่จะเตรียมเข้าเรียนในช่วงบ่าย แต่ไรเซ็นก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย...... สุดท้ายไรเซ็นก็ต้องยอมจำใจที่เข้าเรียนทั้งสภาพแบบนั้น ทว่าสิ่งที่น่าเซอร์ไพรส์ที่สุดคือเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องเรียน เขากลับพบว่าเรื่องที่เขาไปดึงตัวเอ็นวี่ไปคุยด้วยท่ามกลางโรงอาหารดันกลายเป็นข่าวใหญ่ไปเสียแล้ว ส่วนโรเช่ก็พยายามคะยั้นคะยอให้ไรเซ็นตอบคำถามว่าสรุปแล้วเขาคุยอะไรกับเอ็นวี่ แต่ไรเซ็นก็ฉลาดเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกไปเพราะเขาคิดว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปมันจะกลายเป็นข่าวใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่ดูเหมือนไรเซ็นจะกลายเป็นเด็กปี 1 หน้าใหม่จอมสร้างกระแสไปเสียแล้ว นั่นหมายถึงเขากลายเป็นที่เพ่งเล็งของคนอื่นไปโดยปริยาย ในช่วงนี้ดูเหมือนช่วงเหตุการณ์ต่างๆ มากมายได้เกิดขึ้นในชีวิตของเขาจนเขาเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ทั้งที่ความจริงเขาก็เป็นแค่นักเรียนปี 1 ที่ย้ายเข้ามากลางเทอมเท่านั้นเอง

 

 

                ไม่นานหลังจากที่ไรเซ็นได้เข้ามาในห้อง การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในช่วงบ่ายก็เริ่มต้นขึ้นทำให้เขาต้องทิ้งสิ่งที่ยังคงคาใจอยู่เพื่อให้ตัวเองมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น ซึ่งมันก็ได้ผลดีทีเดียวอย่างน้อยเขาก็มีสมาธิในการเรียนมากกว่าเมื่อตอนเช้าเสียอีก ไม่บ่อยนักที่ไรเซ็นจะมีสมาธิในการเรียนแบบนี้จนกระทั่งจบคาบแบบวันนี้

 

 

“เฮ้!ไรเซ็นว่างไหม? ไปเที่ยวกันเหอะ” โรเช่ร้องเสียงแปร๋นออกมาหลังจากที่การเรียนของวันนี้สิ้นสุดลง

 

 

“ขอโทษทีนะ ฉันไม่ว่าง” ไรเซ็นรีบพูดตัดบทเพราะเขาจะให้โรเช่รู้เรื่องการนัดเจอกันระหว่างเขากับเอ็นวี่ไม่ได้เด็ดขาด

 

 

“..........ฉันว่าพักนี้นายดูมีความลับนะ” โรเช่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเซงๆ หลังจากที่พึ่งจะโดนไรเซ็นปฏิเสธคำชวนไป “ถ้าอย่างนั้นทัคกี้ไปเที่ยวกันเหอะ!!!”

 

 

“พอดีวันนี้ฉันต้องเข้าชมรมห้องสมุด”

 

 

“ฉันว่าพวกนายนี่ธุระเยอะไปแล้วนะ! ฉันไปเที่ยวคนเดียวก็ได้” โรเช่กล่าวอย่างหัวเสียพลางเดินออกมาห้องไปซึ่งไรเซ็นคิดว่าเขาคงรู้สึกงอนที่ไม่มีใครยอมไปเที่ยวกับเขาแน่นอน

 

 

“ปล่อยเขาไปเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับมาอารมณ์ดี” ทัคกี้แนะนำเมื่อเห็นว่าไรเซ็นเริ่มคิดมาก “ฉันไปแล้วนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

 

 

                ขณะที่ทุกคนออกจากห้องไปกันหมดแล้วไรเซ็นก็หันไปดูนาฬิกาพบว่าเขายังพอเหลือเวลาอยู่ ไรเซ็นจึงตัดสินใจไปรอก่อนเวลาน่าจะดีกว่า ดังนั้นเขาจึงเก็บของแล้วเตรียมตัวออกจากห้อง ทว่าเมื่อเดินออกจากห้องมาแล้วเขากลับพบกลุ่มนักเรียนชายซึ่งไรเซ็นคิดว่าคงจะเป็นรุ่นพี่ไม่ต่ำกว่า 10 คนได้ยืนขวางทางเดินอยู่ แถมแต่ละคนก็ไม่ได้แต่งตัวดูเหมือนเป็นนักเรียนตัวอย่างหรือรุ่นพี่ที่ดีสักเท่าไหร่นัก ในเวลาแบบนี้ถ้าจะให้เดาจากประสบการณ์แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแปลว่าไม่ดี และทางที่ดีที่สุดคือต้องรีบหลบให้พ้น

 

 

“ขอโทษนะครับ ผมขอผ่านไปหน่อยได้ไหมครับ” ไรเซ็นขออนุญาตอย่างสุภาพพลางก้มหัวให้เป็นการเชิงขออนุญาต

 

 

“เฮ้ย!ไอ้หนู.......แกเองสินะที่ชื่อไรเซ็นหน่ะ” ชายหนุ่มตัวเล็กที่มีผมสีดำซอยสั้นกล่าวถามในน้ำเสียงเชิงหาเรื่องขึ้น

 

 

“…………..” เขายืนมองกลุ่มผู้ชายนับสิบที่กำลังหันมามองเขาด้วยสายตาที่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้ ในเวลาแบบนี้ไรเซ็นรู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามันจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรไปก็คงไม่มีความหมาย ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่เงียบๆ

 

 

“ตามพวกเรามาหน่อย......... พอดีลูกพี่เราอยากจะคุยกับแกเฟ้ย”

 

 

...........................................................

 

 

ตุบ......ตุบ......ตุบ.......

 


                ร่างของไรเซ็นล้มคะมำลงกับพื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยช้ำปนคราบเลือดที่กระเซ็นไปเต็มตัว เขาหายใจอย่างถี่รัวขณะที่เงาดำทะมึนของกลุ่มนักเรียนนักเลงนับสิบชีวิตกำลังทาบเข้ามาใกล้ตัวเขา ไม่มีการสนทนาใดๆ เกิดขึ้นนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น พวกมันก็แค่เรียกเขามาที่โรงยิมแล้วก็รุมอัดไรเซ็นเท่านั้น แม้ว่าไรเซ็นจะพยายามตอบโต้กลับไปบ้างแต่ด้วยขนาดตัวที่เล็กกว่าและจำนวนของอีกฝ่ายที่มากกว่าทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบจนกลายเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมแพ้หรอก นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวของเขา

 

 

                ไรเซ็นใช้มือยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ ขณะที่สายตาที่พร่าเลือนกำลังจับจ้องไปยังกลุ่มคนนับสิบที่ยืนรออัดเขาอยู่อย่างสบายใจ ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น ชายร่างใหญ่เจ้าของผมสีน้ำตาลยืนพ่นควัญบุหรี่อย่างสบายใจอยู่เบื้องหลัง ถ้าใครที่คนพวกนี้จะเรียกว่าลูกพี่ได้ก็คงจะเป็นชายคนนี้แน่นอน

 

 

“เฮ้ยๆ หยุดทำไมวะ...... กำลังสะใจอยู่พอดีเลย” ชายร่างใหญ่ตวาดดังลั่นทำเอาลูกน้องหลายคนถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นมา

 

 

“ต.....แต่ลูกพี่ชาคอสครับ เดี๋ยวมันก็ตายหรอก” หนึ่งในนั้นเป็นคนแย้งขึ้นมาเมื่อเห็นสภาพของไรเซ็นที่ชุ่มไปด้วยเลือดแม้กระทั่งยืนยังจะไม่ไหว

 

 

                ไม่ทันที่ชายหนุ่มผู้อาจหาญกล้าโต้แย้งจะพูดจบ ชายร่างยักษ์ก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วก่อนที่จะชกเข้าไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มผู้น่าสงสารคนนั้น ร่างของเขาร่วงลงสู่พื้นดินขณะที่เศษเลือดกระจายเต็มพื้นสร้างความสยดสยองให้แก่สมาชิกในแก๊งคนอื่นๆ ที่ได้แต่ยืนมอง

 

 

“ยังมีไอ้สวะหน้าไหนในนี้กล้าขัดคำสั่งของฉัน..... ของชาคอสอีกไหม หา!” ชายร่างยักษ์คำรามออกมาอย่างเดือดดาลเพราะรู้สึกไม่พอใจที่มีคนกล้าขัดคำสั่งเด็ดขาดของเขา ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาได้แต่ยืนดูสภาพของเพื่อนใจกล้าที่ลงไปนอนกองกับพื้นไม่ได้สติ

 

 

“ถ้าไม่มีก็ฆ่าไอ้เด็กเปรตนี่ตามคำสั่งของฉันซะ”

 

 

“บ.....บ้าเอ้ย!” ไรเซ็นสบถกับตัวเองเบาๆ เมื่อเขารู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายและอาจจะถึงชีวิตก็เป็นได้

 

 

                แม้ว่าตอนนี้ไรเซ็นอยากจะวิ่งหนีแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เขาไม่มีแรงพอที่จะวิ่งหนีหรือตอบโต้ด้วยซ้ำสุดท้ายจึงได้แต่กลายเป็นกระสอบทรายให้กลุ่มคนพวกนี้รุมอัดรุมกระทืบ สิ่งเดียวที่ไรเซ็นยังพอทำได้คือพยายามประคับประครองไม่ให้สติของตนหลุดลอยออกจากร่าง เพราะที่เมื่อไหร่เขาสลบไปนั่นหมายถึงความตาย!!!!

 

 

                ว่ากันว่าช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่กำลังจะมาถึง คนเรามักจะมองเห็นภาพในอดีตผุดขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว กาลเวลาจะเดินช้าลงจนน่าใจหาย  เราจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นโครมครามอย่างช้าๆ และจะค่อยๆ ช้าลง สายตาของเราจะพร่าเลือนจนมองอะไรไม่เห็น จิตวิญญาณของเราจะจมสู่โลกที่มีแค่สีขาวและดำ หากแต่ว่า.......เราจะยังคงจดจำความคิดสุดท้ายในหัวของเราได้

 

 

‘ยังไม่อยากตาย!!!’ นั่นคือความคิดสุดท้ายก่อนที่ไรเซ็นจะหมดสติไป

 

 

“อ.......เอ่อลูกพี่........มันไม่หายใจแล้ว!” น้ำเสียงที่ประหม่าและตื่นตระหนกดังออกมาจากปากของกลุ่มนักเลงที่รุมซ้อมไรเซ็นจนเขาปางตาย

 

 

“เออ.... งั้นก็ไปเถอะ ปล่อยมันตายตรงนี้ละ” ชายร่างยักษ์ที่ใครๆ ต่างขนาดนานว่าชาคอสเอ่ยออกมาอย่างไม่ยี่หระ

 

 

“จะดีเหรอครับลูกพี่” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวออกมาอย่างประหวั่นพรั่นพรึง

 

 

“.............. ขืนพวกแกยังพูดจาแบบนี้กันอีก ฉันนี่แหละจะเป็นคนตัดลิ้นพวกแกเอง” ชาคอสแยกเขี้ยวคำรามสร้างความเกรงกลัวให้กับคนอื่นๆ จนไม่กล้าที่จะมีใครพูดอะไรต่ออีก

 

 

“ไปได้ละ......น่ารำคาญเป็นบ้าเลย”

 

 

                แม้บางคนในนั้นคิดอยากที่จะช่วยไรเซ็นแต่พวกเขาก็กลัวเกินกว่าที่จะขัดคำสั่งของอสูรร่างยักษ์ผู้มีพละกำลังเป็นอาวุธนามว่าชาคอส เพราะถึงอย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นแค่เด็กนักเรียนม.ต้น ถึงจะเกเรและหัวรุนแรง ชอบใช้กำลังแต่พวกเขาก็ไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นแบบนี้ สุดท้ายด้วยความกลัวทุกคนจึงได้แต่ก้มหน้าเดินจากไปทิ้งไรเซ็นที่ไร้ซึ่งลมหายใจไว้ตรงนั้น แต่ทว่า........

 

 

“แค๊กๆๆๆ” เสียงไอดังขึ้นจากคนที่ทุกคนคิดว่าน่าจะตายไปแล้ว

 

 

                สายตาของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหันไปจับจ้องไรเซ็นที่กลับมาหายใจอีกครั้งราวกับปาฏิหาริย์ ทุกคนต่างยืนนิ่งอย่างงงงันว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่พวกเขากำลังพบเจอคือความจริงหรือความฝัน มันคือเรื่องหลอกตาที่ไรเซ็นจัดฉากหรือปาฎิหาริย์จากพระเจ้าที่ไม่ยอมปล่อยให้เขาตายกันแน่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์รวมถึงชาคอสผู้อำมหิตต่างไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไรเซ็นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

 

 

“หึ หึ หึ นี่เรายังไม่ตายอีกรึไงนะ” ไรเซ็นพูดกับตัวเองพลางจ้องมองมือที่เต็มไปด้วยรอยคราบเลือดของเขาเอง “รู้สึกเหมือนมีพลังมันเอ่อล้นออกมาจนควบคุมไม่อยู่เลย หึๆ”

 

 

“ห....เหลือเชื่อ!” หนึ่งในกลุ่มลูกน้องของชาคอสร้องออกมาเมื่อเห็นไรเซ็นที่เมื่อกี้ได้ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาชีวิตอีกครั้งมิหนำซ้ำกำลังค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เสียด้วย

 

 

“หนอย! ไอ้แมลงสาปตายยากนักนะแก” ชาคอสตะคอกใส่ไรเซ็นที่ตอนนี้ดูฟิตปั๋งจนน่าใจหายทั้งที่เมื่อกี้เขายังอยู่ในสภาพรวยรินจวนจะหมดลมไปแล้ว

 

 

 “อย่าอยู่เลย” ชาคอสโพล่งด้วยความเดือดดาลสุดขีด ชาคอสพุ่งเข้ามาหาไรเซ็นอย่างรวดเร็วขณะที่มือง้างกำปั้นขนาดยักษ์สุดวงแขนเท่าที่จะทำได้

 

 

                ตามปกติวิสัยของมนุษย์แล้วเมื่อเจอใครก็ตามที่ดูดุดันและตัวใหญ่กว่ากำลังวิ่งเข้ามาต่อย ปกติพวกเขาก็ควรจะหลบแต่นั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่อยู่ในหัวของไรเซ็น ช่วงเวลานั้นหัวของไรเซ็นขาวโพลนไปหมดไม่มีอะไรให้ต้องคิดเพียงแต่เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องหลบ แม้จะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้นก็ตาม

 

 

                หมัดของยักษ์ใหญ่ชาคอสก็พุ่งตรงเข้าไปที่หน้าของไรเซ็นด้วยความเร็วอันน่าตกใจ แต่แล้วก่อนที่จะหมัดนั้นจะเข้าเป้าปะทะกับใบหน้าเปื้อนเลือดของไรเซ็นมันกลับถูกหยุดด้วยอะไรบางอย่างราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นระหว่างชาคอสและไรเซ็น

 

 

“อะไรกัน........ แกทำบ้าอะไรวะ” ชาคอสคำรามก่อนที่จะรัวหมัดใส่ไรเซ็นที่ยืนนิ่งอย่างไม่ยั้งแต่ทว่าทุกหมัดกลับถูกอะไรบางอย่างดีดกระเด็นออกมาจนร่างใหญ่ๆ ของชาคอสปลิวออกมาด้วย ท่ามกลางความตกตะลึงของกลุ่มลูกน้องที่ยืนเฝ้ามองสถานการณ์

 

 

“หึๆ ฉันก็ไม่รู้....... อา~~ ให้ตายสิรู้สึกดีสุดๆ ไปเลย” ไรเซ็นไม่ได้พูดเปล่าหากแต่เขากำลังสาวเท้าก้าวไปหาชาคอสที่ตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของไรเซ็น

 

 

                เบื้องหน้า.......ไรเซ็นยืนปักหลักอยู่เบื้องหน้า แววตาสีน้ำตาลเข้มอันอ่อนโยนของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่โหดเหี้ยม รอยยิ้มอันน่าสยดสยองผุดขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด สิ่งเดียวที่ชาคอสสัมผัสได้คือกลิ่นอันตรายแผ่ฟุ้งออกมาจากชายที่พึ่งฟื้นขึ้นมาจากความตาย สัญชาตญาณการเอาตัวรอดบ่งบอกให้ชาคอสรีบวิ่งหนีไปเหมือนกับลูกของเขาพึ่งได้ทำ ติดอยู่ตรงที่ร่างกายของเขามันขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่จะเอ่ยปากพูดร้องขอชีวิตยังก็ทำไม่ได้ ภายใต้จิตใจที่เคยเกรี้ยวกราดและอาจหาญถูกความกลัวเข้าครอบงำไปเสียทุกส่วน ดวงตากำลังส่อแววความกลัวสะท้อนภาพของชายหนุ่มร่างเล็ก

 

 

                ผมสีแดงเข้มพริ้วไสวในยามที่แสงอาทิตย์กำลังจะลาโลก มือของเขาค่อยๆ ขยับชูขึ้นพร้อมกับร่างของชาคอสที่ลอยขึ้นมาเหนือพื้นราวกับปาฎิหาริย์ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องถลึงไปยังใบหน้าของศัตรูที่แสดงออกถึงความหวาดกลัว ไรเซ็นแลบลิ้นเลียคราบเลือดที่เกาะอยู่มุมปากช้าๆ

 

 

“หึๆๆ ไม่อยากทำหรอกนะแต่.... เหมือนมีเสียงกระซิบบอกให้ฆ่านายซะ! เอาละไปตายได้แล้ว” น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกกระซิบผ่านปากเล็กๆ ของเขา

 

 

ตูมมมมมมม!

 


ร่างของชาคอสจะพุ่งปลิวด้วยความเร็วเหนือเสียงกระแทกกับกำแพงโรงยิมจนยุบเป็นรูปคน เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะไปทั่วทุกแห่งบริเวณนั้น ชาคอสหมดสติไปในทันทีเหลือเพียงแต่ไรเซ็นที่ยืนหัวเราะร่วนด้วยความบ้าคลั่ง ไรเซ็นในตอนนี้ช่างต่างกับตัวเขาในยามปกติเสียเหลือเกิน......

 

 

...........................................................

 

 

                ในยามอาทิตย์อัสดงหญิงสาวผมสีชมพูพุ่งทะยานออกมาจากตึกแผนกม.ต้นอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งตรงไปยังที่ตั้งของโรงยิมซึ่งอยู่ด้านหลังของโรงเรียนอย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความกังวล มือทั้ง 2 ข้างกำแน่นราวกับภาวนาอย่าให้เรื่องร้ายๆ นั้นเกิดขึ้นเลย

 

 

                ไม่นานนักเธอก็วิ่งมาถึงแต่ทว่าสิ่งที่เธอกำลังพบเห็นกลับไม่ใช่สิ่งที่เธอกลัวที่สุด......... มันกลายเป็นสิ่งที่เธอกลัวยิ่งกว่าที่เธอจะคาดฝันไว้

 

 

“นี่มันอะไรกัน! หรือว่า....” เธออุทานออกมาขณะที่สายตาของเธอหันไปมองหาชายผู้ที่จะให้คำตอบได้ “ไม่จริงใช่ไหม”

 

 

“อ้าว~~ เธอเองก็เหมือนกันสินะเฟร~ จะมาฆ่าฉันเหมือนเจ้าพวกนี้สินะ” ไรเซ็นร้องคำรามแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เฟรเน่

 

 

“ไรเซ็น ถ้านายยังพอมีสติอยู่บ้าง นายต้องฟังฉัน....... นี่ไม่ใช่ตัวนาย!” ยังไม่ทันที่เฟรเน่จะพูดจบไรเซ็นก็วิ่งเข้าใส่พร้อมกับระดมซัดหมัดใส่เธอแต่เฟรเน่ตอบโต้สถานการณ์โดยการพุ่งไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตี

 

 

“อย่าให้พลังควบคุมสติของนายไรเซ็น!”

 

 

                ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไรก็ตามเหมือนไรเซ็นจะไม่ได้ตอบสนองต่อเสียงของเธอเลย เขายังคงระดมโจมตีเธออย่างไม่ยั้งแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเฟรเน่ได้เลย ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ไรเซ็นจะโจมตีเฟรเน่จะอ่านทางการโจมตีออกและหลบมันได้เสียทุกครั้ง

 

 

“นายกำลังหลงไปกับพลังจิตที่พึ่งตื่นขึ้น นายต้องควบคุมมัน” เฟรเน่พยายามอธิบายแต่ก็ไร้ผล ทว่าในระหว่างที่เธอกำลังจะหลบการโจมตีชุดถัดไป อยู่ๆ หินก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงเท้าของเธอก็พุ่งตรงขึ้นไปปะทะกับใบหน้าของเธอ

 

 

                เฟรเน่ยืนนิ่งงันพลางมองดูเลือดที่ค่อยๆ ไหลย้อยลงมาจากตรงคิ้วขณะที่ไรเซ็นเอาแต่ยืนหัวเราะเบาๆ อย่างสนุกสนานชอบใจ ในเมื่อวิธีการเจรจาไม่ได้ผลเฟรเน่ก็คิดว่าถึงเวลาต้องใช้มาตรการแบบจริงจังบ้างเสียแล้ว

 

 

“เอาละนะไรเซ็น พูดกันไม่รู้เรื่องก็ต้องใช้กำลังกันบ้างแล้ว” เฟรเน่กล่าวด้วยน้ำเสียงเอาจริงพร้อมกับยื่นมือออกไปหาไรเซ็นช้าๆ

 

 

“ได้เวลาที่นายจะมอดไหม้แล้ว!” สิ้นเสียงพูด มือของเธอก็ลุกเป็นไฟ

 

 

                แววตาของทั้งคู่ต่างประสานกันชนิดที่ไม่มีใครหลบเลี่ยงสายตากันเลย บรรยากาศรอบข้างเริ่มสั่นไหว ความมืดมิดเข้าครอบงำแสงจากดวงอาทิตย์ และนี่จะเวลาที่ทั้ง 2 กำลังจะเข้าปะทะกัน.......

 

 

“รับมือ!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา