You are my hope.เจ้าเท่านั้น ที่ข้าจะรอ yaoi
10.0
19) บทที่19
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ จากค่ำคืนนั้น มาซารุได้พบว่าตนเจอกับจุนจนจะครบกำหนดหนึ่งปีเต็ม ท่านมิสึกาวะที่ได้เดินทางกลับไปยังศาลเจ้าหลักนอกเมืองเอโดะก็ได้เดินทางมาที่นี่อีกครั้งเพื่อทำพิธีปัดเป่าประจำปีที่ศาลเจ้าฟุมิเนเนะ แน่นอน ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดไม่ใช่ใคร ท่านหญิงอาสึสะที่ทราบข่าวได้แต่ยิ้มน้อยๆทั้งที่จิตใจเบิกบานอย่างที่สุด
ท่านมารุสึเกะใช้พัดเซนสึเล่มเดิมสะบัดกางโบกตัวเองอย่างรื่นรมณ์รอดูการแสดงที่ถูกจัดมาเพื่อต้อนรับท่านมิสึกาวะโดยเฉพาะ
การประลองดาบในช่วงแรกช่างน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ท่านองเมียวจิก็ยังรู้สึกเหมือนทุกคนไม่ค่อยจะส่งเสียงเชียร์เท่าที่ควร
จนกระทั่งจุนได้ก้าวออกมาที่ลานประลองพร้อมกับผู้เข้าแข่งขันอีกสี่คน แต่ล่ะคนจะมุ่งมาที่เป้าอันเดียวกัน กฏคือลูกธนูทั้งสามเล่มจะต้องเข้าเป้าได้ทั้งหมด ทันทีที่สิ้นเสียงการประกาศกฏ เสียงเชียร์กระหึ่มขึ้นมาเป็นการบอกโดยอ้อมว่าสิ่งที่ท่านมารุสึเกะนำมาแสดงต้อนรับอย่างแท้จริงคือการแข่งขันธนูนี้ต่างหาก
เพราะไม่ได้มาที่เอโดะนาน ท่านมิสึกาวะถึงกับสงสัยว่าทำไมท่านมารุสึเกะถึงกล้าแกล้งจุนในงานต้อนรับเขา ไม่สิ เมื่อมองสีหน้าที่แสนภาคภูมิของท่านมารุสึเกะแล้ว ท่านมิสึกาวะก็รู้สึกว่ามันไม่เหมือนครั้งที่แล้ว ที่สำคัญ มาซารุเองก็ดูจะใจเย็นกว่าครั้งก่อนด้วย
เมื่อมีห้าผู้แข่งขัน ธนูที่ยิงออกมาต่างสะกัดกันบ้างกรณีที่อยู่ในรัศมีปะทะกันจนร่วงออกไปดอกแล้วดอกเล่า เรียกได้ว่าคนยิงต้องเร็วที่สุดหรือช้ากว่าคนอื่นเป็นอันดับท้ายเพื่อเลี่ยงรัศมีการปะทะ
ผลที่ออกมาเรียกเสียงปรบมือได้ดีพอสมควร สามในห้าคือผู้ที่เข้าเป้าสองดอก มีเพียงสองคนที่เข้าได้ทุกดอก
มิน่าล่ะ ท่านมารุสึเกะถึงได้ดูภาคภูมินัก
จุนเป็นหนึ่งในสองผู้กำชัยชนะในสงครามการยิงธนูไว้ได้ ฝีมือของเด็กหนุ่มพัฒนาขึ้นมากเลยทีเดียว
ท่านมิสึกาวะแอบสงสัยไม่ได้ เขาแขนขึ้นมาป้องปากกระซิบ "ท่านมารุสึเกะขอรับ เหตุใดจึงได้จัดเด็กหนุ่มผู้นั้นให้มาแข่งขันด้วยล่ะขอรับ"
"ฮ่าฮ่าฮ่า" ท่านผู้นำตระกูลหัวเราะเสียงดัง "ก็เจ้านั่นเป็นโคชูของบุตรชายข้านี่นา ให้มาแสดงฝีมือหน่อยก็ดี"
อ้อ ที่แท้ก็แข่งล้างอายนี่เอง
ท่านมิสึกาวะคิดในใจเงียบๆแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าเวลาที่ผ่านมาระหว่างที่ตนไม่อยู่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า เรื่องที่ท่านมารุสึเกะเสียชื่อจากการแข่งคราวก่อนก็ไม่น่าจะมากมายอะไรเพราะมีแต่คนใน แต่ทำเช่นนี้มันส่งผลต่อตัวจุนเองมากกว่า นี่อย่าบอกนะ ว่าท่านมารุสึเกะคิดจัดการแข่งล้างอายให้โคชูของบุตรชายที่ตนไม่ค่อยจะชอบใจสักเท่าไหร่นะ?
หลังจากเสร็จงานเลี้ยงต้อนรับ ท่านมิสึกาวะเหลือบมองจุนที่ขึ้นขี่ม้าอย่างคล่องแคล่วเคียงข้างกันไปกับมาซารุ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะใช้เวลาตอนที่เขาไม่ได้อยู่เอโดะในการพัฒนาตัวเองไปเยอะทีเดียว
"นึกไม่ถึงเลยนะว่าจะผ่านไปตั้งหนึ่งปีแล้วนะ" มาซารุเอ่ยกับจุนขึ้นมาท่ามกลางความเงียบของการเดินทาง "ตอนนั้น เจ้าพยามจะทำให้ข้านึกออกว่าเจ้าเป็นใคร แต่ข้ากลับทำร้ายเจ้าไปซะได้"
"ไม่หรอกๆ เป็นผมก็คงทำเหมือนเธอ จะว่าไป ตอนนั้นผมเองก็เสียมารยาทไม่น้อยเลย"
คำพูดรื้อฟื้นอดีตทำให้่ท่านมิสึกาวะเกิดสนใจขึ้นมา เขาเคยฟังเรื่องราวต่างๆจากท่านหญิงอาสึสะมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ฟังรายละเอียดมากนัก นึกไม่ถึงว่าสถานที่ซึ่งทำให้คนทั้งสองได้พบกันคือศาลเจ้าฟุมิเนเนะนี้เอง
ถึงจะเป็นการพูดคุยเล็กๆน้อยๆ แต่เรื่องนี้กลับติดอยู่ในใจท่านมิสึกาวะอย่างน่าประหลาด พวกท่านหญิงอยู่ที่ศาลเจ้าจนค่ำนั้น จะเดินทางกลับปราสาทท่านขุนนางก็อันตรายเกินไป เขาจึงถือโอกาสชวนทุกคนมาค้างที่ศาลเจ้า
"ขอบคุณสำหรับฟูกนอนเจ้าค่ะ" คาซาเมะที่ผันตนเองมาเป็นคนรับใช้คนสนิทของท่านหญิงอย่างเต็มตัวที่โค้งให้กับคนที่เตรียมที่นอนของตนแล้วมองตามหลังท่านหญิงไปจนลับตา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยิน เด็กสาวก็กระโดดลงไปคลุกกับฟูกนอนนั้นแล้วตะโกนออกมาว่า...
"เมื่อยตัวไปหมดแล้วเฟ้ย!"
และซาคาเมะก็ยังคงเป็นซาคาเมะเมื่อหนึ่งปีก่อนไม่เปลี่ยนแปลง
ทางด้านท่านมิสึกาวะ เมื่อแน่ใจว่ามีแต่พวกตน เขาก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ถึงสาเหตุในการย้อนเวลามาของจุน เด็กหนุ่มมองเพดานเพื่อรำลึกอดีต ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ทั้งเรื่องของจิเสะ จินเนะ และการพบกับมาซารุ สุดท้ายคือค่ำคืนที่แสนมหัศจรรย์นั่น
ท่านองเมียวจิมิสึกาวะเอามือประสานกันจนแทบไม่เห็นรอยต่อของแขนเสื้อ พูดอย่างกลัดกลุ้ม
"นี่ลูกหลานของข้าไปทำเรื่องอะไรแบบนั้นงั้นหรือ" เขาขมวดคิ้ว "ข้าคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว"
ถึงจะไม่รู้ว่าองเมียวจิจะทำอะไรก็ตาม จุนที่ยังคิดว่าจิเสะเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็รีบพูดอย่างรวดเร็วว่าเรื่องนี้เด็กสาวก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงนัก อย่างน้อยเธอก็เป็นคนที่เคยช่วยเหลือเขาไว้ในหลายๆเรื่อง
จุน เจ้าไม่อยากให้นางต้องบาดเจ็บอย่างนั้นสินะ มาซารุครุ่นคิดเงียบๆ นี่อาจเป็นสาเหตุสำึคัญที่เขาไม่ยอมตอบโต้จิเสะไปในตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม ท่านมิสึกาวะตวาดลั่น "ไม่ร้ายแรงหรือ! ลูกหลานข้าทำร้ายท่านมาซารุนะ"
ดูท่าว่าเรื่องที่จุนเล่าจะส่งผลต่อจิตใจผู้ฟังมากทีเดียว ร้อนถึงท่านหญิงอาสึสะต้องบอกให้เขาใจเย็นๆ หลังปล่อยให้คนรักต้องช่วยสงบอารมณ์อยู่นาน ท่านมิสึกาวะเดินไปหยิบยันต์บางอย่างออกมาให้เด็กหนุ่มดู มันเป็นยันต์แบบเดียวกับที่จิเสะใช้
"ใช่ครับ" จุนพยักหน้า "ถึงจะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ผมว่าต้องเป็นใบนี้แน่นอนครับ ว่าแต่มันสำคัญยังไง..."
ท่านมิสึกาวะนั่งลงแล้วพูดนิ่งๆ "ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังยุคเดิม"
คนที่มีปฏิกริยามากที่สุดไม่ใช่ตัวเด็กหนุ่มผู้ที่อาจจะได้กลับบ้าน แต่เป็นมาซารุซึ่งมีสีหน้าร้อนรนขึ้นมาทันที เขาจับแขนของจุนไว้แน่นแล้วส่ายหน้าเบาๆราวกับจะให้ปฏิเสธคำพูดของท่านมิสึกาวะ สายตาที่จ้องเขามาอย่างเว้าวอนทำให้จุนต้องยืนยันว่าเขาจะอยู่ที่นี่ หนึ่งปีที่ผ่านมานอกจากจะทำให้เขาเริ่มปรับตัวได้ มันยังสร้างความผูกพันธ์กับยุคสมัยอีกด้วย
ท่านหญิงอาสึสะเองก็แอบส่ายหน้าเหมือนกัน นางไม่อยากให้มาซารุต้องเสียใจหรอกนะ
"แล้วจะปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังอยู่เช่นนี้นะหรือ" ท่านมิสึกาวะพูดเสียงขรึม "ท่านคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านไปนี้ ยุคสมัยของท่านจะกลับเป็นปกติแล้วจริงหรือ หากว่าทายาทของข้าตั้งใจจะทำร้ายท่านมาซารุต่อไปล่ะ นางอาจไม่ได้หยุดแค่นั้นก็ได้"
คราวนี้จุนนิ่งงันไป ถึงเขาจะผูกพันธ์กับมาซารุที่ยังคงเป็นมนุษย์คนนี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจเมินเฉยให้มาซารุร่างวิญญาณที่รอคอยเขามาตลอดหลายร้อยปีได้หรอกนะ
เหมือนว่าร่างในชุดกิโมโนจะรับรู้ความคิดของคนรัก เขาพยามพูดทัดทานอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
วงเวทสีฟ้าวงเดิมปรากฏขึ้นในบริเวณใกล้เคียงจากจุดที่เขาคิดว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนจิเสะได้วางกับดักไว้ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในนั้นท่านมิสึกาวะได้จับไหล่เขาไว้แล้วเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
"เจ้าคงจะรู้นะ หากพลาดไป ตัวเจ้าเองก็จะ..."
จุนพยักหน้าแล้วยังคงก้าวเดินเข้าไปในนั้น แม้ว่าจะรู้สึกกลัวก็ตาม แต่ในเมื่อมาได้ก็ต้องกลับได้ นั่นคือประโยคเรียกความหวังและความกล้าในใจของจุน
ตัวมาซารุเองยืนอยู่ข้างท่านหญิงอาสึสะ ใบหน้าของทั้งสองต่างเศร้าสร้อย ระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา การอยู่ร่วมกันกับจุนกลายเป็นทั้งความเคยชินและความผูกพัีนธ์ ดังนั้น เมื่อเขาจะกลับไปยังยุคเดิมก็ย่อมรู้สึกเสียใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะมาซารุที่พยามบังคับตัวเองไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เขาไม่อยากทำให้จุนไม่สบายใจหรอกนะ ถึงแม้ว่าหากเขาร้องไห้ล่ะก็ การเดินทางข้ามยุคครั้งนี้จะถูกยกเลิกอย่างแน่นอนก็ตาม
จุนก้าวเข้าไปในวงเวทสีฟ้า มันไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนมีอะไรมายึดเท้าไว้กับพื้น คงเป็นเพราะว่าตัวเด็กหนุ่มนั้นยังเป็นมนุษย์ แต่ยืนอยู่นานแล้วยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมานอกจากอาการเหมือนสติมันจะหลุดออกไปเรื่อยๆ...
ท่านมิสึกาวะมองอาการซวนเซของจุนแล้วขมวดคิ้ว กำลังถูกสลายวิญญาณหรือ
กระทั่ง จุนได้ล้มลงไปกับพื้น ถึงตอนนั้นมาซารุกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาวิ่งไปประคองร่างคนรักทันที ซาคาเมะที่มาร่วมชมการเดินทางข้ามยุคด้วยความรู้สึกเศร้าไม่แพ้กันรีบวิ่งไปดึงตัวออกมา ถึงแม้ว่าตัวนางเองก็อยากจะดึงเด็กหนุ่มออกมาด้วยก็ตาม หนึ่งปีที่ผ่านมาต่อให้แกล้งจุนอยู่บ่อยๆ แต่สำหรับนางแล้วเขาก็เป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายที่ราวกับร่วมเล่นร่วมล้อกันมาหลายปี
สติครบถ้วนของเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้ง เสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกันก่อนจะโดนซาคาเมะดึงตัวมาซารุออกไป จุนสัมผัสได้ถึงบางอย่างในจิตใจ เขารีบตะโกนมันออกมาโดยไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง...
"รอผมนะ! เธอต้องรอผมอยู่ที่นี่นะ! แล้วผมจะกลับมาหาเธอ!"
...ชั่ววินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกัน มันเป็นเหมือนกุญแจเปิดทางสู่การกลับไปยังยุคปัจจุบันของจุน
ร่างของเด็กหนุ่มหายลับไปในอากาศพร้อมๆกับแผ่นยันต์ที่ส่องแสงได้ขาดครึ่งเหมือนโดนคมมีดตัด
"จุน..." มาซารุทรุดลง เขาเอื้อมมือไปคว้ายันต์ที่ขาดครึ่งนั้นไว้เหมือนเป็นสิ่งดูต่างหน้าคนรัก ร่างในชุดกิโมโนกล่าวทั้งน้ำตา "ข้า...ข้าจะรอเจ้า จะรออยู่ที่นี่ นานแค่ไหนข้าก็จะรอ!"
ตั้งแต่นั้นมา มาซารุได้มาพักที่ศาลเจ้าฟุมิเนเนะราวกับวันพรุ่งนี้จะตื่นขึ้นมาพบจุนตามที่เขาได้บอกไว้ ท่านมิสึกาวะเองก็ไม่ได้ขัดข้อง เพราะยามที่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองของร่างงามนั้น ตัวเขาเองก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เหตุใดตอนนั้นเขาถึงมุ่งมั่นที่จะส่งจุนกลับไปยังยุคเดิมนักนะ
อย่างไรก็ตาม สภาพของมาซารุแบบนั้นไม่ได้เป็นที่แปลกใจของท่านมารุสึเกะเลยแม้แต่น้อย เพราะผู้ที่ดูทั้งสองจุมพิตกันในคืนวันเกิดคือตัวเขาเอง เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมด ท่านมารุสึเกะก็พยักหน้ารับรู้โดยไม่คิดจะบังคับให้บุตรชายกลับมาที่ปราสาทของตน
แต่ว่าท่านหญิงอาสึสะกลับไม่คิดเช่นนั้น นางพยามเสนอขึ้นมา "ถ้าำเช่นนั้นต่อไป ท่านมาซารุก็รังแต่จะเศร้าหมอง ให้เขากลับมาที่นี่ดีกว่านะเจ้าคะ อย่างน้อยเราก็ได้ดูแลเขาด้วย"
ตัวท่านขุนนางได้ใช้พัดเซนสึอันเดิมโบกไปมา สีหน้านั้นแม้จะไม่ได้เศร้าหนักอย่างพวกท่านหญิง แต่มันก็แสดงถึงความทุกข์ในใจพอสมควร "กลับมาที่นี่งั้นหรือ ให้มาซารุไปรอคอยเจ้าโคชูบ้านั่นที่ศาลเจ้าฟุมิเนเนะ ยังดีกว่าให้กลับมายังสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำ บ้าที่สุด! ข้าบอกเจ้านั่นไปแล้วแท้ๆว่าหากทำให้มาซารุเสียใจจะทำให้มันขอโทษให้ได้นะ เมื่อพบมาซารุในอีกหลายร้อยปี เจ้านั่นต้องไปขอโทษเขาให้ได้นะ!"
ท่านมารุสึเกะเองก็ไม่ได้อยู่เฉยซะทีเดียว เมื่อมาซารุมาเป็นคู่วิวาห์ให้ท่านหญิงอาสึสะไม่ได้ เขาที่เลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็กก็ใช้โอกาสนั้นมอบนางเป็นภรรยาของท่านมิสึกาวะแทน ความจริงเขาก็รู้ดีว่านางรู้สึกอย่างไรกับตัวองเมียวจิผู้นั้น และเพื่อเป็นการสร้างความสุขท่ามกลางความทุกข์นี้ด้วย
เรื่องราวเหล่านั้นผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่าจนกลายมาเป็นหลายร้อยปี มาซารุที่ยังคงหวังว่าจะได้พบจุนที่พยามเช็ดใบหน้ามอมๆและวิ่งเข้ามากอดเขาอีกครั้งได้รออยู่ที่นั่นมาตลอด
นานมากแล้ว ทำไมข้าถึงยังไม่ได้พบเจ้าอีกล่ะ จุน...
"อือ..."
วินาทีแรกที่จุนลืมตาขึ้นมาเห็นคือสีขาว สีขาว และสีขาว ผนังสีขาวของโรงพยาบาลเป็นวิวคลาสสิกที่มีเกือบทุกแห่ง ที่มือของเขามีสายน้ำเกลือโยงอยู่ ที่โซฟาสำหรับให้ญาติผู้ป่วยที่มาเยี่ยมนั่งพักมีบุคคลอยู่สามสี่คน คาเมซากิ ชิโร่ ผู้เป็นคุณพ่อและยังมีคุณแม่ของจุนด้วย
ถัดไปอีกหน่อยมีจิเสะ ไซโตะและจินเนะ ไอดอลที่ใช้เวลาหนึ่งปีที่พี่ชายหายตัวไปสร้างชื่อเสียงเพิ่มอีกหลายเท่าและคงตำแหน่งอันดับหนึ่งไว้ได้เป็นอย่างดี เธอเลื่อนคิวงานออกไปทั้งหมดเพื่อเฝ้าเด็กหนุ่มซึ่งพบว่าสลบอยู่หน้าบ้านจนต้องหามส่งโรงพยาบาล หวังว่าเขาคงยังไม่ลืมนะว่าเคยบอกอะไรไว้
ผ่านมาตั้งปีหนึ่งแล้วฉันยังไม่รู้เจ้าสิ่งที่เรียกว่า 'ความจริงของเรื่องนั้น' จากปากนายเลยนะยะ!
"ตื่นแล้วเหรอ!" จินเนะปราดเข้าไปทันที "รีบบอกเรื่องนั้นมาได้แล้ว!"
ไซโตะต้องรีบปรามเธอก่อนที่จุนจะโดนน้องสาวเขย่าคอเสื้อจนสลบไปอีกรอบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นอิสระแล้ว สิ่งแรกที่จุนทำคือดึงสายน้ำเกลือออกจากมือแล้วฉีกเสื้อส่วนหนึ่งมาพันไว้แทนผ้าพันแผลพลางวิ่งไปที่ศาลเจ้าฟุมิเนเนะ
รถบัสที่ต้องต่อรวมแล้วยี่สิบนาทีเหมือนนานกว่าเดิม หากว่าเขาวิ่งไวกว่ารถบัสคงจะลงไปวิ่งแล้วแน่ๆ แต่ช่วงเวลาเดินห้านาทีนี้ จุนก็รีบวิ่งเต็มฝีเท้าไปที่ศาลเจ้านั้น
บันไดที่ทอดมาจากประตูศาลเจ้ายังคงเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยจากการวิ่งและอ่อนแรงจากการเสียเลือดที่แผลตรงสายน้ำเกลือ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงพยามวิ่งไปจนถึงประตูศาลเจ้า...ซึ่งไม่ได้มีมาซารุยืนรออยู่
ถึงจะวิ่งเข้าไปหาในศาลเจ้าฟุมิเนเนะเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จุนออกมาจากที่นั่นแล้วทรุดตัวร้องไห้ลงที่หน้าประตูนั้น เขามาช้าไป...ช้าไปใช่ไหม...
สายหมอกค่อยๆรวมตัวกันเหมือนจะปิดกั้นผู้คนภายนอกออกพร้อมกับอ้อมแขนที่เย็นเยือกถูกส่งมาจากด้านหลัง
"เป็นเจ้านั่นเอง ใช่จุนจริงๆด้วย นานมาก... นานมากจริงๆ ข้ารอเจ้ามาตลอดนะ" เสียงของมาซารุทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน "ในที่สุด เจ้าก็กลับมาพบข้าจนได้"
จุนพยามปาดน้ำตาที่เปลี่ยนเป็นคลอด้วยความดีใจแล้วสวมกอดคนรักอย่างรวดเร็ว "ผม...ผมกลับมาแล้ว กลับมาแล้วนะ มาซารุซัง กลับมาพบเธอแล้วนะ"
จุมพิตที่แสนอ่อนโยนนั้นประทับติดตรึงมอบความอบอุ่นให้แก่กันและความรักนี้จะยังคงอยู่ต่อไป ไม่มีใครล่วงรู้ในอนาคตว่าทั้งสองจะเป็นเช่นไร แต่ ณ กาลเวลาปัจจุบันนี้ความรักได้คงอยู่และงดงามในจิตใจของคู่รักที่ไม่ต้องมีใครเป็นฝ่ายรอคอยอีกแล้ว...
ท่านมารุสึเกะใช้พัดเซนสึเล่มเดิมสะบัดกางโบกตัวเองอย่างรื่นรมณ์รอดูการแสดงที่ถูกจัดมาเพื่อต้อนรับท่านมิสึกาวะโดยเฉพาะ
การประลองดาบในช่วงแรกช่างน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ท่านองเมียวจิก็ยังรู้สึกเหมือนทุกคนไม่ค่อยจะส่งเสียงเชียร์เท่าที่ควร
จนกระทั่งจุนได้ก้าวออกมาที่ลานประลองพร้อมกับผู้เข้าแข่งขันอีกสี่คน แต่ล่ะคนจะมุ่งมาที่เป้าอันเดียวกัน กฏคือลูกธนูทั้งสามเล่มจะต้องเข้าเป้าได้ทั้งหมด ทันทีที่สิ้นเสียงการประกาศกฏ เสียงเชียร์กระหึ่มขึ้นมาเป็นการบอกโดยอ้อมว่าสิ่งที่ท่านมารุสึเกะนำมาแสดงต้อนรับอย่างแท้จริงคือการแข่งขันธนูนี้ต่างหาก
เพราะไม่ได้มาที่เอโดะนาน ท่านมิสึกาวะถึงกับสงสัยว่าทำไมท่านมารุสึเกะถึงกล้าแกล้งจุนในงานต้อนรับเขา ไม่สิ เมื่อมองสีหน้าที่แสนภาคภูมิของท่านมารุสึเกะแล้ว ท่านมิสึกาวะก็รู้สึกว่ามันไม่เหมือนครั้งที่แล้ว ที่สำคัญ มาซารุเองก็ดูจะใจเย็นกว่าครั้งก่อนด้วย
เมื่อมีห้าผู้แข่งขัน ธนูที่ยิงออกมาต่างสะกัดกันบ้างกรณีที่อยู่ในรัศมีปะทะกันจนร่วงออกไปดอกแล้วดอกเล่า เรียกได้ว่าคนยิงต้องเร็วที่สุดหรือช้ากว่าคนอื่นเป็นอันดับท้ายเพื่อเลี่ยงรัศมีการปะทะ
ผลที่ออกมาเรียกเสียงปรบมือได้ดีพอสมควร สามในห้าคือผู้ที่เข้าเป้าสองดอก มีเพียงสองคนที่เข้าได้ทุกดอก
มิน่าล่ะ ท่านมารุสึเกะถึงได้ดูภาคภูมินัก
จุนเป็นหนึ่งในสองผู้กำชัยชนะในสงครามการยิงธนูไว้ได้ ฝีมือของเด็กหนุ่มพัฒนาขึ้นมากเลยทีเดียว
ท่านมิสึกาวะแอบสงสัยไม่ได้ เขาแขนขึ้นมาป้องปากกระซิบ "ท่านมารุสึเกะขอรับ เหตุใดจึงได้จัดเด็กหนุ่มผู้นั้นให้มาแข่งขันด้วยล่ะขอรับ"
"ฮ่าฮ่าฮ่า" ท่านผู้นำตระกูลหัวเราะเสียงดัง "ก็เจ้านั่นเป็นโคชูของบุตรชายข้านี่นา ให้มาแสดงฝีมือหน่อยก็ดี"
อ้อ ที่แท้ก็แข่งล้างอายนี่เอง
ท่านมิสึกาวะคิดในใจเงียบๆแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าเวลาที่ผ่านมาระหว่างที่ตนไม่อยู่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า เรื่องที่ท่านมารุสึเกะเสียชื่อจากการแข่งคราวก่อนก็ไม่น่าจะมากมายอะไรเพราะมีแต่คนใน แต่ทำเช่นนี้มันส่งผลต่อตัวจุนเองมากกว่า นี่อย่าบอกนะ ว่าท่านมารุสึเกะคิดจัดการแข่งล้างอายให้โคชูของบุตรชายที่ตนไม่ค่อยจะชอบใจสักเท่าไหร่นะ?
หลังจากเสร็จงานเลี้ยงต้อนรับ ท่านมิสึกาวะเหลือบมองจุนที่ขึ้นขี่ม้าอย่างคล่องแคล่วเคียงข้างกันไปกับมาซารุ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะใช้เวลาตอนที่เขาไม่ได้อยู่เอโดะในการพัฒนาตัวเองไปเยอะทีเดียว
"นึกไม่ถึงเลยนะว่าจะผ่านไปตั้งหนึ่งปีแล้วนะ" มาซารุเอ่ยกับจุนขึ้นมาท่ามกลางความเงียบของการเดินทาง "ตอนนั้น เจ้าพยามจะทำให้ข้านึกออกว่าเจ้าเป็นใคร แต่ข้ากลับทำร้ายเจ้าไปซะได้"
"ไม่หรอกๆ เป็นผมก็คงทำเหมือนเธอ จะว่าไป ตอนนั้นผมเองก็เสียมารยาทไม่น้อยเลย"
คำพูดรื้อฟื้นอดีตทำให้่ท่านมิสึกาวะเกิดสนใจขึ้นมา เขาเคยฟังเรื่องราวต่างๆจากท่านหญิงอาสึสะมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ฟังรายละเอียดมากนัก นึกไม่ถึงว่าสถานที่ซึ่งทำให้คนทั้งสองได้พบกันคือศาลเจ้าฟุมิเนเนะนี้เอง
ถึงจะเป็นการพูดคุยเล็กๆน้อยๆ แต่เรื่องนี้กลับติดอยู่ในใจท่านมิสึกาวะอย่างน่าประหลาด พวกท่านหญิงอยู่ที่ศาลเจ้าจนค่ำนั้น จะเดินทางกลับปราสาทท่านขุนนางก็อันตรายเกินไป เขาจึงถือโอกาสชวนทุกคนมาค้างที่ศาลเจ้า
"ขอบคุณสำหรับฟูกนอนเจ้าค่ะ" คาซาเมะที่ผันตนเองมาเป็นคนรับใช้คนสนิทของท่านหญิงอย่างเต็มตัวที่โค้งให้กับคนที่เตรียมที่นอนของตนแล้วมองตามหลังท่านหญิงไปจนลับตา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยิน เด็กสาวก็กระโดดลงไปคลุกกับฟูกนอนนั้นแล้วตะโกนออกมาว่า...
"เมื่อยตัวไปหมดแล้วเฟ้ย!"
และซาคาเมะก็ยังคงเป็นซาคาเมะเมื่อหนึ่งปีก่อนไม่เปลี่ยนแปลง
ทางด้านท่านมิสึกาวะ เมื่อแน่ใจว่ามีแต่พวกตน เขาก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ถึงสาเหตุในการย้อนเวลามาของจุน เด็กหนุ่มมองเพดานเพื่อรำลึกอดีต ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ทั้งเรื่องของจิเสะ จินเนะ และการพบกับมาซารุ สุดท้ายคือค่ำคืนที่แสนมหัศจรรย์นั่น
ท่านองเมียวจิมิสึกาวะเอามือประสานกันจนแทบไม่เห็นรอยต่อของแขนเสื้อ พูดอย่างกลัดกลุ้ม
"นี่ลูกหลานของข้าไปทำเรื่องอะไรแบบนั้นงั้นหรือ" เขาขมวดคิ้ว "ข้าคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว"
ถึงจะไม่รู้ว่าองเมียวจิจะทำอะไรก็ตาม จุนที่ยังคิดว่าจิเสะเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็รีบพูดอย่างรวดเร็วว่าเรื่องนี้เด็กสาวก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงนัก อย่างน้อยเธอก็เป็นคนที่เคยช่วยเหลือเขาไว้ในหลายๆเรื่อง
จุน เจ้าไม่อยากให้นางต้องบาดเจ็บอย่างนั้นสินะ มาซารุครุ่นคิดเงียบๆ นี่อาจเป็นสาเหตุสำึคัญที่เขาไม่ยอมตอบโต้จิเสะไปในตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม ท่านมิสึกาวะตวาดลั่น "ไม่ร้ายแรงหรือ! ลูกหลานข้าทำร้ายท่านมาซารุนะ"
ดูท่าว่าเรื่องที่จุนเล่าจะส่งผลต่อจิตใจผู้ฟังมากทีเดียว ร้อนถึงท่านหญิงอาสึสะต้องบอกให้เขาใจเย็นๆ หลังปล่อยให้คนรักต้องช่วยสงบอารมณ์อยู่นาน ท่านมิสึกาวะเดินไปหยิบยันต์บางอย่างออกมาให้เด็กหนุ่มดู มันเป็นยันต์แบบเดียวกับที่จิเสะใช้
"ใช่ครับ" จุนพยักหน้า "ถึงจะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ผมว่าต้องเป็นใบนี้แน่นอนครับ ว่าแต่มันสำคัญยังไง..."
ท่านมิสึกาวะนั่งลงแล้วพูดนิ่งๆ "ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังยุคเดิม"
คนที่มีปฏิกริยามากที่สุดไม่ใช่ตัวเด็กหนุ่มผู้ที่อาจจะได้กลับบ้าน แต่เป็นมาซารุซึ่งมีสีหน้าร้อนรนขึ้นมาทันที เขาจับแขนของจุนไว้แน่นแล้วส่ายหน้าเบาๆราวกับจะให้ปฏิเสธคำพูดของท่านมิสึกาวะ สายตาที่จ้องเขามาอย่างเว้าวอนทำให้จุนต้องยืนยันว่าเขาจะอยู่ที่นี่ หนึ่งปีที่ผ่านมานอกจากจะทำให้เขาเริ่มปรับตัวได้ มันยังสร้างความผูกพันธ์กับยุคสมัยอีกด้วย
ท่านหญิงอาสึสะเองก็แอบส่ายหน้าเหมือนกัน นางไม่อยากให้มาซารุต้องเสียใจหรอกนะ
"แล้วจะปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังอยู่เช่นนี้นะหรือ" ท่านมิสึกาวะพูดเสียงขรึม "ท่านคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านไปนี้ ยุคสมัยของท่านจะกลับเป็นปกติแล้วจริงหรือ หากว่าทายาทของข้าตั้งใจจะทำร้ายท่านมาซารุต่อไปล่ะ นางอาจไม่ได้หยุดแค่นั้นก็ได้"
คราวนี้จุนนิ่งงันไป ถึงเขาจะผูกพันธ์กับมาซารุที่ยังคงเป็นมนุษย์คนนี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจเมินเฉยให้มาซารุร่างวิญญาณที่รอคอยเขามาตลอดหลายร้อยปีได้หรอกนะ
เหมือนว่าร่างในชุดกิโมโนจะรับรู้ความคิดของคนรัก เขาพยามพูดทัดทานอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
วงเวทสีฟ้าวงเดิมปรากฏขึ้นในบริเวณใกล้เคียงจากจุดที่เขาคิดว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนจิเสะได้วางกับดักไว้ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในนั้นท่านมิสึกาวะได้จับไหล่เขาไว้แล้วเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
"เจ้าคงจะรู้นะ หากพลาดไป ตัวเจ้าเองก็จะ..."
จุนพยักหน้าแล้วยังคงก้าวเดินเข้าไปในนั้น แม้ว่าจะรู้สึกกลัวก็ตาม แต่ในเมื่อมาได้ก็ต้องกลับได้ นั่นคือประโยคเรียกความหวังและความกล้าในใจของจุน
ตัวมาซารุเองยืนอยู่ข้างท่านหญิงอาสึสะ ใบหน้าของทั้งสองต่างเศร้าสร้อย ระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา การอยู่ร่วมกันกับจุนกลายเป็นทั้งความเคยชินและความผูกพัีนธ์ ดังนั้น เมื่อเขาจะกลับไปยังยุคเดิมก็ย่อมรู้สึกเสียใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะมาซารุที่พยามบังคับตัวเองไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เขาไม่อยากทำให้จุนไม่สบายใจหรอกนะ ถึงแม้ว่าหากเขาร้องไห้ล่ะก็ การเดินทางข้ามยุคครั้งนี้จะถูกยกเลิกอย่างแน่นอนก็ตาม
จุนก้าวเข้าไปในวงเวทสีฟ้า มันไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนมีอะไรมายึดเท้าไว้กับพื้น คงเป็นเพราะว่าตัวเด็กหนุ่มนั้นยังเป็นมนุษย์ แต่ยืนอยู่นานแล้วยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมานอกจากอาการเหมือนสติมันจะหลุดออกไปเรื่อยๆ...
ท่านมิสึกาวะมองอาการซวนเซของจุนแล้วขมวดคิ้ว กำลังถูกสลายวิญญาณหรือ
กระทั่ง จุนได้ล้มลงไปกับพื้น ถึงตอนนั้นมาซารุกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาวิ่งไปประคองร่างคนรักทันที ซาคาเมะที่มาร่วมชมการเดินทางข้ามยุคด้วยความรู้สึกเศร้าไม่แพ้กันรีบวิ่งไปดึงตัวออกมา ถึงแม้ว่าตัวนางเองก็อยากจะดึงเด็กหนุ่มออกมาด้วยก็ตาม หนึ่งปีที่ผ่านมาต่อให้แกล้งจุนอยู่บ่อยๆ แต่สำหรับนางแล้วเขาก็เป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายที่ราวกับร่วมเล่นร่วมล้อกันมาหลายปี
สติครบถ้วนของเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้ง เสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกันก่อนจะโดนซาคาเมะดึงตัวมาซารุออกไป จุนสัมผัสได้ถึงบางอย่างในจิตใจ เขารีบตะโกนมันออกมาโดยไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง...
"รอผมนะ! เธอต้องรอผมอยู่ที่นี่นะ! แล้วผมจะกลับมาหาเธอ!"
...ชั่ววินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกัน มันเป็นเหมือนกุญแจเปิดทางสู่การกลับไปยังยุคปัจจุบันของจุน
ร่างของเด็กหนุ่มหายลับไปในอากาศพร้อมๆกับแผ่นยันต์ที่ส่องแสงได้ขาดครึ่งเหมือนโดนคมมีดตัด
"จุน..." มาซารุทรุดลง เขาเอื้อมมือไปคว้ายันต์ที่ขาดครึ่งนั้นไว้เหมือนเป็นสิ่งดูต่างหน้าคนรัก ร่างในชุดกิโมโนกล่าวทั้งน้ำตา "ข้า...ข้าจะรอเจ้า จะรออยู่ที่นี่ นานแค่ไหนข้าก็จะรอ!"
ตั้งแต่นั้นมา มาซารุได้มาพักที่ศาลเจ้าฟุมิเนเนะราวกับวันพรุ่งนี้จะตื่นขึ้นมาพบจุนตามที่เขาได้บอกไว้ ท่านมิสึกาวะเองก็ไม่ได้ขัดข้อง เพราะยามที่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองของร่างงามนั้น ตัวเขาเองก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เหตุใดตอนนั้นเขาถึงมุ่งมั่นที่จะส่งจุนกลับไปยังยุคเดิมนักนะ
อย่างไรก็ตาม สภาพของมาซารุแบบนั้นไม่ได้เป็นที่แปลกใจของท่านมารุสึเกะเลยแม้แต่น้อย เพราะผู้ที่ดูทั้งสองจุมพิตกันในคืนวันเกิดคือตัวเขาเอง เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมด ท่านมารุสึเกะก็พยักหน้ารับรู้โดยไม่คิดจะบังคับให้บุตรชายกลับมาที่ปราสาทของตน
แต่ว่าท่านหญิงอาสึสะกลับไม่คิดเช่นนั้น นางพยามเสนอขึ้นมา "ถ้าำเช่นนั้นต่อไป ท่านมาซารุก็รังแต่จะเศร้าหมอง ให้เขากลับมาที่นี่ดีกว่านะเจ้าคะ อย่างน้อยเราก็ได้ดูแลเขาด้วย"
ตัวท่านขุนนางได้ใช้พัดเซนสึอันเดิมโบกไปมา สีหน้านั้นแม้จะไม่ได้เศร้าหนักอย่างพวกท่านหญิง แต่มันก็แสดงถึงความทุกข์ในใจพอสมควร "กลับมาที่นี่งั้นหรือ ให้มาซารุไปรอคอยเจ้าโคชูบ้านั่นที่ศาลเจ้าฟุมิเนเนะ ยังดีกว่าให้กลับมายังสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำ บ้าที่สุด! ข้าบอกเจ้านั่นไปแล้วแท้ๆว่าหากทำให้มาซารุเสียใจจะทำให้มันขอโทษให้ได้นะ เมื่อพบมาซารุในอีกหลายร้อยปี เจ้านั่นต้องไปขอโทษเขาให้ได้นะ!"
ท่านมารุสึเกะเองก็ไม่ได้อยู่เฉยซะทีเดียว เมื่อมาซารุมาเป็นคู่วิวาห์ให้ท่านหญิงอาสึสะไม่ได้ เขาที่เลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็กก็ใช้โอกาสนั้นมอบนางเป็นภรรยาของท่านมิสึกาวะแทน ความจริงเขาก็รู้ดีว่านางรู้สึกอย่างไรกับตัวองเมียวจิผู้นั้น และเพื่อเป็นการสร้างความสุขท่ามกลางความทุกข์นี้ด้วย
เรื่องราวเหล่านั้นผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่าจนกลายมาเป็นหลายร้อยปี มาซารุที่ยังคงหวังว่าจะได้พบจุนที่พยามเช็ดใบหน้ามอมๆและวิ่งเข้ามากอดเขาอีกครั้งได้รออยู่ที่นั่นมาตลอด
นานมากแล้ว ทำไมข้าถึงยังไม่ได้พบเจ้าอีกล่ะ จุน...
"อือ..."
วินาทีแรกที่จุนลืมตาขึ้นมาเห็นคือสีขาว สีขาว และสีขาว ผนังสีขาวของโรงพยาบาลเป็นวิวคลาสสิกที่มีเกือบทุกแห่ง ที่มือของเขามีสายน้ำเกลือโยงอยู่ ที่โซฟาสำหรับให้ญาติผู้ป่วยที่มาเยี่ยมนั่งพักมีบุคคลอยู่สามสี่คน คาเมซากิ ชิโร่ ผู้เป็นคุณพ่อและยังมีคุณแม่ของจุนด้วย
ถัดไปอีกหน่อยมีจิเสะ ไซโตะและจินเนะ ไอดอลที่ใช้เวลาหนึ่งปีที่พี่ชายหายตัวไปสร้างชื่อเสียงเพิ่มอีกหลายเท่าและคงตำแหน่งอันดับหนึ่งไว้ได้เป็นอย่างดี เธอเลื่อนคิวงานออกไปทั้งหมดเพื่อเฝ้าเด็กหนุ่มซึ่งพบว่าสลบอยู่หน้าบ้านจนต้องหามส่งโรงพยาบาล หวังว่าเขาคงยังไม่ลืมนะว่าเคยบอกอะไรไว้
ผ่านมาตั้งปีหนึ่งแล้วฉันยังไม่รู้เจ้าสิ่งที่เรียกว่า 'ความจริงของเรื่องนั้น' จากปากนายเลยนะยะ!
"ตื่นแล้วเหรอ!" จินเนะปราดเข้าไปทันที "รีบบอกเรื่องนั้นมาได้แล้ว!"
ไซโตะต้องรีบปรามเธอก่อนที่จุนจะโดนน้องสาวเขย่าคอเสื้อจนสลบไปอีกรอบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นอิสระแล้ว สิ่งแรกที่จุนทำคือดึงสายน้ำเกลือออกจากมือแล้วฉีกเสื้อส่วนหนึ่งมาพันไว้แทนผ้าพันแผลพลางวิ่งไปที่ศาลเจ้าฟุมิเนเนะ
รถบัสที่ต้องต่อรวมแล้วยี่สิบนาทีเหมือนนานกว่าเดิม หากว่าเขาวิ่งไวกว่ารถบัสคงจะลงไปวิ่งแล้วแน่ๆ แต่ช่วงเวลาเดินห้านาทีนี้ จุนก็รีบวิ่งเต็มฝีเท้าไปที่ศาลเจ้านั้น
บันไดที่ทอดมาจากประตูศาลเจ้ายังคงเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยจากการวิ่งและอ่อนแรงจากการเสียเลือดที่แผลตรงสายน้ำเกลือ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงพยามวิ่งไปจนถึงประตูศาลเจ้า...ซึ่งไม่ได้มีมาซารุยืนรออยู่
ถึงจะวิ่งเข้าไปหาในศาลเจ้าฟุมิเนเนะเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จุนออกมาจากที่นั่นแล้วทรุดตัวร้องไห้ลงที่หน้าประตูนั้น เขามาช้าไป...ช้าไปใช่ไหม...
สายหมอกค่อยๆรวมตัวกันเหมือนจะปิดกั้นผู้คนภายนอกออกพร้อมกับอ้อมแขนที่เย็นเยือกถูกส่งมาจากด้านหลัง
"เป็นเจ้านั่นเอง ใช่จุนจริงๆด้วย นานมาก... นานมากจริงๆ ข้ารอเจ้ามาตลอดนะ" เสียงของมาซารุทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน "ในที่สุด เจ้าก็กลับมาพบข้าจนได้"
จุนพยามปาดน้ำตาที่เปลี่ยนเป็นคลอด้วยความดีใจแล้วสวมกอดคนรักอย่างรวดเร็ว "ผม...ผมกลับมาแล้ว กลับมาแล้วนะ มาซารุซัง กลับมาพบเธอแล้วนะ"
จุมพิตที่แสนอ่อนโยนนั้นประทับติดตรึงมอบความอบอุ่นให้แก่กันและความรักนี้จะยังคงอยู่ต่อไป ไม่มีใครล่วงรู้ในอนาคตว่าทั้งสองจะเป็นเช่นไร แต่ ณ กาลเวลาปัจจุบันนี้ความรักได้คงอยู่และงดงามในจิตใจของคู่รักที่ไม่ต้องมีใครเป็นฝ่ายรอคอยอีกแล้ว...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ