ภารกิจรักพักหัวใจยัยนักสืบ
-
2) ทำโทษ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ2.
“ขอบใจหนูเรนนี่มากนะจ๊ะ ที่ช่วยห้ามปรามเหล่าเด็กผู้ชายพวกนั้นได้อยู่หมัดอย่างไม่น่าเชื่อ” ผอ. โรงเรียนอาชิตะชมฉันด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้มจนฉันอยากจะอ้วก -_- พูดถึงเรื่องนี้ทีไร ไม่รู้ทำไมฉันจะต้องคิดถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของนายนั่นทุกทีเลย เหมือนว่าภาพๆ นั้นมันถูกรีเพลย์ซ้ำหลายๆ รอบให้ฉันเห็นอยู่เสมอ ขืนฉันเป็นแบบนี้ตลอดไป มีหวังฉันจะต้องตายแหงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของหนูอยู่แล้วนี่คะ ...หนูรู้ค่ะ ว่าหนูมาอยู่ที่เกาหลีเพราะอะไร มาอยู่เพื่ออะไร” ฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่สุด อยู่ต่อหน้าผอ. เราต้องวางมาดขรึมเข้าไว้ค่ะ เพราะเดี๋ยวจะไม่ได้เจอหน้านักร้องเกาหลีอย่างที่หวังเอาไว้
หลังจากที่ฉันสนทนาปราศรัยกับผอ. เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงแอบย่องออกจากห้องธุรการอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่าฉันเป็นใคร
โชคดีที่ตอนนี้มันสายพอสมควรแล้ว เด็กนักเรียนต่างๆ เริ่มทยอยเข้าเรียนไปกันหมด เหลือแค่เพียงเด็กนักเรียนไม่กี่คนที่ยังว่างงาน...แต่ฉันรับรองได้ว่าอีกไม่นานเด็กพวกนี้ต้องงานเข้าแน่ เพราะครูใหญ่ที่นี่ดุยังกับผี! แม้ว่าเมื่อวานจะเป็นวันเปิดเทอมวันแรก แต่วันนี้ฉันก็สามารถเรียนรู้อะไรได้มากมาย ว่ากฏที่โรงเรียนเกาหลีเขาเคร่งครัดกันมาก หากทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ถึงตายได้เลย!
เพราะฉะนั้น ทันทีที่ฉันย่องออกห่างจากห้องธุรการได้พอสมควรแล้ว ฉันจึงวิ่งปรี่ออกจากพื้นที่ด้วยความเร็วสุดขีดไปยังห้องเรียนทันที
ฮือ T_T ตายแน่ๆ ยัยเรนนี่เอ๋ย มาสืบคดีได้สองวันก็จะต้องมาตายกับโดนครูใหญ่ลงโทษงั้นเหรอ ไม่มีวันหรอก! ลองทำโทษฉันมาสิ ฉันจะกระโดดเตะก้านคอให้พิการไปสองเดือนเลยคอยดู๊!
ฉันยกข้อมือข้างซ้ายมาดูนาฬิกา... แค่เพียงแวบเดียวแต่ก็ทำให้ฉันเบิกตาโพลงราวกับว่าเจอผี...ผี...ฉันต้องเจอผีแน่ๆ เพราะตอนนี้มันแปดโมงสามสิบนาทีแล้ว เหลดมาเป็นครึ่งชั่วโมง ฉันจะต้องโดนจับวิดพื้นสามสิบรอบแหงเลย เรียวแขนงามๆ ของฉันก็มีกล้ามงอกขึ้นมาพอดีน่ะสิ T_T
เอี๊ยดดด!
ฉันเกือบวิ่งเลยหน้าห้องตัวเอง =_= เสียงเบรกอันไพเราะเสนาะหูของฉัน ทำให้เพื่อนทั้งห้องต้องหันมามองราวกับว่ามีใครมาตีฆ้องหน้าห้อง...ไม่ซิ ที่เกาหลีคงไม่มีฆ้องให้ตีหรอกมั้ง เปลี่ยนเป็นกีตาร์ เบส บลาๆ ละกัน ดูอินเตอร์ขึ้นมาอีกหน่อย
คนที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนมีสองคน... ฉันแทบสะอึกเมื่อเห็นอาจารย์ผมหยิกยาว ร่างท้วม ใส่แว่นตาหนาเตอะ มีผิวสีคล้ำๆ ร่ำระเรื่อจนมาถึงปลายแขน แววตาที่ดุดันถูกมองส่งผ่านทะลุแว่นมายังฉัน... ครูมาสิกะ...ครูใหญ่...คุณครูผีของฉัน!
ฉันยิ้มแหยๆ ให้ไปเป็นคำตอบ ก่อนจะเริ่มกลอกตาไปทางซ้ายที ขวาทีด้วยความรู้สึก...กูจะทำยังไงดีวะ... จนกระทั่งเหลือบไปเห็นบุคคลข้างหลังอีกคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง และนั่นมันก็ทำให้ฉันต้องสะอึกกลืนน้ำลายลงคอไปอีกรอบ
นาย...นายอันธพาลหน้าหล่อเมื่อวานนี่นา คนที่ฉันบรรจงด่าไปเป็นชุด เขากลับมาล้างแค้นฉันแล้ว! วันนี้เขาดูดีขึ้นมาอีกหน่อย ด้วยแบบฟอร์มชุดนักศึกษาของโรงเรียนอาชิตะที่ดูอินเตอร์ ใบหน้าสดใสแจ๋วแว๋วเปล่งประกายเหมือนเคย แววตาอันคมกริบเหลียวมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น... มุมปากของเขาค่อยๆ คลี่ออกมาเพื่อยิ้มเยาะฉัน
มีความสุข?
นี่เขามีความสุขที่ฉันจะต้องโดนเทศนาโวหารแต่เช้าใช่ไหมเนี่ย ฉันไม่ผิดนะ วันนี้ฉันไปห้องผอ. มาเรื่องนายนั่นแหละ ทำให้ฉันต้องเข้าห้องเรียนสาย... บ้าจริง! มาหัวเราะเยาะฉันแบบนี้ได้ยังไงกันยะ
“มีอะไรจะอธิบายมั้ย นักเรียนใหม่...เรนนี่ ซากะยะ” เสียงเข้มๆ เบาหวิวพูดออกมาด้วยความเย็นชา ทำเอาฉันรู้สึกเสียวสันหลังวูบ!
“คือ...คือหนู...หนูไปหาผอ. มาค่ะ” หวังว่าตอบแบบนี้ไปแล้ว ครูมาสิกะจะเกรงขึ้นมาหน่อยนะ... ครูชั้นน้อยอย่างเธอน่าจะกลัวผอ. สิ
นายอันธพาลหน้านิ่วคิ้วตาล้อเลียนฉัน ก่อนจะพูด “โกหกชัดๆ ผอ. โรงเรียนนี้เป็นคนเงียบๆ จะตายไป ...หน้าซื่อๆ บื้อๆ แบนๆ อย่างเธอน่ะเหรอ จะมีโอกาสได้เข้าไปหาผอ. ถึงในห้อง ...อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ”
“นี่นาย ฉันไม่ฟ้องเรื่องที่นายตีกันหน้าโรงเรียนเมื่อวานกับผอ. ก็บุญโขเท่าไรแล้วยะ” ฉันโกหก ที่จริงผอ. น่ะรู้ข่าวก่อนฉันอีก -_-
เขาสะดุ้งเล็กน้อย แววตาเย็นชาหันไปจับจ้องผู้ชายข้างหลังแทน...สม! โดนเสียบ้าง ล้อเลียนฉันดีนัก งานนี้เขาต้องโดนหนักกว่าฉันแน่ๆ
“จริงหรือ...คินนะจิ?”
ว้าว... เขาชื่อคินนะจิหรอกหรือนี่ ชื่อแปลกประหลาดใช่ย่อยเลยนะยะ ถึงแม้ว่าฉันจะพูดเกาหลีได้ ฟังเกาหลีออก แต่ฉันก็แปลชื่อคนเกาหลีไม่เป็นอยู่ดี...แต่ละคนชื่อบ้าชื่อบออะไรไม่รู้ จำยากชะมัด!
“ใช่ครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เล็กน้อย... ทำไมมันง่ายจังเลยล่ะ นี่ใจคอเขาจะไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหาจากฉันเลยหรือยังไง...บ้า!
“ดีมาก เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย กล้าทำก็ต้องกล้ารับ” ครูมาสิกะยิ้ม ก่อนจะสั่ง “ไป! เธอสองคนจะต้องถูกทำโทษด้วยกัน... ไปยืนตากแดดหน้าสนามสองชั่วโมง ครบแล้วให้มาบอกฉัน แล้วค่อยกลับมาเรียนที่ห้องใหม่อีกครั้ง เข้าใจมั้ย!?”
“ไม่เข้าใจค่ะ” ฉันท้วงทันควัน “หนูไม่เข้าใจว่าทำไมหนูจะต้องถูกลงโทษด้วย ในเมื่อหนูไม่ได้ทำผิดอะไรสักกะหน่อย” ฉันไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว... ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือ ฉันมาที่นี่เพื่อดูนักร้องเกาหลี!
ว้าย ไม่ใช่... ฉันมาเพื่อสืบคดีลับบางอย่างในโรงเรียนแห่งนี้ต่างหาก! เพราะฉะนั้นก็ไม่เห็นจะต้องเกรงกลัวกฏเกณฑ์บ้าบออะไรในโรงเรียนนี้เลย
ครูมาสึกะมองหน้าฉันด้วยหางตา ก่อนจะกอดอกมองฉันด้วยสายตาคมเฉียบ..แล้วถอนหายใจออกมา
ฉันเบ้ปาก คว้าแขนเสื้อของนายคินนะจิมายืนข้างๆ “นายอันธพาลคนนี้ต่างหากค่ะที่เป็นคนผิด! เมื่อวานเขามีเรื่องกับใครไม่รู้ที่หน้าโรงเรียน... โชคดีนะคะที่หนูไปห้ามเขาเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างงั้นป่านนี้คงได้มีโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่แน่ๆ”
ผู้ชายข้างๆ หันมาค้อนฉันทันที! “ยัยนี่พูดเวอร์เกินไปครับ!”
“ไม่เวอร์ค่ะ หนูพูดออกมาจากใจจริงๆ เลยนะคะ”
“ยัยนกหวีด นี่เธออยากตายใช่ไหม”
“เอาสิยะ ถ้าคิดว่าฉันจะกลัวนายเหมือนนางเอกในละครไทย...เอ๊ย เกาหลี” ฉันเชิดหน้า ประจัญสายตากับเขาตัวต่อตัว
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ทั้งสองคนเลยนั่นแหละ... พวกเธอสองคนกล้าดียังไงมามีเรื่องกันต่อหน้าครูใหญ่ที่ชื่อมาสึกะคนนี้...เรนนี่ ถึงเธอจะปฏิเสธข้อผิดใดๆ ก็ตาม แต่ตอนนี้ที่เธอมาทะเลาะกับนายคินนะจิต่อหน้าฉัน ฉันขอลงโทษให้เธอไปยืนกอดกับนายคินนะจิที่กลางสนามสองคนเป็นเวลาครึ่งวัน หากใครยอมแพ้หรือถอยก่อน ฉันจะถือว่าขัดคำสั่งของฉันครั้งใหญ่หลวง...ไป๊!!!”
“โอ้ย อกอิแป้นจะแตกตาย” ฉันสบถเป็นภาษาไทย สองมือกุมขมับด้วยความเครียด
“นี่เธอว่าอะไรนะ?”
“เป็นคำภาษาไทยค่ะ แปลว่าน่าสนุกจังเลย!” ฉันประชดเสียงแหบกร้าน “ทำไมต้องให้ไปยืนกอดกันอยู่กลางสนามสองคนแบบนั้นด้วยคะ ถ้ามีใครมาเห็นเข้าเขาไม่เข้าใจกันผิดไปหมดเหรอ?”
ครูมาสิกะหัวเราะอย่างมาเลศนัย พลางขยับไหล่ขึ้นลงๆ เหมือนตุ๊กกี้ แล้วพูด “ฉันต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างพวกเธอยังไงล่ะ เห็นว่าชอบทะเลาะกันอยู่แบบนั้น... อยากรู้จังเชียวว่าถ้าให้ไปยืนกอดกันอยู่หน้าเสาธง พวกเธอจะทนกันได้นานแค่ไหน!”
“บ้าจริง!” นายอันธพาลสบถออกมาบ้าง ก่อนจะหันมามองหน้าฉัน เราสบตากันด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว ...โหย แค่คิดก็อยากจะอาเจียนแล้ว ให้กอดกับผู้ชายอย่างงั้นเหรอ ขยะแขยงโว้ย!!
ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ใช่ทอม =_= แต่ฉันแค่...คือ เขาหล่อ ฉันไม่ชอบแสดงความอ่อนไหว ให้ใครเห็น ฉันไม่ชอบให้ใครมาว่าฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้น
“ฉันสั่งให้พวกเธอไปที่กลางสนามยังไงล่ะ จะไปไหม!!!” เสียงกำหราบกำชับทำให้ฉันสะดุ้งโหยง
จะปรากฏตัวว่าตัวเองเป็นนักสืบปลอมตัวมาก็ไม่ได้ มีคนร้ายกำลังยืนอยู่ข้างๆ ฉันอยู่... เอาวะ คิดซะว่าทำเพื่อนักร้อง เอ๊ย! ทำเพื่องานไปละกัน
ฉันกำหมัดแน่น...
ยัยครูผี! ถ้าฉันได้ปรากฏตัวเมื่อไหร่ ฉันรับรองเลยว่าจะต่อยหน้ายัยครูคนนี้ให้แว่นแตกเลยคอยดู (เด็กๆ ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะจ๊ะ)
“ฮึ!” ฉันเบ้ปาก เชิดหน้า เดินกระทืบเท้าลงจากบันไดไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ นายอันธพาลค่อยๆ อุ้ยอ้ายเดินตามฉันมาอย่างมาดๆ จนฉันแทบอดบ่นไม่ไหว “เดินช้าแบบนี้ทำไมไม่คลานไปสนามเลยล่ะ”
เขาขมวดคิ้วเข้ม “เธอก็ลองคลานดูก่อนสิ”
“นายคิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ”
เขาไม่ตอบ แต่โคลงศีรษะยิ้มเยาะให้ฉันแทน!... แสดงความหมายแห่งการดูถูก เหยียดหยาม...ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเรนนี่เหลือเกิน!!
ฉันเชิดหน้า สะบัดปลายเส้นผมให้ลอยระริ้วไปตามลม... เมื่อเดินลงมาถึงริมสุดของขอบตึก ฉันค่อยๆ ก้มลงคลุกเข่าคลานเตาะแตะไปตามพื้นถนน หินสีดำๆ บนถนน (ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร) ค่อยๆ ทิ่มเข้าที่หัวเข่าของฉันทีละเม็ดสองเม็ด แต่ไม่มีวันที่มันจะทิ่มทะลุผ่านผิวหนังไปแน่นอนย่ะ! สมัยที่ฉันอยู่ประเทศไทย ฉันได้รับสมญาณนามว่า ‘น้ำฝนอึด’ โดยเพื่อนๆ ในกลุ่ม เพราะไม่ว่าฉันจะบุกน้ำลุยโคลน โหนยาง ถางป่า (?) ฉันก็รอดปลอดภัยกลับมาได้ทุกอย่าง โดยไม่มีอะไรในร่างกายที่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ฉันเหลียวคอ หันหน้าไปมองผู้ชายข้างหลัง พบว่าเขากำลังขมวดคิ้วอึ้งในการกระทำของฉันอยู่ ฉันชอบเวลาที่เขาทำหน้าเหวอแบบนี้จัง...เห็นแล้วมันรู้สึกแปลกดี ไม่เหมือนตอนที่เขาทำหน้าเข้มดุเดือดใส่ฉัน แบบนั้นมันบัดซบ! =_=
“นี่เธอ! เธอกล้าลงไปคลานกับพื้นจริงๆ เหรอ”
“คนอย่างเรนนี่พูดจริงทำจริงอยู่แล้ว...ว่าแต่นายเหอะ เป็นลูกผู้ชายจริงหรือเปล่า กล้าพูดแต่ไม่กล้ารับคำแบบนี้ ไปหยิบเอากระโปรงเกาหลีมาใส่ไป๊!”
“เธอพูดยังกับว่าเธอไม่ใช่คนเกาหลี -_-“
ก็ไม่ใช่น่ะสิยะ... ให้ตายสิ ฉันหลุดปากออกไปอีกแล้ว
“ฉันเกาหลีแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าบ้านของฉันรวยเท่านั้น...เดินทางไปกลับต่างประเทศบ่อยๆ เลยติดวัฒนธรรมที่อื่นมา” ฉันโกหก “จะลงมาคลานได้หรือยังยะ?”
เขาสบถออกมาเบาๆ กับตัวเอง ก่อนจะก้มลงคลานกับพื้นเป็นเพื่อนฉัน...
ฉันหัวเราะเยาะเขาอย่างสะใจ ในขณะที่เขาทำหน้าบูดบึ้งโกรธแค้นฉันเต็มที่ เราสองคนพร้อมใจกันคลานไปทีละก้าวๆ ไปที่กลางสนามอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนๆ ที่อยู่บนตึกเรียนต่างเหลียวคอ ชะโงกหน้าหันลงมามองข้างล่างด้วยความสนใจ
โธ่! นายอันธพาลมันหล่อขนาดนี้ ใครๆ ก็ต้องให้ความสนใจกันเป็นธรรมดา ...เอ๊ะ หรือว่าฉันสวย เลยมีคนมอง (เขามองว่าเธอเป็นบ้าอะไร อยู่ๆ มาคลานกลางสนามกันสองคนเพื่ออะไร ...ต่างหากย่ะ!)
พอมาถึงกลางสนามตามคำสั่งแล้ว ฉันค่อยๆ ยืนขึ้น ไม่กล้าสบตาผู้ชายข้างๆ สักเท่าไหร่...ต้องกอดเชียวเหรอ ถึงคนเกาหลีเขาไม่ถืออะไรมาก แต่คนไทยเขาถือนะยะ ผู้หญิงกอดผู้ชายกันสองต่อสอง (กลางสนาม) แค่คิดก็เป็นเรื่องอัปมงคลไปซะแล้ว T_T
กลางสนามที่มีแต่เราสองคน ถูกจับจ้องด้วยสายตาเพื่อนๆ มากมายที่ยังคงอยู่บนตึก... แดดร้อนรอนๆ เริ่มส่องสะท้านเข้ามากระทบผิวหนังของฉันทีละนิดๆ ฉันไม่กล้าสบตาเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ในขณะที่เขาจ้องหน้าฉันราวกับว่ากำลังหาสิวให้ฉันอยู่ =_=^
ในที่สุดนายคินนะจิก็อ้าแขนต้อนรับฉันเข้าสู่ในอ้อมกอด ฉันเงยหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ...ใช่สิ คนเกาหลีเขาคงไม่ถืออะไรจริงๆ
คนบนตึกเริ่มทยอยมายืนมองฉันกับเขาที่ริมระเบียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากน้อยๆ ก็กลายเป็นมากๆ ...แดดก็ร้อนทำฉันเริ่มจะเพลีย แต่คนอย่างเรนนี่ไม่มีวันเป็นลมง่ายๆ หรอก...ฉันฟิตมาดีเพื่อทำคดีอันตราย! แค่ยืนตากแดดสองสามชั่วโมงจะเป็นลมก็ให้มันรู้ไป
ฉันก้าวเดินไปใกล้เขา และสวมกอดเขาอย่างไม่ลังเล...มันไม่อบอุ่น...
แต่มันโคตรจะร้อนเลยต่างหาก! แดดก็ร้อนยังจะให้มายืนตากแดดกอดกันอีก ฉันเพิ่งรู้ว่าส่วนสูงของฉันมันเทียบเท่าคางของนายนี่พอดีเลย ฉันเตี้ย -_-
เขาโอบกอดฉัน ฉันโอบกอดเขา
เสียงโหยหวน...เสียงโห่ เริ่มดังสะท้อนออกมาจากตึกรอบๆ
ฉันสัมผัสถึงหยาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามร่างกายของเขา ไอร้อน ไออุ่น ลอยระริ้วไปตามร่างกายของเราสองคน
ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยได้กอดกับผู้ชายวัยเดียวกันแบบนี้มาก่อน.. ให้ตายสิ เขากำลังทำให้ฉันใจเต้นแรงอยู่นะ =O=! ความหล่อของเขาทำให้ฉันหวั่นไหว... ฉันไม่กล้าเงยหน้าสบตากับเขาเลยด้วยซ้ำ >//<
“นี่เธอชักจะกอดฉันแน่นเกินไปแล้วนะ” เสียงเบาหวิวดังลอดเข่าสู่ใบหูของฉัน ทำเอาฉันแทบสะดุ้งโหยง พลันคลายอ้อมกอดออกมาเล็กน้อย
“โอ้ย อยากเอาน้ำไปสาดใส่ดวงอาทิตย์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย จะร้อนอะไรนักหนา” ฉันพูดพลางเขย่าแขนของเขา “นายตัวสูงก็มายืนบังแดดให้ผู้หญิงหน่อยสิยะ” ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดูเขา...สบตากัน...
เขาค่อยๆ หมุนตัวไปยืนฝั่งที่มีแดด น่าสงสารเขาจังที่จะต้องมารับเคราะห์กรรมแทนฉัน...งานนี้เขาได้ดำเป็นเถ้าถ่านแน่ๆ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขามากลั่นแกล้งฉันดีนักล่ะ โดนแค่นี้ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับสิ่งที่เขาได้ใส่ร้ายฉันไป!
“เธอนี่มันใจร้ายจริงๆ เลยนะ ถ้าฉันหลุดพ้นจากการทำโทษเมื่อไหร่ ฉันเอาเธอตายแน่!” เขากัดฟัน กระซิบขู่ฉันด้วยเสียงเยือกเย็น
“กลัวตายเลย”
“เธอนี่เป็นผู้หญิงประสาอะไรเนี่ย เธอเคยกลัวอะไรบ้างมั้ย”
“ไม่กลัว...ผีก็ไม่กลัว คนก็ไม่กลัว!”
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าผู้หญิงจะไม่มีจุดอ่อนไหว...เอ หรือว่าเธอจะไม่ใช่ผู้หญิง?” เขาพูด พลางยักคิ้วคิด “ฉันว่าต้องใช่แน่ๆ ตอนนี้ฉันยืนกอดเธออยู่ ฉันยังไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไรกับเธอเลยสักนิดนะ... เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่กอดแล้วไม่รู้สึกอะไร ถามจริงเถอะ เธอเป็นทอมหรือเปล่า?”
“หยาบคาย! ไม่ใช่สักหน่อย” ไม่ใช่แน่นอน ถึงเขาไม่หวั่นไหว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องไม่หวั่นไหวไปด้วยนี่นา... เขาคงไม่รู้หรอก ว่าตอนนี้ใจฉันเต้นแรงจนจะเด้งออกมาจากหน้าอกได้แล้ว
“ฮึ... แล้วเธอล่ะ กอดกับฉันแบบนี้ รู้สึกอะไรหรือเปล่า”
นั่นไง ถามออกมาแล้ว... ใช่ ฉันหวั่นไหวสุดๆ
“ไม่” ฉันตีหน้านิ่งตอบ “ผู้ชายอันธพาลอย่างนายน่ะเหรอ จะทำให้ฉันรู้สึกหวั่นไหวได้ แค่คิดก็ขยะแขยงจะตายอยู่แล้ว”
“แล้วถ้าฉันจูบเธอล่ะ เธอจะหวั่นไหวหรือเปล่า”
กรี๊ดดด! อยากจะกรี๊ดออกมาเป็นภาษาเกาหลี นี่เขาบอกว่าเขาจะจูบฉันยังงั้นเหรอ.. ตลอดชีวิตฉันยังไม่เคยจูบใครเลยนะยะ เขากล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉัน
ใช่ซิ เขาอาจไม่ใช่คนไทย เขาไม่รู้หรอกว่าคนไทยเขามีวัฒนธรรมแบบไหน เขาคงไม่รู้หรอกว่าคนไทยเขาถือเรื่องนี้กันมากแค่ไหน
“นายไม่มีวันได้ขโมยจูบของฉันหรอกย่ะ ถ้านายจูบมาฉันกัดลิ้นนายขาดแน่! ไม่พอแค่นั้น ฉันจะต่อยปากนายให้ฟันหักไปให้หมด เอาให้กินข้าวไม่ได้สักสองสามปีเลยคอยดู!”
“เธอนี่มันเถื่อนจริงๆ เลยนะ”
“นายรู้จักฉันน้อยไปด้วยซ้ำ!”
“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าถ้าฉันจูบเธอจริงๆ เธอจะกล้ากัดลิ้นฉันจนขาดอยู่รึเปล่า” เขาแสยะยิ้ม ก้มลงมองหน้าฉันในระยะแค่เพียงไม่กี่เซนติเมตร “ใครๆ ก็ว่ากันว่า ผู้หญิงคนไหนที่ได้จูบฉันแล้ว...จำต้องสยบให้ฉันหมดทุกคน!”
ฉันกลับมาที่ห้องเรียนด้วยสีหน้าเซ็งสุดขีด ใบหน้าของฉันหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด... มาเกาหลีก็ดันลืมพกครีมกันแดดมาซะด้วยสิ (พกมาแต่น้ำมันมวย) กลับไปไทยอีกทีฉันคงโดนเพื่อนๆ ล้อว่าไม่สวยแน่ๆ (เรื่องใหญ่นะยะ)
ยัยครูมาสิกะมองหน้าฉันกับนายอันธพาลสลับกันไปมา ก่อนจะพยักหน้าให้เข้าห้องเรียนมาได้
ฉันกับนายอันธพาลเดินเข้าไปในห้องเองโดยไม่ได้นัดหมาย ฉันนั่งโต๊ะหลังสุดของชั้นเรียนคนเดียว เพื่อหลบหลีกสายตาครูไปให้ได้มากที่สุด อย่างที่บอกแหละค่ะ ฉันมาที่นี่...ไม่ได้มาเรียน ฉันมาเพื่อปิดแฟ้มคดีลับบางอย่างแค่นั้นเอง
ฉันวางกระเป๋าลง ก่อนจะนั่ง... แต่ก็พบว่าผู้ชายที่เดินตามหลังฉันมาเขายังยืนอยู่หน้าห้องข้างๆ ครูมาสิโกะอยู่ =_= จริงสิ เขาไม่ได้เรียนอยู่ห้องฉันนี่นา แล้วเขามายุ่งวุ่นวายอะไรกับห้องนี่มิทราบ
“นายคนนี้ชื่อคินนะจิ เป็นนักเรียนเก่าโรงเรียนเดียวกับเรานี่แหละจ้ะ แต่ขอย้ายห้องมาอยู่ห้องเราเพราะมีปัญหานิดๆ หน่อยๆ หวังว่าเพื่อนๆ ในห้องเราคงจะต้อนรับเขาเป็นอย่างดีนะจ๊ะ ครูฝากเพื่อนใหม่ด้วย” ครูผีพูด ก่อนจะหันมาพูดกับนายคินนะจิ “งั้นเธอไปนั่งข้างๆ ยัยเรนนี่ละกันนะ ตรงนั้นว่างอยู่” ครูมาสิกะชี้มาทางฉัน...หล่อนหาได้ถามฉันสักคำไม่ -_-!
ไม่ได้นะ ฉันอยากจะปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด ...ถ้าให้โจรมานั่งข้างๆ งานของฉันก็ล่าช้าไปหมดน่ะสิ! งานลับทุกอย่างที่ฉันจะลักลอบทำในวิชาเรียน (เลว) เขาก็ต้องรู้หมด...ฉันจะให้เขารู้เรื่องราวของฉันไม่ได้
แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่อยากโดนทำโทษอีกแล้ว!
“ขอบใจหนูเรนนี่มากนะจ๊ะ ที่ช่วยห้ามปรามเหล่าเด็กผู้ชายพวกนั้นได้อยู่หมัดอย่างไม่น่าเชื่อ” ผอ. โรงเรียนอาชิตะชมฉันด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้มจนฉันอยากจะอ้วก -_- พูดถึงเรื่องนี้ทีไร ไม่รู้ทำไมฉันจะต้องคิดถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของนายนั่นทุกทีเลย เหมือนว่าภาพๆ นั้นมันถูกรีเพลย์ซ้ำหลายๆ รอบให้ฉันเห็นอยู่เสมอ ขืนฉันเป็นแบบนี้ตลอดไป มีหวังฉันจะต้องตายแหงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของหนูอยู่แล้วนี่คะ ...หนูรู้ค่ะ ว่าหนูมาอยู่ที่เกาหลีเพราะอะไร มาอยู่เพื่ออะไร” ฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่สุด อยู่ต่อหน้าผอ. เราต้องวางมาดขรึมเข้าไว้ค่ะ เพราะเดี๋ยวจะไม่ได้เจอหน้านักร้องเกาหลีอย่างที่หวังเอาไว้
หลังจากที่ฉันสนทนาปราศรัยกับผอ. เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงแอบย่องออกจากห้องธุรการอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่าฉันเป็นใคร
โชคดีที่ตอนนี้มันสายพอสมควรแล้ว เด็กนักเรียนต่างๆ เริ่มทยอยเข้าเรียนไปกันหมด เหลือแค่เพียงเด็กนักเรียนไม่กี่คนที่ยังว่างงาน...แต่ฉันรับรองได้ว่าอีกไม่นานเด็กพวกนี้ต้องงานเข้าแน่ เพราะครูใหญ่ที่นี่ดุยังกับผี! แม้ว่าเมื่อวานจะเป็นวันเปิดเทอมวันแรก แต่วันนี้ฉันก็สามารถเรียนรู้อะไรได้มากมาย ว่ากฏที่โรงเรียนเกาหลีเขาเคร่งครัดกันมาก หากทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ถึงตายได้เลย!
เพราะฉะนั้น ทันทีที่ฉันย่องออกห่างจากห้องธุรการได้พอสมควรแล้ว ฉันจึงวิ่งปรี่ออกจากพื้นที่ด้วยความเร็วสุดขีดไปยังห้องเรียนทันที
ฮือ T_T ตายแน่ๆ ยัยเรนนี่เอ๋ย มาสืบคดีได้สองวันก็จะต้องมาตายกับโดนครูใหญ่ลงโทษงั้นเหรอ ไม่มีวันหรอก! ลองทำโทษฉันมาสิ ฉันจะกระโดดเตะก้านคอให้พิการไปสองเดือนเลยคอยดู๊!
ฉันยกข้อมือข้างซ้ายมาดูนาฬิกา... แค่เพียงแวบเดียวแต่ก็ทำให้ฉันเบิกตาโพลงราวกับว่าเจอผี...ผี...ฉันต้องเจอผีแน่ๆ เพราะตอนนี้มันแปดโมงสามสิบนาทีแล้ว เหลดมาเป็นครึ่งชั่วโมง ฉันจะต้องโดนจับวิดพื้นสามสิบรอบแหงเลย เรียวแขนงามๆ ของฉันก็มีกล้ามงอกขึ้นมาพอดีน่ะสิ T_T
เอี๊ยดดด!
ฉันเกือบวิ่งเลยหน้าห้องตัวเอง =_= เสียงเบรกอันไพเราะเสนาะหูของฉัน ทำให้เพื่อนทั้งห้องต้องหันมามองราวกับว่ามีใครมาตีฆ้องหน้าห้อง...ไม่ซิ ที่เกาหลีคงไม่มีฆ้องให้ตีหรอกมั้ง เปลี่ยนเป็นกีตาร์ เบส บลาๆ ละกัน ดูอินเตอร์ขึ้นมาอีกหน่อย
คนที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนมีสองคน... ฉันแทบสะอึกเมื่อเห็นอาจารย์ผมหยิกยาว ร่างท้วม ใส่แว่นตาหนาเตอะ มีผิวสีคล้ำๆ ร่ำระเรื่อจนมาถึงปลายแขน แววตาที่ดุดันถูกมองส่งผ่านทะลุแว่นมายังฉัน... ครูมาสิกะ...ครูใหญ่...คุณครูผีของฉัน!
ฉันยิ้มแหยๆ ให้ไปเป็นคำตอบ ก่อนจะเริ่มกลอกตาไปทางซ้ายที ขวาทีด้วยความรู้สึก...กูจะทำยังไงดีวะ... จนกระทั่งเหลือบไปเห็นบุคคลข้างหลังอีกคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง และนั่นมันก็ทำให้ฉันต้องสะอึกกลืนน้ำลายลงคอไปอีกรอบ
นาย...นายอันธพาลหน้าหล่อเมื่อวานนี่นา คนที่ฉันบรรจงด่าไปเป็นชุด เขากลับมาล้างแค้นฉันแล้ว! วันนี้เขาดูดีขึ้นมาอีกหน่อย ด้วยแบบฟอร์มชุดนักศึกษาของโรงเรียนอาชิตะที่ดูอินเตอร์ ใบหน้าสดใสแจ๋วแว๋วเปล่งประกายเหมือนเคย แววตาอันคมกริบเหลียวมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น... มุมปากของเขาค่อยๆ คลี่ออกมาเพื่อยิ้มเยาะฉัน
มีความสุข?
นี่เขามีความสุขที่ฉันจะต้องโดนเทศนาโวหารแต่เช้าใช่ไหมเนี่ย ฉันไม่ผิดนะ วันนี้ฉันไปห้องผอ. มาเรื่องนายนั่นแหละ ทำให้ฉันต้องเข้าห้องเรียนสาย... บ้าจริง! มาหัวเราะเยาะฉันแบบนี้ได้ยังไงกันยะ
“มีอะไรจะอธิบายมั้ย นักเรียนใหม่...เรนนี่ ซากะยะ” เสียงเข้มๆ เบาหวิวพูดออกมาด้วยความเย็นชา ทำเอาฉันรู้สึกเสียวสันหลังวูบ!
“คือ...คือหนู...หนูไปหาผอ. มาค่ะ” หวังว่าตอบแบบนี้ไปแล้ว ครูมาสิกะจะเกรงขึ้นมาหน่อยนะ... ครูชั้นน้อยอย่างเธอน่าจะกลัวผอ. สิ
นายอันธพาลหน้านิ่วคิ้วตาล้อเลียนฉัน ก่อนจะพูด “โกหกชัดๆ ผอ. โรงเรียนนี้เป็นคนเงียบๆ จะตายไป ...หน้าซื่อๆ บื้อๆ แบนๆ อย่างเธอน่ะเหรอ จะมีโอกาสได้เข้าไปหาผอ. ถึงในห้อง ...อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ”
“นี่นาย ฉันไม่ฟ้องเรื่องที่นายตีกันหน้าโรงเรียนเมื่อวานกับผอ. ก็บุญโขเท่าไรแล้วยะ” ฉันโกหก ที่จริงผอ. น่ะรู้ข่าวก่อนฉันอีก -_-
เขาสะดุ้งเล็กน้อย แววตาเย็นชาหันไปจับจ้องผู้ชายข้างหลังแทน...สม! โดนเสียบ้าง ล้อเลียนฉันดีนัก งานนี้เขาต้องโดนหนักกว่าฉันแน่ๆ
“จริงหรือ...คินนะจิ?”
ว้าว... เขาชื่อคินนะจิหรอกหรือนี่ ชื่อแปลกประหลาดใช่ย่อยเลยนะยะ ถึงแม้ว่าฉันจะพูดเกาหลีได้ ฟังเกาหลีออก แต่ฉันก็แปลชื่อคนเกาหลีไม่เป็นอยู่ดี...แต่ละคนชื่อบ้าชื่อบออะไรไม่รู้ จำยากชะมัด!
“ใช่ครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เล็กน้อย... ทำไมมันง่ายจังเลยล่ะ นี่ใจคอเขาจะไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหาจากฉันเลยหรือยังไง...บ้า!
“ดีมาก เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย กล้าทำก็ต้องกล้ารับ” ครูมาสิกะยิ้ม ก่อนจะสั่ง “ไป! เธอสองคนจะต้องถูกทำโทษด้วยกัน... ไปยืนตากแดดหน้าสนามสองชั่วโมง ครบแล้วให้มาบอกฉัน แล้วค่อยกลับมาเรียนที่ห้องใหม่อีกครั้ง เข้าใจมั้ย!?”
“ไม่เข้าใจค่ะ” ฉันท้วงทันควัน “หนูไม่เข้าใจว่าทำไมหนูจะต้องถูกลงโทษด้วย ในเมื่อหนูไม่ได้ทำผิดอะไรสักกะหน่อย” ฉันไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว... ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือ ฉันมาที่นี่เพื่อดูนักร้องเกาหลี!
ว้าย ไม่ใช่... ฉันมาเพื่อสืบคดีลับบางอย่างในโรงเรียนแห่งนี้ต่างหาก! เพราะฉะนั้นก็ไม่เห็นจะต้องเกรงกลัวกฏเกณฑ์บ้าบออะไรในโรงเรียนนี้เลย
ครูมาสึกะมองหน้าฉันด้วยหางตา ก่อนจะกอดอกมองฉันด้วยสายตาคมเฉียบ..แล้วถอนหายใจออกมา
ฉันเบ้ปาก คว้าแขนเสื้อของนายคินนะจิมายืนข้างๆ “นายอันธพาลคนนี้ต่างหากค่ะที่เป็นคนผิด! เมื่อวานเขามีเรื่องกับใครไม่รู้ที่หน้าโรงเรียน... โชคดีนะคะที่หนูไปห้ามเขาเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างงั้นป่านนี้คงได้มีโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่แน่ๆ”
ผู้ชายข้างๆ หันมาค้อนฉันทันที! “ยัยนี่พูดเวอร์เกินไปครับ!”
“ไม่เวอร์ค่ะ หนูพูดออกมาจากใจจริงๆ เลยนะคะ”
“ยัยนกหวีด นี่เธออยากตายใช่ไหม”
“เอาสิยะ ถ้าคิดว่าฉันจะกลัวนายเหมือนนางเอกในละครไทย...เอ๊ย เกาหลี” ฉันเชิดหน้า ประจัญสายตากับเขาตัวต่อตัว
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ทั้งสองคนเลยนั่นแหละ... พวกเธอสองคนกล้าดียังไงมามีเรื่องกันต่อหน้าครูใหญ่ที่ชื่อมาสึกะคนนี้...เรนนี่ ถึงเธอจะปฏิเสธข้อผิดใดๆ ก็ตาม แต่ตอนนี้ที่เธอมาทะเลาะกับนายคินนะจิต่อหน้าฉัน ฉันขอลงโทษให้เธอไปยืนกอดกับนายคินนะจิที่กลางสนามสองคนเป็นเวลาครึ่งวัน หากใครยอมแพ้หรือถอยก่อน ฉันจะถือว่าขัดคำสั่งของฉันครั้งใหญ่หลวง...ไป๊!!!”
“โอ้ย อกอิแป้นจะแตกตาย” ฉันสบถเป็นภาษาไทย สองมือกุมขมับด้วยความเครียด
“นี่เธอว่าอะไรนะ?”
“เป็นคำภาษาไทยค่ะ แปลว่าน่าสนุกจังเลย!” ฉันประชดเสียงแหบกร้าน “ทำไมต้องให้ไปยืนกอดกันอยู่กลางสนามสองคนแบบนั้นด้วยคะ ถ้ามีใครมาเห็นเข้าเขาไม่เข้าใจกันผิดไปหมดเหรอ?”
ครูมาสิกะหัวเราะอย่างมาเลศนัย พลางขยับไหล่ขึ้นลงๆ เหมือนตุ๊กกี้ แล้วพูด “ฉันต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างพวกเธอยังไงล่ะ เห็นว่าชอบทะเลาะกันอยู่แบบนั้น... อยากรู้จังเชียวว่าถ้าให้ไปยืนกอดกันอยู่หน้าเสาธง พวกเธอจะทนกันได้นานแค่ไหน!”
“บ้าจริง!” นายอันธพาลสบถออกมาบ้าง ก่อนจะหันมามองหน้าฉัน เราสบตากันด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว ...โหย แค่คิดก็อยากจะอาเจียนแล้ว ให้กอดกับผู้ชายอย่างงั้นเหรอ ขยะแขยงโว้ย!!
ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ใช่ทอม =_= แต่ฉันแค่...คือ เขาหล่อ ฉันไม่ชอบแสดงความอ่อนไหว ให้ใครเห็น ฉันไม่ชอบให้ใครมาว่าฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้น
“ฉันสั่งให้พวกเธอไปที่กลางสนามยังไงล่ะ จะไปไหม!!!” เสียงกำหราบกำชับทำให้ฉันสะดุ้งโหยง
จะปรากฏตัวว่าตัวเองเป็นนักสืบปลอมตัวมาก็ไม่ได้ มีคนร้ายกำลังยืนอยู่ข้างๆ ฉันอยู่... เอาวะ คิดซะว่าทำเพื่อนักร้อง เอ๊ย! ทำเพื่องานไปละกัน
ฉันกำหมัดแน่น...
ยัยครูผี! ถ้าฉันได้ปรากฏตัวเมื่อไหร่ ฉันรับรองเลยว่าจะต่อยหน้ายัยครูคนนี้ให้แว่นแตกเลยคอยดู (เด็กๆ ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะจ๊ะ)
“ฮึ!” ฉันเบ้ปาก เชิดหน้า เดินกระทืบเท้าลงจากบันไดไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ นายอันธพาลค่อยๆ อุ้ยอ้ายเดินตามฉันมาอย่างมาดๆ จนฉันแทบอดบ่นไม่ไหว “เดินช้าแบบนี้ทำไมไม่คลานไปสนามเลยล่ะ”
เขาขมวดคิ้วเข้ม “เธอก็ลองคลานดูก่อนสิ”
“นายคิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ”
เขาไม่ตอบ แต่โคลงศีรษะยิ้มเยาะให้ฉันแทน!... แสดงความหมายแห่งการดูถูก เหยียดหยาม...ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเรนนี่เหลือเกิน!!
ฉันเชิดหน้า สะบัดปลายเส้นผมให้ลอยระริ้วไปตามลม... เมื่อเดินลงมาถึงริมสุดของขอบตึก ฉันค่อยๆ ก้มลงคลุกเข่าคลานเตาะแตะไปตามพื้นถนน หินสีดำๆ บนถนน (ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร) ค่อยๆ ทิ่มเข้าที่หัวเข่าของฉันทีละเม็ดสองเม็ด แต่ไม่มีวันที่มันจะทิ่มทะลุผ่านผิวหนังไปแน่นอนย่ะ! สมัยที่ฉันอยู่ประเทศไทย ฉันได้รับสมญาณนามว่า ‘น้ำฝนอึด’ โดยเพื่อนๆ ในกลุ่ม เพราะไม่ว่าฉันจะบุกน้ำลุยโคลน โหนยาง ถางป่า (?) ฉันก็รอดปลอดภัยกลับมาได้ทุกอย่าง โดยไม่มีอะไรในร่างกายที่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ฉันเหลียวคอ หันหน้าไปมองผู้ชายข้างหลัง พบว่าเขากำลังขมวดคิ้วอึ้งในการกระทำของฉันอยู่ ฉันชอบเวลาที่เขาทำหน้าเหวอแบบนี้จัง...เห็นแล้วมันรู้สึกแปลกดี ไม่เหมือนตอนที่เขาทำหน้าเข้มดุเดือดใส่ฉัน แบบนั้นมันบัดซบ! =_=
“นี่เธอ! เธอกล้าลงไปคลานกับพื้นจริงๆ เหรอ”
“คนอย่างเรนนี่พูดจริงทำจริงอยู่แล้ว...ว่าแต่นายเหอะ เป็นลูกผู้ชายจริงหรือเปล่า กล้าพูดแต่ไม่กล้ารับคำแบบนี้ ไปหยิบเอากระโปรงเกาหลีมาใส่ไป๊!”
“เธอพูดยังกับว่าเธอไม่ใช่คนเกาหลี -_-“
ก็ไม่ใช่น่ะสิยะ... ให้ตายสิ ฉันหลุดปากออกไปอีกแล้ว
“ฉันเกาหลีแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าบ้านของฉันรวยเท่านั้น...เดินทางไปกลับต่างประเทศบ่อยๆ เลยติดวัฒนธรรมที่อื่นมา” ฉันโกหก “จะลงมาคลานได้หรือยังยะ?”
เขาสบถออกมาเบาๆ กับตัวเอง ก่อนจะก้มลงคลานกับพื้นเป็นเพื่อนฉัน...
ฉันหัวเราะเยาะเขาอย่างสะใจ ในขณะที่เขาทำหน้าบูดบึ้งโกรธแค้นฉันเต็มที่ เราสองคนพร้อมใจกันคลานไปทีละก้าวๆ ไปที่กลางสนามอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนๆ ที่อยู่บนตึกเรียนต่างเหลียวคอ ชะโงกหน้าหันลงมามองข้างล่างด้วยความสนใจ
โธ่! นายอันธพาลมันหล่อขนาดนี้ ใครๆ ก็ต้องให้ความสนใจกันเป็นธรรมดา ...เอ๊ะ หรือว่าฉันสวย เลยมีคนมอง (เขามองว่าเธอเป็นบ้าอะไร อยู่ๆ มาคลานกลางสนามกันสองคนเพื่ออะไร ...ต่างหากย่ะ!)
พอมาถึงกลางสนามตามคำสั่งแล้ว ฉันค่อยๆ ยืนขึ้น ไม่กล้าสบตาผู้ชายข้างๆ สักเท่าไหร่...ต้องกอดเชียวเหรอ ถึงคนเกาหลีเขาไม่ถืออะไรมาก แต่คนไทยเขาถือนะยะ ผู้หญิงกอดผู้ชายกันสองต่อสอง (กลางสนาม) แค่คิดก็เป็นเรื่องอัปมงคลไปซะแล้ว T_T
กลางสนามที่มีแต่เราสองคน ถูกจับจ้องด้วยสายตาเพื่อนๆ มากมายที่ยังคงอยู่บนตึก... แดดร้อนรอนๆ เริ่มส่องสะท้านเข้ามากระทบผิวหนังของฉันทีละนิดๆ ฉันไม่กล้าสบตาเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ในขณะที่เขาจ้องหน้าฉันราวกับว่ากำลังหาสิวให้ฉันอยู่ =_=^
ในที่สุดนายคินนะจิก็อ้าแขนต้อนรับฉันเข้าสู่ในอ้อมกอด ฉันเงยหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ...ใช่สิ คนเกาหลีเขาคงไม่ถืออะไรจริงๆ
คนบนตึกเริ่มทยอยมายืนมองฉันกับเขาที่ริมระเบียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากน้อยๆ ก็กลายเป็นมากๆ ...แดดก็ร้อนทำฉันเริ่มจะเพลีย แต่คนอย่างเรนนี่ไม่มีวันเป็นลมง่ายๆ หรอก...ฉันฟิตมาดีเพื่อทำคดีอันตราย! แค่ยืนตากแดดสองสามชั่วโมงจะเป็นลมก็ให้มันรู้ไป
ฉันก้าวเดินไปใกล้เขา และสวมกอดเขาอย่างไม่ลังเล...มันไม่อบอุ่น...
แต่มันโคตรจะร้อนเลยต่างหาก! แดดก็ร้อนยังจะให้มายืนตากแดดกอดกันอีก ฉันเพิ่งรู้ว่าส่วนสูงของฉันมันเทียบเท่าคางของนายนี่พอดีเลย ฉันเตี้ย -_-
เขาโอบกอดฉัน ฉันโอบกอดเขา
เสียงโหยหวน...เสียงโห่ เริ่มดังสะท้อนออกมาจากตึกรอบๆ
ฉันสัมผัสถึงหยาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามร่างกายของเขา ไอร้อน ไออุ่น ลอยระริ้วไปตามร่างกายของเราสองคน
ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยได้กอดกับผู้ชายวัยเดียวกันแบบนี้มาก่อน.. ให้ตายสิ เขากำลังทำให้ฉันใจเต้นแรงอยู่นะ =O=! ความหล่อของเขาทำให้ฉันหวั่นไหว... ฉันไม่กล้าเงยหน้าสบตากับเขาเลยด้วยซ้ำ >//<
“นี่เธอชักจะกอดฉันแน่นเกินไปแล้วนะ” เสียงเบาหวิวดังลอดเข่าสู่ใบหูของฉัน ทำเอาฉันแทบสะดุ้งโหยง พลันคลายอ้อมกอดออกมาเล็กน้อย
“โอ้ย อยากเอาน้ำไปสาดใส่ดวงอาทิตย์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย จะร้อนอะไรนักหนา” ฉันพูดพลางเขย่าแขนของเขา “นายตัวสูงก็มายืนบังแดดให้ผู้หญิงหน่อยสิยะ” ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดูเขา...สบตากัน...
เขาค่อยๆ หมุนตัวไปยืนฝั่งที่มีแดด น่าสงสารเขาจังที่จะต้องมารับเคราะห์กรรมแทนฉัน...งานนี้เขาได้ดำเป็นเถ้าถ่านแน่ๆ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขามากลั่นแกล้งฉันดีนักล่ะ โดนแค่นี้ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับสิ่งที่เขาได้ใส่ร้ายฉันไป!
“เธอนี่มันใจร้ายจริงๆ เลยนะ ถ้าฉันหลุดพ้นจากการทำโทษเมื่อไหร่ ฉันเอาเธอตายแน่!” เขากัดฟัน กระซิบขู่ฉันด้วยเสียงเยือกเย็น
“กลัวตายเลย”
“เธอนี่เป็นผู้หญิงประสาอะไรเนี่ย เธอเคยกลัวอะไรบ้างมั้ย”
“ไม่กลัว...ผีก็ไม่กลัว คนก็ไม่กลัว!”
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าผู้หญิงจะไม่มีจุดอ่อนไหว...เอ หรือว่าเธอจะไม่ใช่ผู้หญิง?” เขาพูด พลางยักคิ้วคิด “ฉันว่าต้องใช่แน่ๆ ตอนนี้ฉันยืนกอดเธออยู่ ฉันยังไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไรกับเธอเลยสักนิดนะ... เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่กอดแล้วไม่รู้สึกอะไร ถามจริงเถอะ เธอเป็นทอมหรือเปล่า?”
“หยาบคาย! ไม่ใช่สักหน่อย” ไม่ใช่แน่นอน ถึงเขาไม่หวั่นไหว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องไม่หวั่นไหวไปด้วยนี่นา... เขาคงไม่รู้หรอก ว่าตอนนี้ใจฉันเต้นแรงจนจะเด้งออกมาจากหน้าอกได้แล้ว
“ฮึ... แล้วเธอล่ะ กอดกับฉันแบบนี้ รู้สึกอะไรหรือเปล่า”
นั่นไง ถามออกมาแล้ว... ใช่ ฉันหวั่นไหวสุดๆ
“ไม่” ฉันตีหน้านิ่งตอบ “ผู้ชายอันธพาลอย่างนายน่ะเหรอ จะทำให้ฉันรู้สึกหวั่นไหวได้ แค่คิดก็ขยะแขยงจะตายอยู่แล้ว”
“แล้วถ้าฉันจูบเธอล่ะ เธอจะหวั่นไหวหรือเปล่า”
กรี๊ดดด! อยากจะกรี๊ดออกมาเป็นภาษาเกาหลี นี่เขาบอกว่าเขาจะจูบฉันยังงั้นเหรอ.. ตลอดชีวิตฉันยังไม่เคยจูบใครเลยนะยะ เขากล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉัน
ใช่ซิ เขาอาจไม่ใช่คนไทย เขาไม่รู้หรอกว่าคนไทยเขามีวัฒนธรรมแบบไหน เขาคงไม่รู้หรอกว่าคนไทยเขาถือเรื่องนี้กันมากแค่ไหน
“นายไม่มีวันได้ขโมยจูบของฉันหรอกย่ะ ถ้านายจูบมาฉันกัดลิ้นนายขาดแน่! ไม่พอแค่นั้น ฉันจะต่อยปากนายให้ฟันหักไปให้หมด เอาให้กินข้าวไม่ได้สักสองสามปีเลยคอยดู!”
“เธอนี่มันเถื่อนจริงๆ เลยนะ”
“นายรู้จักฉันน้อยไปด้วยซ้ำ!”
“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าถ้าฉันจูบเธอจริงๆ เธอจะกล้ากัดลิ้นฉันจนขาดอยู่รึเปล่า” เขาแสยะยิ้ม ก้มลงมองหน้าฉันในระยะแค่เพียงไม่กี่เซนติเมตร “ใครๆ ก็ว่ากันว่า ผู้หญิงคนไหนที่ได้จูบฉันแล้ว...จำต้องสยบให้ฉันหมดทุกคน!”
ฉันกลับมาที่ห้องเรียนด้วยสีหน้าเซ็งสุดขีด ใบหน้าของฉันหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด... มาเกาหลีก็ดันลืมพกครีมกันแดดมาซะด้วยสิ (พกมาแต่น้ำมันมวย) กลับไปไทยอีกทีฉันคงโดนเพื่อนๆ ล้อว่าไม่สวยแน่ๆ (เรื่องใหญ่นะยะ)
ยัยครูมาสิกะมองหน้าฉันกับนายอันธพาลสลับกันไปมา ก่อนจะพยักหน้าให้เข้าห้องเรียนมาได้
ฉันกับนายอันธพาลเดินเข้าไปในห้องเองโดยไม่ได้นัดหมาย ฉันนั่งโต๊ะหลังสุดของชั้นเรียนคนเดียว เพื่อหลบหลีกสายตาครูไปให้ได้มากที่สุด อย่างที่บอกแหละค่ะ ฉันมาที่นี่...ไม่ได้มาเรียน ฉันมาเพื่อปิดแฟ้มคดีลับบางอย่างแค่นั้นเอง
ฉันวางกระเป๋าลง ก่อนจะนั่ง... แต่ก็พบว่าผู้ชายที่เดินตามหลังฉันมาเขายังยืนอยู่หน้าห้องข้างๆ ครูมาสิโกะอยู่ =_= จริงสิ เขาไม่ได้เรียนอยู่ห้องฉันนี่นา แล้วเขามายุ่งวุ่นวายอะไรกับห้องนี่มิทราบ
“นายคนนี้ชื่อคินนะจิ เป็นนักเรียนเก่าโรงเรียนเดียวกับเรานี่แหละจ้ะ แต่ขอย้ายห้องมาอยู่ห้องเราเพราะมีปัญหานิดๆ หน่อยๆ หวังว่าเพื่อนๆ ในห้องเราคงจะต้อนรับเขาเป็นอย่างดีนะจ๊ะ ครูฝากเพื่อนใหม่ด้วย” ครูผีพูด ก่อนจะหันมาพูดกับนายคินนะจิ “งั้นเธอไปนั่งข้างๆ ยัยเรนนี่ละกันนะ ตรงนั้นว่างอยู่” ครูมาสิกะชี้มาทางฉัน...หล่อนหาได้ถามฉันสักคำไม่ -_-!
ไม่ได้นะ ฉันอยากจะปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด ...ถ้าให้โจรมานั่งข้างๆ งานของฉันก็ล่าช้าไปหมดน่ะสิ! งานลับทุกอย่างที่ฉันจะลักลอบทำในวิชาเรียน (เลว) เขาก็ต้องรู้หมด...ฉันจะให้เขารู้เรื่องราวของฉันไม่ได้
แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่อยากโดนทำโทษอีกแล้ว!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ