ภารกิจรักพักหัวใจยัยนักสืบ

-

เขียนโดย TrkzTie

วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12.47 น.

  4 chapter
  1 วิจารณ์
  10.18K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) สืบลับ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

3.

       กริ๊งง!!

       เสียงกริ่งดังตัดเล็ดลอดเข้ามาสู่ในห้องเรียนกะทันหัน ทำให้ฉัน คุณครู และเพื่อนๆ ทุกคนต่างพากันสะดุ้งโหยง เตรียมบอกชั้นและเก็บข้าวของกลับบ้าน

ตลอดเวลาทั้งวันที่ผ่านมานี้ ฉันได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่า..นี่ฉันเรียนอะไรไปบ้างวะ?? ให้ตายสิ ฉันเรียนไม่รู้เรื่อง =_=

       ครูสอนบ้าสอนบออะไรฉันแปลไม่ออกเฟ้ยย!! ขนาดครูไทยฉันยังเรียนถูๆ ไถๆ นี่จะให้มาเรียนหนังสือเป็นภาษาเกาหลีอีก... เรนนี่จะบ้าตาย!

          อยากจะลองหันไปถามคนข้างๆ ดูเหมือนกันค่ะ ว่าครูสอนอะไรบ้าง... แต่เมื่อเห็นสมุดจดของเขาแล้ว ฉันจึงรีบห้ามตัวเองเอาไว้ ก็ดูซิคะ เขาเล่นวาดรูปตัวประหลาดอะไรไม่รู้อยู่ในสมุดจดเต็มไปหมด และแต่ละภาพก็ทำให้ฉันแทบอดขนลุกเป็นไม่ได้...ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงช่างวาดภาพที่หลอนจิต สั่นประสาทขนาดนี้เชียวนะ ทั้งๆ ที่ลายเส้นของเขาออกจะดูเข้ม ล้ำลึก หรือว่าความรู้สึกของเขาจะเป็นตัวส่งผลให้ภาพที่วาดออกมาดูน่ากลัวแบบนี้

          ต้องใช่แน่ๆ เพราะเขานี่แหละ คือตัวบงการวายร้ายการค้าอาวุธเถื่อนระหว่างประเทศ เป็นตัวการสร้างปัญหาข้ามชาติครั้งยิ่งใหญ่ ฉันนี่แหละจะต้องปราบเขาให้สิ้นซากไปจากสังคมโลกมนุษย์นี้ให้ไวที่สุด เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันเองก็ต้องใช้เวลาในการรวบรวมหาหลักฐานทุกอย่างมาเก็บไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำไปส่งฟ้องต่อองค์กรลับทีหลัง... เมื่อถึงเวลานั้น ฉันก็จะได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองสักที ไม่ต้องลับๆ ล่อๆ ทำเนียนเรียนไม่รู้เรื่องแบบนี้ต่อไป ...แต่คิดไปคิดมา ถ้าฉันยังหาหลักฐานไม่ได้สักทีล่ะ ฉันไม่ต้องเรียนหนังสืออยู่ที่เกาหลีไปตลอดชีวิตเลยหรือยังไง!  

          คนอย่างน้ำฝน ไม่เคยทำให้องค์กรของเราผิดหวัง

        นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่บอสในองค์กรพูดกับฉัน ก่อนที่ฉันจะขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางมายังประเทศเกาหลีแห่งนี้

          ใช่ค่ะ เรนนี่ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง ต่อให้ฉันต้องแก่หนังเหี่ยวหย่อนยานหรือตายที่เกาหลี ฉันก็จะต้องหาข้อมูลหลักฐานทุกอย่างมาให้ได้!

          ฉันเก็บข้าวของทุกอย่างบนโต๊ะเรียน (ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เรียน) ยัดใส่กระเป๋าใบเล็กๆ ของฉันให้เข้าที่ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้ชิดโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องโดยไม่สนใจที่จะหันกลับมามองข้างหลังแม้แต่แวบเดียว

          จริงสิ.... ช่วงเช้าก่อนที่นายอันธพาลจะเข้ามานั่งกับฉัน ครูอาสิกะพูดว่าอะไรนะ...

          เขามีปัญหานิดๆ หน่อยๆ อย่างงั้นหรือ...ถึงย้ายห้องมาอยู่ห้องเดียวกับฉัน... แล้วปัญหานั้นมันคือปัญหาอะไรกัน ทำไมฉันถึงไม่รู้...

          ลึกลับ ซับซ้อน ยากเกินจะบรรยาย ฉันว่าเขาต้องเป็นคนที่มีความในใจซ่อนอยู่มากมายแน่ๆ

          วันนี้ทั้งวันฉันนั่งเรียนอยู่ข้างๆ กับเขา... แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าเราอยู่ห่างกันคนละทวีป เขานิ่งเงียบ เย็นชามาก นี่ถ้าเขาไม่ปากกล้าด่าฉันแรงขนาดนั้น ฉันคงคิดว่าเขาต้องเป็นหุ่นที่โดนวิญญาณสิงมาแน่ๆ

          ทางที่ฉันกำลังมุ่งเดินไปคือร้านส้มตำหน้าโรงเรียน ฉันเห็นป้าภาตำส้มตำขมุบขมิบอย่างหน้าดำคร่ำเครียด  จึงถามเป็นภาษาไทย “นี่ป้า วันนี้ป้าเป็นอะไรเหรอ ทำหน้ายังกับถ่ายไม่ออกมาสองสามวัน ทำหน้าแบบนี้จะมีลูกค้าเข้ามาในร้านเหรอป้า...ขายของต้องยิ้มแย้มแจ่มใสเปิดจิตใจให้ชื่นบานสิจ๊ะป้าจ๋า”

          ฉันล้อเลียนตามประสาคนสัญชาติเดียวกัน (แต่ยังใช้ภาษาเกาหลี) แววตาเคร่งเครียดเงยหน้ามามองสบตาฉันด้วยความหนักใจยิ่ง

          “ข้าถามจริงๆ เถอะว่ะ เอ็งมาอยู่ที่ประเทศเกาหลีทำไมรึ? ประเทศไทยไม่ดีตรงไหน” ป้าภาถามฉันด้วยภาษาไทยแท้

          ฉันแทบสะอึกรีบห้าม “ว้าย! ป้า อย่าพูดภาษาไทยเด็ดขาดนะ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเขาจะได้สงสัยกันไปหมดน่ะสิ”

          “นี่เอ็งอายภาษาบ้านเกิดหรือวะ”

       “ไม่ได้อายค่า Y_Y หยุดพูดภาษาไทยได้แล้ว”

          “ไม่ได้อายแล้วทำไมถึงต้องห้ามข้าพูดภาษาไทยด้วย”

       “หนูขอร้องล่ะค่ะ”

          ป้าภาโคลงศีรษะเล็กน้อย ใบหน้ามุ่ยๆ เริ่มหยิบครก หยิบสากไปล้างอย่างลวกๆ ก่อนจะหันกลับมาถามฉัน “วันนี้จะเอาเมนูอะไรดีล่ะคะ! คุณผู้หญิงประเทศเกาหลีขา!”

          ฉันยักคิ้ว ไม่พูดอะไร เพราะรู้ว่าป้าแกกำลังประชดประชันฉันอยู่ด้วยจิตใจรักชาติอย่างยิ่ง... นี่ป้าคงจะเข้าใจว่าที่ฉันเดินทางมาเกาหลีเพราะไม่รักประเทศใช่ไหมเนี่ย

          ให้ตายสิ! ฉันมาเพื่อสืบคดีลับอันตรายต่างหาก!

          “ขอส้มตำปูปลาร้าใส่ถุงนะคะ”

          ฉันหน้าเสียสั่งเสียงอ่อย มองดูการตำส้มตำของป้าด้วยสายตาละห้อย

          อยากจะอธิบายทุกอย่างให้ป้าแกรู้จังเลย ว่าฉันทำเพื่อประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน... แต่มันทำไม่ได้! ปฏิบัติการของฉันมันเป็นสิ่งที่ลับสุดยอด ความลับทางราชการย่อมมิสามารถเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนทั่วไปได้อยู่แล้ว!

          ฉันหยิบเงินสกุลเกาหลีจ่ายให้ป้าไป แลกกับส้มตำปูปลาร้าที่ใส่ถุงพลาสติกคืนมาให้ฉัน... จากนั้นฉันจึงรีบเดินทางไปยังที่พักเดิมของฉันทันที

         

          ในห้องพักที่มีการจัดตกแต่งสวยหรูมากเกินจะบรรยาย สุดสายตาของฉันมีเพียงแต่สีกำแพงสีชมพูอ่อนๆ ปลายทางมีความสะอาดสะอ้านตั้งแต่ซ้ายไปขวา มีการจัดตกแต่งห้องอย่างมีระบบระเบียบแสดงถึงความประณีตของนักออกแบบ ดอกกุหลาบสีขาวสดใสถูกวางไว้อยู่ในแจกันใบใหญ่ในห้อง ส่งกลิ่นหอมหวนคละคลุ้งไปทั่ว โคมไฟสีส้มแดงเปล่งประกายระยิบระยับตลอดเวลาแสดงถึงความสวยงามสุขสว่าง กรอบรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ถูกจัดตกแต่งเอาไว้ตามมุมห้องอย่างลงตัว ถ้าให้ฉันเดา ห้องนี้ต้องมีราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาทของไทยแน่

       และที่สำคัญ มันสวย มันหรู เกินจะเป็นห้องของนักสืบอย่างฉัน…!

       แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ยิ่งหรูเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่างหาก ฉันวางกระเป๋าของตัวเองลงบนเตียงเพื่อแตกยอดความคิดของวันนี้

          วันนี้ฉันเจอกับนายคินนะจิ ฉันได้รู้จักเขามากขึ้น... อันธพาลในคราบของนักศึกษาที่ฉันไม่เคยเจอในประเทศไทยมาก่อน ถือเป็นสิ่งที่อันตรายมากใช่ไหม หนำซ้ำวัฒนธรรมของที่นี่ยังแตกต่างจากของประเทศไทยอีก ขนาดวันนี้เจอกับเขาเป็นวันที่สองฉันยังโดนเขากอดมาแล้วเรียบร้อยเลย... ถ้าอยู่ต่อไปอีกสักสามสี่เดือน มีหวังฉันต้องตกเป็นของเขาแน่ๆ

          แค่คิดก็...หยี~

          โอ๊ยไม่เอา ไม่คิดเลยเถิดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ก่อนที่นิยายเรื่องนี้จะติดเรทมากไปกว่านี้ฉันจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา

          แน่นอน...นักสืบย่อมไม่มีวิถีชีวิตเหมือนชาวบ้านอยู่แล้ว ฉันถอดแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือของตัวเองออก ก่อนจะใช้แบตเตอรี่อีกอันที่ทางองค์กรให้ไว้ก่อนที่จะมาเกาหลี

          แบตเตอรี่นี้ มีความสามารถพิเศษก็คือ...ใช้สื่อสารกับบุคคลในองค์กรได้โดยไม่ต้องต่อสายหรือกดเบอร์ ...ความสามารถของมันก็เหมือนเครื่องดักฟังนั่นแหละค่ะ แต่ต้องเชื่อมต่อกับทางโทรศัพท์มือถือด้วย -_- ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ลองถามนักประดิษฐ์ในองค์กรดูละกัน

          หลังจากที่เสียบแบตเตอรี่เรียบร้อยแล้ว จึงรีบกดเปิดเครื่องแล้วพูด “บอสคะ ได้ยินเสียง ‘น้ำฝน’ รึเปล่าคะ... ได้ยินแล้วตอบด้วย เปลี่ยน!”

          “ได้ยิน เปลี่ยน!”

          “บอสคะ ทางประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้างคะ รู้ข่าวอะไรเพิ่มบ้างหรือเปล่า”

          “ยังรู้อะไรไม่มาก แต่ผมก็ได้ข่าวมาลางๆ ว่าได้มีการส่งสินค้าเข้ามาประเทศไทยอยู่อย่างสม่ำเสมอ...และเมื่อไม่นานมานี้เองนายทุนใหญ่ชาวเกาหลีก็เพิ่งเดินทางเข้าประเทศ...ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...แถมนายนั่นยังเป็นคนที่มีความระมัดระวังตัวสูงมาก แม้แต่หลักฐานจากกล้องวงจรปิดยังจับภาพเขาไม่ได้เลย... ตอนนี้ทางเราก็กำลังประสานงานกับสนามบินเพื่อตรวจเช็คใบหน้าคนร้ายให้ชัดมากกว่านี้”

          “ข้อมูลละคะ? พาสปอร์ตในการเดินทาง...ชื่อ...?”

          “ข้อมูลถูกปลอมแปลงหมดเลย บัตรประชาชน พาสปอร์ต ล้วนเป็นของปลอมหมดทั้งสิ้น งานนี้ไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่คิดเอาไว้แล้วล่ะฝน!”

          “ของปลอมงั้นเหรอคะ... ร้ายจริงๆ!”

          “แล้วทางเกาหลีล่ะ มีอะไรคืบหน้าบ้าง... พอจะได้เบาะแสคนร้ายในโรงเรียนอาชิตะบ้างหรือเปล่า” คำถามของบอสทำให้ฉันสะดุ้งเฮือก

          ฉันตอบ “พบว่าที่โรงเรียนแห่งนี้มีความอันตรายสูงมากค่ะ จากการที่สังเกตดูรอบๆ เป็นเวลาสองวันแล้ว..ทุกอย่างมันดูเงียบผิดปกติจริงๆ เงียบเกินจะเป็นโรงเรียน แค่เดินไปห้องน้ำคนเดียวฉันยังไม่กล้าเลยค่ะ...รู้สึกว่ามันวังเวง น่ากลัวไปหมด”

          “ขนาดนั้นเชียวเหรอ..”

          “ถ้าถามว่าได้เบาะแสคนร้ายหรือยัง...ยังค่ะ ยังไม่ได้เบาะแสคนร้ายเลยสักนิด แต่ถ้าถามว่าเจอบุคคลต้องสงสัยหรือไม่... ฉันได้บุคคลต้องสงสัยมาเป็นจำนวนมากค่ะ เกือบทุกคนในโรงเรียนนี้ล้วนแต่มีความบ้าบิ่นทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่บุคลากรในโรงเรียน ครู อาจารย์...หรือแม้กระทั่ง แม่บ้าน ภารโรง ล้วนแต่น่าสงสัยไปหมด...อ๊า...แม้ค้าขายส้มตำหน้าโรงเรียนอีกคนหนึ่งค่ะ!” ฉันรายงานข้อมูลไปตามความคิด “ในวันพรุ่งนี้ฉันจะแอบสอดแนมเข้าไปในห้องเก็บเอกสารของทางโรงเรียนค่ะ เพื่อจะนำประวัติบุคคลน่าสงสัยเหล่านี้มาเช็คดูให้หมด... บอสไม่ต้องเป็นห่วงทางประเทศเกาหลีนี้นะคะ น้ำฝนจะต้องสืบคดีนี้ให้เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแน่ๆ”

          “ได้ยินแบบนี้แล้วก็ค่อยสบายใจหน่อย คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกส่งฝนเข้าไปทำงานในประเทศเกาหลี...เท่านี้ก่อนนะ...เปลี่ยน! แล้วอย่าลืมติดต่อมาที่ประเทศไทยทุกวันล่ะ”

          “รับทราบ...เปลี่ยน!”

          พูดจบ ฉันจึงรีบถอดแบตเตอรี่ออกเพื่อเปลี่ยนกับไปใช้ของเดิมที่วางไว้

      

       ฉันหวีผมตัวเองให้ปลายหน้าม้าปัดไปกระทบกับใบหู ก่อนจะติดกิ๊ปให้แน่นเพื่อความถูกต้องตามกฎระเบียบของโรงเรียน ฉันยืนมองตัวเองในกระจกด้วยความประหลาดใจ...ฉันนี่ก็สวยเหมือนกันนะ -.,-… ใบหน้าที่เรียวคมเป็นสันของฉัน บ่งบอกถึงความเป็นไทยได้อย่างดี แววตาที่แวววาวส่องแสงสดใสให้ความรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ ฉันมีคุณสมบัติเป็นหญิงไทยชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันเหมือนกับคนที่นี่คือสีผิว... โชคดีที่ฉันดันเกิดมาเป็นคนผิวขาวเนียนอมชมพู ทำให้ฉันดูกลมกลืนไปกับพวกเขาโดยปริยาย ไม่มีใครสงสัยเลยด้วยซ้ำว่าฉันเป็นคนไทยปลอมตัวมา... ในประเทศเกาหลีอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ ฉันคิดว่าคนที่รู้ว่าฉันเป็นคนไทยมีอยู่สองคนคือ ผอ. และ ป้าภาร้านขายส้มตำรสเด็ด

       สองคนนี้ไว้ใจได้แน่นอน เพราะผอ. คือคนที่จ้างฉันมา ส่วนป้าภา...ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องหวังอยู่แล้วนี่ =_= วันๆ ก็ขายแค่ส้มตำในประเทศเกาหลีไป ใช้ฝีมือในการตำเพื่อแลกกับเงินตราที่ซื้อขาย มันก็คุ้มอยู่หรอก

          ขณะนี้เป็นเวลาตีสี่ครึ่ง =_= ที่จริงแล้วฉันอยากจะนอนอืดอยู่บนเตียงให้สะใจไปเลยต่างหาก แต่ทำยังไงได้...ฉันเป็นนักสืบ เวลายามเช้าตรู่นี่แหละค่ะ คือเวลาแห่งการปฏิบัติงานสืบสวน และแผนการในวันนี้มันก็อันตรายมากจริงๆ หากฉันวิ่งพลาดไปก้าวเดียว ฉันอาจจะ...ตาย...ได้เลย

          อย่างที่บอสบอกเมื่อวานนั่นแหละค่ะ คดีนี้เป็นบทพิสูจน์ที่หินมากจริงๆ เพราะนอกจากจะต้องเผชิญกับศัตรูที่มีความระมัดระวังตัวสูงมากแล้ว ยังต้องระวังการโดนทำร้ายจากคนรอบข้างด้วย...อาทิเช่น นายอันธพาล เขาคงไม่ปล่อยฉันไว้แน่ ถ้าหากรู้ว่าฉันเป็นนักสืบปลอมตัวมา...เพื่อจับเขา…!

          ฉันค่อยๆ สวมใส่สร้อยนกหวีดไว้ตรงที่คอ เพื่อเป็นสัญญาณเรียกข้อความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ก่อนจะยัดมีดคัตเตอร์อันเล็กใส่ไว้ในถุงเท้าเพื่อป้องกันตัว... อาวุธของนักสืบที่ชื่อเรนนี่ก็มีอยู่แค่นี้แหละค่ะ... นอกนั้นก็ฝีมือล้วนๆ! เพราะถ้าใครกล้าที่จะเข้ามาทำร้ายฉันจริงๆ ฉันฟัดมันน่วมเป็นเสือสิ้นลายแน่ๆ บางทีอาจจะไม่ต้องใช้อาวุธเลยด้วยซ้ำไป!

          เตรียมตัวเรียบร้อย ฉันจึงเดินทางไปโรงเรียนทันที มุ่งตรงไปยังห้องเก็บเอกสารของโรงเรียนอาชิตะ ตอนนี้เป็นเวลาเช้ามืด พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำไป...ภารโรงคงจะยังไม่ตื่น คงจะยังไม่มีนักเรียนคนไหนอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้แน่ๆ

          ฉันอาศัยความมืด พรางตัวเข้าไปในห้องเก็บเอกสารอย่างแนบเนียน ไม่มีใครสังเกต (ไม่มีจริงๆ) โรงเรียนนี้ช่างเงียบและวังเวงมากในเวลาแบบนี้ ทำให้ฉันแอบขนลุกซู่เพราะบรรยากาศไม่ได้ หนำซ้ำจะต้องเข้าไปในตึกที่มีแต่ใยแมงมุมคละคลุ้ง...อายุคงไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีแบบนี้อีก...ขอไม่พูดต่อ ก่อนนิยายเรื่องนี้จะกลายเป็นแนวสยองขวัญสั่นประสาท

          ฉันหยิบไฟฉายในกระเป๋าออกมา สอดส่องหารายชื่อบุคคลอันตรายในโรงเรียนเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอหัวข้อหนึ่งเขียนไว้ว่า

        ‘รายชื่อนักเรียนที่เสียชีวิต’

        หยิบมันออกมาอ่านโดยไม่ลังเลรอใจ ค่อยๆ ค้นไปเรื่อยๆ...อ่านถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กนักเรียนของแต่ละคน

          ...อุบัติเหตุ

          …อุบัติเหตุ!

          ...อุบัติเหตุ!!

          ตลก! เป็นไปได้เหรอที่คนหลายๆ คนจะตายพร้อมกันด้วยสาเหตุเดียวกัน... ไม่ว่าจะพลิกแฟ้มไปหน้าไหนๆ ก็เจอแต่คำว่า ‘อุบัติเหตุ’ เต็มไปหมด...และส่วนใหญ่ ผู้ชายทั้งสิ้น! พร้อมใจกันตายหรือยังไงวะ เป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีอะไรอยู่เบื้องลึกเบื้องหลังแน่ๆ!

          ฉันวางแฟ้มลงข้างกาย ก่อนจะหาอ่านหัวข้อแฟ้มอื่นต่อไปอย่างมุ่งมั่น... เผลอก้มลงมองดูนาฬิกาตัวเองอีกทีก็แทบสะอึก ตีห้าครึ่งแล้วเหรอเนี่ย!! สายตายิ่งรีบจับจ้องอ่านไปทีละแฟ้มๆ จนกระทั่งสะดุดตากับแฟ้มสีแดงเปล่งที่วางติดไว้อยู่กับผนังตู้ใบหนึ่ง

        ‘การก่ออาชญากรรมในโรงเรียนอาชิตะ ประจำปี 2554’

          แฟ้มนี้...ต้องใช่แฟ้มนี้แน่ๆ ที่เก็บประวัติการก่ออาชญากรรมทั้งหลายมาไว้รวมกัน ถ้าฉันรู้ข้อมูลในนี้ทั้งหมด บางทีอาจจะสามารถปิดคดีนี้ไปเลยก็ได้!

          ฉันค่อยๆ ใช้มือขวาเลื่อนเอาแฟ้มสีแดงออกมา แต่ทันใดนั้น...ก็มีมือปริศนาเข้ามาปัดมือขอยงฉันทิ้งไปอีกทาง ฉันเซถลาล้มลงไปตามแรงกระแทกอย่างรวดเร็ว

          ฉันแทบสะอึกเมื่อหันไปมองเจ้าของมือปริศนา หยาดเหงื่อแห่งความตกใจค่อยๆ ไหลรินลงมาจากศีรษะ... นั่นมันคุณลุงภารโรงของโรงเรียนอาชิตะนี่! แววตาดุดัน ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ก้มลงมองฉันด้วยสายตาเชือดเฉือน เขาเบิกตาโพลงจนทำให้ฉันขนลุกซู่จนแทบทำอะไรไม่ถูก...เขาจะเป็นอาชญากรตัวจริงของโรงเรียนนี้หรือเปล่านะ...ถึงห้ามไม่ให้ฉันดูแฟ้มสีแดงนี้

          “เธอมาทำอะไรที่นี่ ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่เป็นเขตต้องห้ามของโรงเรียนอาชิตะ” เสียงเคร่งขรึมห้าวโหดถามฉัน

          “เอ่อ...คือฉัน...”

          “ออกไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่ฉันจะแจ้งผอ. ให้ไล่เธอออกจากโรงเรียนแห่งนี้!”

          ฉันสะดุ้งหันกลับไปมองหน้าเขา ในใจแอบยิ้มนิดๆ

          ไล่ซี่!!! แน่จริงก็ไปฟ้องท่านผอ. ให้ไล่ฉันออกจากโรงเรียนแห่งนี้ได้เลยตามสบาย ไม่ต้องห่วงหรอก... แล้วเรามาคอยดูกัน ว่าระหว่างฉันกับแก ใครจะโดนไล่ออกก่อนกัน =O=!!

          ฉันเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตึกเก่าแก่แห่งนี้ด้วยความระมัดระวังตัว แม้ว่าตอนนี้จะพึ่งตีห้าครึ่ง แต่ฉันก็สามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตในโรงเรียนแห่งนี้แล้ว... เหล่าเด็กนักเรียนประถมเริ่มทยอยกันมาโรงเรียน เสียงเจื้อยแจ้วดังลอดเล็ดออกมาจากสนามเด็กเล่นทำให้ฉันแอบอดยิ้มไม่ได้ในความสดใสร่าเริงของเด็กประเทศนี้

          ฉันหันหลังกลับไปมองตึกเก่าแก่ที่เพิ่งออกมาด้วยสายตามากด้วยความสงสัย... ตึกแห่งนี้จะต้องซ่อนความลับอะไรบางอย่างไว้ในโรงเรียนแน่ๆ ถึงไม่ให้คนนอกเข้าไปได้ง่ายๆ

       อีกไม่นานหรอก...ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมมันถึงต้องลึกลับมากมายขนาดนี้!!

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา