พี่ชายจำเป็น!
7.7
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “ชิดในหน่อยค่ะ ชิดในหน่อย!” เสียงตะโกนของกระเป๋ารถเมล์ลอยละล่องเข้ามากระทบโสตประสาทหู ฉันขยับตัวเล็กน้อยเมื่อคนที่ยืนอยู่ข้างกันเบียดเข้ามามากขึ้น สองมือกระชับกระเป๋าสะพายเอาไว้แน่น กลิ่นน้ำหอมของผู้คนมากมายที่ช่วยกันประโคมใส่ตัว ในยามเช้าทำให้ฉันรู้สึกวิงเวียน แล้วไหนจะยังการขับรถที่ปาดซ้ายปาดขวาโดยไม่สนผู้โดยสารนั่นอีก
ฉันคิดผิดหรือเปล่าที่เลือกขึ้นรถเมล์ฟรี =_=
ตื้ดดดดดดดดดดดดดดดด
“เฮ้ย จอดสิวะ! ตาถั่วมองไม่เห็นป้ายหรือไง”
เสียงเอ็ดตะโรโวยวายของผู้ชายคนหนึ่งที่หนีบแฟ้มเอกสารในมือพร้อมกับตัวรถที่โยกไปซ้ายขวาและเสียงก่นด่าของผู้คนมากมายยิ่งทำให้ฉันมึนหัวมากขึ้น สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจหยิบเอ็มพีสามขึ้นมาอุดหู หันหน้าออกไปทางหน้าต่างและหลับตาลง
ไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่แบบนั้นนานเท่าไหร่ แต่ฉันก็ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่ออะไรบางอย่างจิ้มจึ้กๆเข้าที่หัวไหล่ เมื่อฉันหันไป ดวงตาใสแป๋วของชายหนุ่มหน้าหวานก็จ้องสวนกลับมา
“มีอะไร -_-”
“น้าลายเธอไหลแล้ว”
ง่ะ O_O น้าลาย? ฉันแตะเบาๆ ที่มุมปากของตัวเอง แต่แล้วก็ไม่พบอะไร
“ขอโทษนะคะ มันจะมีน้ำลายได้ยังไง ในเมื่อฉันไม่ได้หลับ”
ฉันพยายามส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ถือสาทั้งที่จริงๆแล้วก็แอบหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีดำใสแจ๋วยังคงจ้องตรงมาทางฉัน เรือนผมสีดำปลิวไหวไปตามสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่อยู่ติดกับเขา
“ถ้าเธอไม่ได้หลับก็แปลว่าเธอไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้สินะ เอ...แต่ทำไมคนพวกนั้นใส่ชุดเหมือนเธอเลยล่ะ” เด็กหนุ่มคนนั้นเอียงคออย่างน่ารัก ริมฝีปากบางเม้มน้อยๆใบหน้าขาวใสเปล่งประกายราวกับมีออร่า
ยิ่งจ้องยิ่งหล่อ หุหุ -,,- เอ...แต่เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ
ฉันเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างและก็พบว่ารถเมล์คันนี้กำลังจอดอยู่ที่หน้าป้ายโรงเรียนของฉันพอดิบพอดี แล้วตอนนี้ประตูรถก็กำลังจะปิดลง... ฉันกระเด้งตัวออกจากที่นั่งโดยทันที
“ขอโทษนะคะ! ขอทางหน่อยค่ะ! ขอทางหน่อย...ขอโทษค่ะ!” ฉันรีบแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางผู้คนมากมายที่บดเบียดกันเสียยิ่งกว่าปลากระป๋องเพื่อที่จะลงจากรถ แต่ประตูก็ปิดสนิทลงอีกครั้งพร้อมกับรถเมล์ที่ค่อยๆเคลื่อนออกไป อ๊ากกกก ไม่นะ T^T
เมื่อมาถึงหน้าประตูรถ ฉันก็กดออดรัวๆ เพื่อหวังให้คนขับรถเมตตาและจอดให้ฉันลง แต่ทว่าที่กลับมากลายเป็นเสียงก่นด่าและประโยคสั้นๆ แต่ทำร้ายหัวใจที่ว่า
“ไปลงป้ายหน้าแล้วเดินเอาซะเถอะอีหนู”
โฮกกกกกกกกก ป้ายหน้ามันข้ามไฟแดงไปเลยนะคะคุณลุง Y____Y
“อ้าว สรุปว่าเธอต้องลงป้ายเมื่อกี้เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเธอหลับนะสิ! ทำไมเธอต้องโกหกฉันด้วย –O-!” ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้างฉันเมื่อกี้ตะโกนลั่น และเสียงของเขาก็ดังไปทั่วรถเมล์ที่โย้ไปโย้มาอย่างรวดเร็ว ทุกสายตาจ้องตรงมาที่ฉันก่อนที่เสียงหัวเราะเบาๆ จะตามมาเป็นระลอก
“ฉันเปล่าหลับซะหน่อย!” ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว ฉันรีบแก้ต่างให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว
“เธอหลับ แถมยังนอนน้ำลายไหลด้วย!”
“ฉะ...ฉันเปล่านะ TOT ทำไมนายต้องแกล้งฉันแบบนี้ด้วย เรารู้จักันมาก่อนหรือไง!”
“เราไม่เคยรู้จักกัน เอ๊ะ ไม่สิ! ฉันอาจจะเคยรู้จักกับเธอเมื่อชาติก่อน ไม่รู้แหละแต่เมื่อกี้ฉันเห็นเธอนอนน้ำลายไหลนะ >O<!”
ชายหนุ่มคนนั้นยังคงยืนยันอย่างหนักแน่น ส่วนฉันตอนนี้ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดอยู่ที่รูไหนแล้ว ระหว่างที่เราสองคนยังคงโต้เถียงกันข้ามหัวผู้คนนับล้าน รถเมล์ก็จอดนิ่ง สนิทเพราะติดไฟแดง ฉันรีบหันกลับไปให้ความสนใจกับประตูรถอีกครั้ง
“คุณลุงคะ ไฟแดงแล้ว ช่วยเปิดให้หนูลงหน่อยเถอะค่ะ!”
“ไม่ได้หรอกอีหนู เดี๋ยวตำรวจจับ เห็นมั้ย มานู่นแล้วน่ะ!”
ฉันพยายามมองหาตำรวจตามที่คุณลุงคนขับบอก แต่ด้วยผู้คนยุ่บยั่บทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหัวดำๆ ฉันจ้องมองประตูด้วยสายตาละห้อย
“ผู้หญิงขี้โกหกแบบเธอสมควรโดนแบบนี้นแล้วล่ะ แบร่!” ผู้ชายคนนั้นยังไม่ยอมสงบศึกกับฉันง่ายๆ น้ำเสียงค่อนข้างทุ้มของเขาแทรกผ่านสายลมมาอีกครั้ง ฉันหันขวับไปทางเขา สองมือเท้าเอวโดยอัตโนมัติ
“นายจะเอายังไงกับฉันกันแน่ ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้โกหก ฉันไม่ได้หลับ!”
“เธอหลับ”
“ฉันไม่ได้หลับ”
“เธอนอนหลับ น้ำลายไหลด้วย –O-”
“เอ๊ะ ก็บอกว่าเปล่าไง!” ฉันเริ่มมีน้ำโหกับหนุ่มคนนี้เพราะเขายังคงทำตัวดื้อดึงราวกับเด็กสามขวบ!
“ยัยขี้โกหก”
“เอ๊ะ ไอ้บ้านี่ ฉันบอกว่าเปล่าก็เปล่าสิวะ!”
“ผู้หญิงอะไรพูดจาไม่เพราะเลย -_-' ”
“นะ...นี่นายบังอาจด่าฉันเหรอ!” แขนขวาถูกยกขึ้นโดยอัตโนมัติ นิ้วเรียวชี้ตรงไปยังหน้าของเขาในทันที แต่ก่อนที่ฉันจะทันได้เอ่ยอะไรออกไป
“เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันสั่งให้แกหยุดยังไงเล่า ไอ้บ้าเอ๊ย วิ่งเร็บชิบ!”
เสียงสบถด่าที่มาจากภายนอกรถหยุดการโต้เถียงของเราสองคนได้อย่างชะงักงันฉันก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อที่จะส่องผ่านกระจกบริเวณประตู แล้วก็พบว่าร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งกำลังวิ่งผ่านรถไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดชีวิต แล้วมีชายอีกสองคนวิ่งตาม คนหนึ่งถือกระดาษที่ม้วนจนกลายเป็นแท่งแข็งๆ เอาไว้ในมือ
“ไอ้เขื่อน!” เสียงตะโกนของคู่กรณีดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนประเด็นของเขาจะเปลี่ยนไป ดวงตาสีดำจ้องตรงไปยังร่างสามร่างที่วิ่งผ่านรถเมล์ฟรีคันนี้ไปราวกับสายลม ร่างสูงโปร่งผุดลุกขึ้นทันที
“ลุงเปิดประตูรถเร็ว!”
“ไอ้เด็กพวกนี้ ฉันบอกแล้วว่าไม่เปิดก็คือไม่เปิดสิวะ ชักคำราญ” เสียงสบถอุบทำให้ฉันรู้สึกผวาน้อยๆแต่ดูเหมือนหนุ่มน้อยคนนั้นจะไม่กลัว
“แต่เพื่อนผมกำลังจะตายนะฮะ ผมต้องลงไปช่วย”
“ก็แค่เด็กวัยรุ่นตีกันธรรมดา”
“ลุงนี่ใจร้ายมาก จำไว้เลย ลุงจะไม่มีวันเห็นหน้าผมอีก ผมจะไม่ขึ้นรถเมล์คันนี้และจะสั่งห้ามเพื่อนๆ ขึ้นด้วย!”
“ไอ้เด็กบ้านี่ชักจะวอนหาเรื่อง แกจะขึ้นหรือไม่ขึ้นก็เรื่องของแก ลงจากรถของฉันไปเลยไป!” คุณลุงคนตะโกนกลับมา ใบหน้าขาวใสของเด็กหนุ่มคนนั้นบึ้งตึงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะถลาเข้าไปที่หน้าต่างและเปิดหน้าต่างขึ้นจนสุด ก่อนจะถอยกลับมายืนห่างจากหน้าต่างบานนั้นอีกประมาณหนึ่งช่วงตัวของเขา
นั่นเขาจะทำอะไรน่ะ O_O
“นั่นแกจะทำอะไร” คุณลุงคนขับคิดแบบเดียวกับฉัน ริมฝีปากของเด็กหนุ่มเหยียดยิ้มบาง
“ก็ลงจากรถไปอย่างที่ลุงบอกไงเล่า! ลาล่ะฮะ ^O^” ว่าแล้วผู้ชายคนนั้นก็พุ่งหลาวออกจากหน้าต่างรถ ด้วยความที่ตัวของเขาค่อนข้างโปร่งและบางทำให้สามารถลอดออกไปได้โดยไม่ติดขัด ฉันรีบถลาเข้าไปเกาะกระจกประตูเพื่อดูเขาทันที เด็กหนุ่มม้วนหน้ากลางอากาศหนึ่งตลบก่อนจะดิ่งลงสู่พื้นอย่างงดงาม
เสียงฮือฮาดังขี้นพร้อมกันทั่วทั้งรถ ฉันจ้องมองไปยังร่างสูงสง่านั้นด้วยอาการอ้าปากค้าง เด็กหนุ่มโค้งตัวลงเล็กน้อยก่อนจะหันมาทางฉันและแย้มยิ้มสดใส
“แล้วเจอกันใหม่นะ ยัยขี้โกหก” ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเหลืองและเขียวตามลำดับก่อนที่รถเมล์นรกจะเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้งพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นหายไป ใบหน้าหวานของเขายังคงติดตา และไหนจะเสียงนั่นอีก
'ยัยขี้โกหก' ทำไมครั้งสุดท้ายที่เขาพูดคำนี้ ฉันถึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นคำด่านะ?
ฉันคิดผิดหรือเปล่าที่เลือกขึ้นรถเมล์ฟรี =_=
ตื้ดดดดดดดดดดดดดดดด
“เฮ้ย จอดสิวะ! ตาถั่วมองไม่เห็นป้ายหรือไง”
เสียงเอ็ดตะโรโวยวายของผู้ชายคนหนึ่งที่หนีบแฟ้มเอกสารในมือพร้อมกับตัวรถที่โยกไปซ้ายขวาและเสียงก่นด่าของผู้คนมากมายยิ่งทำให้ฉันมึนหัวมากขึ้น สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจหยิบเอ็มพีสามขึ้นมาอุดหู หันหน้าออกไปทางหน้าต่างและหลับตาลง
ไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่แบบนั้นนานเท่าไหร่ แต่ฉันก็ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่ออะไรบางอย่างจิ้มจึ้กๆเข้าที่หัวไหล่ เมื่อฉันหันไป ดวงตาใสแป๋วของชายหนุ่มหน้าหวานก็จ้องสวนกลับมา
“มีอะไร -_-”
“น้าลายเธอไหลแล้ว”
ง่ะ O_O น้าลาย? ฉันแตะเบาๆ ที่มุมปากของตัวเอง แต่แล้วก็ไม่พบอะไร
“ขอโทษนะคะ มันจะมีน้ำลายได้ยังไง ในเมื่อฉันไม่ได้หลับ”
ฉันพยายามส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ถือสาทั้งที่จริงๆแล้วก็แอบหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีดำใสแจ๋วยังคงจ้องตรงมาทางฉัน เรือนผมสีดำปลิวไหวไปตามสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่อยู่ติดกับเขา
“ถ้าเธอไม่ได้หลับก็แปลว่าเธอไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้สินะ เอ...แต่ทำไมคนพวกนั้นใส่ชุดเหมือนเธอเลยล่ะ” เด็กหนุ่มคนนั้นเอียงคออย่างน่ารัก ริมฝีปากบางเม้มน้อยๆใบหน้าขาวใสเปล่งประกายราวกับมีออร่า
ยิ่งจ้องยิ่งหล่อ หุหุ -,,- เอ...แต่เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ
ฉันเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างและก็พบว่ารถเมล์คันนี้กำลังจอดอยู่ที่หน้าป้ายโรงเรียนของฉันพอดิบพอดี แล้วตอนนี้ประตูรถก็กำลังจะปิดลง... ฉันกระเด้งตัวออกจากที่นั่งโดยทันที
“ขอโทษนะคะ! ขอทางหน่อยค่ะ! ขอทางหน่อย...ขอโทษค่ะ!” ฉันรีบแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางผู้คนมากมายที่บดเบียดกันเสียยิ่งกว่าปลากระป๋องเพื่อที่จะลงจากรถ แต่ประตูก็ปิดสนิทลงอีกครั้งพร้อมกับรถเมล์ที่ค่อยๆเคลื่อนออกไป อ๊ากกกก ไม่นะ T^T
เมื่อมาถึงหน้าประตูรถ ฉันก็กดออดรัวๆ เพื่อหวังให้คนขับรถเมตตาและจอดให้ฉันลง แต่ทว่าที่กลับมากลายเป็นเสียงก่นด่าและประโยคสั้นๆ แต่ทำร้ายหัวใจที่ว่า
“ไปลงป้ายหน้าแล้วเดินเอาซะเถอะอีหนู”
โฮกกกกกกกกก ป้ายหน้ามันข้ามไฟแดงไปเลยนะคะคุณลุง Y____Y
“อ้าว สรุปว่าเธอต้องลงป้ายเมื่อกี้เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเธอหลับนะสิ! ทำไมเธอต้องโกหกฉันด้วย –O-!” ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้างฉันเมื่อกี้ตะโกนลั่น และเสียงของเขาก็ดังไปทั่วรถเมล์ที่โย้ไปโย้มาอย่างรวดเร็ว ทุกสายตาจ้องตรงมาที่ฉันก่อนที่เสียงหัวเราะเบาๆ จะตามมาเป็นระลอก
“ฉันเปล่าหลับซะหน่อย!” ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว ฉันรีบแก้ต่างให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว
“เธอหลับ แถมยังนอนน้ำลายไหลด้วย!”
“ฉะ...ฉันเปล่านะ TOT ทำไมนายต้องแกล้งฉันแบบนี้ด้วย เรารู้จักันมาก่อนหรือไง!”
“เราไม่เคยรู้จักกัน เอ๊ะ ไม่สิ! ฉันอาจจะเคยรู้จักกับเธอเมื่อชาติก่อน ไม่รู้แหละแต่เมื่อกี้ฉันเห็นเธอนอนน้ำลายไหลนะ >O<!”
ชายหนุ่มคนนั้นยังคงยืนยันอย่างหนักแน่น ส่วนฉันตอนนี้ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดอยู่ที่รูไหนแล้ว ระหว่างที่เราสองคนยังคงโต้เถียงกันข้ามหัวผู้คนนับล้าน รถเมล์ก็จอดนิ่ง สนิทเพราะติดไฟแดง ฉันรีบหันกลับไปให้ความสนใจกับประตูรถอีกครั้ง
“คุณลุงคะ ไฟแดงแล้ว ช่วยเปิดให้หนูลงหน่อยเถอะค่ะ!”
“ไม่ได้หรอกอีหนู เดี๋ยวตำรวจจับ เห็นมั้ย มานู่นแล้วน่ะ!”
ฉันพยายามมองหาตำรวจตามที่คุณลุงคนขับบอก แต่ด้วยผู้คนยุ่บยั่บทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหัวดำๆ ฉันจ้องมองประตูด้วยสายตาละห้อย
“ผู้หญิงขี้โกหกแบบเธอสมควรโดนแบบนี้นแล้วล่ะ แบร่!” ผู้ชายคนนั้นยังไม่ยอมสงบศึกกับฉันง่ายๆ น้ำเสียงค่อนข้างทุ้มของเขาแทรกผ่านสายลมมาอีกครั้ง ฉันหันขวับไปทางเขา สองมือเท้าเอวโดยอัตโนมัติ
“นายจะเอายังไงกับฉันกันแน่ ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้โกหก ฉันไม่ได้หลับ!”
“เธอหลับ”
“ฉันไม่ได้หลับ”
“เธอนอนหลับ น้ำลายไหลด้วย –O-”
“เอ๊ะ ก็บอกว่าเปล่าไง!” ฉันเริ่มมีน้ำโหกับหนุ่มคนนี้เพราะเขายังคงทำตัวดื้อดึงราวกับเด็กสามขวบ!
“ยัยขี้โกหก”
“เอ๊ะ ไอ้บ้านี่ ฉันบอกว่าเปล่าก็เปล่าสิวะ!”
“ผู้หญิงอะไรพูดจาไม่เพราะเลย -_-' ”
“นะ...นี่นายบังอาจด่าฉันเหรอ!” แขนขวาถูกยกขึ้นโดยอัตโนมัติ นิ้วเรียวชี้ตรงไปยังหน้าของเขาในทันที แต่ก่อนที่ฉันจะทันได้เอ่ยอะไรออกไป
“เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันสั่งให้แกหยุดยังไงเล่า ไอ้บ้าเอ๊ย วิ่งเร็บชิบ!”
เสียงสบถด่าที่มาจากภายนอกรถหยุดการโต้เถียงของเราสองคนได้อย่างชะงักงันฉันก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อที่จะส่องผ่านกระจกบริเวณประตู แล้วก็พบว่าร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งกำลังวิ่งผ่านรถไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดชีวิต แล้วมีชายอีกสองคนวิ่งตาม คนหนึ่งถือกระดาษที่ม้วนจนกลายเป็นแท่งแข็งๆ เอาไว้ในมือ
“ไอ้เขื่อน!” เสียงตะโกนของคู่กรณีดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนประเด็นของเขาจะเปลี่ยนไป ดวงตาสีดำจ้องตรงไปยังร่างสามร่างที่วิ่งผ่านรถเมล์ฟรีคันนี้ไปราวกับสายลม ร่างสูงโปร่งผุดลุกขึ้นทันที
“ลุงเปิดประตูรถเร็ว!”
“ไอ้เด็กพวกนี้ ฉันบอกแล้วว่าไม่เปิดก็คือไม่เปิดสิวะ ชักคำราญ” เสียงสบถอุบทำให้ฉันรู้สึกผวาน้อยๆแต่ดูเหมือนหนุ่มน้อยคนนั้นจะไม่กลัว
“แต่เพื่อนผมกำลังจะตายนะฮะ ผมต้องลงไปช่วย”
“ก็แค่เด็กวัยรุ่นตีกันธรรมดา”
“ลุงนี่ใจร้ายมาก จำไว้เลย ลุงจะไม่มีวันเห็นหน้าผมอีก ผมจะไม่ขึ้นรถเมล์คันนี้และจะสั่งห้ามเพื่อนๆ ขึ้นด้วย!”
“ไอ้เด็กบ้านี่ชักจะวอนหาเรื่อง แกจะขึ้นหรือไม่ขึ้นก็เรื่องของแก ลงจากรถของฉันไปเลยไป!” คุณลุงคนตะโกนกลับมา ใบหน้าขาวใสของเด็กหนุ่มคนนั้นบึ้งตึงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะถลาเข้าไปที่หน้าต่างและเปิดหน้าต่างขึ้นจนสุด ก่อนจะถอยกลับมายืนห่างจากหน้าต่างบานนั้นอีกประมาณหนึ่งช่วงตัวของเขา
นั่นเขาจะทำอะไรน่ะ O_O
“นั่นแกจะทำอะไร” คุณลุงคนขับคิดแบบเดียวกับฉัน ริมฝีปากของเด็กหนุ่มเหยียดยิ้มบาง
“ก็ลงจากรถไปอย่างที่ลุงบอกไงเล่า! ลาล่ะฮะ ^O^” ว่าแล้วผู้ชายคนนั้นก็พุ่งหลาวออกจากหน้าต่างรถ ด้วยความที่ตัวของเขาค่อนข้างโปร่งและบางทำให้สามารถลอดออกไปได้โดยไม่ติดขัด ฉันรีบถลาเข้าไปเกาะกระจกประตูเพื่อดูเขาทันที เด็กหนุ่มม้วนหน้ากลางอากาศหนึ่งตลบก่อนจะดิ่งลงสู่พื้นอย่างงดงาม
เสียงฮือฮาดังขี้นพร้อมกันทั่วทั้งรถ ฉันจ้องมองไปยังร่างสูงสง่านั้นด้วยอาการอ้าปากค้าง เด็กหนุ่มโค้งตัวลงเล็กน้อยก่อนจะหันมาทางฉันและแย้มยิ้มสดใส
“แล้วเจอกันใหม่นะ ยัยขี้โกหก” ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเหลืองและเขียวตามลำดับก่อนที่รถเมล์นรกจะเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้งพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นหายไป ใบหน้าหวานของเขายังคงติดตา และไหนจะเสียงนั่นอีก
'ยัยขี้โกหก' ทำไมครั้งสุดท้ายที่เขาพูดคำนี้ ฉันถึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นคำด่านะ?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ