ศพแยกส่วน ณ โรงละครผีสิง

7.3

เขียนโดย RATH

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16.12 น.

  11 chapter
  16 วิจารณ์
  19.60K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ 7 จุดเริ่มต้นแห่งศาสตร์มืดมนต์ดำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก


 


บทที่ 7
จุดเริ่มต้นแห่งศาสตร์มืดมนต์ดำ
          เสียงการกระทบกระทั่งกันของมีดดาบสามเล่ม จากบุรุษเพศชายสามคน ดังสนั่นหวั่นไหวอย่างน่าหวาดเสียว สลับการรุกและรับกันไปมา บุรุษสองคนแรกคือท่านรองแม่ทัพแห่งอาณาจักรสุโขทัย ผู้มีนามเรียกขานว่าท่านวรเชษฐ์ มหิสิงหเดโช แลบุรุษอีกคนผู้มีนามเรียกขานว่า ศักดิ์ดาฤชา กริชรามันห์ ส่วนบุรุษเพศชายคนสุดท้ายคือมหาโจรผู้ไร้ซึ่งชื่อเสียงเรียงนามที่จักพากันเรียกขานนามนั้นว่าเช่นไรกันดี แต่หากที่จะสังเกตจากแววตาในยามที่อยู่ในสนามของการสู่รบแล้วละก็ก็จักสามารถใช้เรียกขานนามนั้นแทนได้ว่า “อ้ายดวงตาปีศาจ”มันไม่ได้เกินเลย จากความจริงไปเลยแม้แต่สักนิด บุรุษนิรนามหรืออ้ายคนเถื่อนผู้นั้น มีลักษณะท่าทางเป็นดังเช่นนั้นจริงๆ
          “สังหาร อ้ายป่าเถื่อนนั้น มันให้จงได้ท่านวรเชษฐ์”  มันคือน้ำเสียงของพระกนิษฐา ของเจ้าชายอินทวงศ์โอรสแห่งอาณาจักรสุโขทัยอันรุ่งเรือง
          “การะเกด น้องหญิงของพี่ จ้าวไม่ควรที่จักเข้ามายุ่งวุ่นวายอยู่ท่ามกลางสนามรบเช่นนี้เลย มันอันตรายมากนักจ้าวรับรู้หรือไม่” เจ้าชายอินทวงศ์ ตะโกนเสียงดังตำหนิน้องสาวออกไป แต่กลับไม่ได้มีความโศกเศร้าหรือสำนึกผิดชอบชั่วดี ปรากฏอยู่บนสีหน้าแลแววตาของน้องสาวเลยแม้แต่สักนิด
          “ท่านพี่ ท่านจงสนใจแต่เฉพาะกับการสู่รบของบุรุษเบื้องหน้าของท่านนั้นเทิด อย่าได้มาสนใจ น้องสาวผู้นี้ ให้มันสิ้นเปลืองเวล่ำเวลาไปเลย” เจ้าชายอินทวงศ์ ได้แต่ส่ายพระพักตร์อย่างนึกเอือมระอาในความเอาแต่ใจของน้องสาว แล้วเริ่มหันพระพักตร์กลับคืนไปให้ความสนใจกับการต่อสู่ของบุรุษทั้งสามคนเบื้องหน้าพระพักตร์นั้นต่อไป
          “ท่านศักดิ์ดา หากท่านสังหารอ้ายคนป่าเถื่อนนั้นได้ ข้าจักมีรางวัลให้กับท่าน” เจ้าชายอินทวงศ์ จับจ้องมองตรงไปยังวงหน้าขาวนวลของน้องสาวอีกครั้ง แลก็ส่ายพระพักตร์อยู่เช่นเดิม
          “แกจงตายซะ อ้ายโจรป่าเถื่อน” ท่านรองแม่ทัพศักดิ์ดาฯ หลงลืมตัวเพราะแรงยุยงของ การะเกด นางอันเป็นที่หมายปองมาแสนยาวนาน แต่ก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสจะสมรักอย่างที่ได้เคยตั้งใจคาดหวังเอาไว้เลยแม้สักครั้ง
          “อ๊า!!...โอ๊ย!!” เสียงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดจากการถูกมีดดาบฟันเข้าไปที่ข้อมือ จนมีดดาบของท่านรองแม่ทัพศักดิ์ดาฯ กระเด็นหลุดหายออกไป และไกลเกินกว่าที่จะเอื้อมมือไขว่คว้าได้ถึง ความตายกำลังที่จะใกล้เข้ามาหาท่านรองแม่ทัพศักดิ์ดาฯ เข้าไปทุกที    
          “ท่านวรเชษฐ์ ช่วยเหลือท่านศักดิ์ดาฯ ด้วยเทิด” รวดเร็วเกินกว่าคำตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ มีดดาบสองเล่มกระทบกัน และดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง สองบุรุษยืนสงบนิ่งเผชิญหน้ากัน ต่างจับจ้องมองกันดวงแววตาอันแดงกล่ำ อย่างต้องการอยากที่จะได้ชีวิตของฝ่ายตรงข้ามเอามาไว้ในกำมือให้จงได้
          “จ้าวเป็นผู้ใดกันอ้ายคนเถื่อน เหตุไฉนจ้าวถึงได้มีฝีมือเพลงดาบที่ร้ายกาจเยื้องนี้” รองแม่ทัพวรเชษฐ์ ตะโกนตั้งคำถามกับนักรบคนเถื่อนเบื้องหน้าอย่างนึกยกย่อง ในศักดิ์ศรีแห่งชายชาตินักรบเฉกเช่นเดียวกัน
          “จ้าวรับรู้หรือไม่ อย่างไรเสียจ้าวก็มิมีวันที่จะเอาชนะข้าได้ จ้าวจงมองดูให้รอบๆ สิ อ้ายคนเถื่อน ที่ล้อมวงล้อมรอบจ้าวอยู่ในขณะนี้นั้น คือทหารนับร้อยๆ คน แต่จ้าวเหลือลำพังเพียงแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานจ้าวก็จักต้องพ่ายแพ้อยู่ดี จ้าวจงวางมีดดาบในมือของจ้าวลงแล้วยอมพ่ายแพ้เสียเทิด แล้วข้าจะไว้ชีวิตให้แก่จ้าว”
          “ท่านวรเชษฐ์ จักไปสนทนากับอ้ายคนเถื่อนนั้นทำไมกันให้เสียเวลา รีบสังหารมันให้ตายไปเสียรวดเร็วเลยเทิด” ไม่มีเสียงตอบรับจากท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์แต่อย่างใด
          “จ้าวจงรีบตัดสินใจโดยเร็วไว ก่อนที่ข้าจะนึกเปลี่ยนใจ ลงดาบตัดคอของจ้าว”
          “หึ!!..ฮ๊า ฮ่า..ๆๆๆ” จ้าวคนเถื่อนแหงนหน้าจับจ้องมองไปยังบนท้องฟ้าเบื้องบน อวดโชว์ลำคอสีขาวนวล พร้อมกับหัวเราะเสียงดังกึกก้องกัมปนาท จนทหารที่ล้อมรอบอยู่นับร้อยคน ต่างก็พากันได้ยินน้ำเสียงร้องโหยหวนนั้น โดยทั่วถึงกันไปแทบจะทุกคน
          “ท่านวรเชษฐ์ สังหารอ้ายคนยโส เดี๋ยวนี้เลย” เสียงออกคำสั่งจากพระคู่หมั้น ทำให้ท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้อีกต่อไป
          “จ้าวตัดสินใจเลือกเส้นทางแห่งความตายเองนะ จ้าวคนเถื่อน” สองบุรุษชาตินักรบพุ่งตรงเข้าหากัน พร้อมมีดดาบทั้งสองเล่มก็เริ่มฟาดฟันกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน การสู่รบก็จึงได้สิ้นสุดลง
          “เวลานี้ คง-จัก-ไม่ใช่-เวลาตาย-ของข้า-เสียแล้ว” น้ำเสียงอันหมดเรี่ยวแรงของคนเถื่อนที่พยายามจะเปล่งน้ำเสียงเป็นคำพูดออกมา มันคือการให้เกียรติคู่ต่อสู่ก่อนที่อีกฝ่าย จะหมดสิ้นลมหายใจไปในอีกเวลาเพียงไม่นานมากนัก 
          “แล้วอีกไม่นานข้าก็จะติดตามจ้าวไปเช่นกัน ท่านนักรบ” มีดดาบเงื้อมมือจนสุดวงแขนพร้อมที่จะตวัดลงสู่ลำคอของท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
          “ได้โปรดหยุดการต่อสู่ลงก่อนเทิด” เจ้าชายอินทวงศ์ตะโกนขอร้อง จ้าวคนเถื่อนจึงหยุดมีดดาบที่เพิ่งตวัดลงเอาไว้เพียงแค่ บริเวณผิวหนังระหว่างลำคอของท่านรองแม่ทัพวรเชษฐฯ อย่างพอดิบพอดี
          “การสู่รบในครั้งนี้ ถือว่าพวกเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวจงเรียกร้องสิ่งที่จ้าวต้องการมาเทิด ข้ายินดีจักมอบให้กับเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างตามที่จ้าวต้องการ”
          “หึ!!..ฮ๊า ฮ่า..ๆๆๆ” จ้าวคนเถื่อนแหงนหน้าจับจ้องมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนอีกครั้ง และก็หัวเราะส่งเสียงดังกึกก้องกัมปนาทขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกันกับหยาดหยดน้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบสองข้างแก้ม อย่างไม่มีผู้ใดจักคาดคิดมาก่อน ว่าจะได้พบเห็นหยาดหยดน้ำตาอันแสนที่จะโศกเศร้าเสียใจ ปรากฏขึ้นมายังเบื้องหน้าของพวกเขาทุกคนเยื้องนี้ ไม่ใช่จากชายหนุ่มชาตินักรบ ที่มีทั้งความแข็งแกร่ง บ้าทะลุ ดุดัน อย่างกับไม่ใช่ชายหนุ่มบ้านป่า คนเถื่อนธรรมดาทั่วๆ ไป
          “ท่านจะคืนลูก เมีย ญาติ พี่น้อง ของข้า ให้กลับคืนมาอย่างเดิมได้หรือไม่กันเล่า”แน่นอนว่าคนที่ตายจากไปแล้วแม้แต่เทวดายังไม่สามารถที่จะนำกลับคืนมาให้ได้เลย มีหรือที่เจ้าชายอินทวงศ์ บุรุษชาตินักรบผู้เป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง จักสามารถที่จะนำชีวิตที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมาใหม่ได้อีกครั้ง
          “ข้ามอบสิ่งนั้นกลับคืนให้แก่จ้าวไม่ได้”
          “แต่พวกท่านทุกคน พรากมันไปจากข้า พวกท่านต้องรับผิดชอบ ด้วยชีวิตของพวกท่านทุกคน”
          “แต่พวกจ้าวก็เป็นโจรป่า ที่เที่ยวคอยปล้นสะดม ข้าเองก็มีสิทธิที่จักลงมือเข้าปราบปราม เพราะมันคือหน้าที่ของข้าเช่นกัน”
          “หึ!!..ฮ๊า ฮ่า..ๆๆๆ “ เสียงหัวเราะพร้อมหยาดหยดน้ำตาอันไหลรินอยู่เช่นเดิม
          “พวกเราเป็นโจรป่า เที่ยวปล้นสะดมอย่างนั้นรึ ไหนล่ะอาวุธ ที่จะใช้ในการปล้นสะดมของพวกท่าน พวกเราเป็นเพียงแค่ชาวบ้าน แลคนธรรมดาเท่านั้น ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และออกล่าสัตว์ป่ามาเพื่อเป็นอาหาร พวกเรามีอาวุธแค่ จอบแลเสียมและคันธนูที่เอาไว้ใช้สำหรับออกล่าสัตว์ป่าในบางครั้งบางคราแล้วจักเอาเวลาไหน ออกไปเที่ยวปล้นสะดมกัน พวกท่านไม่มีความคิดกันบ้างเลยหรือไร” เมื่อพูดจบประโยค อ้ายคนเถื่อนเบื้องหน้าพระพักตร์ของเจ้าชายอินทวงค์ ก็หมดสิ้นเรี่ยวแรงล้มลงคุกเข่าอยู่ตรงเบื้องหน้าพระพักตร์ อย่างคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง พละกำลัง และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แลอย่างไม่ต้องการอยากที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วเช่นกัน
          “ยังเหลือข้าอีกคนมิใช่รึ อย่างไรเสียก็ได้โปรดเมตตาข้าเทิดเอาชีวิตของข้าไปด้วยก็แล้วกัน” หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงสู่พื้นดินบ้านเกิดเมืองนอน อย่างไม่สามารถจะควบคุมมันเอาไว้ได้อีก มันทำให้นักรบทุกคนที่ต่างพากันจับจ้องมองอยู่ รู้สึกโศกเศร้าเสียใจไปตามๆ กัน ในความผิดพลาดของพวกเขาเอง
          “พวกจ้าวไม่ใช่โจรป่าหรอกรึ” เจ้าชายอินทวงค์ตะโกนตั้งคำถามอย่างรู้สึกเจ็บปวดในดวงพระหทัย พร้อมกันกับหันวงพระพักตร์ออกไปเผชิญหน้ากับท่านรองแม่ทัพศักดิ์ดาฤชา ที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสจากคมดาบ อย่างสดๆ ร้อนๆ เพื่อเรียกร้องหาคำตอบและก็ได้รับคำตอบอย่างที่ได้คาดหวังเอาไว้จริงๆ
          “ท่านรับรู้มายาวนานเท่าไหร่แล้ว ท่านศักดิ์ดาฯ” ไม่มีเสียงตอบรับจากท่านรองแม่ทัพศักดิ์ดาฯ เจ้าชายอินทวงศ์สังเกตได้อย่างชัดเจนจากแววตาแห่งความสำนึกผิดเบื้องหน้า
          “พวกจ้าว พากันยกกองทัพนับร้อยๆ มาเพื่อเข่นฆ่าชาวบ้าน คนบริสุทธิ์อย่างนั้นรึ”เจ้าชายอินทวงศ์ หันวงพระพักตร์ไปจับจ้องมองยังท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ฯ ด้วยอีกคน
          “ข้าไม่รับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทั้งหมดเป็นการออกคำสั่งของท่านศักดิ์ดา เพียงผู้เดียว”
          “พวกท่าน กำลังเล่นละครอะไรกันอยู่ อย่างนั้นรึ” จ้าวคนเถื่อนแหงนวงหน้าอันเปรอะเปื้อนด้วยหยาดหยดน้ำตา จับจ้องมองพระพักตร์ของจ้าวชายอินทวงศ์ตรงๆ อีกครั้ง
          “มันจะสำคัญอะไรกันนักหนา อย่างไรเสียครอบครัวของข้าก็ตายกันไปจนหมดสิ้นแล้ว พวกท่านจะสนทนาสิ่งใดกันให้มันมากความอีกเล่า อย่างไรครอบครัวของข้าก็จักไม่มีวันหวนกลับคืนมาใหม่ได้อีกแล้ว พวกท่านจงกลับคืนไปรายงานกับทางราชการเทิดว่าพวกเราต่างถูกพวกโจรป่าไล่ล่าเข่นฆ่าตายกันไปจนหมดสิ้นแล้ว แลพวกท่านทุกคนก็จะรอดพ้นจากความผิดพลาดในครั้งนี้ไปได้” จ้าวชายอินทวงศ์รู้สึกตื่นตกใจ ในคำพูดอันเสียดแทงภายในดวงพระหทัยของอ้ายคนเถื่อนเบื้องหน้าพระพักตร์ พร้อมกันกับจับจ้องมองตรงไปยังวงหน้าของคนใกล้ชิดทั้งสามคน
          “พวกจ้าวพากันคิดเช่นไร ท่านรองแม่ทัพศักดิ์ดาฤชา ท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ และน้องหญิงของพี่ พวกเราสมควรจักสังหารอ้ายคนเถื่อนเบื้องหน้าของเรา เพื่อที่จักปกปิดความผิดพลาดหรือไม่” ทุกคนต่างพากันเงียบเสียงลง และมิมีใครต้องการออยากจะปริปากตอบรับคำถามของเจ้าชายอินทวงศ์เลยแม้แต่สักคนเดียว
          “หากพวกจ้าวไม่คิดอยากที่จักตอบคำถามของข้า ข้าก็จะถือเอาว่าอ้ายคนป่าเถื่อนเบื้องหน้าของพวกจ้าวไม่สมควรที่จะต้องตาย ข้าจะเอามันกลับไปกับข้าด้วย” เจ้าชายอินทวงค์กระโดดลงจากหลังม้าศึก แล้วก้าวเดินตรงออกไปยังบุรุษหนุ่มคนเถื่อน เบื้องหน้าอย่างไม่คิดที่จะเกรงกลัวในภัยอันตรายเลยแม้สักนิด
          “จ้าวได้โปรดกลับไปกับเราเทิด” เจ้าชายอินทวงค์ยื่นฝามือส่งไปให้กับบุรุษเบื้องหน้า แต่ไม่มีสัญญาณการตอบรับกลับคืนมาจากชายหนุ่มเบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย
          “บ้านข้าอยู่ที่นี่ ครอบครัว แลลูก เมีย ของข้าก็อยู่ที่นี่ ข้าไม่คิดจักไปที่ไหนอีกแล้ว”เจ้าชายอินทวงค์ สดับรับรู้ได้ในทันที มันคือคำกล่าวอำลา บุรุษเบื้องหน้าอย่างไรเสียก็คงคิดที่จะตายตามครอบครัวไปอยู่แล้วอย่างแน่นอน
          “ครอบครัวจ้าว ไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีกแล้ว จ้าวกลับไปกับข้าเทิด ข้ายินดีจะมอบชีวิตใหม่ให้แก่จ้าวเอง”
          “หึ!!..ฮ๊า ฮ่า..ๆๆๆ “ เสียงหัวเราะที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดหยดน้ำตาหันหน้าอันโศกเศร้าเสียใจมาจับจ้องมองพระพักตร์ของเจ้าชายอินทวงค์ตรงๆ อีกครั้ง
          “ชีวิตใหม่ เยื้องไรกัน แล้วท่านคิดว่าข้าจักมีวันลืมเลือนความสูญเสียในวันนี้ ไปได้เยื้องไรกัน แม้นข้าจักจากไปไกลแสนไกล นานแสนนาน นับร้อยปี นับพันปี ข้าก็จักไม่มีวันที่จักลืมเลือน แลมีชีวิตใหม่ได้จริงๆ ดอก”
          “จ้าวจักให้พวกเราทำเช่นไรกันได้อีก” การะเกดหลุดคำพูดตั้งคำถามออกไปอย่างหลงลืมตัวเอง เช่นเดียวกันกับท่านรองแม่ทัพอีกสองคนด้วยเช่นเดียวกัน
          “ข้ารองแม่ทัพวรเชษฐ์ เองก็นึกเศร้าเสียใจกับจ้าวด้วย แต่จะให้พวกเราทำเยื้องไร กันได้อีก”
          “ข้ารองแม่ทัพศักดิ์ดาฤชา ก็เศร้าเสียใจด้วยเช่นเดียวกัน แม้ข้าจะเป็นผู้ออกคำสั่งให้เข้าโจมตี หมู่บ้านของจ้าวแต่ข้าก็ทำตามรายงานข่าวสารจากหน่วยสอดแนมมาอีกที ไม่คิดว่ามันจะเป็นข้อมูลข่าวสารที่ผิดพลาดเยื้องนี้เลย”
          “ได้โปรดยกโทษให้กลับพวกเราได้หรือไม่” มันคือคำกล่าวขอร้องจากน้ำเสียงของเจ้าชายอินทวงค์
          “คนบริสุทธิ์นับร้อยๆ คนต้องตายจากไป ท่านคิดว่าเพียงแค่ข้ายกโทษให้กับพวกท่านทุกคนแล้วอะไรๆ มันจักดีขึ้นมาอย่างนั้นรึ คนบริสุทธิ์พวกนั้นไม่มีวันที่จะยกโทษให้กับพวกท่านดอก” เจ้าชายอินทวงค์พระพักตร์ซีดเผือดลงมาในทันที
          “จ้าวกล่าวเกินไปแล้วนะ อ้ายคนเถื่อน ท่านพี่ของข้าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย” การะเกดนึกสงสารพี่ชายจึงหลุด คำพูดเรียกชายหนุ่มเบื้องหน้า อย่างหยาบคายออกไปโดยไม่ได้คิดที่จะไตร่ตรองมันให้ดีเสียก่อนที่จะกล่าวหาบุรุษเบื้องหน้า
          “ข้าคือ...อ้ายคนเถื่อนอย่างนั้นรึ” ชายหนุ่มแปลกหน้าจับจ้องมองการะเกด แทนการจับจ้องมองเจ้าชายอินทวงค์ ด้วยแววตาอันเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดหยดน้ำตาอยู่เช่นเดิม
          “หากข้าคือ...อ้ายคนเถื่อนแล้วพวกท่านเป็นสิ่งใดกัน” ใบหน้าเปรอะเปื้อนหยาดหยดน้ำตาหันวงหน้า สำรวจจับจ้องมองไปโดยทั่วอาณาบริเวณ เริ่มจากท่านรองแม่ทัพศักดิ์ดาฯ แลไปหยุดสงบนิ่งอยู่ที่ท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ฯ
          “หากข้าจดจำไม่ผิดพลาด ท่านกล่าวว่าตนเองมีชื่อว่า วรเชษฐ์ เช่นนั้นรึ” ท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์รู้สึกนึกแปลกใจ ในคำถามแต่ก็ไม่ได้คิดสิ่งใดให้มากความ ได้แต่เพียงพยักวงหน้าเป็นคำตอบ
          “ท่านคิดว่าข้าเป็น อ้ายคนเถื่อนด้วยหรือไม่” แววตาเปรอะเปื้อนหยาดหยดน้ำตาตั้งคำถามขึ้นด้วยน้ำเสียงคล้ายกันกับเสียงตะโกน ทุกคนโดยรอบอาณาบริเวณ ต่างพากันจับจ้องมองท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ฯ อย่างรอคอยคำตอบ
          “ไม่ จ้าวไม่ใช้ อ้ายคนเถื่อน เลยแม้แต่น้อย” ท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ฯ ตะโกนตอบคำถามกลับคืนไปด้วยเสียงดังฟังชัดเช่นกัน
          “หากข้าไม่ใช่ อ้ายคนเถื่อน อย่างนั้นเป็นท่านเองคืออ้ายคนเถื่อนใช่หรือไม่” ท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ฯ หันวงหน้าไปเผชิญแววตาของเจ้าชายอินทวงค์ที่จับจ้องมองอยู่โดยตลอดเวลา อย่างต้องการที่จะให้ช่วยตนเองตัดสินใจและเป็นอย่างที่ได้คาดคิดเอาไว้ เจ้าชายอินทวงค์พยักหน้าเป็นสัญญาณอย่างที่จิตใจส่วนลึกได้คาดคิดคำตอบเอาไว้แต่แรกเริ่มอยู่แล้ว
          “ใช่ข้าคือ อ้ายคนเถื่อน”
          “ดีเลย อย่างนั้นต่อไปนี้ ท่านจงมอบชื่อของท่าน มาให้แก่ข้าได้หรือไม่”
          “อะไรนะ มอบชื่อของข้าให้แก่ท่านอย่างนั้นรึ” ท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ฯ หันวงหน้าไปสบกับแววตาของเจ้าชายอินทวงค์อีกครั้ง และก็ได้คำตอบกลับคืนมาเช่นเดิม
          “ได้ข้าจัก มอบชื่อของข้าให้แก่จ้าว หากจ้าวต้องการมันจริงๆ”
          “ต่อไปนี้ และตลอดไปอีกนานแสนนาน จ้าวจงเรียกข้าว่า ..วรเชษฐ์..” แววตาเปรอะเปื้อนหยาดหยดน้ำตา หันวงหน้าอันโศกเศร้าเสียใจ ตรงไปจับจ้องมองการะเกดหญิงสาวแสนสวย ที่ยืนสงบนิ่งรอรับฟังการสนทนาอยู่ไม่ห่างไกลมากมายนัก
          “แลจ้าวจงเรียกชายหนุ่มผู้นั้นว่า...อ้ายคนเถื่อน..แทนข้า จ้าวเข้าใจหรือไม่” การะเกดหันวงหน้าไปสบกับแววตาของเจ้าชายอินทวงค์ พี่ชายอย่างเช่นเดียวกันกับท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ฯ แลก็ได้รับคำตอบกลับมาเป็นเช่นเดียวกัน
          “ตกลง ท่านวรเชษฐ์”
          “หึ!!..ฮ๊า ฮ่า..ๆๆๆ “ ชายหนุ่มแปลกหน้าแหงนวงหน้าอันเปรอะเปื้อนหยาดหยดน้ำตาขึ้นไปจับจ้องมองยังบนท้องฟ้าเบื้องบนอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนเสียงอันดังกึกก้องกัมปนาท
          “ข้ามีชื่อใหม่แล้วว่า วอ-ระ-เชษฐ์  ข้าจักมีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว พวกท่านจงรับรู้เอาไว้เทิด ข้าจักทำให้ดวงวิญญาณของพวกท่านทุกคน อยู่กันเป็นอมตะอีกนานแสนนานับเป็นศตวรรษ ข้าขอให้คำสัญญา”
................................
          เวลา ณ ปัจจุบัน..
          “ท่านวรเชษฐ์..” ภานุรู้สึกตื่นตกใจ ที่หญิงสาวบนเตียงนอนสี่เสานอนละเมอเรียกชื่อจริงของเขาออกมา เธอช่างเป็นหญิงสาวที่แปลกประหลาดเสียจริงๆ เธอไปรับรู้ชื่อจริง ของเขามาจากที่แห่งหนตำบลไหนกันแน่
          “ท่าน-วอ-ระ-เชษฐ์” จากการนอนละเมอเรียกชื่อของเขาไปในครั้งแรก แต่ในครั้งที่สองนี้ เธอเริ่มที่จะสะดุ้งตื่นตกใจอย่างนึกหวาดกลัว แล้วจับจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างนึกเกรงกลัวกับอะไรบ้างสิ่งบ้างอย่างอยู่
          “อ้าย-คน-เถื่อน” เธอพูดติดอ่างกล่าวหาเขาอย่างผิดๆ
          “นี่ ผมแค่ จับจ้องมองดูเวลาคุณนอนหลับไปก็เท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรคุณเลยนะ ถึงขนาดต้องเรียก ผมเป็นคนเถื่อน คนป่ากันเลยรึไง ผมเป็นสุภาพบุรุษ ไม่คิดที่จะเอาเปรียบสุภาพสตรีหรอกนะครับ” แววตาของเธอยังคงมีความหวาดกลัวเขาเจือปนอยู่เช่นเดิม
          “คุณเป็นอะไรไป ผมภานุเองอย่างไรกัน ล่ะครับ จำผมไม่ได้แล้วหรือไงกัน” แววตาของเธอเริ่มชินกับแสงสว่างเจิดจ้าจากเทียนไขในกำมือของเขาเพิ่มมากยิ่งขึ้น
          “เอ่อ..คุณภานุเองหรือค่ะ ฉันรู้สึกสับสนกับอะไรนิดหน่อย” เธอเริ่มลุกขึ้นจากเตียงแล้ว จับจ้องมองไปรอบๆ ห้องอย่างนึกแปลกใจ
          “เอ๋..ฉันมานอนหลับอยู่ในห้องนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันค่ะ ทำไมฉันถึงนึกอะไรไม่ออกเลย”
          “ไม่นานหรอกครับ แค่สิบกว่านาทีเท่านั้นเอง...”
          “แต่ทำไมฉัน ถึงคิดว่ามันนานกว่านั้นมากนักนะ”
          “สิบกว่านาทีแน่นอน ผมรับรองได้ ผมเดินตามคุณมาโดยตลอดเวลา”
          “จริงหรือค่ะ”
          “ครับเป็นความจริง”
          “แล้วทุกคนด้านนอก เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะคะ พวกเขาหาที่หลับที่นอนกันได้หรือยัง”
          “ไม่รู้สิครับ ผมก็แอบหนีมาอย่างเดียวกันกับคุณนั้นล่ะ”
          “ฉันไม่ได้แอบหนีมาสักหน่อย อย่ามากล่าวหากันอย่างผิดๆ นะคะ ฉันแค่เดินเลี่ยงออกมาก็เท่านั้น” ภานุแย้มยิ้มอย่างนึกขำ
          “ตกลงครับ คุณเดินเลี่ยงหนีออกมาก็ได้” แล้วภานุก็หัวเราะขบขันอยู่อย่างเช่นที่เคยทำ มันทำให้เธอนึกถึงเสียงหัวเราะของชายหนุ่มอีกคนที่มีใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดหยดน้ำตาแห่งความเศร้าโศกเสียใจ แลใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองคน ก็ต่างเหมือนกันอย่างกับเป็น ดังเช่นคนๆ เดียวกันเลยทีเดียว แต่ผู้ชายอีกคนกลับปรากฏเฉพาะแต่ในความฝันของเธอเท่านั้น แต่อีกคนปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าของเธอ ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มแลเสียงหัวเราะ มันช่างแตกต่างกันอย่างมากมายยิ่งนัก เหมือนเช่นขาวและดำ แลเหมือนดังเช่นดวงอาทิตย์แลดวงจันทร์
          “คุณกำลังคิดอะไรอยู่หรือคุณเกด”
          “เปล่าค่ะ ท่านวรเชษฐ์”
          “ต่อไปนี้ และตลอดไปอีกนานแสนนาน จ้าวจงเรียกข้าว่า ..วรเชษฐ์..”
          “คุณเรียกผมว่าอะไรนะครับ คุณเกด” ภานุทำท่าทางตื่นตกใจ
.............................


 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา