ศพแยกส่วน ณ โรงละครผีสิง
8) บทที่ 8 เรื่องจริง เรื่องเท็จ หรือคำลวง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ 8
เรื่องจริง เรื่องเท็จ หรือคำลวง
“เปล่าค่ะ...”
“ต่อไปนี้ และตลอดไปอีกนานแสนนาน จ้าวจงเรียกข้าว่า ..วรเชษฐ์..” เสียงตะโกนอันดังกึกก้องกัมปนาท ที่ดังซ้ำๆ กันถึงสองครั้ง ทับซ้อนกันกับน้ำเสียงของภานุที่ได้ยินน้ำเสียงเพียงบางเบากว่ามาก แม้จะอยู่ใกล้ชิดติดตัวเธอมากกว่าก็ตาม
“จะเปล่าได้อย่างไร ก็คุณเรียกชื่อจริง ของผมออกมาจริงๆ แล้วยังจะมาพูดโกหกอยู่อีก”
“ว่าอะไรนะคะ ชื่อจริง ชื่อปลอมอะไรกัน”
“อย่ามาทำเป็นไก๋ แสดงละคร ตีหน้าตายอยู่เลย สารภาพความจริงออกมาซะดีๆ คุณรู้จักผมมาก่อนแล้วใช่ไหม”
“นี่คุณภานุ อย่ามากล่าวหาฉันอย่างผิดๆ นะ ฉันเพิ่งจะเคยรู้จักพบปะเจอะเจอกับคุณเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วนี้เอง”
“แล้วทำไมคุณถึงเรียกชื่อจริง ของผมได้ถูกต้อง เท่าที่ผมจดจำได้ ผมยังไม่เคยบอกชื่อจริงของผมให้กับใครได้รับรู้เลยแม้แต่คนเดียว”
“ถามจริงๆ เถอะ คุณภานุมีชื่อว่า วรเชษฐ์ จริงๆ หรือค่ะ” เธอแย้มยิ้มเมื่อพูดจนจบประโยค อย่างมีแววตาของการล้อเล่นปรากฏอยู่บนใบหน้าและลูกนัยน์ตาด้วย
“คุณไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ ผมล่ะ งุนงง งงงวย และปวดหัวกับผู้หญิงอย่างเช่นคุณจริงๆ เลยแค่พูดความจริงออกมามัน...” ภานุสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด และเธอเองก็กำลังแย้มยิ้มรอรับฟังคำพูด ที่ภานุจงใจจะทิ้งเอาไว้ให้มันขาดหายไปจากประโยคท่อนสุดท้าย
“...จะเป็นอะไรมากไหม”
“ฉันคิดว่าคุณจะพูดว่า ...มันจะตายไหมเสียอีก”
“ผมก็อยากจะพูดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ผมเห็นรอยยิ้มอันน่ารักของคุณแล้วเลยพูดมันไม่ออก” เธอยังคงยิ้มแย้มรอรับคำพูดล้อเล่นของภานุอยู่เช่นเดิม
“ฉันจะไม่ตอบรับคำถามของคุณหรอกนะคะ คุณจะมีชื่อหลอกๆ ว่า ภานุ หรือมีชื่อจริงว่า วรเชษฐ์ มันก็เป็นเรื่องของคุณ พวกเรามาพบปะเจอะเจอกันที่โรงละครผีสิงแห่งนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เล่าเรื่องจริง ผสมกันกับเรื่องเท็จ กันทุกคนอยู่แล้ว แม้แต่กับคุณภานุเองด้วย จริงใช่ไหมล่ะค่ะ”
“ผมไม่ได้คิดจะพูดโกหกอะไรเลยนะครับ เพียงแต่ผมแค่ยังไม่ได้มีโอกาสพูดและโอกาสอธิบาย เรื่องที่ผมรับรู้มาก่อนเลยก็เท่านั้นเอง”
“มันก็เหมือนกันล่ะคะ ไม่พูด ไม่อธิบาย มันก็ถือว่าเป็นคำลวง คำโกหกได้เหมือนกัน”
“ตกลงครับ พวกเรามาพูดเรื่องจริงกันเลยดีกว่า เอาแบบไม่มีการปิดบัง ซ่อนเร้น และห้ามคิดโกหกโดยเด็ดขาด”
“มันจะดีหรือ” เธอยังคงแย้มยิ้มล้อเล่นอยู่เช่นเดิม
“เป็นผมคิดไปเอง คนเดียวหรือเปล่าครับ คุณเกดไม่เห็นจะทุกข์ร้อน อะไรกับใครเขาเลย”
“เอาเป็นว่าคุณภานุ ลองไปพูดประโยคแบบเดียวกันนี้ กันกับทุกๆ คน หากพวกเขาทุกคนตอบตกลงยอมพูดความจริง ฉันเองก็จะยินยอมพูดความจริงด้วยเช่นเดียวกัน”
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะครับ” ภานุเวลาแกล้งโง่เขลาหรือไร้เดียงสา แววตาและท่าทางจะแสดงออกมาได้อย่างแนบเนียนมาก หรือแทบจะจับพิรุธอะไรไม่ได้เลย
“เอาเป็นว่าทุกๆ คน ด้านนอกต่างทำท่าทางให้น่าสงสัย และมีปมปริศนาให้ชวนน่าสงสัย หากตัดท่าทางอันหวาดกลัวผีหรือวิญญาณอันแปลกๆ ของพวกเขาออกไป”
“อย่างไรครับ” ภานุยังคงทำท่าทางไร้เดียงสาอยู่เช่นเดิม
“เอาเป็นว่าพวกเราสองคนมาลองเล่นพนัน อะไรกันเล่นสนุกๆ กันดูไหมล่ะค่ะ” เธอแย้มยิ้มรับท่าทางอันกำลังแกล้งไร้เดียงสาของภานุออกไปตรงๆ อย่างผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมกลโกงในระดับพอฟัดพอเหวี่ยงที่เท่าเทียมกัน
“ฮ่า ฮ่า....ๆๆ” การหัวเราะเยาะอันแสดงถึงตัวตนอีกด้านหนึ่งที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ และมันก็ไม่ได้ใกล้เคียงกันกับท่าทางอันไร้เดียงสาอยู่อีกต่อไป
“ก็ได้ ว่ามาเลยครับ การพนันแบบไหน ผมยินดีจะลองรับเล่นดู แต่ขอให้มันสนุกหน่อยนะครับ”
“ฉันไม่รับรองเรื่องความสนุก แต่ฉันรับรองได้ถึงรางวัลที่คุณเองอาจที่จะได้รับ หากคุณสามารถที่จะชนะพนันของฉันได้” ภานุแย้มยิ้มอย่างนึกดีใจ ถึงแม้ที่จะยังไม่รับรู้เลยว่ารางวัลนั้นคืออะไรกันแน่ก็ตาม
“ว่ามาเลย เราจะพนันเรื่องอะไรกัน”
“คุณจะไม่ลองถามถึงเรื่องรางวัลดูก่อนเลยหรือค่ะ”
“ก็ได้รางวัลคืออะไร”
“ความจริงทุกอย่าง ทุกเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับตัวฉันเป็นไงบ้างล่ะค่ะ” ภานุแย้มยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่หากคุณภานุเป็นฝ่ายพ่ายแพ้พนัน คุณต้อง...”
“ผมเองก็จะยินยอมเล่าเรื่องจริง ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวผมเอง โดยไม่คิดที่จะปิดบัง พอใจไหมครับ” เธอแย้มยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะบอกมา พวกเราจะลองพนันเรื่องอะไรกัน” ภานุจับจ้องมองเธอตรงๆ ผ่านแสงสว่างจากเทียนไขที่เขาถือเอาไว้ในฝามือเพียงข้างเดียว
“ข้างนอกห้องนี้ มีบุคคลแปลกหน้าที่พวกเรา ไม่เคยรู้จักกับพวกเขามาก่อน อยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าคน พวกเราน่าจะมาลองคาดเดากันเล่นๆ ว่าแต่ละคน ทำงานอะไร และมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์จริงๆ คืออะไร กันแน่ดีไหมล่ะค่ะ”
“โอ้โฮ..คุณไม่คิดว่ามันจะยากเกินไปหน่อยหรือครับ หากให้คาดเดาเรื่องอาชีพการงาน ผมเองก็พอที่จะเดาได้ถูกต้องทั้งหมด แต่ถ้าจะให้คาดเดาเรื่องจุดประสงค์ของแต่ละคนด้วยแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย”
“ฉันเองก็มีความมั่นใจเรื่องอาชีพของทุกเช่นกัน ดังนั้นพวกเรามาลองตัดสินแพ้ ชนะ กันด้วยเรื่องจุดประสงค์การมาของแต่ละคนจะดีกว่า”
“ตกลงครับ” เธอหยิบกระดาษพร้อมปากกาจากกระเป๋าสะพาย ส่งให้กับภานุเพื่อเขียนคำตอบ
“คุณห้ามแอบดูคำตอบของผมนะครับ” ภานุพูดล้อเล่นก่อนที่จะก้าวเดินตรงไปยังเก้าอี้ไม้เก่าๆ ข้างๆ กันกับเตียงนอนสี่เสาที่เธอกำลังนั่งเหยียดเท้าจับจ้องมองอยู่ด้วย เวลาผ่านไปห้านาทีโดยประมาณ ภานุก็ก้าวเดินกลับหลังหันคืนมาพร้อมกันกับเศษกระดาษคำตอบในฝามือ
“ของคุณเขียนเสร็จหรือยัง” ภานุตั้งคำถาม อย่างกับกำลังถามหาขนมหรือของเล่น
“ฉันเขียนเสร็จนานแล้ว คุณส่งกระดาษคำตอบของคุณมาให้ฉัน แล้วคุณก็เอากระดาษคำตอบของฉันไป” ภานุแย้มยิ้มล้อเล่นแต่ในมือกับมีเศษกระดาษคำตอบชิ้นเล็กๆ ตระเตรียมพร้อมที่จะยื่นมันส่งมาให้กับเธอด้วยเช่นกัน
“ฉันหวังว่ามันคงจะไม่ใช่กระดาษคำตอบเปล่าๆ หรอกนะคะ” ภานุหุบรอยยิ้มลงฉับพลัน และทำใบหน้าบึ่งตึง อย่างกำลังแกล้งโกรธหรือโมโหอยู่
“ผมก็กลัวความพ่ายแพ้เป็นเหมือนกันนะครับ คุณส่งกระดาษคำตอบของคุณมาให้ผมได้แล้ว” เธอกับภานุ แลกกระดาษคำตอบกันไปอ่าน ไม่นานภานุก็ก้าวเดินตรงมานั่งลงที่ข้างเตียงฝั่งเดียวกันกับเธอ
“คำตอบของผม เหมือนกับของคุณทั้งหมดเลย สงสัยว่าพวกเราคงต้องเสมอกันเสียแล้วล่ะครับ”
“คุณแน่ใจในคำตอบของคุณเอง มากแค่ไหนกัน” เธอแกล้งตั้งคำถามกลับคืนไป
“แล้วคุณเองล่ะ มั่นใจในคำตอบมากแค่ไหนกัน” ภานุเองแกล้งตั้งคำถามกลับคืนมาเช่นกัน
“ของฉันน่าจะ 70 ต่อ 30” เธอโกหก
“ของผม 80 ต่อ 20” ภานุเองก็น่าจะโกหกเช่นกัน
“หากว่าพวกเราออกไปถามพวกเขาตรงๆ คุณคิดว่าพวกเขาจะยินยอมสารภาพความจริงออกมาตรงๆ ไหมค่ะ”
“ไม่มีเหตุผลอะไร จำเป็นที่ใครจะยินยอมบอกเล่าความจริง ยกเว้นแต่มีเหตุการณ์จำเป็นมาบีบบังคับให้พวกเขา ยอมสารภาพความจริงออกมา เช่น...” ภานุจับจ้องมองไปรอบๆ ห้องอันว่างเปล่าและมืดมิด อย่างกำลังรอคอยอะไรบางสิ่งบางอย่าง
“อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น” เธอเองก็มีความรู้สึก เช่นเดียวกันกับภานุ เธอรู้สึกได้ว่าอีกไม่นานจะต้องมีเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายบางอย่าง ต้องบังเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
“คุณไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยรึไง คุณภานุ”
“ใครบ้างที่จะไม่กลัว ผมเดาว่าคุณเองก็ไม่แตกต่างจากผมเช่นกัน”
“ฉันยอมรับว่าฉันกลัว และฉันก็มีความรู้สึกบางอย่างบอกกับฉันว่า ฉันเองจะปลอดภัยดีด้วยเช่นเดียวกัน” ภานุจับจ้องมองเธอด้วยแววตาอันเป็นปริศนา มันมีทั้งความสงสัย และประหลาดใจเจือปนอยู่ด้วย
“ผมเองก็มีความรู้สึกคล้ายๆ กันกับคุณเกดด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกว่าผมเองจะปลอดภัยดีมากๆ เหมือนกันกับว่าผมเองกำลังเดินทางกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน มาหาครอบครัวของผม และพวกเราก็ต่างกำลังพากันดีอกดีใจ และตระเตรียมงานเฉลิมฉลองตอนรับผมกลับคืนมายังบ้านเกิดอยู่” เป็นเธอเองที่นึกประหลาดใจเป็นสองเท่า มากกว่าแววตาอันเป็นปริศนาของภานุเมื่อสักครู่นี้ที่ได้จับจ้องมองเธอ ระหว่างที่แววตาของเธอและของภานุกำลังฉายแววสบผสานกันอย่างเป็นปริศนาด้วยกันทั้งคู่ น้ำเสียงใสๆ ของบุคคลด้านนอกก็พากันดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะอย่างพอดิบพอดี
...................................
“คุณภานุจ้าวข๊า คุณภานุไปอยู่เสียที่ไหนค่ะ” มันคือน้ำเสียงของวัยรุ่นวัยใส นามว่าเมล์
“คุณพี่เกดข๊า คุณพี่เกดไปอยู่เสียที่ไหนค่ะ” และมันก็คือน้ำเสียงของวัยรุ่นวัยใสอีกคนนามว่าดา ส่วนน้ำเสียงของใบเฟิร์น โอมและศักดิ์ เธอและภานุกับไม่ได้ยินน้ำเสียงนั้นเลย
“คุณภานุ คุณช่วยลุกเดินออกไปเปิดประตูรับพวกเธอเข้ามาหน่อยสิค่ะ” เธอขอร้องและออกคำสั่ง ถึงแม้ว่าภานุจะไม่คอยอยากที่จะลุกขึ้นยืนมากนัก สุดท้ายภานุก็ก้าวเดินตรงไปยังประตูทางเข้าออกแล้วเปิดมันออกกว้าง เสียงแสดงความดีใจของสองสาววัยรุ่นวัยใสดังขึ้น
“ว้าย!! คุณภานุจริงๆ ด้วย เมล์ดีใจจริงๆ เลย”
“ดากับเมล์ ตามหาคุณภานุเป็นชั่วโมงเลยนะคะ”
“ผมกับคุณเกด เข้ามาอยู่ในห้องนี้ เพียงแค่สิบกว่านาทีเท่านั้นเองนะครับ” สองวัยรุ่นวัยใสทำท่าทางนึกประหลาดใจ แต่ภานุเองกับไม่ได้คิดที่จะให้ความสนใจหรือสังเกตเห็นแววตาอันเป็นปริศนาทั้งสองคู่นั้นเลย ภานุกลับหลังหันอย่างนึกเบื่อหน่ายพร้อมก้าวเดินตรงกลับคืนมานั่งลงยังปลายเตียงตรงจุดเดิมที่เพิ่งลุกก้าวเดินจากไป
“น่าโมโห ยัย...ป้าใบเฟิร์นนั้นจริงๆ ยัยป้านั้น คงใกล้บ้าเข้าไปทุกทีแล้วจริงๆ”
“จริงด้วยจ๊ะเมล์ ยัยป้านั้นต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย ดา กลั๊ว กลัว!!”
“ทำไมหรือจ๊ะ” สองวัยรุ่นวัยใสก้าวเดินตรงเข้ามาถึงยังจุดข้างหัวเตียง พร้อมกันกับวางเชิงเทียนเอาไว้ที่ โต๊ะไม้เก่าๆ แสงสว่างอันสลัวๆ เพิ่มปริมาณมากยิ่งขึ้นอีกเป็นทบเท่าทวีคูณจากเทียนไขของสองสาวทั้งสองคน ก่อนที่จะพากันปีนป่ายขึ้นมานอนนิ่งๆ บนเตียงเคียงข้างด้วยกันกับเธอ อย่างเช่นคนที่เริ่มที่จะสนิทสนมกันเป็นอย่างดีมากยิ่งขึ้น
“ก็ยัยป้านั้นสิคะ ร้องกรี๊ดๆ สติแตกไปอีกแล้ว ล่ะค่ะคุณพี่เกด เมล์ล่ะ กลั๊ว กลัว!!” เมล์เริ่มขยับแขนขาสั่นๆ อย่างนึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่เธอเพิ่งที่จะได้พบปะเจอะเจอมา
“ยัยป้านั้นบอกว่ามีคนพยายามที่จะฆ่าเธอคะ ดาล่ะ ไม่อยากจะเชื่อ ยัยป้านั้นเลยสักนิด เธอเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ คะ”
“จริงด้วยคะ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าพวกเรามากันแค่เจ็ดคน แล้วใครกันที่อยากจะคิดฆ่า ยัยป้าสติแตกนั้น จริงไหมค่ะ” เธอกับภานุขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัย และอย่างอยากที่จะติดตามสืบค้นหาคำตอบ จึงต่างรอคอยรับฟังและให้ความสนใจสองสาววัยรุ่นวัยใสเพิ่มมากขึ้น
“เล่ารายละเอียดให้พี่ฟังเพิ่มอีกสักหน่อยได้ไหมจ๊ะ” เมล์พยักหน้าเป็นการตอบรับ
“ได้ค่ะ เมล์จะเป็นคนเล่าเรื่องเอง” ภานุเริ่มหมุนตัวหรือขยับตัวให้อยู่ในท่าทางที่สบายๆ มากขึ้นแล้วจึงเริ่มขยับตัวให้แผ่นหลังไปพิงนิ่งๆ อยู่ที่ข้างเสาเตียงตรงปลายเท้าของเธอ เพื่อรอคอยรับฟังภาพเหตุการณ์ที่สองสาววัยรุ่นวัยใสจะเริ่มเล่าเรื่องราวให้ฟัง
...ภายหลังจากคุณภานุและคุณพี่เกดตัวหายไป พวกเราทั้งห้าคนก็ต่างอยากที่จะลองติดตามหากันดู พวกเราสุ่มเลือกห้องกัน ยัยป้าใบเฟิร์นเข้ามาหาภายในห้องนี้ก่อนเลยแต่ก็ไม่พบเจอะเจอกับอะไร...
“คุณพี่เกดลองคิดดูนะคะว่า ยัยป้านั้นยังสติดี อย่างคนธรรมดาเขาดีอยู่หรือเปล่า ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณพี่เกดกับคุณภานุ อยู่กันภายในห้องนี้จริงๆ ยัยป้านั้นกลับออกไปบอกกับพวกเราทุกคนว่าไม่พบใครอยู่ภายในห้องนี้เลย พวกเราก็บ้าจี้พากันหลงเชื่อเธอ แล้วพากันออกไปติดตามค้นหากันในห้องอื่นๆ ต่อไป” เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจและเห็นด้วย แล้วรอรับฟังเรื่องราวต่อไป
...เหตุการณ์บ้าเลือดของยัยป้านั้น เกิดขึ้นในห้องฝั่งตรงข้ามห้องนี้ล่ะค่ะ ยัยป้าใบเฟิร์นต้องเข้าไปสำรวจห้องนั้นเพียงคนเดียวอีกครั้งเช่นเคย พวกเราก็ลองไปสำรวจห้องติดๆ กัน เวลาผ่านไปประมาณสิบกว่านาที พวกเราสี่คนก็พากันกลับออกมา แต่ยัยป้านั้นกับยังคงเงียบไม่ยอมออกมาจากภายในห้องเสียที พวกเราเลยพากันเข้าไปติดตามค้นหาเธอกัน...
“คุณพี่เกดรู้ไหมค่ะ ว่ายัยป้าบ้าเลือดนั้นกำลังทำอะไรอยู่” เธอส่ายหน้าอย่างไม่อยากที่จะคาดเดาสิ่งใด เช่นเดียวกันกับภานุ ต่างจับจ้องมองอย่างรอคอยรับฟังเรื่องราวต่อไป
“ยัยป้านั้น พยายามจะฆ่าตัวตายค่ะ” เธอกับภานุสะดุ้งตื่นตกใจกันขึ้นมาเล็กน้อยกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินได้ฟังกันมาแต่ก็ต่างเก็บอาการเอาไว้อย่างมิดชิดแล้วรอรับฟังเรื่องราวต่อไป
...ยัยป้านั้นเอามีดคัตเตอร์มาจากไหนก็ไม่มีใครรู้ได้ อาจที่จะเอาออกมาจากภายในกระเป๋าสะพายของเธอเองก็ได้ แล้วกรีดเข้าที่ข้อมือของตัวเธอเองจนเลือดสีแดงไหลหยดเป็นก้อนๆ เต็มพื้นภายในห้องนั้นไปหมด พอคุณโอมเห็นเท่านั้นล่ะค่ะ รีบตรงดิ่งเข้าไปจะช่วยเหลือห้ามเลือดให้ แต่ยัยป้าบ้าเลือดนั้นกับสนองคุณตอบกลับด้วยการตวัดมีดคัตเตอร์ที่อยู่ในฝามือฟันฉับเข้าที่หน้าท้องของคุณโอมทันที เลือดไหลเต็มเสื้อผ้าไปหมด ดีทีแผลไม่ได้ลึกมากจึงยังคงพอที่จะอดทนอยู่ได้ แต่ก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวมากพอสมควรเลยล่ะค่ะ เมล์กับดาอดรนทนดูเหตุการณ์อันน่าสยดสยองต่อไปไม่ได้ไม่ไหวอีกต่อไป จึงรีบพากันวิ่งหนีออกมารอคอยอยู่ด้านนอกห้อง ต่อมาอีกประมาณห้าหรือหกนาที คุณศักดิ์ก็อุ้ม ยัยป้าบ้าเลือดออกมาจากภายในห้องในสภาพอันหมดสติ แล้วจึงช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่ก็อาจที่จะอยู่ได้อีกเพียงไม่นานหรอกนะคะ เพราะไม่มียาทาหรือยารักษาบาดแผลอะไรเลย ถ้าไม่พากันออกไปหาหมอในเร็วๆ วันนี้ ทั้งยัยป้าบ้าเลือด ทั้งคุณโอมผู้อ่อนโยนของพวกเราคงอดทนต่อไปได้อีกไม่ไหนอย่างแน่ๆ เลยล่ะค่ะ คุณพี่เกด...
“เดียวพี่ จะลองออกไปดูพวกเขาหน่อยแล้วกัน” เธอลุกขึ้นจากท่านั่งเหยียดเท้าบนเตียง พร้อมที่จะก้าวเดินออกไปหยิบเอาเชิงเทียนบนโต๊ะมาถือเอาไว้ แต่ภานุกลับหยิบนำมันเอามายื่นส่งให้เธอตรงหน้าของเธอก่อนแล้ว
“ขอบคุณ” เธอรับเชิงเทียนมาเอาไว้ในฝามือพร้อมที่จะก้าวเดินออกจากห้องไป
“รอก่อนผมจะไปด้วย” ภานุก้าวเดินติดตามหลังเธอออกมา
“คุณพี่ทั้งสองคนรอเมล์กับดาด้วย” ทั้งสองสาววัยรุ่นวัยใสรีบลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้วพากันไปหยิบเอาเชิงเทียนที่โต๊ะข้างเตียงและวิ่งติดตามภานุออกมาจากภายในห้องอย่างพร้อมเพียงกัน
...................................
สภาพภายในห้องโถงด้านนอก...
“..สัง-เวย-เลือด-แขน-ขา-แล-ชี-วิต ...สัง-เวย-เลือด-แขน-ขา-แล-ชี-วิต …สัง-เวย-เลือด-แขน-ขา-แล-ชี-วิต “ คุณหลวงวัตรฯ จับจ้องมองใบเฟิร์น หญิงสาววิกลจริตผู้ถูกมนต์ตราฝังจิตแลฝังร่าง เข้าควบคุ้มจิตใจ จนไม่อาจที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อีกต่อไป สิ่งที่ทำให้มันเกิดขึ้นมันน่าที่จะเป็นฝีมือของอ้ายจันบ่าวคนสนิทของเขาอย่างแน่นอน เพราะในเวลานี้ตบะแลฌานอันแก่กล้าของเขาก็เริ่มที่จะกลับคืนมาบ้างแล้ว แม้มันจะยังไม่สมบูรณ์ดีเต็มหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็จะพอที่จะช่วยเหลือการะเกดหญิงสาวคนรักเอาไว้ได้อยู่บ้าง
“อ้ายจันเอ็งอยู่ไหน ออกมาหาข้า บัดเดี๋ยวนี้” หากเมื่อยามมีชีวิตอยู่อย่างเช่นมนุษย์ธรรมดา อ้ายจันจักต้องรีบวิ่งออกมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเขาแล้ว แต่ไม่ใช่ในยามที่เวลาเปลี่ยนแปลงมาจนยาวนานมากกว่าหนึ่งร้อยกว่าปีเช่นนี้ มันเงียบเกินกว่าที่อ้ายจันจักได้ยินน้ำเสียงของเขา มันคงอาจที่จะเกิดอะไรขึ้นกับอ้ายจันอยู่เป็นแน่ ทำไมมันถึงยังไม่ตอบรับคำสั่งของเขาบ้างเลย
“คุณหลวงวัตรฯ ขอรับช่วยเหลืออ้ายจันด้วย พวกมันจักเอาตัวอ้ายจันไปแล้วขอรับ คุณหลวงฯ” ในที่สุดเขาก็สามารถที่จะได้ยินน้ำเสียงของอ้ายจันจนได้ แต่มันกลับไม่ใช่น้ำเสียงที่เขาอยากจะได้ยินเลยแม้แต่สักนิด อ้ายจันมันกำลังตกอยู่ในภาวการณ์ที่อันตราย จากอะไรบางอย่างที่มีพลังและอำนาจที่เหนือกว่ามันเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
“มันเป็นใครกันอ้ายจัน มันเป็นใครกัน ที่บังอาจมาทำกับเอ็งเยื้องนั้นกัน” ไม่มีเสียงตอบรับจากอ้ายจัน แต่กลับปรากฏดวงตาสีแดงกล่ำนับร้อยๆ คู่ ปรากฏขึ้นโดยรอบห้องโถงอันมืดมิดล้อมรอบข้างกายของคุณหลวงวัตรฯ เอาไว้
“อย่า-ได้-ยุ่ง-มัน-ไม่-ใช่-ธุ-ระ-กง-การ-ของ-ท่าน” ใบหน้าสีดำใหญ่เกือบครึ่งห้องโถงพร้อมดวงตาสีแดงกล่ำ ออกคำสั่งกับคุณหลวงวัตรฯ แล้วจึงจืดจางหายไปในเวลาต่อมา คุณหลวงวัตรฯ ได้แต่อ้าปาก ตาค้าง เพราะเกรงกลัวต่อพลังอำนาจของผู้ที่มีพละกำลังอันเหนือกว่าต้นเองเช่นกัน
“มันเป็นใครกันแน่ ทำไมมันถึงได้น่าหวาดกลัวยิ่งนัก แล้วนี้เขาจะปกป้องคุ้มครองการะเกดหญิงสาวคนรักของเขาได้เยื้องไรกัน” เขาจับจ้องมองไปยังการะเกด ยอดรักของเขาที่เพิ่งก้าวเดินออกมาจากห้องหอที่เขาตระเตรียมเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว อย่างนึกรักและเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัย
.................................
“คุณศักดิ์ค่ะ คุณโอมกับคุณใบเฟิร์น เป็นอย่างไรบ้างค่ะ” ศักดิ์ชายหนุ่มแข็งแรงและเป็นชายหนุ่มที่ทุกๆ คนสามารถที่จะพึ่งพาได้ในยามที่จำเป็น อย่างเช่นเดียวกันกับภานุทั้งสองคนมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน นั้นก็คือความเข้มแข็งและภาวะของผู้นำ
“คุณโอมผมพันแผลให้แล้วครับ แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เราต้องเย็บบาดแผล และใส่ยาฆ่าเชื้อ ไม่อย่างนั้นอาการอาจที่จะแย่ลงกว่านี้อีกได้” แล้วศักดิ์เองก็หันหน้าไปหาใบเฟิร์นที่นอนหมดสติอยู่ที่โซฟา พร้อมกันกับปนพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ เป็นประโยคซ้ำๆ กันหลายรอบ
“เธอน่าจะอาการหนักหนากว่า โอมมากมายครับ แถมพึมพำเพ้อเจ้ออะไรก็ไม่รู้ซ้ำๆ กันจนผมจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วครับ” ศักดิ์เอาฝามือเกาะกุมหน้าผากอย่างรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาจริงๆ
“..สัง-เวย-เลือด-แขน-ขา-แล-ชี-วิต ...สัง-เวย-เลือด-แขน-ขา-แล-ชี-วิต …สัง-เวย-เลือด-แขน-ขา-แล-ชี-วิต “
“คุณภานุดูสิค่ะ เป็นอย่างที่เมล์กับดา เล่าให้ฟังเลยใช่ไหมค่ะ ยัยป้านี้ เป็นบ้าไปแล้วจริงๆ พึมพำอะไรก็ไม่รู้น่าขนลุกชะมัด” ภานุก้าวเดินตรงเข้าไปสำรวจและจับจ้องมองอยู่อย่างใกล้ๆ อย่างนึกสงสัยผสมกันกับความแปลกใจและพยายามจะคิดค้นหาคำตอบไปด้วย
“เธอคงจะเพ้อเจ้อเพราะพิษไข้นะครับ พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยหาทางพาเธอไปหาหมอกัน วันนี้เราคงจะพาใครออกไปจากที่นี่ไม่ได้หรอกครับ ฝนข้างนอกมันตกหนักมากและสะพานก็ขาดอีกด้วย”
“ผมโกหกเรื่องสะพานมันขาดครับ” ศักดิ์เงยหน้าอันซีดเซียวขึ้นมาสารภาพความจริง
“ความจริงแล้วถึงสะพานมันไม่ได้ขาด แต่มันก็ถูกน้ำท่วมจนมิดไม่สามารถที่จะขับรถฝ่าออกไปได้อย่างแน่นอน แต่ในเวลาแบบนี้หากใครอยากที่จะเสี่ยงขับรถฝ่าออกไปผมก็ไม่คิดอยากที่จะห้ามหรอกนะครับ” ภายหลังจากพูดจบประโยคศักดิ์ก็ก้มหน้าเอาฝามือเกาะกุมหน้าผากเอาไว้เช่นเดิมอีกครั้ง
“พอบอกว่าสะพานมันไม่ขาด เมล์กับดา ก็ต่างพากันแอบหลงดีใจ แต่ทีไหนได้น้ำท่วมจนมิด แล้วมันจะแตกต่างอะไรจากสะพานขาดตรงไหน ใครอยากออกไปเสี่ยงตายก็เชิญนะคะ เมล์กับดาขออยู่ที่นี่จนเช้าก่อนแล้วกัน”
ในเวลานี้ คนป่วยและไม่สบายไม่ได้มีเพียงแค่ชายหนุ่มเพียงสองคน ยังมีหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่อาการสาหัสจำเป็นที่จะต้องได้รับยาและการรักษาที่ถูกต้อง เธอตัดสินใจที่จะก้าวเดินตรงออกไปจากห้องโถง ตรงไปยังบานประตูเบื้องหน้าเพื่อลงไปเอากระเป๋ารวมยายังท้ายรถยนต์คันเก่าของเธอ เพื่อนำมันเอากลับขึ้นมารักษาอาการบาดเจ็บของคนทั้งสาม ก่อนที่อาการบาดเจ็บจะเริ่มติดเชื้อมากจนเกินกว่าที่จะรักษาให้หายได้
“คุณพี่เกดจะไปไหนหรือค่ะ” สองสาววัยรุ่นวัยใสตะโกนเสียงดังถามขึ้น
“พี่จะลงไปเอากระเป๋ารวมยาที่ท้ายรถหน่อยนะ” สองสาวทำท่าทางสงสัย แต่ดูเหมือนจะพอคาดเดาได้ในเวลาต่อมา
“อย่าบอกนะคะว่าคุณพี่เกดเป็นหมอ...” ภานุ ศักดิ์ หรือแม้กระทั้งโอมที่ได้รับบาดเจ็บก็ต่างพากันหันหน้ามาจับจ้องมองเธอด้วยเช่นเดียวกัน เธอยิ้มรับและการพยักหน้าเป็นคำตอบ
“โอ้...พระเจ้าช่วยคุณพี่เกดเป็นหมอ มันช่างเป็นโชคดีของพวกเราจริงๆ” สองสาวลุกขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งเข้ามาสวมกอดเธอเอาไว้อย่างดีใจ
“ปล่อยพี่ได้แล้ว พี่ต้องรีบลงไปเอากระเป๋ารวมยาที่ท้ายรถ”
“ผมจะลงไปเป็นเพื่อนครับ” ภานุยิ้มแย้มรับอาสาแล้วก้าวเดินเข้ามาหาด้วยแววตาอันมีเลศนัย แล้วจึงกระซิบเบาๆ ข้างใบหูของเธอ
“ผมน่าจะเดาออกมาได้ตั้งนานแล้ว มีแต่พวก...หมอ...ผี... เท่านั้นแหละ ที่ไม่คิดจะเกรงกลัวคนตายหรือแม้กระทั่งผี วิญญาณและความมืดมิด จริงไหมครับ” เธอรู้สึกเจ็บใจ สุดท้ายแล้วภานุก็รับรู้จนได้ว่าเธอทำงานอะไร แต่เธอกับยังไม่สามารถที่จะรับรู้ได้เลยว่าภานุเองกำลังทำงานอะไรอยู่กันแน่
“คุณจะไม่บอกฉันจริงๆ หรือค่ะ ว่าคุณเองกำลังทำงานอะไรกันแน่” ภานุส่ายหน้าและแย้มยิ้ม พร้อมก้าวออกเดินนำหน้า ออกจากห้องโถงรูปทรงกลมออกประตูไป ส่วนเธอเองก็รีบก้าวเดินติดตามภานุออกไปอย่างติดๆ
“การะเกด รอพี่ด้วย” แล้วคุณหลวงวัตรฯ ก็เริ่มก้าวเดินออกติดตามไปคุ้มครองด้วยเช่นเดียวกัน
.......................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ