ศพแยกส่วน ณ โรงละครผีสิง

7.3

เขียนโดย RATH

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16.12 น.

  11 chapter
  16 วิจารณ์
  19.51K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 6 สังเวย แขนแลขา เลือดแลเนื้อ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก


 







บทที่ 6
สังเวย แขนแลขา เลือดแลเนื้อ
 
บทบันทึกความหลังครั้งเก่าก่อน หน้าที่สอง
บทบันทึกมนต์ตราฝังจิตแลฝังร่าง บทแรก สังเวย แขนแลขา เลือดแลเนื้อ
             ศาสตร์แขนงมนต์ดำบทนี้ ข้ามิคิดอยากที่จักสนใจศึกษาเล่าเรียนจนแตกฉานในศาสตร์มืดวิชามนต์ดำ สาเหตุอาจที่จะเป็นเพราะพระอาจารย์เยนทรนครี ท่านได้สั่งห้ามข้าเอาไว้อย่างนักหนามันคือศาสตร์มืดแห่งผีร้าย วิญญาณร้าย ผู้ศึกษาเล่าเรียนมนต์ดำบทนี้ แลนำศาสตร์แขนงนี้เอาไปใช้ จักมิมีหนทางหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมไปได้ จักต้องทนทุกข์ทรมานนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ข้าจึงปิดผนึกมันเอาไว้ภายในแท่งศิวลึงค์ มิคิดอยากที่จักศึกษาเล่าเรียนมันอีกต่อไป และมิคิดต้องการอยากที่จักให้ผู้ใดได้พบปะเจอะเจอแลศึกษาเล่าเรียนมนต์ดำบทนี้เช่นกัน
             บทบริกรรมคาถา...สังเวย แขนแลขา เลือดแลเนื้อ คาถาในบันทึกใบลานของพระอาจารย์ฯ ของข้าจักเป็นภาษาของชนชาติขอมโบรานทั้งสิ้น ข้าจึงได้ทดลองถอดบทบริกรรมคาถาออกมาและจดบันทึกมันเอาไว้ มันจึงมีเนื้อความเป็นเยื้องนี้แล
“สังเวยเลือดแขนขาแลชีวิต           ร่ายสถิตมนต์ดำกลับคืนสู่ร่าง
ชโลมเลือดทั่วลึงค์สำแดงฤทธิ์         ปลุกดวงจิตกลับคืนสู่นิรันดร์”
จบบันทึกใบลานบทบริกรรมคาถา บทมนต์ดำ สังเวย แขนแลขา เลือดแลเนื้อ หน้าที่สอง 
หลวงวัตรบดินทร...ผู้ถอดบทบริกรรมถาคา
 
.......................................
                   ณ เหตุการณ์ปัจจุบัน...
                   “อ้ายจันจ้าวจงฟังข้าก่อน จ้าวอย่าได้คิดเข่นฆ่าเอาชีวิตของพวกเขา ข้ามิได้ต้องการเยื้องนั้นเลยสักนิด”  คุณหลวงวัตรฯ ตะโกนกึกก้องกังวานจนสุดน้ำเสียงเท่าที่จะสามารถกระทำได้ติดตามแผ่นหลังสีดำสลัวๆ ของอ้ายจันบ่าวคนสนิทไป แต่เสียงตะโกนของคุณหลวงวัตรฯ กับไม่แตกต่างอะไรจากสายลมพัดพาอันเย็นยะเยือก ที่ลอยล้อมรอบอยู่เคียงข้างร่างกายอันลางเรือนเหมือนดังกลุ่มหมอกควัน อันมีลักษณะเหมือนดังมีกำแพงเนื้อบางใสดังเช่นประกายของลำแสงของเพชรขวางกั้นอยู่โดยรอบอาณาบริเวณ ที่ไม่สามารถจะใช้ ค้อนนำเอามาทุบ เหล็กแหลมนำเอามาทิ่มแทงให้มันแตกสลายออกจากกันได้ เพราะมันคือกำแพงแห่งเวทย์มนต์ กำแพงแห่งวิบากกรรม ที่จะต้องใช้เวทย์มนต์หรือศาสตร์มืดมนต์ดำอย่างเดียวกันเท่านั้น ถึงจะสามารถที่จะทำลายกำแพงอันแข็งแกร่งที่ล้อมรอบอยู่ให้มันแตกสะลายออกจากกันได้
             “ข้าจะทำเยื้องไรดี หรือว่าบทบริกรรมคาถาสังเวย แขนแลขา เลือดแลเนื้อ จักต้องกลับคืนอีกครั้งจริงๆ โธ่!!...อ้ายจัน จ้าวจักก่อเวรแลสร้างกรรม ไปอีกนานสักเท่าไรกันถึงจะเพียงพอ” คุณหลวงวัตรฯ ได้แต่นึกสงสารและเห็นอกเห็นใจบ่าวคนสนิทอย่างเจ็บปวดไปจนถึงสุดขั้วหัวใจ ซึ่งเพลาอีกไม่นานมากมายนักคุณหลวงวัตรฯ ก็จักได้อยู่เป็นพยานรู้เห็น อ้ายจันมันเริ่มต้นที่จักเข่นฆ่าผู้คนอื่นอีกอย่างมากมาย ทั้งหมดนั้นก็เพราะคำว่า...จงรักภักดีและความซื่อสัตย์... ที่มีให้กับตนเองเพียงผู้เดียวเท่านั้น หากไม่เป็นเพราะตบะแลฌานเริ่มที่จะเสื่อมสะลายจืดจางหายไป อ้ายจันก็คงที่จะไม่คิดที่จะเข่นฆ่าผู้ใดเพิ่มขึ้นอีกและ คนที่จะต้องถูกฆ่าตายอาจจะร่วมถึงแม่นางการะเกดอันเป็นยอดรัก ยอดดวงใจของคุณหลวงวัตรฯ ด้วยเช่นกัน
            “อ้ายจันเอ็งจะบ้าไปถึงไหนกัน  อ้ายจันจ้าวจักเข่นฆ่าแม้กระทั้ง แม่นางการะเกดอันเป็นยอดรักของข้าด้วยจริงๆ รึ เหตุใดจ้าวถึงคิดเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ไม่ออกกัน...ทำไม !! มันเป็นเพราะสิ่งใดกันแน่ ทำไมอ้ายจันมันถึงได้เป็นคนเยื้องนี้ไปได้ หรือว่ามันจักต้องมนต์มืดแห่งศิวลึงค์ เข้าควบคุมจิตใจเอาไว้จนหมดสิ้นแล้ว ในเพลาเยื้องนี้อ้ายจันมันถึงได้เป็นเพียงแค่ผีร้าย และวิญญาณร้ายเท่านั้น จริงอย่างเช่นที่ท่านพระอาจารย์ฯ ได้กล่าวเอาไว้มิมีผิดเพี้ยนเลย อ้ายจันถูกควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้ด้วยศาสตร์มืดมนต์ดำจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ ” คุณหลวงวัตรฯ ก้าวเดินออกติดตามแม่นางการะเกดและสมาชิกอีกหกคน อย่างหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงพละกำลังทั้งกายและจิตใจ เพราะกำลังคิดที่จะพาหนทางช่วยเหลือไม่ให้ใครทั้งเจ็บคนต้องถูกอ้ายจันนำพาตัวเอาไปเข่นฆ่าเพื่อสังเวยเลือดเนื้อต่อแท่งศิวลึงค์ แม้ในยามนี้คุณหลวงวัตรฯ จะหมดสิ้นหนทางที่จะช่วยเหลือสิ่งใดแล้วก็ตามที แต่ด้วยหัวใจที่ยังคงจงรักแลภักดี ที่มีให้ต่อแม่นางการะเกดจึงยังคงพยายามที่จะคิดหาหนทางอยู่ต่อไป
            “คุณภานุข๊า เมื่อไหร่พวกเราถึงจะไปถึงห้องพักกันสักทีล่ะค่ะ เมล์กับดา ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้วนะคะ หิวก็หิว อยากที่จะเข้าห้องน้ำก็อยาก...แต่เอ๊ะ!! ที่นี่มันมีห้องน้ำด้วยหรือเปล่าล่ะค่ะ”
            “ยายเมล์อย่าถามคุณภานุ เป็นลางร้ายอย่างนั้นสิ ดาเองยังไม่กล้าที่จะถามเลย กลัวจะไม่มีห้องน้ำขึ้นมาจริงๆ ...อย่าถามๆ เชื่อดา ไปถึงห้องพักพวกเราก็รู้กันเอง จริงไหมค่ะ คุณภานุ”
            “หึ หึ หึ” มันคือน้ำเสียงการตอบรับของภานุ ที่ทั้งสองสาววัยรุ่นวัยใสต้องคิดค้นและหาคำตอบกันเอาเอง ร่วมถึงตัวเธอเองด้วย ที่กำลังเริ่มที่จะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน สาเหตุอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศรอบข้างมันชวนที่จะให้ต้องหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ
            “คุณเกดพยายามเดินต่อไปอีกสักนิดเถอะนะครับ คงอีกไม่นานนักพวกเราก็น่าที่จะไปถึงห้องพักกันแล้ว” ศักดิ์ชายหนุ่มรูปหล่อที่กำลังเดินเป็นเพื่อน อยู่เคียงข้างด้วยกันกับเธอ พูดขึ้นเพื่อให้กำลังทั้งตัวเธอและเขาเอง และช่วยพยุงข้อศอกของเธอเอาไว้เมื่อเธอเริ่มที่จะสะดุดหกล้มในบ้างครั้ง
            “ใบเฟิร์น อยากที่จะกลับไปนอนในรถแล้วล่ะค่ะคุณภานุ ใบเฟิร์นเมื่อยล้าเต็มทีแล้วล่ะค่ะ ใบเฟิร์นก้าวเดินต่อไปไม่ไหวอีกแล้วจริงๆ โรงละครผีบ้าซาตานอะไรกันก็ไม่รู้ ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มีใครคิดแบบเดียวกันกับใบเฟิร์นบ้างค่ะ” ทุกคนต่างพากันเงียบเสียงลง ไม่มีใครกล้าที่จะปริปากตอบรับสิ่งใด อาจจะเป็นเพราะว่าทุกคนต่างก็มีความคิดเฉกเช่นเดียวกันกับใบเฟิร์นอยู่ด้วยก็ได้
            “คุณใบเฟิร์น อดทนเดินต่อไปอีกสักนิดเถอะนะครับ ผมจะช่วยพยุงคุณใบเฟิร์นเดินต่อไปเองครับ” โอมชายหนุ่มรูปหล่อผู้มีจิตใจอ่อนโยน ที่กำลังเก็บกักความหวาดกลัวเอาไว้ภายในจิตใจอย่างมิดชิด อาสาที่จะช่วยเหลือใบเฟิร์นอย่างสุภาพบุรุษหนุ่มผู้มีน้ำใจ เช่นเดียวกันกับศักดิ์ที่กำลังอาสาช่วยเหลือพยุงเธออยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
            “ขอบคุณค่ะคุณโอม คุณใจดีจังเลย” แล้วใบเฟิร์นก็ส่งฝามืออันเรี่ยวเล็กยื่นส่งไปให้กับโอมช่วยพยุงก้าวเดินเคียงข้างกันต่อไป เช่นเดียวกันกับเธอและภานุที่ต่างก็กำลังก้าวเดินอยู่ด้านหน้าและด้านหลังอย่างเป็นคู่ๆ เวลาเริ่มที่จะก้าวเดินผ่านเลยไปอีกสิบกว่านาทีต่อมา ทุกๆ คนก็ก้าวเดินกันมาจนถึงประตูห้องไม้สักอันเก่าแก่บานใหญ่อันเป็นจุดหมายปลายทาง ในการก้าวเดินขึ้นมาบันไดอันสกปรกอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปตายๆ กัน
.......................................
            “ถึงแล้วครับ น่าจะเป็นห้องนี้แหละครับ” ภานุยกเชิงเทียนขึ้นเหนือหน้าผาก แล้วจับจ้องมองตรงไปยังลูกปิดประตู ก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปสัมผัสกับมันเพียงเบาๆ เสียงบานประตูบานใหญ่ก็เปิดกว้างออกในชั่วพริบตาเดียว สองสาววัยรุ่นวัยใสปล่อยฝามือที่เกาะกุมแขนของภานุออกอย่างรู้สึกดีอกดีใจแลสุขใจ พร้อมพากันก้าวเดินหมุนตัวร้อยแปดสิบองศาอย่างเช่นคนกำลังเต้นรำอยู่ก็มิปาน
            “คุณภานุจ้าวข๊า มันช่างเป็นห้องที่สวยงามเสียยิ่งนักจ้าวค่ะ” ทั้งสองสาวพากันหมุนตัว ไปจนรอบๆ ห้องอย่างนึกสนุก จนหลงลืมความผิดปกติจากภายในห้องไปโดยสิ้นเชิง ยกเว้นก็แต่สาวแก่วัยใสนามว่าใบเฟิร์น อีกเช่นเคยที่ไม่เคยจะพลาดถึงความผิดปกติของสิ่งใดมาก่อนเลย ตลอดเวลาของการออกเดินทางมายังโรงละครผีสิงแห่งนี้ และในหลายๆ ชั่วโมงก่อนหน้านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
            “คุณภานุข๊า พวกเทียนไขในห้องนี้ ใครเป็นคนมาจุดทิ้งเอาไว้ค่ะ” ทุกคนพากันจับจ้องมองตรงไปยังภานุ อย่างเป็นตาเดียวกันอีกครั้ง แม้แต่สองสาววัยรุ่นวัยใสที่กำลังพาเต้นรำกันอย่างดีอกดีใจ ก็ต่างพากันวิ่งตรงกลับคืนเข้ามาเกาะกุมวงแขนของภานุเอาไว้อยู่เช่นเดิมอีกครั้ง
            “ว้าย!!ๆ จริงด้วยค่ะคุณภานุจ้าวข๊า เมล์กับดา ลืมไปเลยว่าโรงละครผีสิงแห่งนี้ มีแต่พวกเราเพียงแค่เจ็ดคนเท่านั้น แล้วใครมันจะมาจุดเทียนไข ทิ้งเอาไว้ให้กับพวกเรากันล่ะค่ะ”
            “คงจะเป็นนายแม้น นะครับ ก็คนที่มาจัดเตรียมห้องที่สะอาดสะอาดเอาไว้รอคอยตอนรับผมมาพักอย่างไงกันล่ะครับ”
            “แล้วตอนนี้นายแม้น แกไปอยู่เสียที่ไหนแล้วล่ะค่ะ” ใบเฟิร์นตั้งคำถามขึ้น แต่ฝามืออีกข้างก็ยังคงเกาะกุมแขนของโอมเอาไว้ มิได้ห่างกายอยู่เช่นเดิม
            “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แกคงจะกลับไปยังที่พักของแกแล้วกระมังครับ อย่าได้คิดสงสัยอะไร กันให้มากความกันเลย พวกเราพากันหาที่หลับนอน ที่พักผ่อนกันได้แล้วครับ” แม้ทุกๆ คนจะยังคงมีความรู้สึกนึกหวาดกลัวในสถานที่แห่งนี้กันอยู่บ้าง แต่ทุกคนก็ต่างพากันทำตามอย่างที่ ภานุแนะนำกันเป็นอย่างดี
            “เมล์กับดา ขอนอนห้องเดียวกันกับคุณภานุนะจ้าวค่ะ นะคะ”
            “หึ หึ หึ” ภานุได้แต่หัวเราะในลำคอเพียงเบาๆ สามครั้งอีกครั้ง และไม่คิดที่จะให้คำตอบกับสองสาววัยรุ่นวัยใสอยู่เช่นเดิม แต่ภานุกับหันวงหน้าอันหล่อเหลามาจับจ้องมองใบหน้าของเธอตรงๆ แทนพร้อมกันกับรอยแย้มยิ้มอันนึกสนุกและขี้เล่น
            “แล้วคุณเกดล่ะครับ คืนนี้ไม่คิดที่จะมานอนร่วมเตียงเดียวกับผมบ้างหรือครับ”
            “ไอ้ผู้ชายชีกอ” มันคือคำตอบในความคิดและแววตาของเธอ ที่จับจ้องมองภานุ อยู่ด้วยเช่นกัน แต่คำตอบที่เธอตอบภานุกลับไปก็คือ...
            “ไม่ล่ะคะ ฉันชอบนอนเงียบๆ คนเดียวมากกว่า...ออ...ทำไมคุณภานุไม่ลองชวนคุณใบเฟิร์นดูบ้างล่ะคะ ฉันคิดว่าเธอคงอยากที่จะตอบตกลงที่จะไปนอนเป็นเพื่อน ร่วมเตียงเดียวกันกับคุณอยู่ด้วยก็ได้” ทุกคนต่างพากันหันวงหน้าไปจับจ้อง มองใบหน้าของใบเฟิร์นอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง
            “ใบเฟิร์นตอบตกลงเลยค่ะ ไม่ต้องถามก็ได้ ขอบคุณ... คุณภานุมากเลยนะคะ คืนนี้ใบเฟิร์นคิดว่าจะต้องนอนคนเดียวเสียแล้ว ใบเฟิร์นรู้สึก กลั๊ว กลัว อ่ะค่ะ” จากที่พากันหันวงหน้าไปจับจ้องมองใบเฟิร์นในครั้งแรก ในเวลาอันรวดเร็วอย่างเท่าๆ กันทุกคนพากันหันวงหน้ามาจับจ้องมองหน้าภานุอีกครั้ง
            “หึ หึ หึ” ภานุหัวเราะแบบเดิมเป็นครั้งที่สาม โดยไม่คิดที่จะให้คำตอบกับใครอยู่เช่นเดิม
            “ว้าย!!ๆ เมล์กับดา ไม่มีวันจะนอนร่วมเตียงเดียวกันกับคุณป้าใบเฟิร์น หรอกนะคะ” แม้ภานุจะไม่คิดที่จะให้คำตอบกับใครมาก่อน แต่อย่างน้อยภานุก็มีกระบอกเสียงคอยติดตามตัว คอยที่จะให้คำตอบอยู่ข้างๆ โดยตลอดเวลาอยู่แล้ว
            “ฉันก็ไม่คิดอยากจะนอนร่วมเตียงเดียวกันกับนังเด็กแก่แดด แก่ลม อย่างพวกหล่อนๆ สองตัวหรอกนะย่ะ ถ้าไม่เป็นเพราะว่าไอ้โรงละครผีสิงบ้าๆ นี้แล้วล่ะก็” ใบเฟิร์นตะโกนใส่หน้าของวัยรุ่นวัยใสจนน้ำลายกระจาย พร้อมกับจับจ้องมองไปรอบๆ ห้องโถงเล็กๆ นั้นไปพร้อมกันไปด้วย และสภาพความวุ่นวายแบบเดิมๆ ของทั้งสามสาวต่างวัยก็กลับคืนมาอีกครั้ง การทะเลาะเบาะแว้งกัดจิกกันของทั้งสามสาวดำเนินต่อไปอยู่เช่นเดิมอย่างที่มันเคยเป็นมาก่อน และเป็นที่น่าเอือมระอาแก่ใจแม้แต่กลับเธอเองก็ตาม เมื่อได้โอกาสแทรกตัวหลบหลีกหนีออกมาจากทุกๆ คน เธอเริ่มก้าวเดินหลบเลี่ยงออกมาสำรวจสภาพภายในห้องโถงเล็กๆ ให้ทั่วๆ อีกครั้งโดยเริ่มจาก
..............................
            ประตูทางเข้าและออกมันเป็นไม้สักเนื้อแข็งอย่างดี สลักลวดลายไว้อย่างประณีตบรรจง ทุกๆ เส้นสายของลายสลัก สภาพโดยรอบของผนังกำแพงห้องโถงหินอ่อนจะมีเชิงเทียนตั้งประดับเอาไว้ห่างๆ กัน อยู่อย่างสม่ำเสมอ แลพอสมควรที่จะให้แสงสว่าง ไปจนทั่วทั้งห้องโถงขนาดเล็กได้อย่างชัดเจน สภาพโดยรอบของห้องโถงจะมีขนาดเล็กกว่ามากเมื่อเทียบกันกับสภาพของห้องโถงของโรงละครผีสิงด้านล่างที่ทุกคนเพิ่งจะพากันก้าวเดินทางจากมา สภาพเครื่องเรือนภายในห้องโถงเล็กๆ นี้จะประกอบไปด้วย โต๊ะ เก้าอี้ โซฟา อย่างกับในปราสาทหรือพระราชวังของขุนน้ำขุนนางอันเก่าแก่ในศตวรรษเก่าก่อนมิมีผิดเพี้ยน
            จากสภาพภายในห้องโถง เธอก้าวเดินตรงไปยังบานหน้าต่างที่เปิดออกสู่วิวทิวทัศน์ ภายนอกของโรงละครผีสิงแห่งนี้ สภาพแวดล้อมภายนอกยังคงความมืดมิดอยู่เช่นเดิม สายฝนก็ยังคงเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่เช่นเดิมด้วยเช่นกัน และที่เธอสามารถจับจ้องมองเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่ในเวลานี้ก็คือ แม่น้ำลำคลองอันมีลักษณะเป็นสีดำมืดมิดในยามค่ำคืน ที่ปราศจากแสงจากดวงจันทร์และดวงดาวบนฝากฟ้า แลมันช่างจับจ้องมองดูน่าหวาดกลัวเสียยิ่งนัก ภายหลังจากที่เธอหยุดยืนสงบนิ่งได้สักพัก เธอก็ก้าวเดินหลบหลีกออกมาจากบานหน้าต่างหินอ่อนเพื่อที่จะก้าวเดินออกไปสำรวจสภาพโดยรอบของห้องโถงให้ทั่วๆ อีกครั้ง
            ห้องโถงเล็กๆ ถูกออกแบบเอาไว้ในลักษณะอย่างรูปทรงเรขาคณิตทรงกลม ผนังแต่ละด้านจะมีบานประตูห้องเล็กๆ แอบหลบซ่อนเอาไว้และหนึ่งในห้องเล็กๆ เหล่านั้นก็น่าจะพอที่จะเป็นที่พักให้กับเธอได้ใช้หลับนอนในค่ำคืนนี้ เธอก้าวเดินตรงไปหยุดอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของห้องโถง พร้อมกับปิดเปลือกตาสงบนิ่งลงแล้วเริ่มหมุนตัวเป็นวงกลม วนไปตามทิศทางของเข็มนาฬิกาจนน่าจะครบห้ารอบโดยประมาณ เพราะเธอเริ่มที่จะรู้สึกเวียนศีรษะจักเป็นลมขึ้นมาแล้วจริงๆ นั้นเอง เธอจึงเริ่มเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้งเบื้องหน้าของเธอ จากการสุ่มปิดเปลือกตาเลือกห้อง เธอก็ได้พบปะเจอะเจอกับบานประตูเล็กๆ เธอก้าวเดินตรงเข้าไปพร้อมเอื้อมมือตรงออกไปจับลูกปิดประตูเพียงเบาๆ อย่างเช่นภานุเคยทำแล้วบานประตูก็เปิดกว้างออก เธอก้าวเดินตรงเข้าไปภายในห้องอันมืดมิดนั้นในทันที
            “การะเกดยอดรักของพี่ ห้องนี้แลที่พี่ได้ ตกแต่งตระเตรียมมันเอาไว้รอคอยน้องจ้าว รอให้น้องรักของพี่ได้กลับคืนมาอีกครั้ง เพียงแค่รักของเราสองคนเท่านั้น” คุณหลวงวัตรฯ ก้าวเดินติดตามอยู่เคียงข้างการะเกดหญิงสาวอันเป็นสุดที่รัก เข้ามาจนถึงภายในห้องที่ครั้งหนึ่งเคยถูกพระเพลิงแผดเผาจนมอดไหม้แต่ในยามนี้มันก็ยังคงสมบูรณ์ดีอยู่เช่นเดิม เหมือนเมื่อครั้งหนึ่งที่มันยังไม่เคยถูกพระเพลิงแผดเผาไหม้มาก่อนเลย
            “เมื่อยามที่พี่มีนามว่าวรเชษฐ์ พี่ได้ก่อสร้างแลตกแต่งห้องนี้ เอาไว้รอคอยเจ้า”คุณหลวงวัตรฯ ยังคงพร่ำพรรณนาถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ภายในจิตใจออกมาต่อไป แม้นการะเกดหญิงสาวอันเป็นยอดรักจักมิได้สดับรับฟังในน้ำเสียงนั้นเลยสักนิดก็ตามที
            “และแม้ในยามที่พี่มีนามว่าคุณหลวงวัตรบดินทร พี่ก็ได้บูรณะต่อเติมให้มันยังคงอยู่ในสภาพของมันดังเดิมเป็นอย่างดี เพื่อตระเตรียมรอคอยเอาไว้ให้น้องรักของพี่อยู่เสมอ” คุณหลวงวัตรฯ มีแววตาที่เศร้าโศกเสียใจเมื่อได้พูดมันจนจบประโยค พร้อมกับก้าวเดินตรงเข้าไปสวมกอดการะเกดเอาไว้ในวงแขนอย่างหลงลืมตัว
            “ค่ำคืนนี้จ้าวจงนอนหลับพักผ่อนยังห้องนี้เทิดจ้าว พี่จักคอยคุ้มครองปกปักษ์พิทักษ์เภทภัยอันตรายให้กับเจ้าเอง” เหมือนดังคนกำลังเดินละเมออยู่ภายในความฝัน การะเกดก้าวเดินตรงไปยังเตียงนอนเบื้องหน้า แล้วล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่ายพร้อมกันกับความฝันที่ได้บังเกิดขึ้นในนิมิต มันกำลังย้อนห้วงกาลเพลากลับคืนไปสู่เหตุการณ์เมื่อหลายศตวรรษเก่าก่อน อันล่วงเลยมาแล้วยาวนานหลายร้อยปี
............................. 







 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา