ศพแยกส่วน ณ โรงละครผีสิง
5) บทที่ 5 อาถรรพ์ศิวลึงค์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ 5
อาถรรพ์ศิวลึงค์
บทบันทึกความหลังครั้งเก่าก่อน
ในสมุดบันทึกใบลานของคุณหลวงวัตรฯ ย้อนห้วงกาลเพลากลับคืนไปยังสมัยอาณาจักรสุโขทัยและสมัยอาณาจักรชนชาติขอมกำลังรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด
“งามพริมเพราขาวนวลการะเกด วรเชษฐ์เช่นพี่หรือควรคู่
เฝ้าดูแลปลูกรักทะนุถนอม ใยมิยอมรับรักพี่ตุนาหงัน…”
นามของข้าคือคุณหลวงวัตรบดินทร บิดาของข้ามีนามว่าเจ้าพระยารัตนบดินทร ส่วนพระอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้แก่ข้ามีนามว่าพระอาจารย์ชเยนทรนครี บรรพบุรุษของพระอาจารย์ของข้าเป็นชนชาติขอมโบราณในช่วงยุคสมัยอาณาจักรสุโขทัย พระอาจารย์ของข้าจึงเป็นบุคคลที่มีความรู้มากมายหลากหลายแขนง ข้าเองก็ได้รับสืบทอดศาสตร์มืดมนต์ดำ อันลึกลับมากมายหลากหลายแขนงเหล่านั้นมาจากพระอาจารย์ฯ ของข้าด้วยเช่นเดียวกัน
ศาสตร์แลความรู้ที่ข้าได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากท่านพระอาจารย์ของข้านั้น ก็คือการย้อนห้วงกาลเพลากลับคืนไปยังอดีตแลอนาคต ด้วยดวงจิตแห่งตบะแลฌานอันแก่กล้า ในเพลานี้ข้าจักขอจดบันทึก เรื่องราวอันเป็นประสบการณ์ของข้าในห้วงกาลเพลาแห่งอดีตชาติภพเอาไว้ภายในบันทึกใบลานเล่นนี้ ตลอดจนการก่อเวรสร้างกรรมผูกรัดมัดตรึงอยู่ ณ ห้วงกาลเพลาเหล่านั้นมาก่อนด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับลูกหลานของข้าที่ต้องการอยากที่จะรับรู้ถึงเรื่องราวของข้าโดยละเอียด พวกจ้าวจงออกสืบเสาะแสวงหา...ศิวลึงค์...แล้วพวกจ้าวจะพบสมุดบันทึกใบลานอันเก่าแก่ของข้าเล่มนี้ ที่ข้าได้เก็บซ่อนมันเอาไว้ พร้อมศาสตร์มืดมนต์ดำอันลี้ลับที่ข้าได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากพระอาจารย์ชเยนทรนครีของข้าเองด้วย
จบการบันทึกใบลานหน้าแรก...
“….....หมื่นราตรีแสงบุหลันพราวฟากฟ้า ดวงจิตข้ายังคงรักเสน่หา
แม้นสิ้นชีพวายปราณนานศตวรรษ ยังผูกรัดมัดดวงจิตแลเศษซาก..
รอยขาดหายของตัวอักษรโบราณ บทลำนำเพลงบทจบในบันทึกใบลานหน้าแรก....
.........................................
ภานุกำลังนึกถึงตัวอักษรโบราณเก่าๆ ที่ถูกขีดเขียนทิ้งเอาไว้บนบันทึกใบลานเมื่อศตวรรษเก่าก่อน ที่บิดาของเขาได้เก็บซ่อนมันใส่กุญแจเอาไว้ภายในหีบเหล็กในสภาพอันเก่าแก่แลทรุดโทรม แต่เมื่อนานหลายปีมาแล้วเขาเองก็ได้มีโอกาสได้เปิดหีบเหล็กใบนั้นโดยบังเอิญ แล้วได้ลองอ่านเนื้อความในบันทึกใบลานเก่าๆ แผ่นนั้น เนื้อความในบันทึกใบลานมีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นและตัวอักษรก็ถูกฉีกขาดจืดจางหายไปตามกาลเวลา ส่วนที่ขาดหายไปมันคือบทลำนำเพลงท่อนจบที่ถูกบันทึกเอาไว้ภายในบันทึกใบลานเก่าๆ ใบนั้น
ส่วนบันทึกของใบลานส่วนที่เหลือมันได้ถูกเก็บซ่อนแลผนึกเอาไว้ภายในแท่งศิวลึงค์ ที่เขาเองก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้เลยว่าอ้ายแท่งศิวลึงค์เหล่านั้น มันถูกเก็บซ่อนเอาไว้ยังที่แห่งหนตำบลใดกันแน่ หรือว่ามันจะถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในโรงละครผีสิงแห่งนี้ มันก็คงน่าจะเป็นไปอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้จริงๆ ระหว่างที่เขากำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงของความคิดอันลึกลับและสับสนของตนเอง เสียงบทลำนำเพลงอันแปลกๆ และน่าจะเป็นบทลำนำเพลงท่อนจบ ที่มันได้ขาดหายไปจากบันทึกใบลานในหีบเก่าๆ ของบิดาของเขานั้น มันเริ่มที่จะดังมาเข้าสู่ดวงจิตและความนึกคิดอันสับสนของเขา และคนที่กำลังเป็นคนขับร้องบทลำนำเพลงปริศนานั้น ก็คือหญิงสาวอันมีลักษณะแปลกๆ และเป็นปริศนาสำหรับตัวเขาเอง มากพอๆ กันกับปริศนาในแท่งศิวลึงค์ที่เขาเอง กำลังออกสืบเสาะแสวงหามันอยู่ในเวลานี้ด้วยเช่นเดียวกัน
“..ฝังจิตรักแยกร่างลึงค์ตรึงสุสาน นานแสนกาลหมื่นบุหลันข้าบ่จาก
แม้นดวงจิตข้าแยกแลถูกพราก จักขอฝากวิญญาณรักไว้เฝ้ารอ...”
“อุ๊ย...คุณพี่เกดข๊า...บทลำนำเพลงของคุณพี่เกดก็ไพเราะ พอๆ กันกับของคุณภานุเลยนะคะ ใครเป็นผู้แต่งบทลำนำเพลงเพราะๆ บทนี้กันล่ะคะ คุณพี่เกดบอกเมล์ได้ไหม” เธอจะตอบคำถามของวัยรุ่นวัยใสเสียงเพราะๆ ด้านหน้าของเธอได้อย่างไรกัน ในเมื่อเธอเองก็ยังไม่สามารถจะรับรู้ได้เลยว่า ใครเป็นผู้แต่งบทลำนำเพลงผีสิงแปลกๆ บทนั้นกันแน่ จะบอกว่าเป็นดวงวิญญาณในรูปถ่ายเก่าๆ ในห้องเก็บรูปผีสิงเหล่านั้น เป็นผู้แต่งและเป็นผู้ขับร้องบทลำนำเพลง ให้เธอได้รับฟังก็ไม่สามารถจะบอกกล่าวเล่าเรื่องราวอันใดให้ใครได้รับฟังด้วยเช่นเดียวกัน หากเธอบอกเล่าเรื่องแนวผีๆ ทำนองหลอนๆ ให้กับวัยรุ่นวัยใสเสียงเพราะ ได้รับฟังพวกเธอก็คงจะสติแตก อย่างเช่นเดียวกันกับแม่สาวนักขายประกันนามว่าใบเฟิร์นนั้น ไปด้วยอีกคนอย่างแน่นอน
สาเหตุที่เธอขับร้องบทลำนำเพลงผีสิงก็เพราะเธอต้องการอยากที่จะให้ภานุได้รับฟัง เพราะอย่างน้อยภานุจะได้รับรู้เสียบ้างว่าไม่ใช่มีแต่เพียงเขา คนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะขับร้องบทลำนำเพลงอันแปลกๆ นั้นได้อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ก็สามารถที่จะขับร้องได้ด้วยเช่นเดียวกัน แม้สิ่งที่เธอได้ทำมันลงไปจะเป็นการขาดซึ่งสติสัมปชัญญะก็ตามที สุดท้ายแล้วมันก็คือความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ แม้เธอจะสำนึกได้ในเวลาต่อมามันก็สายเกินกว่าจะแก้ไขได้เสียแล้ว เธอไม่รู้ว่าจะสามารถตอบคำถามของวัยรุ่นวัยใสเสียงเพราะและแววตาแห่งความสงสัยของทุกๆ คนได้อย่างไรกัน โดยเฉพาะแววตาอันผิดปกติของภานุ ที่กำลังจับจ้องมองมาที่เธอ ผ่านทางเปลวเทียนที่กำลังส่องแสงสว่างแผดจ้าสู่วงหน้าอันขาวซีดของเธอตรงๆ
“พี่จดจำมันมาจากในละครทีวีนะคะน้องเมล์ เห็นว่ามันไพเราะดีเลยจดจำเอาไว้...” ภานุหยุดก้าวเดินนำเพื่อค้นหาห้องพักผ่อนนอนหลับในค่ำคืนอันมืดมิดที่ฝนฟ้าคะนองกำลังเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา มันทำให้ทุกๆ คน ที่กำลังก้าวเดินติดตามหลังของเขาต่างต้องพากันหยุดชะงักไปตามๆ กัน ภานุจับจ้องมองวงหน้าซีดขาวของเธอผ่านทางแสงสว่างจากเชิงเทียนพร้อมยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัยอันมีความหมายที่ใกล้เคียงกับคำพูดที่ว่า
“คุณกำลังพูดโกหกหลอกลวงคนอื่นอยู่อีกแล้วนะครับ คุณเกด...” แต่สิ่งที่ชายหนุ่มเปล่งน้ำเสียงออกมามันกับไม่ใช่ความหมายในรอยยิ้มเยาะและแววตาอันมีในเลศในนั้นเลยแม้สักนิด
“ผมคิดว่าคุณเกดน่าจะลองขับร้องบทลำนำเพลงบทต้นก่อนนะครับ แล้วถึงค่อยขับร้องบทลำนำเพลงบทจบมันถึงจะถูกต้องจริงไหมล่ะครับ” เธอจับจ้องมองวงหน้าของภานุและแววตาอันมีเลศนัยอย่างตื่นตกใจ และประหลาดใจที่ภานุเองก็เป็นอีกคนที่สามารถที่จะรับรู้ได้ถึงเนื้อความในบทลำนำเพลงผีสิงนั้นด้วยเช่นกัน แม้แสงสว่างจากเชิงเทียนจะไม่ส่องแสงสว่างไสวเจิดจ้ามากมายนัก แต่เธอก็ยังพอที่จะสามารถสังเกตเห็นได้ถึงเลศนัยอย่างอื่นอันเจือปนอยู่ภายในแววตาและท่าทางของภานุด้วย ที่มิใช่แค่ต้องการอยากที่จะให้เธอขับร้องบทลำนำเพลงผีสิงบทต้นออกมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ภานุกำลังปิดบังปกปิดอะไรบ้างอย่างเอาไว้จากทุกๆ คนอยู่เช่นเดียวกันกับเธอ
ณ เวลาเช่นนี้เธอยังไม่คิดที่จะสืบเสาะแสวงหาคำตอบจากภายในแววตาอันซ่อนเร้นของภานุ เพราะหากเธอคิดที่จะสืบเสาะแสวงหาคำตอบ จากความสงสัยในทุกๆ เรื่องราวตัวเธอเองนั้นแหละที่อาจจะต้องสติแตกจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ไปด้วยอีกคน อย่างเช่นเดียวกันกับแม่สาวนักขายประกัน นามว่าใบเฟิร์นนั้นอย่างแน่นอน
“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณภานุกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ บทลำนำเพลงบทต้นหรือบทลำนำเพลงบทจบอะไรกัน ฉันไม่เคยที่จะได้รับรู้รับฟังมันมาก่อนเลย หรือรู้จักกับมันมาก่อนเลยสักนิด ฉันคิดว่า คุณภานุเลิกที่จะสนใจในสิ่งที่ฉันเพิ่งจะขับร้องมันออกไปเถอะนะคะ แล้วรีบพาพวกเราเดินทางกันต่อไป” เธอไม่รู้ว่าผีบ้าตนไหนในโรงละครผีสิงแห่งนี้ มาเข้าสิงร่างกายของเธออยู่กันแน่ เธอถึงได้เป็นคนที่ชอบโกหกได้อย่างหน้าดานๆ ยิ่งเมื่อเธอต้องมายืนสงบนิ่งอยู่ตรงเบื้องหน้าชายหนุ่ม ผู้มีลักษณะอันลึกลับเช่นภานุด้วยแล้ว อาการชื่นชอบการโกหกก็ยิ่งกำเริบทบเท่าทวีคูณมากยิ่งขึ้น เหมือนเธอกำลังป่วยด้วยโรคพิษไข้เรื้อรัง หากแม้นว่าภานุเองไม่ได้มีเรื่องราวปิดบังซ่อนเร้นอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน มีรึว่าโรคเก่าแก่ของเธอจะหวนคืนมากำเริบบ่อยๆ เช่นนี้ แววตาของภานุกำลังจะลุกไหม้ มากพอๆ กันกับการลุกไหม้ของเปลวเทียนที่ภานุและทุกๆ คน กำลังยืนถือสงบนิ่งมันเอาไว้ในฝามืออยู่ตรงเบื้องหน้าของเธอเลยทีเดียว
“ผมจะไม่พาพวกคุณไปไหนกันทั้งนั้นครับคุณเกด จนกว่าคุณเกดจะยินยอมขับร้องบทลำนำเพลงบทต้น ให้ผมได้รับฟังเสียก่อน ไม่อย่างนั้นพวกคุณทุกๆ คนก็พากันยืนนิ่งๆ กันอยู่ที่ขันบันไดนี้ล่ะครับ” น้ำเสียงความเอาแต่ใจของภานุมันเป็นเช่นนี้เอง เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าภานุเองก็มีอารมณ์ความโกรธอันเป็นอารมณ์ด้านลบและอ่อนไหวได้เหมือนกันกับมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบเล็กๆ นี้ ลักษณะโดยเนื้อแท้ของภานุแล้วจะเป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็นและอ่อนโยน เข้มแข็ง ณ วันนี้ตั้งแต่เธอได้พบปะเจอะเจอหน้าภานุ เธอเองก็โกหกหลอกลวงภานุไปตั้งมากมายหลายอย่าง ไม่เห็นว่าภานุจะมีอารมณ์ความโกรธเลยสักครั้งเดียว หรือว่าภานุจะเก็บกดอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้อย่างมิดชิดจนใกล้ที่จะถึงขีดสติแตก อย่างเช่นเดียวกันกับแม่สาวนักขายประกันไปด้วยอีกคน มันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างแน่นอนเลย ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งกลัดกลุ่มภายในจิตใจพอสมควร
“ค..คุณพี่เกดข๊า ทำตามที่คุณภานุ เธอขอร้องเถอะนะคะ น้องดาขอร้อง”
“น้องเมล์ก็ขอร้องด้วยอีกคน นะคะคุณพี่เกด” สองสาววัยรุ่นวัยใสจอมออดอ้อน ใช้น้ำเสียงอันไพเราะ ร้องขอความเมตตากรุณาจากเธอ หากแม้นว่าเธอเป็นบุรุษเพศอย่างเช่นเดียวกันกับภานุ เธอเองก็จะตอบตกลงในทันท่วงทีเช่นกัน แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์นิสัยดีๆ ของเธอเอาไว้ เธอจึงขอยื้อเวลาเล่นออกไปอีกสักนิดสักหน่อยแล้วกัน
“ตกลงจ๊ะ พี่จะขับร้องบทลำนำเพลงท่อนต้นและท่อนจบให้กับพวกน้องๆ ได้รับฟังพร้อมๆ กันพอใจกันหรือยังล่ะจ๊ะ”
“คุณพี่เกดขับร้องบทลำนำเพลงทั้งหมดได้จริงๆ หรือคะนี้” เมล์วัยรุ่นเสียงเพราะร้องตะโกนตั้งคำถามขึ้นด้วยความสงสัยและแปลกใจอยู่ไม่ใช่น้อย
“คะ...พี่พอจะจดจำได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ขอให้พี่ลองนึกทบทวนดูก่อนสักนิดแล้วกันนะจ๊ะ” เธอแกล้งโกหกหลอกลวง จะทำอย่างไรได้เล่าก็ในเมื่อเธอเคยปฏิเสธไปแล้วว่าไม่เคยได้ยินได้ฟัง บทลำนำเพลงบทต้นมาก่อนเลย แล้วจะได้ตอบตกลงขับร้องบทลำนำเพลงขึ้นมาโต้งๆเลยได้อย่างไรกัน
“คุณไม่ต้องมาทำท่าทางว่าจดจำอะไรไม่ได้เลยนะครับคุณเกด และไม่ต้องมาทำท่าทางกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ด้วย คุณนี้โกหกหลอกลวงคนอื่นมากเสียจนเป็นนิสัยแล้วจริงๆ จน ณ เวลานี้คุณเกดถึงได้โกหกหลอกลวงได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างมากๆ เลย คุณเกดรู้ตัวคุณเองบ้างหรือเปล่าครับ” เธออยากจะร้องกรี๊ดๆ จนสุดเสียง กับคำพูดอันแดกดันของภานุที่อ่านจิตใจของเธอได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และต้องการอยากที่จะเปิดโปงนิสัยอันแท้จริงของเธอให้กับทุกๆ คนในกลุ่มได้รับรู้กันจนทั่ว และมันก็เริ่มจะทำให้ทุกๆ คน ให้ความสนใจเธอมากยิ่งขึ้นมาได้แล้วจริงๆ ทุกคนเริ่มพากันเพ่งเล็ง จับจ้องมองเธอมากยิ่งขึ้นกว่าทุกๆ ครั้ง อย่างเห็นได้ชัดเจน นิสัยด้านลบของภานุนี้มันช่างน่าเกลียดน่ากลัวและร้ายกาจเสียจริงๆ ภานุไม่ยอมจะไว้หน้าสวยๆ ของเธอเสียบ้างเลย เธอเริ่มนึกโกรธจอมโกหกหลอกลวงอย่างเช่นภานุ ขึ้นมาแล้วเช่นเดียวกัน อย่าให้เธอได้มีโอกาสเปิดโปงนิสัยใจคอด้านลบของภานุขึ้นมาบ้างก็แล้วกัน เธอจะไม่มีวันที่จะคิดไว้หน้าหล่อๆ ของภานุ อย่างเช่นที่ภานุกำลังไม่คิดที่จะไว้หน้าสวยๆ ของเธอ ในเวลานี้เลยสักนิด
“คุณภานุ ฉันก็ไม่ได้บอกว่าฉันจดจำบทลำนำเพลงไม่ได้ หรือหลงลืมมันไปจนทั้งหมดเลย เพียงแต่ฉันขอให้ได้คิดทบทวนมันเสียหน่อยเดียวก็เท่านั้น มันจะอะไรกันนักกันหนาล่ะคะ คุณภานุข๊า” ดูเหมือนว่าคำพูดอันออดอ้อนของเธออย่างเช่นเดียวกันกับสองสาววัยรุ่นวัยใสจะทำให้ภานุยิ้มแย้มออกมาได้ใหม่อีกครั้ง และมันก็เป็นรอยยิ้มที่หล่อมากๆ เสียด้วย
“อย่างนั้นก็รีบขับร้องสิ่งที่คุณเกดกำลังนึกทบทวนอยู่ออกมาให้ดังๆ ได้เลยครับ ทุกๆ คนกำลังรอคอยรับฟังกันอยู่ และพวกเราจะได้พากันออกเดินทางไปหาห้องพักกันต่อไป” น้ำเสียงอันเรียบๆ และสุภาพอ่อนโยนของภานุเริ่มหวนกลับคืนมาใหม่อีกครั้ง น้ำเสียงแห่งความโกรธอันเป็นอารมณ์ด้านลบของภานุ ก็เริ่มที่จะจืดจางหายไปและคงที่จะไม่หวนกลับคืนมาอีกใหม่ในเร็วๆ วันนี้อย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวล่ำ เวลาของทุกๆ คนในกลุ่ม เธอจึงเริ่มต้นขับร้องบทลำนำเพลงออกมาในทันทีทันใด พร้อมด้วยเสียงเครื่องดนตรีแว่วผ่านสายลมแห่งความมืดมิดภายโรงละครผีสิง เป็นจังหวะแลท่วงทำนองประกอบเข้ากันกับบทลำนำเพลงผีสิงไปพร้อมๆ กัน
“.....หมื่นราตรีแสงบุหลันพราวฟากฟ้า ดวงจิตข้ายังคงรักเสน่หา
แม้นสิ้นชีพวายปราณนานศตวรรษ ยังผูกรัดมัดดวงจิตแลเศษซาก
..ฝังจิตรักแยกร่างลึงค์ตรึงสุสาน นานแสนกาลหมื่นบุหลันข้าบ่จาก
แม้นดวงจิตข้าแยกแลถูกพราก จักขอฝากวิญญาณรักไว้เฝ้ารอ...”
“ว้าย!!! พวกคุณได้ยินเสียงเครื่องดนตรีแปลกๆ นั้นไหมค่ะ ใบเฟิร์นได้ยินจนชัดเต็มสองรูหูเลยล่ะคะ” อาการตื่นตกใจพร้อมท่าทางแสดงความหวาดกลัวของใบเฟิร์น มันทำให้สองวัยรุ่นวัยใสต่างก็พากันนึกหวาดกลัวไปตามๆ กันไปด้วย
“ค..คุณภานุจ้าวข๊า เมล์ก็ได้ยินเสียงดนตรีนั้น เหมือนกันล่ะค่ะ เสียงใครมาขับลำนำเพลงเสภาอยู่แถวๆ นี้กันหรือเปล่าค่ะ คุณภานุ”
“ยายเมล์ นี้มันกลางป่ากลางเขานะเธอ มีแต่พวกเราเจ็ดคนเท่านั้น ส่วนเสียงแปลกๆ พวกนั้นต้องเป็นเสียงของผีแน่ๆ เลย คุณภานุข๊าดา กลั๊ว กลัวอ่ะค่ะ” ระหว่างเสียงการขับเพลงเสภาของเครื่องดนตรีผีสิง กับเสียงการขับร้องบทลำนำเพลงของหญิงสาวสวยนามว่าเกด เขารู้สึกว่าจะเกรงกลัวน้ำเสียงของเธอเสียมากกว่าที่จะเกรงกลัวเสียงดนตรีแปลกๆ พวกนั้น เธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ทำไมถึงได้มีจิตใจอันเข้มแข็งผิดมนุษย์มนาได้มากมายถึงเพียงนี้ ในขณะที่ทุกๆ คน กำลังพากันรู้สึกตื่นตกใจหวาดกลัว มีแต่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น กับไม่ได้แสดงท่าทางรู้สึกหวาดกลัว เกรงกลัวอะไรเลย และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เขาเองกำลังพยายามตามสืบเสาะแสวงหามาโดยตลอดระยะเวลายานนานหลายปี และคาดคิดว่าจะไม่มีหนทางใดตามสืบเสาะแสวงหามันได้พบเจอะเจออีกแล้ว แต่หญิงสาวสวยเบื้องหน้าของเขากับบอกกับทุกๆ คนว่า...
“เธอจดจำมันมาจากในละครทีวีน้ำเน่า... “ สิ่งนี้มันจะไม่ทำให้เขารู้สึกโกรธและโมโห อารมณ์เสียได้อย่างไรกัน ความพยายามยาวนานหลายปีของเขากับถูกเธอทำลายย่อยยับไปในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หญิงสาวสวยแปลกหน้าเบื้องหน้าของเขา เธอเป็นจอมโกหกหลอกลวงได้ในทุกเวลาและนาที เมื่อมีโอกาสเลยทีเดียว เธอเป็นพวกโรคจิตประสาทหรือเปล่าเขาเองก็ชักจะไม่ค่อยที่จะแน่ใจเสียแล้ว เวลานี้เธอถึงได้โกหกหลอกลวงได้เก่งกาจอย่างมากมายถึงเพียงนี้
“คุณภานุจะให้ฉันลองขับร้องบทลำนำเพลงนี้อีกสักรอบไหมค่ะ” น้ำเสียงแสดงความดีใจและเจือปนความสุขใจจากภายในส่วนลึกของจิตใจ อย่างไม่รู้สึกรู้สมกับความหวาดกลัวของทุกๆ คนรอบข้างเลย
“คุณพี่เกดข๊า อย่าขับร้องบทลำนำเพลงแปลกๆ ของคุณพี่เกดอีกเลยนะค่ะ เมล์กลัว”
“ดาก็กลั๊ว กลัว...” ทุกคนแสดงอาการหวาดกลัวออกมาผ่านทางสีหน้าแววตาและท่าทางอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่เว้นแม้แต่กับภานุเอง เขากำลังนึกหวาดกลัวอะไรกันแน่ระหว่าง ผีในโรงละครแห่งนี้หรือเธอเองที่เขากำลังจับจ้องมองอยู่ ขออย่าให้เป็นเธอเลย ได้โปรดจงเกรงกลัวผีไม่ก่อนแล้วกัน
“คุณอยากจะขับร้องบทลำนำเพลงนั้นอีกจริงๆ หรือครับ” น้ำเสียงของภานุแสดงความไม่พอใจออกมาบ้างเพียงเล็กน้อย
“ก็แล้วแต่ว่าคุณภานุอยากที่จะรับฟังมันอีกสักครั้งหรือเปล่า ถ้าไม่ต้องการที่จะรับฟังมันอีกแล้ว พวกเราทุกคนก็ควรที่จะออกเดินทางกันต่อไปได้แล้ว และอย่าได้พากันนึกสนใจกับบทลำนำเพลงแปลกๆ พวกนี้อีก คุณภานุเห็นว่าอย่างไรบ้างล่ะคะ” เธอไม่สามารถจะรับรู้ได้เลยว่า ชายหนุ่มรูปหล่อเบื้องหน้าของเธอกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ภายในจิตใจกันแน่ แต่ ณ เวลานี้เขากำลังคล้อยตามคำพูดของเธออย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็ยังคงเชื่อได้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะคนที่มีลักษณะนิสัยแลท่าทางอันแปลกๆ อย่างเช่นภานุ ต้องคิดวางแผนการบางอย่างเอาไว้ภายในจิตใจบ้างแล้ว และสิ่งนั้นก็น่าที่จะมีส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกันกับเธออยู่ด้วยเช่นกัน และไม่มีทางที่ภานุจะคล้อยติดตามคำพูดของเธอไปได้นานเกินกว่าหนึ่งวินาทีอย่างแน่นอน
“เราออกเดินทางกันต่อเถอะครับ” ภานุออกคำสั่งเสียงดัง ทำให้ทุกคนเริ่มพากันออกเดินทางติดตามหลังของภานุกันต่อไปอีกครั้ง
...............................................................
“การะเกดยอดรักของพี่ เจ้าช่างขับร้องบทลำนำเพลงได้ไพเราะเสียยิ่งนัก พี่ต้องการอยากที่จะได้รับฟังน้ำเสียงเพราะๆ ของน้องจ้าวอีกสักครั้ง ได้โปรดขับร้องบทลำนำเพลง ของจ้าวให้พี่ได้รับฟังอีกสักครั้งเทิด การะเกดยอดรักของพี่...” อารมณ์แลน้ำเสียงปนเศร้าๆ แลปนความเจ็บปวดของคุณหลวงวัตรฯ ที่เฝ้าก้าวเดินติดตามพร้อมจับจ้องมองหญิงสาวคนรักในชาติภพปัจจุบัน อย่างไม่ห่างไกลกันมากมายนัก อาจจะเพียงแค่เอื้อมมือประคองอ้อมกอดถึงหญิงสาวคนรักเท่านั้น หากคุณหลวงวัตรฯ สามารถที่จะทำมันได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรหรือสิ่งใดได้อีกเลยในเพลาเช่นนี้ เนื่องด้วยตบะแลฌานในศาสตร์อันลี้ลับมนต์ดำ การฝังจิตฝังร่างยังไม่แข็งแรงแลเข้มแข็งเพียงพอ ในเพลาเช่นนี้คุณหลวงวัตรฯ จึงได้แต่เฝ้ายืนสงบนิ่งจับจ้องมอง แล้วก้าวเดินติดตามอยู่เคียงข้างใกล้ๆ กันกับการะเกดหญิงคนรักเท่านั้น
“คุณภานุจ้าวข๊า...ใบเฟิร์นรู้สึกว่า กำลังมีใครบางคน กำลังก้าวเดินติดตาม อยู่ข้างหลังของใบเฟิร์นก็ไม่รู้ อ่ะคะ” ใบเฟิร์นผู้มีสัมผัสอันผิดแปลกๆ กว่าทุกคนอยู่เสมอเปล่งน้ำเสียงสั่นๆ ออกมาขณะก้าวเดินติดตามหลังของภานุและสองสาววัยรุ่นวัยใส ส่วนเธอเองก็กำลังเดินติดตามหลังสาวนักขายประกัน ส่วนด้านหลังเธอก็มีชายหนุ่มอีกสองคนอันได้แก่ศักดิ์และโอม ที่พยายามจะเก็บกักความตื่นตกใจกลัวเอาไว้อย่างมิดชิด จนสามารถที่จะสังเกตจับจ้องมองเห็นได้อย่างชัดเจน คำพูดอันออดอ้อนในน้ำเสียงสั่นๆ ของใบเฟิร์น มันอาจจะรับฟังดูแล้วเป็นเรื่องราวอันไร้สาระ แต่ศักดิ์และโอมก็เริ่มที่จะมีอาการตื่นตกใจกลัวเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งสองหนุ่มรูปหล่อเริ่มก้าวเดินประชิดติดตัวของเธอเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกที จนแทบที่จะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอ่อนๆ และไอความหนาวเย็นยะเยือกจากร่างกายของศักดิ์และโอมได้เลยทีเดียว
“อุ๊ย...คุณป้าใบเฟิร์นเจ้าข๊า...อย่าได้คิดมาออดอ้อนคุณภานุของเมล์ หน่อยเลยค่ะ ...คุณป้าใบเฟิร์นแก่มากมายแล้วน่ะค่ะ คุณภานุของเมล์เธอไม่สนใจสาวแก่เคี้ยวยากอย่าง คุณป้าใบเฟิร์นหลอกนะค่ะ... แถมคุณป้าก็มีลูกมีผัวแล้วด้วย ได้โปรดจงสำรวมวาจาของคุณป้าหน่อยเถอะนะคะ”
“จริงด้วย สำรวมหน่อยเถอะค่ะ น้องดาขอร้อง คุณป้าเดินอยู่ตรงกลางของกลุ่มทุกคนเลยนะค่ะ ถ้าเป็นแบบคุณศักดิ์กับคุณโอม ก็ว่าไปอย่าง ถ้ามีใครเดินติดตามหลังอยู่ก็คงไม่น่าจะนึกแปลกใจ อะไรสักเท่าไรจริงไหมจ๊ะเมล์”
“จริงจ๊ะ ดา...”
“อ๊าย!! นังเด็กผี...ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน” น้ำเสียงผูกอาฆาตฝังจิตฝังร่างของใบเฟิร์น แม้จะต้องตายจากันก็จะขอกลับคืนมาทวงคืนความคับแค้นภายในจิตใจครั้งนี้ให้จงได้ โดยส่วนตัวของเธอเองแล้วก็มีความคิดเฉกเช่นเดียวกันกับคำพูดของสองสาววัยรุ่นวัยใส แต่เธอกับไม่คิดที่จะเห็นด้วยที่ทั้งสองสาว เริ่มที่จะทำให้ศักดิ์และโอมมีความรู้สึกตื่นตกใจกลัวเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เธอหยุดก้าวเดินแล้วเปล่งน้ำเสียงเพราะๆ ส่งตรงไปยังด้านหลัง เพราะเริ่มที่จะรำคาญทั้งที่สองหนุ่มรูปหล่อที่กำลังก้าวเดินติดตามประชิดเคลียคลอเธอมากจนเกินไป
“คุณศักดิ์กับคุณโอม เดินนำหน้า เกดก็ได้นะคะ”
“มันจะดีหรือครับ ผมกับศักดิ์ เป็นผู้ชายพวกเราควร....”
“จะควรอะไรกันอีกล่ะคะ คุณโอม...คุณโอมกับคุณศักดิ์อย่าได้คิดมากกันเกินไปหน่อยเลยคะ เกดเองก็ไม่ใช่คนขวัญอ่อนหวาดกลัวอะไรง่ายๆ ทำตามที่เกดพูดเถอะนะคะ” โดยไม่รอการตอบรับจากสองหนุ่มรูปหล่อด้านหลังทั้งสองคน เธอก้าวเดินหลีกทางให้กับสองบุรุษหนุ่มก้าวเดินนำหน้า โอมชายหนุ่มขวัญอ่อนมากที่สุดเริ่มก้าวเดินต่อไป ยกเว้นแต่ศักดิ์เท่านั้นที่ยังคงยืนสงบนิ่งรอคอยเธออยู่ที่ขั้นบันไดหนึ่งขั้นเบื้องหน้าของเธอ
“เรามาเดินเคียงคู่กันเถอะครับ คุณเกด...”
“ค่ะ...คุณศักดิ์”
....................................................................
“อ้ายรองแม่ทัพศักดิ์ดาฤชา แม้นจะกี่ชาติกี่ภพ จ้าวก็ยังคงวิ่งวนเวียนว่ายวนอยู่ในบาปกรรม ติดตามแม่นางการะเกด นางอันเป็นยอดรักของข้ามิได้ห่างไกลเลยนะเอ็ง ข้าขอยอมรับในความพยายาม อันมั่นคงของเอ็งที่มีต่อแม่นางการะเกดหญิงอันเป็นยอดรักของข้าจริงๆ แม้นในอดีตชาติภพ จ้าวก็มิได้เคยสุขสมหวังเคียงคู่ตุนาหงัน กับแม่นางการะเกดหญิงอันเป็นยอดรักของข้า ในชาติภพปัจจุบันนี้ จ้าวก็อย่าได้คิดหวังว่าจะได้สุขสมหวัง แลเคียงคู่ตุนาหงันด้วยเช่นเดียวกัน ข้ามิคิดจักมอบแม่นางการะเกดให้แก่ผู้ใด หรือแม้แต่กับจ้าวอย่างแน่นอน อ้ายศักดิ์ดาฤชา...” คุณหลวงวัตรฯ ก้าวเดินเคียงคู่อยู่กับนางอันเป็นยอดรักในชาติภพปัจจุบัน อันมีชื่อเสียงเรียงนามอันใกล้เคียงกันกับนามในอดีตชาติภพเก่าก่อน คุณหลวงวัตรฯ กำลังตกอยู่ในอารมณ์หึงหวงอย่างเช่นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป อันมีเลือดมีเนื้อแลชีวิต มิใช้เป็นเพียงแค่ร่างเงาอันก่อเกิดจากตบะแลฌาน ของการฝังจิตฝังร่างอันกล้าแข็งในขณะนี้ ณ เพลานี้คุณหลวงวัตรฯ ต้องการจะมีร่างกายอย่างเช่นเดียวกันกับมนุษย์หรือคนปกติ คนธรรมดาทั่วๆ ไป อย่างมากมายเสียจน ทุกๆ ลมหายใจเข้าและออกเลยทีเดียว
“ศิวลึงค์...ข้าต้องการศิวลึงค์...อ้ายจันเจ้าจงเอาศิวลึงค์ของข้ากลับคืนมา ...อ้ายจันเจ้าเอาศิวลึงค์ของข้า ไปหลบซ่อน แลเก็บซ่อนเอาไว้ยังที่แห่งหนใดกันแน่ อ้ายจันเจ้าจงบอกแก่ข้ามา ณ บัดเดี๋ยวนี้ อ้ายจัน...จงบอกข้ามา” เสียงตะโกนด้วยดวงจิตแห่งความโกรธเกี้ยวของคุณหลวงวัตรฯ ดังกึกก้องกังวานไปทั่วทั้งโรงละครผีสิง แต่มิมีมนุษย์อันมีเลือด มีเนื้อแลชีวิตคนใดจะสามารถรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงแห่งความโกรธเกี้ยวนั้น ได้อย่างชัดเจน นอกจากภานุและเกด หนึ่งชายแลหนึ่งหญิง อันมีเวรกรรมผูกรัดมัดตรึงดวงจิตใจ อยู่กับคุณหลวงวัตรฯ อย่างเหนียวแน่นยาวนานหลายศตวรรษเท่านั้น ภานุหยุดก้าวเดินอย่างกะทันหันอีกครั้ง พร้อมแสดงท่าทางอันหวาดกลัวผ่านทางสีหน้าและแววตา พร้อมกันกับกลับหลังหันเผชิญสีหน้ากันกับทุกๆ คนที่กำลังก้าวเดินติดตามเป็นครั้งทีสอง
“คุณภานุจ้าวข๊า คุณภานุเป็นอะไรไปหรือค่ะ คุณภานุข๊า อย่าทำท่าทางเหมือนกับคนกำลังถูกผีหลอก แบบนั้นสิค่ะเมล์กลัว”
“ไม่มีอะไรครับ ผมขอโทษด้วย เราเดินทางกันต่อไปเถอะครับ” ภานุปกปิดท่าทางอันหวาดกลัวและอาการตื่นตกใจกลัว เอาไว้ได้อย่างมิดชิด แต่มิใช่สำหรับเธออย่างแน่นอน ในจำนวนสมาชิกแปลกหน้าทั้งเจ็ดคน ภานุถือเป็นบุคคลที่สามารถที่จะสัมผัสได้ถึงอาถรรพ์อันแปลกๆ อย่างเช่นดวงวิญญาณที่อาศัยอยู่ภายในโรงละครผีสิงแห่งนี้ได้เช่นเดียวกันกับเธอ แต่ภานุก็ยังคงแอบเก็บงำซ่อนเร้นความลับต่างๆ เอาไว้ ภานุอ้างว่าออกเดินทางมาเพื่อที่จะสำรวจสืบค้นหาสถานที่ก่อสร้างแหล่งท่องเที่ยว จริงๆ แล้วภานุกำลังต้องการอยากที่จะสืบเสาะแสวงหาบ้างสิ่งบ้างอย่างอยู่อย่างเช่น...ศิวลึงค์
“ศิวลึงค์...ข้าต้องการศิวลึงค์...อ้ายจันเจ้าจงเอาศิวลึงค์ของข้ากลับคืนมา ...อ้ายจันเจ้าเอาศิวลึงค์ของข้า ไปหลบซ่อน แลเก็บซ่อนเอาไว้ยังที่แห่งหนใดกันแน่ อ้ายจันเจ้าจงบอกแก่ข้ามา ณ บัดเดี๋ยวนี้ อ้ายจัน...จงบอกข้ามา”
“ศิวลึงค์มันคือสิ่งใดกัน มันเกี่ยวข้องอะไรกันกับโรงละครผีสิงแห่งนี้ แล้วอ้ายจัน...เป็นใครกัน อ้ายจันเกี่ยวข้องอะไรกันกับศิวลึงค์ โอ้พระเจ้าทำไมมันถึงได้ช่างลึกลับซับซ้อนมากมายเช่นนี้ด้วย แล้วเธอจะสามารถสืบเสาะค้นหาคำตอบของปมปริศนาเหล่านี้ ได้อย่างไรกัน ใครก็ได้ช่วยหาคำตอบให้กับเธอทีเถอะ” มิได้มีน้ำเสียงตอบรับจากใครหรือสิ่งใด นอกเสียจากน้ำเสียงแปลกๆ อันเป็นน้ำเสียงที่เธอเองก็มิเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย
ศิวลึงค์จักปรากฏเลือดสีแดง ศาสตร์แขนงสังเวยร่างคืนเลือดเนื้อ
หมื่นแขนขาเสียสละแลกชีวิต ฝังสถิตกลบไว้ยังหลักศิวลึงค์
ร่ายมนต์ตราฝังจิตแลฝังร่าง ฝังอำพรางแทนดวงจิตเพื่อรัดตรึง
หมื่นราตรีรอตบะแลฌานกล้า จักคืนมาด้วยหยดเลือดแห่งความรัก
สุดท้ายนอกจากเธอจะยังคงไม่ได้รับรู้คำตอบในปมปริศนาอะไรแล้ว ณ เวลานี้ก็ยังปรากฏปมปริศนาอย่างใหม่ขึ้นมาอีก มันคือบทลำนำเพลงบทที่สองที่มีบางอย่างเกี่ยวข้องกันกับศิวลึงค์
“ศิวลึงค์ มันคืออะไร?...”
“อ้ายจันเป็นใคร? ...”
“ลำนำเพลงปริศนาทั้งสองบทใครเป็นผู้แต่งแลขับร้อง? ...”
ณ เวลานี้ บทลำนำเพลงผีสิงบทใหม่ ก็ได้เริ่มปรากฏขึ้นมาอีก ผู้ขับร้องบทลำนำเพลงต้องการจะบอกเล่าสิ่งใดให้เธอได้รับรู้ หรือว่าจะบอกถึงที่หลบซ่อนของศิวลึงค์ มันต้องใช่อย่างนั้นแน่นอน หากแม้นว่าเธอสามารถที่จะถอดปมปริศนาในบทลำนำเพลงผีสิงบทใหม่นี้ได้ เธอก็จะสามารถที่จะตามสืบเสาะค้นหาศิวลึงค์จนพบได้ในที่สุด พร้อมกับการไขปมปริศนาอย่างอื่น ที่ยังสืบค้นหาคำตอบมิได้ด้วยเช่นกัน มันจะต้องมีคำตอบอยู่ภายในสถานที่แห่งใดสักแห่งในโรงละครผีสิงนี้อย่างแน่นอน
“คุณหลวงวัตรฯ ขอรับ คุณหลวงวัตรฯ ได้ยินเสียงของอ้ายจันบ่าวคนนี้ หรือไม่ ขอรับ....คุณหลวงวัตรฯ ขอรับ...”
“อ้ายจันนั้นเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าได้ยินเสียงของข้าหรือไม่ อ้ายจัน...ทำไมเจ้าถึงมิได้ยินเสียงของข้า อ้ายจัน ทำไม...กัน”
“อ้ายจัน ขอโทษขอรับคุณหลวง แต่มิต้องรอคอยนาน อ้ายจันจักทำให้คุณหลวงได้ยินน้ำเสียงของอ้ายจันอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน อ้ายจันขอสัญญาขอรับคุณหลวง...ด้วยเลือดเนื้อ แลชีวิตของพวกมันทั้งทุกคน อาถรรพ์แห่งศิวลึงค์จักกลับคืนมาอีกครั้งขอรับ คุณหลวงวัตรฯ”
“อย่านะอ้ายจัน...อย่าอ้ายจัน” คุณหลวงวัตรฯ ร้องตะโกนกึกก้องกังวานด้วยความตื่นตกใจกลัว ในความหมายจากแววตาของอ้ายจันบ่าวคนสนิท ผู้คอยรับใช้เมื่อศตวรรษเก่าก่อน ในเวลานี้ แม้นร่างกายของอ้ายจันจักแก่เฒ่าแลชราแห้งเหี่ยวตามกาลเพลาไปมากมายจนจดจำไม่ได้บ้างแล้ว ยกเว้นก็แต่ความซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเท่านั้น ที่ยังคงยึดมั่น ถือมั่นอยู่เช่นเดิม ที่กาลเพลาไม่สามารถจักเปลี่ยนแปรความภักดีนั้นไปได้เลย
“อย่าได้เข่นฆ่าพวกเขาเลย อ้ายจัน...หยุดเถอะข้าขอร้อง” ไม่มีน้ำเสียงตอบรับกลับคืนมาจากอ้ายจันอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างจืดจางหายไปต่อหน้าต่อตาคุณหลวงวัตรฯ
“อ้ายจันจักเอาชีวิตของพวกมันทุกคน เพื่อที่คุณหลวงวัตรฯ จักได้กลับคืนสู่ตบะแลฌานอันแก่กล้ากลับคืนมาอีกครั้ง อ้ายจันขอสัญญา ขอรับ”
“อย่าอ้ายจัน...ได้โปรดหยุด...ข้ามิได้ต้องการมันแล้ว”
…………………………….
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ