Whirligig : #1 อาถรรพ์ผีคุณไสย(The sorcery)
-
8) เศษเสี้ยวของปริศนา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเศษเสี้ยวของปริศนา
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแต่มีปริศนา แต่มนุษย์เรากลับละโมบใคร่รู้คำตอบนั้น แม้จะเสี่ยงอันตรายก็ตามเพื่อสนองความอยากในการไขปริศนาให้กระจ่าง ไฉนเลยมนุษย์เรากลับไม่รู้ว่าตนเองเป็นพวกที่มีปริศนาเยอะที่สุด เพราะ.......
มนุษย์นั้นแล ยากแท้หยั่งถึง
เหตุการณ์ผ่านมาได้ 7 วัน หลังจากอาจารย์ศิริวรรณเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทุกคนต่างตกใจในการจากไปของเธอ บุคลากรและนักเรียนในโรงเรียนอรุณปัญญามางานงานศพของด้วยอาการเศร้าสร้อย เว้นแต่เพทาย
เขาเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง เพื่อปิดกั้นตัวเองจากบางอย่าง สิ่งนั้น ตามหลอกหลอนทุกคราที่เขาข่มตาหลับ มันไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาแต่มันเป็นความรู้สึก
ความทรงจำหลอนกับอันตรายที่จะมาถึง ทุกครั้งที่นอนความกลัวมากมายถาโถมเข้ามาจนจุกอก ภาพเหตุการณ์วันนั้นมันยิ่งแจ่มแจ้งคอยตอกย้ำว่า...มันคือเรื่องจริง
“ฉันต้องไม่นอน พอไม่นอนแล้วจะไม่ฝัน” เพทายมือสั่นตักผงกาแฟใส่แก้ว ซึ่งตอนนี้มันมีมากถึงครึ่งแก้วแล้ว เป็นปริมาณที่ส่งผลเสียต่อร่างกายมนุษย์โดยตรง เขาเลิ่กลั่กกดน้ำร้อนใส่แก้ว
“เพทาย!? นั่นลูกจะทำอะไร” จิราแย่งถ้วยกาแฟจากมือลูกชาย
“ไม่!! แม่!? ผมไม่อยากนอน ความฝันมันน่ากลัว!!!” เพทายพยายามแย่งแก้วจากมือมารดา
“ลูกไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วนะ” จิรามองเพทายอย่างกังวล หล่อนรู้สึกทรมานที่เห็นลูกชายเป็นแบบนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นวันที่เพทายฟื้นขึ้นมา เขาหวาดผวาตัวสั่นกลัวไปหมดทุกอย่างแม้กระทั่งเสียงลม พอให้นอนพักผ่อน ก็ไม่ยอมนอนบอกว่ากลัวความฝัน
“ผมไม่อยากฝันถึงมัน เหตุการณ์วันนั้น....” มือของเพทายกุมขมับทั้งสองข้าง ส่ายหน้า ร้องไห้เหมือนกับว่าไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
ฝัน.......ฉันต้องไม่หลับ
แล้วฉันจะไม่ฝัน........ฝัน!!?
ในความฝันนั้น....ฉัน...กลัว
ช่วยด้วย............
เวลานี้อาทิตย์อัสดงฉายแสงส่องผิวโลก ทุกหนทุกแห่งถูกฉาบด้วยสีแดงเลือดของแสงนั้น รุ่งอรุณลงจากรถเมล์เดินไปเรื่อยๆเพื่อกลับวัด มีเหตการณ์เกิดขึ้นมากมายเมื่อได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนอรุณปัญญา เขาไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยเหมือนกับคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ไปเสียแล้ว เหตุการณ์ที่อยู่ๆก็มีปริศนาเกิดขึ้น แล้วเมื่อผ่านไปปมแต่ละปมก็ถูกคลายให้กระจ่างโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่เฝ้ามอง เฝ้ามองว่าปมนั้นจะถูกไขออกเมื่อไร
“ ฮึๆ ทำให้ฉันสนุกมากกว่านี้สิ ฉันรอดูอยู่นะ”
หลังจากโรงเรียนเลิก ธันวาขับรถมาที่บ้านเพทาย เขาเดินลงจากรถยืนมองบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง ตัวบ้านเหมือนทาวเฮาส์ที่แบ่งขายทั่วไป เมื่อมองผ่านรั้วเข้าไปก็เห็นหย่อมที่ประดับไปด้วยกล้วยไม้นานาพันธุ์
“อ้าว อาจารย์มาเยี่ยมเพทายเหรอครับ” อนันต์ถือสายยางรดน้ำต้นไม้ เงยหน้าอย่างเป็นมิตร
“อ่อครับ กล้วยไม้สวยจังเลยนะครับ ท่าทางจะดูแลอย่างดี” ธันวามองดูกล้วยไม้พวกนั้นอย่างทะนุถนอม
“ครับ ปกติผมกับลูกชายพลัดกันดูแลบ่อยๆ แต่ตอนนี้....” แววตาอนันต์เสร้าลง เมื่อเอ่ยถึงลูกชาย
“อ้าว!? อาจารย์ธันวาเข้ามานั่งในบ้านก่อนสิค่ะ” จิราเปิดประตูออกมาด้วยความแปลกใจ
ธันวารู้จักกับพ่อแม่เพทายได้ ไม่ใช่ว่าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างเดียว แต่เพราะพ่อแม่ของเพทายนั้นเป็นหมอทั้งคู่ พวกเขาจึงกว้างขวางเป็นที่รู้จักของคนในหมูบ้านและละแวกใกล้เคียง
“ตอนนี้เพทายอาการเป็นยังไงบ้างครับ” ธันวานั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน ดื่มแต่กาแฟอย่างเดียวเลยครับ” อนันต์เงยมองห้องของเพทายแวบนึง
“กาแฟ?? ทำไมต้องเป็นกาแฟด้วยล่ะครับ” ธันวาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เขาบอกว่าไม่อยากหลับ จะได้ไม่ต้องฝัน” จิรากุมมือทั้งสองบนตัก อนันต์โอบภรรยาเพื่อให้กำลังใจ
“เขาฝันถึงอะไรครับ ทำไมถึงกลัวจนไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน” ธันวาเงยมองห้องเพทายด้วยความกังวล
“ไม่ทราบครับ เขาบอกซ้ำไปซ้ำ มาแค่ว่า ผมไม่อยากฝัน มันน่ากลัว” อนันต์นึกถึงตอนที่เพทายดื่มกาแฟอย่างบ้าคลั่งทันทีที่เขาง่วง แทบจะกินแทนน้ำเปล่าเลยก็ว่าได้ ล่าสุดเขาเห็นลูกชายตัวเองเอาผงกาแฟจากขวดโหลกรอกใส่ปาก ราวกับว่ามันไม่ขม
“ขอผมเข้าไปคุยกับเขาได้รึป่าวครับ” สีหน้าของธันวาบอกถึงความเป็นห่วง
“เชิญครับ” อนันต์พยุงจิราขึ้นบันไดไปห้องเพทาย
ก๊อกๆ
“เพทาย เปิดประตูให้ครูหน่อย” ธันวาเคาะประตู
“ครูครับ ครูเคยฝันร้ายมั้ยครับ” เสียงคำถามเพทายลอดผ่านประตู ธันวาชะงักมือเคาะแต่ไม่มีท่าทีว่าเจ้าของห้องจะเปิดประตู
“เคยนะ แต่ฝันก็คือฝัน พอตื่นขึ้นมามันก็ไม่ใช่เรื่องจริง” ธันวาคงยืนอยู่หน้าประตู
“หลังจากวันนั้นมา มันยังคงหลอกหลอนผมอยู่เรื่อยๆฝัน ทุกครั้งข่มตาหลับความมืดนั้นกำลังกลืนกินร่างผม ความกลัวแล่นเข้ามาในหัวใจจนจุกอก เสียงที่เปล่งอย่างลำบากเหมือนสำลักอะไรอยู่ในปาก เมื่อผมหลับฝันเหมือนกับว่าตัวเองหลุดไปอีกโลกหนึ่งที่ไม่รู้จัก” เสียงเพทายสั่นเย็นจนคนฟังต้องขนลุกเกลียว
ทันทีที่สิ้นเสียงเพทาย ประตูห้องก็เปิดออกเองอย่างช้าๆ เพทายนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เขามีสภาพเหมือนซากศพ ขอบตาลึกดำจากขาดการพักผ่อนมาหลายวัน ร่างกายซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
อย่างนี้เองสินะ ที่เขาเรียก
ขวัญหนี ดีฝ่อ
“เพทาย!!!” จิราตกใจแทบลมจับ อนันต์รีบประคองภรรยา เขามองลูกชายตัวเองในห้องที่ไม่ต่างอะไรกับซากศพที่ยังหายใจด้วยความเวทนา
“รีบพาเพทายไปโรงพยาบาลเถอะครับ” ธันวากับอนันต์พยุงเพทายขึ้นจากเตียงไปที่รถ โดยมีเสียงสะอื้นของจิราตามมาเป็นระยะๆ
“จันทร์!! เธอรู้รึป่าว เมื่อวานนายเพทายเข้าโรงพยาบาลล่ะ” นันทภาเดินมาที่โต๊ะของจันทร์
“อืม ฉันว่าน่าเป็นห่วงเขาอยู่นะ” นาฎจันทร์นึกถึงวันนั้น เพทายรู้ว่าอาจารย์ศิริวรรณรถคว่ำเสียชีวิต เขาร้องลั่นเหมือนคนเสียสติแล้วก็หงายท้องตึงไปเลย ยิ่งกว่านั้นคือ บอกว่าตัวเองเจออาจารย์ศิริวรรณทั้งๆที่อาจารย์เสียชีวิตไปแล้ว
“ฉันได้ข่าวมาล่ะ อาจารย์ธันวาไม่เข้าสอนวันนี้”เจียระไนถือถุงขนมเตรียมแกะกิน
“ก็แน่ล่ะ เจอแบบนั้นใครไม่ช็อคก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว” นันทภาหยิบกินขนมในถุงขนมที่เจียระไนถือ
“เจออะไร” กรเลิศเงยหน้ามอง หลังจากที่ก้มหน้าก้มตาท่องสูตรฟิสิกส์อยู่นาน
“ก็เจอเพทายที่ผอมแห้งเหลือแต่หุ้มกระดูกนอนอยู่บนเตียงเขาไงล่ะ” นันทภานึกภาพตามอย่างพะอืดพะอม
“เธอรู้ได้ไง” รุ่งอรุณกำลังหยิบพวกหนังสือเครื่องเขียนไว้บนโต๊ะ เตรียมที่จะเรียน
“ฉันได้ยินมาน่ะ เมื่อวานอาจารย์ธันวาไปเยี่ยมบ้านนายเพทาย ไปเจอสภาพเขาไม่ต่างกับผีตายซากอยู่ในห้องนอน คนในละแวกนั้นลือกัยให้แซ่ดเลย พอดีว่าบ้านฉันอยู่แถวนั้นด้วย” นันทภานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเอง
“งั้นวันเสาร์พรุ่งนี้ เราไปเยี่ยมเพทายที่โรงพยาบาลกันมั้ย” อมรเวทหยิบกินขนมในถุงขนมที่เจียระไนถือ
ทำไม!!? ชอบแย่งกันจัง
ขนมนี่ ฉันซื้อมาน้า~~~~~
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ