หัวใจใส่ถุง
6.2
เขียนโดย Mawmeaw
วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 18.12 น.
11 ตอน
9 วิจารณ์
20.50K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2562 10.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) เดินเกมรุก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ อากาศยามเช้าตรู่กำลังเย็นสบาย ลมพัดอ่อนๆโชยมาแต่ไกล หญิงสาวร่างบางค่อยๆวิ่งเหยาะๆไปตามทางเดินรอบๆสวนด้วยจังหวะสบายๆ และสม่ำเสมอ ไม่ใคร่จะเร่งรีบเท่าใดนัก
เสื้อและกางเกงวอร์มสีขาวตัวโปรดเริ่มจะชื้นไปด้วยเหงื่อบ้างแล้ว แต่เจ้าตัวกลับไม่ใส่ใจ ยังคงวิ่งเหยาะๆไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างสบายอกสบายใจ เห็นได้จากใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ของเจ้าตัว
“แหม คิดจะเรียกคะแนนสงสารจากใครๆ ในบ้านนี้ ด้วยการออกมาทำตัวโชว์พลังแต่เช้าเลยนะแม่คู๊ณ”
พัสรียาชะลอฝีเท้าและหันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียง พบชายหนุ่มทายาทคนเดียวของตระกูล ยืนกอดอกในชุดนอนทำหน้าตายียวนกวนประสาทเพื่อจงใจยั่วโทสะเธอโดยเฉพาะ
หญิงสาวไม่สนใจ เธอยังคงวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยไม่ได้หยุดพักและหล่อนก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดอีกเลย
“คิดว่าเธอทำเป็นหูทวนลมกับฉัน แล้วฉันจะหยุดง่ายๆ เหรอ ไม่มีทางหรอก พัสรียา”
นึกพลางก้องเกียรติก็ตัดสินใจเดินออกมายืนขวางหน้าเธอเอาไว้ เมื่อเธอต้องวิ่งผ่านมาทางเขาอีกรอบ เป็นเหตุให้เจ้าหล่อนต้องหยุดวิ่งอย่างเสียมิได้
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณก้อง ไม่นึกว่าคุณก็ตื่นแต่เช้าเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเชิญมาจ๊อกกิ้งด้วยกันหน่อยดีมั้ยคะ”
ชายหนุ่มชะงักไปกับคำพูดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของเธอเมื่อครู่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสิ่งที่เธอพูดไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเพิ่งจะกล่าวหาไปแม้แต่นิดเดียว
“เอ! หรือว่าลูกชายมหาเศรษฐีอย่างคุณ ไม่กล้าแม้แต่จะวิ่งจ๊อกกิ้งในตอนเช้าแบบนี้ล่ะค่ะ หรือว่าคุณกลัวว่าจะวิ่งไม่สู้ดิฉัน”
ได้ผลชะงัด เมื่อชายหนุ่มตรงหน้าของหล่อนเริ่มโกรธ ด้วยคำพูดของเธอช่างหยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างเขาเสียเหลือเกิน
“ใครว่า ผมไม่กล้า ใครว่าผมกลัวจะวิ่งไม่สู้คุณล่ะพัสรียา ได้ คุณอยากมาท้าผมเองนะ ช่วยไม่ได้จริงๆ”
ว่าแล้วเขาก็ออกวิ่งไปอย่างเร็วปานพายุหมุน แต่เพียงแค่ไม่กี่รอบเขาก็ต้องหยุดหอบแฮ่กๆ ในขณะที่หญิงสาวกลับวิ่งเหยาะอย่างสบายๆ แต่วิ่งได้ต่อเนื่องไม่มีหยุดพักเช่นเขา
ก้องเกียรติมองตามพัสรียาไปอย่างนึกฉงน เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าผู้หญิงรูปร่างบอบบางเช่นเธอจะมีความสามารถในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องได้นานขนาดนี้
เวลาครึ่งชั่วโมงผ่านไป พัสรียาก็เปลี่ยนจากการวิ่งเหยาะๆ มาเป็นเดินแทน เธอเดินชมสวนไปเรื่อยๆ และแวะเข้าไปนั่งพักบริเวณเก้าอี้ภายในสวน ซึ่งที่นั่นก้องเกียรติได้มาจับจองที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว
“นี่ พัสรียา ฉันถามเธอจริงๆเถอะ เธอและพ่อกับแม่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของฉัน ต้องการอะไรกันแน่ พวกเธอมีแผนการอะไรกับพ่อแม่ของฉันกันแน่”
หญิงสาวผู้ถูกถามเอื้อมมือหยิบผ้าขนหนูสีฟ้าอ่อนที่พันไว้รอบคอออกมาเช็ดเหงื่อที่เปียกชื้นบนใบหน้าอย่างใจเย็น ก่อนพูดขึ้นว่า
“ดิฉันจำได้ว่าดิฉันเคยบอกคุณไปแล้วนะคะว่าดิฉัน และพ่อแม่ของดิฉันเป็นแขกที่มาพักชั่วคราวของคุณพ่อคุณแม่ของคุณ เมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะไปค่ะ”
“เธอกำลังจะปฏิเสธใช่มั้ยว่าที่แม่ของฉันพูดเมื่อคืนไม่เป็นความจริง หรือว่าเธอเองนั่นแหละที่เป็นคนเป่าหูให้พ่อกับแม่ของฉันยอมรับเธอให้มาเป็นคู่หมั้นของฉัน เพื่อที่เธอจะได้เข้ามาปอกลอกทรัพย์สมบัติของตระกูลฉันได้ง่ายขึ้นใช่มั้ย”
“อ้อ ขอโทษทีเถอะค่ะ ดิฉันไม่ขอตอบคำถามเกี่ยวกับคำพูดของคุณแม่ของคุณ เพียงแต่ดิฉันอยากให้คุณรู้ว่าดิฉันและครอบครัวไม่เคยมีความคิดอกุศลอย่างที่คุณว่ามาแม้แต่นิดเดียว”
“แล้วอะไรที่ทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องใช้วิธีจับเธอกับฉันคลุมถุงชนในครั้งนี้ล่ะ”
“อ้อ ดิฉันคิดว่า เหตุผลข้อนี้คุณน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดนะคะ คุณก้องเกียรติ”
“นี่เธอกำลังหมายถึงอะไร พัสรียา”
“เอ่อ! ขอโทษทีเถอะค่ะ นี่ก็นานพอสมควรสำหรับการตอบคำถามของคุณ ดิฉันเห็นทีจะต้องขอตัวก่อน”
หญิงสาวพยุงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเดินออกไปชายหนุ่มก็ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“ดีล่ะ อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอกับครอบครัวของเธอกำลังคิดจะทำอะไรกัน ถ้าฉันรู้เมื่อไหร่ล่ะก็ เธอเป็นคนแรกที่ต้องถูกลงโทษ”
หญิงสาวหันกลับมา โค้งให้ชายหนุ่มอย่างสุภาพเป็นเชิงล้อเลียนเขากลายๆ
“ยินดีค่ะ”
ก้องเกียรติได้แต่บ่นอย่างหงุดหงิดหัวเสียกับตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรผู้หญิงอย่างพัสรียาได้
“เธอนี่มัน แน่มาก แน่จริงๆ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน พัสรียา”
พัสรียาเดินกลับเข้ามาในบ้าน ขณะนั้นคุณพัชรานั่งอยู่ที่โซฟาพอดีจึงได้เอ่ยปากถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
“พัส คุณก้องเค้าทำอะไร เค้าด่าว่าหรือดูถูกเหยียดหยามลูกรึเปล่า แล้วพัสเป็นอะไรรึเปล่าลูก”
“อ้อ เปล่าค่ะแม่ เค้าไม่ได้ทำอะไรพัสหรอกค่ะ เค้าก็แค่เด็กเกเรคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่ใครๆ คิดกันหรอกค่ะ”
“อย่างนั้นหรือพัส อืมพัสไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะจ้ะ แม่ว่าถ้าพัสอึดอัดหรือไม่สบายใจก็ไม่เป็นไรนะ ลูกไม่ต้องฝืนใจร่วมมือแกล้งเป็นคู่หมั้นของคุณก้องเกียรติเพื่อจะดัดนิสัยเค้าก็ได้ เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับยัยณีกับคุณท่านให้เอง”
“อ้อ พัสไม่เป็นไรหรอกค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงพัสนะคะ คุณท่านกับคุณหญิงเมตตาให้ที่พักแก่เรา เราก็ควรจะมีน้ำใจตอบแทนท่านบ้าง อย่างที่แม่เคยสอนพัสไงคะ จริงมั้ยคะแม่”
“โถ! พัสคนดีของแม่”
พัชราโน้มตัวบุตรสาวคนเล็กของเธอเข้ามากอดเอาไว้ แม่อย่างเธอเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวตนเองชัดเจน เธอมองออกว่าพัสรียาต้องอึดอัดใจและลำบากใจแค่ไหนกับการต้องร่วมมือกับเพื่อนรักของเธอในครั้งนี้ อีกทั้งการรับมือกับแบดบอยหนุ่มอย่างก้องเกียรติเป็นเรื่องกล้วยๆ เสียที่ไหน
หลังจากการสนทนาระหว่างแม่กับลูกจบลง พัสรียาก็ขอตัวเข้าไปยังห้องของเธอ โดยที่เธอไม่มีโอกาสรู้เลยว่า “บุคคลต้นเรื่อง” เช่นเขา ได้แอบฟังตลอดการสนทนาของทั้งคู่อยู่ข้างประตูใหญ่เสียตั้งนานแล้ว
ชายหนุ่มนึกในใจว่า
“ที่แท้พ่อกับแม่ก็ส่งยัยนี่มาเพื่อจะมาดัดนิสัยเรางั้นรึ แล้วยัยนี่ก็ยอมร่วมมือด้วยแต่โดยดี แสดงว่าคงจะได้รับสินจ้างรางวัลอย่างงามเลยทีเดียว ดีล่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันคงจะต้องเล่นไปตามเกมส์แล้วล่ะ ดูสิว่า เธอจะทำยังไงต่อไป พัสรียา”
ภายในห้องรับประทานอาหาร ทุกคนแทบจะสำลักอาหารที่กำลังกินอยู่ เมื่อทายาทตระกูลเกียรติการุณย์พูดจบลง
“คือผมมาคิดๆ ดูอีกที ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปฏิเสธความหวังดีของคุณพ่อคุณแม่ที่พยายามจะหาสะใภ้ที่ดีให้กับตระกูลเกียรติการุณย์ของเรา เพราะฉะนั้น ผมจะแต่งงานกับพัสรียาตามความประสงค์ของทุกคนครับ”
“หา นี่คุณก้องเกียรติ คุณว่าอะไรนะ”
“อ้อ คุณฟังไม่ผิดหรอกครับคุณพัสรียา ผมบอกว่าผมจะแต่งงานกับคุณ อ้อ คุณไม่ต้องดีใจจนออกนอกหน้าขนาดนั้นก็ได้นะครับคุณพัสรียา ว่าที่เจ้าสาวของผม”
ชายหนุ่มนึกชอบใจใหญ่ที่ได้เห็นหญิงสาวหน้าตาเรียบเฉยอย่างกับหน้ากากอย่างพัสรียา อุทานด้วยความตกใจและมีสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
'คุณแม่ครับ ขอโทษทีนะครับ ที่คุณแม่พยายามจะวางแผนผลักดันให้เธอเป็นคู่หมั้นปลอมๆ ของผม แต่ให้ตายสิ ผมไม่เคยต้องการแบบนั้นเลยครับ อย่างเธอต้องมาเป็นเจ้าสาวของผม ถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย'
พัสรียาไม่อาจจะทนอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ได้อีกต่อไป เธอตัดสินใจโพล่งขึ้นมาว่า
“เอ่อ! ขอโทษนะคะ ดิฉันต้องขอตัวก่อนค่ะ”
หญิงสาวรีบผลุนผลันออกไปจากห้องทันทีภายใต้สายตาของชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่มีสีหน้ายิ้มเยาะอย่างสมใจที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นฝ่ายรับ ในขณะที่เขากลับขึ้นมาเป็นฝ่ายรุกในสนามประลองนี้แทน ขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนในห้องกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนรู้ดีว่างานนี้คนที่ต้องรับบทหนักที่สุดก็คือ หล่อน...พัสรียา...
( โปรดติดตามตอนต่อไป )
เสื้อและกางเกงวอร์มสีขาวตัวโปรดเริ่มจะชื้นไปด้วยเหงื่อบ้างแล้ว แต่เจ้าตัวกลับไม่ใส่ใจ ยังคงวิ่งเหยาะๆไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างสบายอกสบายใจ เห็นได้จากใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ของเจ้าตัว
“แหม คิดจะเรียกคะแนนสงสารจากใครๆ ในบ้านนี้ ด้วยการออกมาทำตัวโชว์พลังแต่เช้าเลยนะแม่คู๊ณ”
พัสรียาชะลอฝีเท้าและหันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียง พบชายหนุ่มทายาทคนเดียวของตระกูล ยืนกอดอกในชุดนอนทำหน้าตายียวนกวนประสาทเพื่อจงใจยั่วโทสะเธอโดยเฉพาะ
หญิงสาวไม่สนใจ เธอยังคงวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยไม่ได้หยุดพักและหล่อนก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดอีกเลย
“คิดว่าเธอทำเป็นหูทวนลมกับฉัน แล้วฉันจะหยุดง่ายๆ เหรอ ไม่มีทางหรอก พัสรียา”
นึกพลางก้องเกียรติก็ตัดสินใจเดินออกมายืนขวางหน้าเธอเอาไว้ เมื่อเธอต้องวิ่งผ่านมาทางเขาอีกรอบ เป็นเหตุให้เจ้าหล่อนต้องหยุดวิ่งอย่างเสียมิได้
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณก้อง ไม่นึกว่าคุณก็ตื่นแต่เช้าเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเชิญมาจ๊อกกิ้งด้วยกันหน่อยดีมั้ยคะ”
ชายหนุ่มชะงักไปกับคำพูดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของเธอเมื่อครู่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสิ่งที่เธอพูดไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเพิ่งจะกล่าวหาไปแม้แต่นิดเดียว
“เอ! หรือว่าลูกชายมหาเศรษฐีอย่างคุณ ไม่กล้าแม้แต่จะวิ่งจ๊อกกิ้งในตอนเช้าแบบนี้ล่ะค่ะ หรือว่าคุณกลัวว่าจะวิ่งไม่สู้ดิฉัน”
ได้ผลชะงัด เมื่อชายหนุ่มตรงหน้าของหล่อนเริ่มโกรธ ด้วยคำพูดของเธอช่างหยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างเขาเสียเหลือเกิน
“ใครว่า ผมไม่กล้า ใครว่าผมกลัวจะวิ่งไม่สู้คุณล่ะพัสรียา ได้ คุณอยากมาท้าผมเองนะ ช่วยไม่ได้จริงๆ”
ว่าแล้วเขาก็ออกวิ่งไปอย่างเร็วปานพายุหมุน แต่เพียงแค่ไม่กี่รอบเขาก็ต้องหยุดหอบแฮ่กๆ ในขณะที่หญิงสาวกลับวิ่งเหยาะอย่างสบายๆ แต่วิ่งได้ต่อเนื่องไม่มีหยุดพักเช่นเขา
ก้องเกียรติมองตามพัสรียาไปอย่างนึกฉงน เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าผู้หญิงรูปร่างบอบบางเช่นเธอจะมีความสามารถในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องได้นานขนาดนี้
เวลาครึ่งชั่วโมงผ่านไป พัสรียาก็เปลี่ยนจากการวิ่งเหยาะๆ มาเป็นเดินแทน เธอเดินชมสวนไปเรื่อยๆ และแวะเข้าไปนั่งพักบริเวณเก้าอี้ภายในสวน ซึ่งที่นั่นก้องเกียรติได้มาจับจองที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว
“นี่ พัสรียา ฉันถามเธอจริงๆเถอะ เธอและพ่อกับแม่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของฉัน ต้องการอะไรกันแน่ พวกเธอมีแผนการอะไรกับพ่อแม่ของฉันกันแน่”
หญิงสาวผู้ถูกถามเอื้อมมือหยิบผ้าขนหนูสีฟ้าอ่อนที่พันไว้รอบคอออกมาเช็ดเหงื่อที่เปียกชื้นบนใบหน้าอย่างใจเย็น ก่อนพูดขึ้นว่า
“ดิฉันจำได้ว่าดิฉันเคยบอกคุณไปแล้วนะคะว่าดิฉัน และพ่อแม่ของดิฉันเป็นแขกที่มาพักชั่วคราวของคุณพ่อคุณแม่ของคุณ เมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะไปค่ะ”
“เธอกำลังจะปฏิเสธใช่มั้ยว่าที่แม่ของฉันพูดเมื่อคืนไม่เป็นความจริง หรือว่าเธอเองนั่นแหละที่เป็นคนเป่าหูให้พ่อกับแม่ของฉันยอมรับเธอให้มาเป็นคู่หมั้นของฉัน เพื่อที่เธอจะได้เข้ามาปอกลอกทรัพย์สมบัติของตระกูลฉันได้ง่ายขึ้นใช่มั้ย”
“อ้อ ขอโทษทีเถอะค่ะ ดิฉันไม่ขอตอบคำถามเกี่ยวกับคำพูดของคุณแม่ของคุณ เพียงแต่ดิฉันอยากให้คุณรู้ว่าดิฉันและครอบครัวไม่เคยมีความคิดอกุศลอย่างที่คุณว่ามาแม้แต่นิดเดียว”
“แล้วอะไรที่ทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องใช้วิธีจับเธอกับฉันคลุมถุงชนในครั้งนี้ล่ะ”
“อ้อ ดิฉันคิดว่า เหตุผลข้อนี้คุณน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดนะคะ คุณก้องเกียรติ”
“นี่เธอกำลังหมายถึงอะไร พัสรียา”
“เอ่อ! ขอโทษทีเถอะค่ะ นี่ก็นานพอสมควรสำหรับการตอบคำถามของคุณ ดิฉันเห็นทีจะต้องขอตัวก่อน”
หญิงสาวพยุงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเดินออกไปชายหนุ่มก็ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“ดีล่ะ อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอกับครอบครัวของเธอกำลังคิดจะทำอะไรกัน ถ้าฉันรู้เมื่อไหร่ล่ะก็ เธอเป็นคนแรกที่ต้องถูกลงโทษ”
หญิงสาวหันกลับมา โค้งให้ชายหนุ่มอย่างสุภาพเป็นเชิงล้อเลียนเขากลายๆ
“ยินดีค่ะ”
ก้องเกียรติได้แต่บ่นอย่างหงุดหงิดหัวเสียกับตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรผู้หญิงอย่างพัสรียาได้
“เธอนี่มัน แน่มาก แน่จริงๆ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน พัสรียา”
พัสรียาเดินกลับเข้ามาในบ้าน ขณะนั้นคุณพัชรานั่งอยู่ที่โซฟาพอดีจึงได้เอ่ยปากถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
“พัส คุณก้องเค้าทำอะไร เค้าด่าว่าหรือดูถูกเหยียดหยามลูกรึเปล่า แล้วพัสเป็นอะไรรึเปล่าลูก”
“อ้อ เปล่าค่ะแม่ เค้าไม่ได้ทำอะไรพัสหรอกค่ะ เค้าก็แค่เด็กเกเรคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่ใครๆ คิดกันหรอกค่ะ”
“อย่างนั้นหรือพัส อืมพัสไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะจ้ะ แม่ว่าถ้าพัสอึดอัดหรือไม่สบายใจก็ไม่เป็นไรนะ ลูกไม่ต้องฝืนใจร่วมมือแกล้งเป็นคู่หมั้นของคุณก้องเกียรติเพื่อจะดัดนิสัยเค้าก็ได้ เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับยัยณีกับคุณท่านให้เอง”
“อ้อ พัสไม่เป็นไรหรอกค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงพัสนะคะ คุณท่านกับคุณหญิงเมตตาให้ที่พักแก่เรา เราก็ควรจะมีน้ำใจตอบแทนท่านบ้าง อย่างที่แม่เคยสอนพัสไงคะ จริงมั้ยคะแม่”
“โถ! พัสคนดีของแม่”
พัชราโน้มตัวบุตรสาวคนเล็กของเธอเข้ามากอดเอาไว้ แม่อย่างเธอเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวตนเองชัดเจน เธอมองออกว่าพัสรียาต้องอึดอัดใจและลำบากใจแค่ไหนกับการต้องร่วมมือกับเพื่อนรักของเธอในครั้งนี้ อีกทั้งการรับมือกับแบดบอยหนุ่มอย่างก้องเกียรติเป็นเรื่องกล้วยๆ เสียที่ไหน
หลังจากการสนทนาระหว่างแม่กับลูกจบลง พัสรียาก็ขอตัวเข้าไปยังห้องของเธอ โดยที่เธอไม่มีโอกาสรู้เลยว่า “บุคคลต้นเรื่อง” เช่นเขา ได้แอบฟังตลอดการสนทนาของทั้งคู่อยู่ข้างประตูใหญ่เสียตั้งนานแล้ว
ชายหนุ่มนึกในใจว่า
“ที่แท้พ่อกับแม่ก็ส่งยัยนี่มาเพื่อจะมาดัดนิสัยเรางั้นรึ แล้วยัยนี่ก็ยอมร่วมมือด้วยแต่โดยดี แสดงว่าคงจะได้รับสินจ้างรางวัลอย่างงามเลยทีเดียว ดีล่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันคงจะต้องเล่นไปตามเกมส์แล้วล่ะ ดูสิว่า เธอจะทำยังไงต่อไป พัสรียา”
ภายในห้องรับประทานอาหาร ทุกคนแทบจะสำลักอาหารที่กำลังกินอยู่ เมื่อทายาทตระกูลเกียรติการุณย์พูดจบลง
“คือผมมาคิดๆ ดูอีกที ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปฏิเสธความหวังดีของคุณพ่อคุณแม่ที่พยายามจะหาสะใภ้ที่ดีให้กับตระกูลเกียรติการุณย์ของเรา เพราะฉะนั้น ผมจะแต่งงานกับพัสรียาตามความประสงค์ของทุกคนครับ”
“หา นี่คุณก้องเกียรติ คุณว่าอะไรนะ”
“อ้อ คุณฟังไม่ผิดหรอกครับคุณพัสรียา ผมบอกว่าผมจะแต่งงานกับคุณ อ้อ คุณไม่ต้องดีใจจนออกนอกหน้าขนาดนั้นก็ได้นะครับคุณพัสรียา ว่าที่เจ้าสาวของผม”
ชายหนุ่มนึกชอบใจใหญ่ที่ได้เห็นหญิงสาวหน้าตาเรียบเฉยอย่างกับหน้ากากอย่างพัสรียา อุทานด้วยความตกใจและมีสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
'คุณแม่ครับ ขอโทษทีนะครับ ที่คุณแม่พยายามจะวางแผนผลักดันให้เธอเป็นคู่หมั้นปลอมๆ ของผม แต่ให้ตายสิ ผมไม่เคยต้องการแบบนั้นเลยครับ อย่างเธอต้องมาเป็นเจ้าสาวของผม ถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย'
พัสรียาไม่อาจจะทนอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ได้อีกต่อไป เธอตัดสินใจโพล่งขึ้นมาว่า
“เอ่อ! ขอโทษนะคะ ดิฉันต้องขอตัวก่อนค่ะ”
หญิงสาวรีบผลุนผลันออกไปจากห้องทันทีภายใต้สายตาของชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่มีสีหน้ายิ้มเยาะอย่างสมใจที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นฝ่ายรับ ในขณะที่เขากลับขึ้นมาเป็นฝ่ายรุกในสนามประลองนี้แทน ขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนในห้องกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนรู้ดีว่างานนี้คนที่ต้องรับบทหนักที่สุดก็คือ หล่อน...พัสรียา...
( โปรดติดตามตอนต่อไป )
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ