เล่ห์กลรักเงาอสูร
-
27) บทที่ 5 ค่ำคืนแห่งรัก_1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเล่ห์กลรักเงาอสูร
บทที่ 5 ค่ำคืนแห่งรัก_1
“ที่คุ้มคุณดลและพรรคพวก น่าจะได้รับคำเชิญไปเป็นแขกของคุ้ม” มินตราพูดแทรกขึ้น ทำให้รำพันมีความสุขและความหวังมากยิ่งขึ้น แต่เจ้าหม่อนเมืองกับกำลังเริ่มจะมีความรู้สึกสงสัย ความนัยบางอย่างเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“หมายความว่าผมอาจจะไม่ได้รับคำเชิญหรือครับ” เจ้าหม่อนเมืองตั้งคำถามขึ้นในทันที “เป็นไปได้มากที่พ่อเลี้ยงเกียงไกร จะไม่ต้องการอยากที่จะพบหน้าคุณในเวลานี้” น้ำเสียงประชดประชันของมินตรา ทำให้เจ้าหม่อนเมืองรู้สึกเจ็บปวดและมีความโกรธปรากฏอย่างเด่นชัดอยู่ภายในแววตาสีดำ
“ทำไมผมถึงจะไม่ได้รับคำเชิญไปที่คุ้มด้วยครับ และทำไมพ่อเลี้ยงเกียงไกร ถึงไม่ต้องการอยากที่จะพบหน้าผมในเวลานี้ ช่วยอธิบายให้ผมได้เข้าใจหน่อย ได้ไหมครับ”
“เอ่อ..เจ้าข๊า รำพันพอจะรู้คำตอบค่ะ” เจ้าหม่อนเมืองหันวงหน้าอันหล่อเหลาและแววตาต้องสงสัย มาจับจ้องมองวงหน้าอันสะสวยของรำพัน หญิงสาวอีกคนที่เพิ่งจะพูดแทรกขึ้นมา
“เจ้าคงยังไม่รู้ว่าวันนี้ พ่อเลี้ยงเกียงไกร และคุณพ่อของรำพันไปทำธุระกันที่คุ้มเวียงผาหมอก” รำพันรอจังหวะที่จะให้เจ้าหม่อนเมือง พูดแทรกตัดบทกลับคืนมา แต่ก็ยังคงไม่มีสัญญาณการตอบรับสิ่งใดจากเจ้าหม่อนเมืองตอบรับกลับคืนมาอย่างที่ตั้งใจรอคอย
“เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะหลบหน้าพ่อเลี้ยงเกียงไกรหรอกใช่ไหมค่ะ” รำพันเฝ้ารอคอยให้เจ้าหม่อนเมือง รีบพูดตอบรับคำถามกลับคืนมาอีกครั้ง อย่างใจจดใจจ่อ เช่นเดียวกันกับมินตราที่ต่างก็นั่งเฝ้ารอคอยรับฟังคำตอบและจับจ้องมองกิริยาท่าทางของเจ้าหม่อนเมืองอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
“ผมก็พอที่จะรับรู้มาบ้าง อยู่เช่นกันว่าพ่อเลี้ยงเกียงไกรต้องการอยากจะไปพบ แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นวันนี้ก็เท่านั้นเอง” มันเป็นคำตอบโกหกที่ไม่มีใครคิดอยากจะหลงเชื่อ แม้แต่รำพันเองก็ตาม
“พวกคุณคงจะไม่บอกกับผมหรอกนะครับว่า ที่ผมไม่ได้รับคำเชิญไปที่คุ้มเวียงผาหลวงด้วยในครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าผม เกิดไปผิดนัดกับพ่อเลี้ยงเกียงไกร”
“ก็อาจจะเป็นไปได้ครับเจ้า” นายยอดชายพูดแทรกขึ้นมาด้วยอีกหนึ่งเสียง
“เท่าที่ผมพอจะรับรู้มา พ่อเลี้ยงเกียงไกรส่งคนไปเชิญให้เจ้า มาเป็นแขกที่คุ้มหลายครั้ง แต่ทางเจ้ากับปฏิเสธคำเชิญ จนในวันนี้พ่อเลี้ยงนัดที่จะไปพบปะเจอะเจอกับเจ้าที่คุ้มเวียงผาหมอกด้วยตัวของพ่อเลี้ยงเอง และมันก็อาจจะเป็นไปได้ที่พ่อเลี้ยงเกียงไกรจะไม่ได้พบปะกับเจ้า แล้วพ่อเลี้ยงเกียงไกรท่านก็คงจะโกรธและโมโหมากๆ จนในที่สุดก็ไม่คิดต้องการอยากที่จะพบปะเจอหน้าของเจ้าอีกในเร็วๆ วันนี้” คำพูดของนายยอดชายทำให้เจ้าหม่อนเมืองหน้าซีดเซียวลงไปอย่างถนัดตา
“ความจริงผมมีเหตุผล ที่ไม่สามารถจะรอคอยพบปะเจอะเจอกับพ่อเลี้ยงเกียงไกรในวันนี้” แม้จะตกใจจนหน้าตาซีดเผือด แต่เจ้าหม่อนเมืองก็ยังคงเปล่งน้ำเสียงสารภาพออกมาตรงๆ ได้ แม้มันจะเป็นกิริยาท่าทางอย่างเสแสร้งแกล้งพูดออกมาก็ตาม
“แต่ผมก็ไม่สามารถจะอธิบายเหตุผล ให้กับพวกคุณทุกคน ได้รับทราบด้วยได้จริงๆ ”
“อธิบายเหตุผลไม่ได้ หรือจนปัญญาที่จะไปสืบเสาะค้นหาเหตุผลมาอธิบายกันแน่ค่ะ..เจ้า” น้ำเสียงประชดประชันของมินตรา ดังแทรกขึ้นมาอีกครั้ง อย่างนึกหมั่นไส้เจ้าหม่อนเมืองขึ้นมาจริงๆ
“คุณเมคงไม่คิดที่จะบีบบังคับให้ผมตอบคำถามยากๆ พวกนี้หรอกนะครับ เพราะมันยังคงเป็นข้อพิพาทกันระหว่างผมกับพ่อเลี้ยงเกียงไกร ที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนของศาล ผมจึงไม่สามารถจะนำเรื่องราวในข้อพิพาท ออกมาอธิบายให้กับพวกคุณทุกคน ได้รับฟังกันด้วยได้จริงๆ”
“เจ้าพูดเหมือนกับว่ามันเป็นความลับระดับชาติ จนไม่สามารถจะบอกเล่าให้กับใคร ได้รับฟังด้วยได้” ทุกคนที่รวมโต๊ะรับประทานอาหาร ต่างก็พากันสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงอันผิดปกติ ที่มินตรากำลังเปล่งประชดประชันออกมา รวมถึงเจ้าหม่อนเมืองเองก็สามารถจะสัมผัสและรับรู้ด้วยได้เช่นเดียวกัน
“ซึ่งความเป็นจริงแล้ว จะมีใครกันสักกี่คน ในคุ้มเวียงผาหลวงแห่งนี้ ที่จะไม่รับรู้ถึงเรื่องราวข้อพิพาทของเจ้าและพ่อเลี้ยงเกียงไกร” เมื่อพูดจบประโยค มินตรายกแก้วน้ำขึ้นมานั่งจิบด้วยกิริยาท่าทาง อันพร้อมจะลุกขึ้นก้าวเดินหลบหนีออกจากโต๊ะรับประทานอาหาร อย่างไม่คิดจะรักษามารยาท อย่างเจ้าของบ้านที่ดีควรจะทำเลยแม้แต่สักนิดเดียว
“ฉันกับคุณไม้คงตัวขอตัวกลับก่อน เชิญพวกคุณทุกคนนั่งพูดคุยกันต่อตามสบาย” มินตราจับและดึงฝามือของธเนศ ให้ลุกขึ้นยืนตรงอยู่เคียงข้างกับเธอ พร้อมที่จะก้าวเดินหลบหนีออกจากกลุ่มของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ
“พวกคุณสองคน จะกลับไปยังเรือนพักกันแล้วหรือครับ” แม้เจ้าหม่อนเมืองเปล่งน้ำเสียงตั้งคำถาม อย่างนึกตกใจแต่แววตากลับมุ่งตรงไปยังมินตราเพียงแค่คนเดียว
“เจ้ายังต้องการอยากที่จะให้พวกเราทั้งสองคน อยู่นั่งพูดคุยด้วยอีกหรือค่ะ”
“อยู่กันต่ออีกสักครู่ได้ไหมครับ”
“อย่าเลยค่ะเจ้า มันจะทำให้เจ้ารู้สึกหนักใจไปเสียเปล่าๆ “
“เราพูดคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อไปก็ได้นี่ครับ”
“อย่างเช่นเรื่องอะไรหรือค่ะเจ้า” มินตราตั้งคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดและเป็นน้ำเสียงของประชดประชั้นอยู่เช่นเดิม
“เมื่อเรื่องราวส่วนตัวของเจ้าต่างเป็นความลับมากมาย จนไม่สามารถจะอธิบายให้กับใคร รับฟังด้วยได้ ดังนั้นเรื่องราวของพวกเราในคุ้มแห่งนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องเป็นความลับด้วยเช่นเดียวกัน ฉันจึงคิดว่าพวกเราทุกคนหยุดพูดคุยกันเลยจะดีกว่า พรุ่งนี้ต่างคนก็ต่างจงแยกย้ายกันไป และคิดเสียว่าพวกเราทุกคนต่างก็ไม่เคยมาพบปะเจอะเจอหน้ากันมาก่อน” มินตราลุกขึ้นยืนตัวตรง สำรวจเสื้อผ้าและเครื่องแต่งตัวให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย แล้วจึงจับจ้องมองใบหน้าของแขกแปลกหน้าทั้งห้าคน ที่ต่างก็มีสีหน้าและแววตาซีดเซียว อย่างกำลังรู้สึกตกใจ ในกิริยาท่าทางอันไร้มารยาทของมินตรา
“การไร้มารยาทของฉันในวันนี้ ฉันคงต้องขอโทษพวกคุณทุกคนด้วย ฉันจำเป็นจะต้องขอตัวกลับก่อนแล้วจริงๆ” ธเนศลุกขึ้นยืนตัวตรงด้วยอีกคน พร้อมจับจ้องมองใบหน้าของเจ้าหม่อนเมืองเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมเตรียมตัวที่จะก้าวเดินหลบหนีไปด้วยอีกคน “ผมเองก็คงต้องขอตัวกลับก่อนเช่นกัน เชิญพวกคุณทุกคนตามสบายเลยครับ”
“ผม ขอโทษ...” ธเนศและมินตราต่างก็รู้สึกตื่นตกใจในเสียงตะโกนเป็นคำขอโทษ ของเจ้าหม่อนเมือง บุรุษผู้มีลักษณะแข็งแกร่งและทะนงตนอย่างชายชาตรี ธเนศและมินตราต่างไม่คาดคิดว่าจะได้รับฟังคำขอโทษ ที่ออกมาจากริบฝีปากอันแข็งกระด่างของบุรุษผู้มีลักษณะทะนงตนเช่นนี้ ธเนศและมินตราต่างจับจ้องมองวงหน้าและแววตาของเจ้าหม่อนเมืองตรงๆ ใหม่อีกครั้ง
“ผมขอโทษที่ทำตัวไร้มารยาทอย่างไม่น่าให้อภัย เอาเป็นว่าพวกคุณต้องการอยากจะสอบถามอะไรผม ก็ถามผมมาได้เลยครับ ผมยินดีจะตอบทุกๆ คำถาม” เจ้าหม่อนเมืองยังคงจับจ้องมองตรงไปที่มินตราอยู่เช่นเดิม
“เจ้าคิดที่จะเล่าเรื่องส่วนตัว และเรื่องราวที่เป็นความลับของเจ้าเอง ให้กับคนแปลกหน้าฟังจริงๆ หรือค่ะ” มินตราตั้งคำถามขึ้นอย่างนึกแปลกใจ เช่นเดียวกันกับธเนศที่กำลังรู้สึกแปลกใจอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
“ไม่จำเป็นหรอกครับเจ้า ถ้าเจ้าไม่สามารถจะเล่ามันให้ใครได้รับฟังจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเล่าสิ่งใดออกมา” เจ้าหม่อนเมืองไม่ได้สนใจในคำพูดของธเนศ ที่เปล่งน้ำเสียงเป็นแนะนำออกมาเลยสักนิด เพราะแววตาตลอดจนจิตใจและความรู้สึกนึกคิด ยังคงเกาะติดและให้ความสนใจอยู่ที่มินตราเช่นเดิม
“เอาเป็นว่าฉันเองก็ต้องขอโทษเจ้าด้วย ที่ทำตัวเสียมารยาทไป แต่ฉันก็ยังคงยืนยันคำพูดเดิมอยู่ดี เจ้าจงเก็บเอาความลับของเจ้าเอาไว้กับตัวของเจ้าเอง ไม่จำเป็นจะต้องบอกกล่าว เล่าเรื่องราวให้กับใครได้รับฟัง เช่นเดียวกันกับทุกๆ คนในที่นี่ ต่างก็ไม่จำเป็นจะต้องเล่าเรื่องราวของตนเองให้กับใครได้รับฟังด้วยเช่นเดียวกัน พรุ่งนี้พวกคุณทุกคนก็จงกลับไปใช้ชีวิตของพวกคุณเองต่อไป ฉันกับคุณไม้ก็จะคิดแบบเดียวกัน” มินตราตะโกนเสียงดังฟังชัดและต้องการจะตัดบทการสนทนาระหว่างตัวเธอเองและเจ้าหม่อนเมืองขึ้นมาในทันที
“คุณพี่เมข๊า เจ้าหม่อนเมืองก็ลงทุนขอโทษแล้ว อย่างไรก็นั่งอยู่ต่ออีกสักนิดเถอะนะค่ะ” รำพันเสแสร้งแกล้งขอร้องขึ้น
“พี่ไม้อยู่ต่ออีกสักครู่เถอะนะครับ” นายยอดชายส่งเสียง ขอร้องธเนศขึ้นมาด้วยอีกหนึ่งคน ธเนศจับจ้องมองใบหน้าแขกแปลกหน้าทั้งห้าอีกครั้ง ทำให้เกิดใจอ่อนขึ้นมาด้วยอีกหนึ่งคน
“เม...” ธเนศจับฝามือของมินตราและดึงให้นั่งลงยังจุดเดิมอีกครั้ง
“สาเหตุที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ต้องการอยากจะรอคอยพบหน้าของพ่อเลี้ยงเกียงไกร สาเหตุหลักๆ ก็เพราะ ผืนป่าไม้สักทองข้างล่างนั้น” ทุกคนในคุ้มเวียงผาหลวงต่างก็รับรู้กันดี ผืนป่าไม้สักที่เจ้าหม่อนเมืองกำลังพูดถึง มันคือจุดที่เป็นสุสานของบิดาของมินตรา และมันยังเป็นจุดที่เจ้าหม่อนเมืองกำลังจะปลูกสร้างเหมืองเพชร เหมืองพลอยในเร็วๆ วันนี้ด้วย
“พวกคุณทุกคนคง ต่างคิดว่าผมกำลังทำผิดกฎหมาย และกำลังบุกรุกผืนแผ่นดินของคนอื่น แต่ความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกคุณกำลังคิดกันอยู่เลย”
“ถ้าเจ้าไม่ต้องการอยากจะเล่าต่อ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าก็ได้นะค่ะ” มินตรายังเสแสร้งแกล้งพูดประชดประชันขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อผมตั้งใจจะเล่าแล้ว ผมก็ขอเล่าให้มันจบไปเลยดีกว่าครับ”
“เจ้าข๊า เล่าต่อเถอะค่ะ รำพันอยากจะฟังต่อ”
“ครับ...” เจ้าหม่อนเมืองยกแก้วน้ำขึ้นจิบ แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวต่อไป
....................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ