เล่ห์กลรักเงาอสูร
26) บทที่ 5 ค่ำคืนแห่งรัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เล่ห์กลรักเงาอสูร
บทที่ 5 ค่ำคืนแห่งรัก
ณ ลานกว้างหน้าเรือนพักหลายสิบหลังในเวลาต่อมา พื้นที่โดยรอบจะเป็นเนินหินขรุขระลาดเอียงลงไปสู่ลำธารน้ำใสไหลเย็นเบื้องล่าง และจะมีต้นไม้เตี้ยๆ ส่งกลิ่นหอนหลายสิบต้นขึ้นอยู่ปะปลายตามริมขอบตลิ่ง เคียงข้างอยู่กับลำธารเบื้องล่าง แลจะมองเห็นดวงจันทร์ที่กำลังส่องลำแสงสว่างกระทบกับพื้นผิวน้ำ จนทำให้จับจ้องมองเห็นวิวทิวทัศน์ของสายน้ำใสไหลเย็นในยามค่ำคืน ของค่ำคืนวันนี้ไปได้อย่างเด่นชัด ดวงดาวเล็กๆ บนท้องฟ้าหลายร้อยล้านดวง ก็สามารถที่จะจับจ้องมองเห็นได้ ณ บริเวณลานกว้างหน้าเรือนพักแห่งนี้ด้วยเช่นกัน มินตราและธเนศก้าวเดินเคียงคู่กันออกมาจนถึง ยังจุดที่ได้ตระเตรียมการเอาไว้ให้เป็นที่ร่วมรับประทานอาหาร แสงสว่างจากคบไฟโดยรอบอาณาเขตบริเวณทำให้สามารถที่จะจับจ้องมองเห็นกลุ่มคนงานชายและหญิงมากกว่ายี่สิบคน บางกลุ่มกำลังนั่งรวมกลุ่มกันเพื่อดื่มเหล้าต้มใส่ไว้ในไห้ บางกลุ่มกำลังนั่งล้อมวงกันเพื่อเล่นไพ่ฆ่าเวลาหรือเปิดบ่อนเถื่อนกันกลางหุบเขาอันห่างไกลจากตำรวจเข้ามาตามจับ ส่วนกลุ่มที่ธเนศและมินตรากำลังให้ความสนใจกันอยู่ก็คือกลุ่มของนายยอดชาย รำพันและเจ้าหม่อนเมืองที่ต่างก็กำลังจับจ้องมองมินตราและธเนศอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
“พี่ไม้วันนี้พี่ดูหล่อมากเลยนะครับ” ยอดชายตะโกนเสียงดังหยอกล้อธเนศ ผู้กำลังอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่มินตราจัดเตรียมเอาไว้ให้ โดยที่ธเนศไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความตั้งใจจริงของมินตราไปได้เลย ธเนศคลี่รอยยิ้มตอบรับคำชมของนายยอดชาย แล้วก็จับจ้องมองตรงไปยังแขกแปลกหน้าทั้งห้าคนที่ต่างก็อยู่ในชุดเสื้อผ้าที่หรูหราอย่างเช่นเดียวกัน
“วันนี้ พวกนายก็ดูหล่อเหมือนกัน” เสื้อผ้าที่มินตรานำเอามาบริจาคให้กับพรรคพวกของนายยอดชาย ในค่ำคืนนี้ทุกคนต่างพากันสวมใส่มาจนครบหมดทุกคน
“วันนี้พวกเราต้องขอบคุณพี่ไม้ล่ะครับ ที่หาเสื้อผ้าดีๆ มาให้พวกเราได้ใส่กัน” ธเนศนิ่งเงียบและจับจ้องมองตรงไปยังมินตรา หญิงสาวผู้ที่น่าจะเป็นคนที่ได้รับคำชมและ คำขอบคุณมากกว่าเขา แต่มินตรากับยังคงนิ่งเงียบโดยไม่คิดที่จะใส่ใจสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้พวกนายมีอะไรให้พวกเราได้ทานกันบ้าง”
“อาหารหลักๆ คือหมูป่าหันครับพี่ไม้ อาหารรองคือไข่ต้ม ไข่ทอด และสลัดผักในไร่ ส่วนของหวานก็นั้นเลยครับ” นายยอดชายชี้นิ้วไปยังกระป๋องผลไม้เชื่อมหลายสิบกระป๋อง หลายชนิด แล้วแต่ใครต้องการอยากที่จะเอาไปเปิดฝาหารับประทานกันเอาเอง
“แล้วก็นั้น” มันคือบีบใส่ขนมปังชิ้นเล็กๆ ที่สามารถใช้ทานกับกาแฟในยามเช้าเป็นขนมขบเคี้ยวยามว่างได้
“คงจะมีแค่นี้ล่ะครับ พี่ไม้” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ อันรับรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดี อาหารที่เพิ่มขึ้นมาจากเมนูปกติธรรมดากว่าทุกวันๆ ก็คือ หมูหันที่นายยอดชายและพรรคพวกกำลังช่วยกันหันอยู่
“พี่ไม้และคุณเม มานั่งข้างๆ ด้วยกันกับรำพันก็ได้นะค่ะ” รำพันผู้กำลังนั่งเกาะติดอยู่กับชายหนุ่มนามว่าดล และกำลังเสแสร้งแกล้งตะโกนเชิญชวนตามมารยาทก่อนที่จะหันวงหน้าอันเปรอะเปื้อนรอยยิ้ม ส่งไปให้กับชายหนุ่มคนข้างๆ ต่อไปและถัดจากชายหนุ่มที่รำพันกำลังเกาะติดอยู่ก็ คือหญิงสาวสวยนามว่านิด ที่นั่งอยู่ระหว่างชายหนุ่มสองคนถ้าธเนศจดจำไม่ผิดเขาผู้นั้นมีชื่อว่าพงษ์ และถัดไปอีกก็คือบุรุษหนุ่มใหญ่อีกสองคนอันได้แก่เจ้าหม่อนเมือง และฝรั่งชาวอังกฤษนามว่าเจฟฟี่ เขาและมินตราก้าวเดินตรงเข้าไปนั่งลงบนพื้นเสื่อกกผืนเก่าๆ ที่มีโต๊ะไม้เตี้ยๆ ลักษณะสี่ขาพับเก็บเอาไว้ได้เมื่อใช้งานเสร็จ วางแบ่งแยกกันเอาไว้สองฝากฝั่ง มินตราก้าวเดินลงไปนั่งเผชิญหน้าอยู่กับเจ้าหม่อนเมือง ส่วนเขาเองก็กำลังนั่งเผชิญหน้าอยู่กับชายหนุ่มชาวอังกฤษนามว่าเจฟฟี่
“พี่ไม้ทำไมไม่มานั่งฝั่งเดียวกันกับรำพันล่ะค่ะ ฝั่งนั้นเราน่าจะเหลือเอาไว้ให้นายยอดชายกับพรรคพวกได้นั่งกัน” เขาและมินตรากำลังนั่งหันหน้าจับจ้องมองออกไปสู่ริมลำธารเบื้องล่างอันสวยงามด้วยวิวทิวทัศน์และดวงจันทร์ แลดวงดาวหลายร้อยล้านดวง ที่กำลังสะท้อนแสงสว่างอยู่บนพื้นผิวของสายน้ำไหลเย็นอันสวยงามตระการตา
“ฝั่งนี้ วิวสวยดีแล้วครับ”
“จริงหรือค่ะ อย่างนั้นนิดขอย้ายไปนั่งฝั่งนั้นด้วยคนได้ไหมค่ะ”
“ได้ค่ะ” มินตราตอบรับด้วยคำพูดอย่างเป็นมิตร ดังนั้นทั้งสองฝั่งจึงมีคนนั่งกันอยู่ห้าต่อสามจนกระทั้งมีอีกหนึ่งเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา
“ผมขอนั่งรวมวงกลุ่มด้วยได้ไหมครับ” โดยไม่รอคอยคำตอบนายยอดชายได้นั่งลงถัดจากนิด หญิงสาวสวยผู้ที่เพิ่งจะก้าวเดินอ้อมมานั่งถัดจากมินตรา เวลานี้สองฝากฝั่งจึงถูกแบ่งแยกออกเป็นห้าต่อสี่คน โดยที่ฝั่งตรงข้ามเขาจะก็จะประกอบ รำพัน ดล พงษ์ เจ้าหม่อนเมือง และเจฟฟี่ ฝั่งของเขาและมินตรา ก็มีมาเพิ่มอีกสองคน ได้แก่ นิดและนายยอดชาย
“วิวฝั่งนี้ดูสวยงามจริงๆ ด้วยค่ะ”
“จริงหรือค่ะ คุณนิด” รำพันผู้ไม่ต้องการอยากจะลุกจากที่นั่งข้างกับดลถามขึ้น อย่างเสแสร้งแกล้งพูดตั้งคำถามขึ้นอยู่เช่นเดิม
“จริงสิค่ะ” ถึงวิวทิวทัศน์รอบข้างจะสวยงาม แต่ชายหนุ่มนามว่าดลก็ยังคงมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจมากเกินกว่าวิวทิวทัศน์ ที่รำพันเองเคยจับจ้องมองเห็นมาแล้วตลอดชีวิตในวัยสาวตั้งแต่ยังเด็กจนโต
“รำพันขอนั่งอยู่ข้างๆ กับคุณดลต่อไปดีกว่าเพราะรำพันเห็นมันมาจนเบื่อแล้ว”
“ทานเยอะๆ นะค่ะคุณดล พรุ่งนี้จะได้มีแรง แล้วรำพันจะได้พาคุณดลออกไปหาสถานที่ถ่ายทำละคร” ดลตักชิ้นเนื้อบ่อนเข้าปากและยิ้มอย่างขอบคุณรำพันอยู่เงียบๆ แม้แววตาจะชะเง้อแอบจับจ้องมองมินตราอยู่บ่อยๆ ก็ตาม
“คุณรำพันก็ทานบ้างสิครับ” ดลรีบตักชิ้นเนื้อส่งให้กับรำพันเป็นการตอบแทน รำพันยิ้มแย้มด้วยความดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบคุณค่ะ คุณดล” รำพันตักชิ้นเนื้อบ่อนเข้าปากและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยจริงๆ เลยค่ะ”
“ทานกันเยอะๆ เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” นายยอดชายจับจ้องมองใบหน้าอันยิ้มแย้มของทุกๆ คนอย่างรู้สึกเป็นมิตร อย่างมีความสงสารเพื่อนมนุษย์ผู้กำลังตกทุกข์ได้ยาก ทำให้ทุกคนๆ ต่างเริ่มลงมือทานอาหารกันต่อไปอย่างเงียบๆ แล้วเวลาของการทานอาหารก็เริ่มผ่านเลยไปสิบห้านาทีต่อมา ทุกคนเริ่มรับประทานอาหารกันช้าลง อันสืบเนื่องมาจากเริ่มจะรู้สึกอิ่มท้องกันบ้างแล้ว
“รำพันอิ่มแล้วล่ะค่ะ คุณดลอิ่มหรือยังค่ะ” ดลเองก็เริ่มอิ่มแล้วเช่นเดียวกัน แต่แววตาก็ยังคงจับจ้องมองตรงมายังมินตราอยู่เช่นเดิม เช่นเดียวกันกับแววตาของผู้ชายทุกๆ คน อันรวมถึงแววตาของเจ้าหม่อนเมืองด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อวางช้อนอาหารที่ถือเอาไว้ในมือลงไว้บนจานอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เจ้าหม่อนเมืองกำลังให้ความสนใจอยู่ก็คือ มินตราและธเนศ ที่ยังคงนั่งรับประทานอาหารกันอยู่อย่างเงียบๆ ต่อไปอย่างไม่คิดที่จะอยากสนใจการจับจ้องมองของของบุคคลอื่นๆ เลยสักนิด
“คุณทานให้เยอะๆ หน่อย” มินตราออกคำสั่งกับธเนศ โดยที่ไม่ต้องการจะเรียกชื่อของธเนศออกไปตรงๆ ด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการอยากจะให้เจ้าหม่อนเมืองนึกจดจำธเนศขึ้นมาได้
“ผมไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งเวลาผม รับประทานอาหารอยู่” ธเนศจับจ้องมองหน้ามินตราอย่างรู้สึกขุ่นเคืองใจ แล้วจึงจับจ้องมองตรงไปยังจานข้าวของมินตราที่มีข้าวและชิ้นเนื้อหมูอยู่จนล้นจาน
“คุณเองก็ต้องรีบทานให้หมดเพราะที่นี่มีกฎห้ามใครทานของเหลือ”
“ก็ฉันไม่ชอบทานเนื้อหมู” ผู้หญิงสาวสวย หน้าตาดี หุ่นได้สัดส่วนอย่างเช่นมินตราไม่น่าแปลก ที่เธอจะไม่ชอบที่จะทานเนื้อหมูติดมันจนเหลืองได้ที อย่างน่ารับประทานมากมายขนาดนี้ มันคือความคิดสำหรับเขาเอง แต่ไม่ใช้ความคิดสำหรับมินตราอย่างแน่นอน
“แล้วจะทานอะไรถ้าไม่ทานเนื้อหมู” ธเนศตอบกลับคืนอย่างไม่คิดจะถนอมน้ำใสมินตรา
“หรือจะเอามาม่า กับปลากระป๋องที่ในเรือนพักของผมยังมีเหลืออยู่อีกมากมายหลายสิบกล่องใหญ่ๆ ” มินตราหน้าบึงตึงอย่างไม่พอใจ แต่เธอก็ยังคงดูสวยสดงดงามอยู่เช่นเดิม
“เมื่อตอนเที่ยง ฉันก็เพิ่งทานไปสองห่อแล้วยังจะให้ฉันทานแบบเดิมอีกหรือไง”
“อดทนทานต่อไปให้มันหมด” ธเนศออกคำสั่งเสียงดัง พร้อมแววตาบีบบังคับ
“ฉันไม่อยากจะทานต่อแล้ว คุณเอาไปทานต่อให้ฉันหน่อยด้วยแล้วกัน” มินตรายกจานข้าวของเธอให้กับธเนศอย่างดื้อๆ
“เม...” ธเนศรู้สึกตื่นตกใจเล็กน้อยในความเอาแต่ใจของมินตรา ต่อหน้าแขกแปลกหน้าทุกๆ คนที่กำลังต่างจับจ้องมองพวกเขาทั้งสองคนอยู่อย่างสงสัยใคร่รู้ แต่เมื่อเขาเห็นแววตากึ่งอ้อนวอน กึ่งขอร้องของมินตรา เขาจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยอมรับจานข้าวของมินตรามาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งจาน
“เม...ถ้าคุณไม่ชอบทานทำไมถึงต้องตักเอามาจนเยอะล้นจานแบบนี้ด้วย” ธเนศรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมอันแปลกๆ ของมินตรา
“ก็ฉันอยากจะให้คุณได้ทานเยอะๆ เมื่อตอนเที่ยงคุณก็ไม่ได้กลับมาท่านข้าว “
“เม...” ธเนศรู้สึกตื่นตกใจอีกครั้ง ในความคิดอันแอบแฝงของมินตรา แต่เมื่อเธอต้องการอยากจะให้เขาทานเยอะๆ เขาก็ไม่คิดจะเกรงใจหรือทำให้เธอต้องรู้สึกเศร้าเสียใจ เขานั่งทานอาหารในส่วนของเขาเองจนหมดและต่อของมินตราไปจนหมดจาน โดยใช้เวลาเพียงไม่นานมากนัก
“ผมอิ่มแล้ว” เขาเงยหน้าอันเปรอะเปื้อนคราบน้ำมันหมูตามริมฝีปากและตามหนวดเคราขึ้นมาแจ้งบอกกล่าวให้กับมินตราได้รับรู้เอาไว้ มินตราแย้มยิ้มตอบรับคำพูดของเขา พร้อมกับยื่นส่งแก้วน้ำเปล่าส่งมาให้กับเขา
“น้ำค่ะ”
“ขอบใจ”
“นี่ทิชชู” เธอยื่นม้วนกระดาษส่งให้กับเขา ภายหลังจากที่เขาดื่มน้ำหมดไปหนึ่งแก้วใหญ่ๆ
“ถือเอาไว้ก่อน ผมขอดื่มน้ำต่ออีกสักแก้ว” ภายหลังจากดื่มน้ำแก้วที่สองจนหมด เขาก็ยื่นมือไปรับม้วนกระดาษนำเอามาเช็ดคราบน้ำมันหมู ตามริมฝีปากและตามหนวดเคราอันรกครึ้มของเขาออกจนหมดและจนหายมัน
“เรียบร้อยดีหรือยังเม” เธอพยักหน้าเป็นการตอบรับ สุดท้ายการเริ่มต้นพูดคุยที่ทุกคนกำลังเฝ้านั่งรอคอยก็มาถึงจนได้ เขาและมินตราต่างก็รับรู้กันเป็นอย่างดีว่า แขกแปลกหน้าทั้งห้าคนต่างก็กำลังเฝ้ารอโอกาสนี้กันอยู่อย่างพร้อมเพียงกัน เสียงคำถามแรกดังขึ้นมาจากริมฝีปากอิ่มเอิบของเจ้าหม่อนเมือง
“ผมยังไม่รู้จักชื่อจริง ของพวกคุณสองคนเลย” เจ้าหม่อนเมืองถามขึ้นอย่างต้องการอยากที่จะทราบชื่อของเขาและมินตราจริงๆ
“เรียกผมไม้ก็ได้ครับ ทุกคนที่นี่เรียกผมอย่างนั้นกันทั้งนั้น” เจ้าหม่อนเมืองหันวงหน้าไปจับจ้องมองมินตราเป็นคนต่อไป
“ฉันเมค่ะ” มินตราตอบรับแบบส่งๆ ไป อย่างไม่ต้องการอยากจะใส่ใจกับเจ้าหม่อนเมืองมากมายนัก และเขาเองก็พอจะรับรู้สาเหตุได้เป็นอย่างดี สาเหตุที่มินตราไม่คิดอยากจะสนทนาหรือจับจ้องมองหน้าของเจ้าหม่อนเมืองก็เพราะเธอกำลังคิดวางแผนการชั่วร้ายอยู่นั้นเอง
“พวกคุณสองคน คงจะพอรู้จักชื่อของผมบ้างแล้ว” มินตรายกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างไม่คิดจะตอบรับหรือปฏิเสธสิ่งใด แต่เจ้าหม่อนเมืองเองกับยังคงเฝ้ารอคอยคำตอบและตอบรับจากเขาและมินตราอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“พวกเรา รับรู้แล้วครับ” เขาตอบรับคำถามของเจ้าหม่อนเมือง แทนมินตราไปพร้อมเพรียงกันในครั้งเดียวเลย
“วันนี้ พวกเราทั้งห้าคนต้องขอขอบคุณ พวกคุณมากที่ได้ให้ความช่วยเหลือพวกเราเอาไว้และพวกเราจะไม่ขอลืมพระคุณเลย” มินตรายังคงไม่ให้ความสนใจและใส่ใจกับเจ้าหม่อนเมืองอยู่เช่นเดิม
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อย่าได้เก็บเอามันไปใส่ใจอะไรเลยครับ”
“จริงด้วยคะ เจ้าหม่อนเมืองข๊า” รำพันพูดสนับสนุนคำพูดของเขาขึ้นมาอีกหนึ่งเสียง
“เจ้าอย่าได้คิดเกรงใจพวกเราเลยครับ” ยอดชายเองก็ช่วยพูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งเสียง ยกเว้นแต่มินตราเท่านั้นที่ยังไม่คิดจะใส่ใจกับเจ้าหม่อนเมืองอยู่เช่นเดิม
“แต่อย่างไรพวกเราก็ต้องขอขอบคุณพวกคุณจริงๆ โดยเฉพาะเซรุ่มแก้พิษงูของคุณเม ที่ทำให้ผมและคุณเจฟฟี่อาการดีขึ้น” เจ้าหม่อนเมืองหันวงหน้าไปจับจ้องมองเจฟฟี่ ผู้กำลังนั่งนิ่งรับฟังภาษาแปลกๆ ที่ไม่เข้าใจอยู่ข้างๆ ทำให้นายเจฟฟี่เอง ต้องรีบเปล่งน้ำเสียงอันเป็นคำพูดอย่างภาษาอังกฤษสำเนียงภาษาแม่แท้ๆ ที่ทำให้คนไทยหลายๆ คนที่เก่งภาษาอังกฤษ ต้องขอยอมพ่ายแพ้ เมื่อได้รับฟังน้ำเสียงอันแปลกๆ ของนายเจฟฟี่เป็นครั้งแรก แม้แต่เจ้าหม่อนเมืองเอง แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่ก็ยังต้องขอร้องให้นายเจฟฟี่พูดซ้ำประโยคเดิมๆ คำพูดเดิมอยู่บ่อยๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
“ผมต้องขอขอบคุณ พวกคุณทั้งสองคนมาก ที่ได้ช่วยเหลือผมเอาไว้ และผมจะไม่ขอลืมพระคุณของพวกคุณทั้งสองคนเลย”
“ไม่เป็นไรครับ อย่าได้เก็บหรือนำเอามาใส่ใจเลย” ธเนศตอบกลับด้วยภาษาเดียวกันกับนายเจฟฟี่
“เม...” ธเนศจับจ้องมองมินตราอย่างไม่คิดจะให้หญิงสาวเสียมารยาทกับแขกชาวต่างชาติต่างภาษา แม้มินตราจะไม่นึกชอบหน้าและไม่ต้องการอยากสนทนาของเจ้าหม่อนเมือง แต่มินตราก็ไม่ควรที่จะเหมารวมเอาชายหนุ่มชาวอังกฤษผู้ไม่รับรู้เรื่องราวสิ่งใดเข้าไปด้วย แววตาบีบบังคับของธเนศทำให้มินตราจำเป็นที่จะต้องพูดสิ่งใดออกมาบ้าง
“อย่าได้นำเอามาใส่ใจเลยค่ะ คุณเจฟฟี่ และไม่จำเป็นจะต้องมาตอบแทนอะไรพวกเราด้วย ลืมๆ มันไปเสียเถอะค่ะ” ภายหลังจากพูดจบมินตราหยิบและยกแก้วน้ำขึ้นมานั่งจิบต่อไปอย่างเงียบๆ อย่างไม่คิดจะสนใจแววตาอันแปลกใจของทุกๆ คนที่กำลังจับจ้องมองมินตรากับธเนศอยู่อย่าง กำลังมองเห็นพวกเขาเป็นตัวประหลาดที่เพิ่งตกลงมาจากดาวอังคารก็ไม่ปาน
“โอ้มายก๊อด!!!...พวกคุณสองคนพูดภาษาเดียวกันกับผมได้ชัดเจนดีมากๆ” นายเจฟฟี่อุทานออกมาด้วยความแปลกใจ และดีใจอย่างมากมายเหมือนได้พูดคุยหรือสนทนาอยู่กับคนชาติเดียวภาษาเดียวกัน อย่างไม่ได้คาดฝันและคาดคิดมาก่อนเลย
“พี่ไม้พูดภาษาอะไรหรือค่ะรำพันฟังไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย” ไม่ใช่แค่รำพันคนเดียวที่ฟังไม่รู้เรื่อง ทุกคนที่นั่งร่วมรับประทานอาหารร่วมกันอยู่ก็ยังแทบจะจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้างเช่นเดียวกัน
“อย่าได้ใส่ใจเลยรำพัน” ธเนศตอบกลับอย่างไม่คิดจะสนใจรำพัน
“คุณเมก็เหมือนกันพูดอะไร ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยช่วยแปลให้รำพันได้ฟังหน่อยได้ไหมค่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกรำพัน พวกเราแค่กล่าวทักทายคุณเจฟฟี่ไปก็แค่นั้นเอง”
“จริงหรือจ๊ะคุณเม” รำพันยังคงซักถามต่อไป มินตราพยักหน้าเป็นคำตอบอย่างไม่คิดจะใส่ใจรำพันหรือใครหลายๆ คนที่กำลังจับจ้องมองพวกเขาอยู่เดียวเช่นกัน
“พรุ่งนี้หากยังไม่มีใครมาติดตามค้นหาพวกคุณ ผมจะให้คนงานในคุ้มไปแจ้งข่าวให้คนคุ้มเวียงผาหมอกมารับตัวพวกคุณกลับ” ธเนศพูดตัดบทเสียงดังขึ้นมาเอาดื้อๆ อย่างไม่คิดจะให้ใครได้มาพูดซักถามสิ่งใดเขาและมินตราได้อีก และอย่างไม่ต้องการอยากที่จะพูดจาซักถามอะไรจากแขกแปลกหน้าทั้งห้าคนด้วยอีกเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกคนต่างพากันนั่งนิ่งเงียบไม่กล้าที่จะพูดค้านความตั้งใจจริงของธเนศออกมา ยกเว้นแต่รำพันคนเดียวเท่านั้น
“พี่ไม้ข๊า ไม่ได้นะค่ะ พรุ่งนี้รำพันจะต้องพาคุณดลออกไปหาสถานที่ถ่ายทำละครกัน”
“แต่ที่เรือนพักกลางคุ้มแห่งนี้ มันไม่เหมาะที่จะให้แขกแปลกหน้ามาพักกัน เพราะไม่มีใครจะมาค่อยดูแลรักษาคนเจ็บป่วยด้วย และคนงานที่คุ้มแห่งนี้เอง ยามเจ็บไข้หรือไม่สบายพวกเราเองก็ยังต้องส่งตัวเข้าไปรักษาตัวและดูแลกันที่คุ้มเลย” รำพันนั่งนิ่งเงียบและลดน้ำเสียงลงอย่างหมดสิ้นคำพูดจะโต้แย้งคำพูดของธเนศได้อีก
“พวกเราขออยู่ที่นี่ต่ออีกสักระยะหนึ่งไม่ได้หรือครับ” เจ้าหม่อนเมืองตั้งคำถามขึ้น
“ไม่ได้ครับ อย่างที่ผมบอกออกไปแล้ว ที่นี่ไม่เหมาะที่จะให้แขกมาพัก พวกคุณต่างก็เห็นกันอยู่แล้ว คนงานทุกคนที่นี่ต่างก็มีงานต้องทำกัน ตัวผมเอง เม ยอดชาย และรำพัน พวกเราต่างก็ไม่ได้อยู่ประจำกันอยู่ที่นี่กันทุกวัน พวกเราต่างเดินทางไปกลับคุ้มเวียงผาหลวงกับเรือนพักแห่งนี้อย่างไม่เป็นเวล่ำ เวลา ดังนั้นพวกเราจึงให้แขกแปลกหน้ามาค้างแรมอยู่ที่นี่ด้วยไม่ได้อย่างแน่นอนครับ พวกคุณคงจะเข้าใจเหตุผลความจำเป็นของพวกเราด้วย”
“พี่ไม้ข๊า อย่างนั้นให้พวกเขาไปค้างกันที่คุ้มก็ได้นี้ค่ะ” รำพันยังคงพูดขอร้องต่อไป
“ที่คุ้มจะให้ใครไปพักค้างแรมด้วย จะต้องได้รับการอนุญาตจากพ่อเลี้ยงเกียงไกรเสียก่อน รำพันน่าจะรับรู้ดีกว่าใคร จริงไหม”
“รำพันไม่ยอม อย่างไรพี่ไม้ก็ต้องหาทางให้คุณดล ได้พักอยู่ที่นี่ต่อไปให้ได้”
......................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ