เล่ห์กลรักเงาอสูร
21) บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง_1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เล่ห์กลรักเงาอสูร
บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง_1
สองข้างฝั่งถนนดินลูกรังถูกแบ่งแยกออกโดยหน้าผาอันสูงชันและป่าไม้สักทองนับกว่าหนึ่งพันไร่ ลำแสงสว่างจากดวงพระอาทิตย์ในยามเช้ากำลังทอแสงประกายอยู่เหนือหน้าผาฝั่งตรงข้าม มันกำลังทำให้ผืนป่าไม้สักทอง ฝากฝั่งถนนอีกด้านได้รับไอความอบอุ่นจากลำแสงที่กำลังทอประกายเพิ่มความร้อนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงธเนศผู้กำลังขับรถจี๊ปปีนป่ายขึ้นสู่ยอดดอยอันลาดเอียงขึ้นอย่างสม่ำเสมออยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ม่านหมอกอันหนาแน่นตามเส้นทางเริ่มจะจืดจางหายไปจากสายตาบางแล้ว ธเนศจอดรถจี๊ปคันเล็กทิ้งเอาไว้เคียงคู่กับรถจี๊ปคันใหม่กว่าอีกคัน ที่เพิ่งจะจอดทิ้งเอาไว้ก่อนหน้าที่เขาจะมาถึง ธเนศคาดเดาเอาไว้ภายในจิตใจว่าเจ้าของรถจี๊ป คันเล็กก็น่าจะคือหญิงสาวที่เขาพยายามจะหลบหนีหน้ามาโดยตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็ม แต่ในวันนี้หากเขาจำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากับหญิงสาวนัยน์ตาแสนเศร้าคู่นั้นขึ้นมาจริงๆ เขาเองก็จะไม่คิดที่จะเกรงกลัว หวาดกลัวนัยน์ตาของเธอต่อไปอีกแล้ว ธเนศก้าวเดินตรงไปยังเบื้องหน้าสุสาน ที่มินตรากำลังยืนสงบนิ่งจับจ้องมองตรงไปยังผืนป่าไม้สักทองเบื้องล่าง ที่เพิ่งถูกตัดทิ้งไปเป็นจำนวนมากเมื่อไม่นานมานี้เอง โดยฝีมือของลูกชายคนโตของเจ้าหม่อนเมฆ อันมีชื่อว่าเจ้าหม่อนเมือง ส่วนลูกชายคนรองมีชื่อว่าเจ้าหม่อนฟ้า หรือในอีกชื่อหนึ่งที่เขาต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีและเรียกอย่างสนิทสนมเป็นประจำนั้นก็คือ ดิเรก เมฆฤธี
“ฉันเคยคิดเอาไว้ว่าอีกยาวนานสักแค่ไหนกัน ฉันถึงจะได้เจอะเจอหน้าของคุณอีกครั้ง” แม้เธอจะไม่หันวงหน้ากลับมาจับจ้องมองเขาอย่างตรงๆ แต่น้ำเสียงของเธอเหมือนจะสัมผัสได้ว่าเป็นตัวเขาเองจริงๆ ไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน
“หากคุณยังต้องการอยากที่จะเดินหนีจากฉันไปในตอนนี้อีก ก็จงรีบหันหลังแล้วก้าวเดินหนีจากฉันไปซะ” เขายังคงยืนสงบนิ่งเพื่อรอรับฟังในสิ่งที่เธอ กำลังจะพูดต่อไปอีกแต่รู้สึกว่า เธอจะไม่ต้องการอยากที่จะพูดคุยสิ่งใดกับเขาต่อไปอีกแล้ว
“ผมเพียงแค่ขับรถผ่านมาเท่านั้น เดียวก็จะกลับแล้วครับ” เธอก็ยังคงยืนสงบนิ่งและเงียบอยู่เช่นเดิม
“คุณมายืนอยู่ที่นี่นานเท่าไรแล้ว” มินตราในเวลานี้ สำหรับเขาแล้วเธอดูเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย เธอดูน่ากลัวมากยิ่งกว่าเดิม มากยิ่งกว่าในครั้งแรกที่เขาได้พบปะเจอะเจอหน้าเธอ อย่างกับว่ามินตราในวันนี้ไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวกันกับเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว แม้แต่สักนิดเดียว หัวใจของเธอดูจะเย็นชามากยิ่งขึ้น แววตาและความรู้สึกทุกๆ อย่างก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ยิ่งเมื่อเธอกำลังยืนสงบนิ่งอยู่เคียงคู่กับสุสานของบิดาของเธอด้วยแล้ว มินตราก็ไม่แตกต่างอะไรจากเจ้าหญิงน้ำแข็งเลยแม้แต่น้อย
“มันสำคัญกับคุณมากหรือไงกันคุณธเนศ”
“ผมเพียงแต่ห่วงว่าคุณจะไม่สบายไปก็เท่านั้น”
“หากฉันเกิดตายขึ้นมาจริงๆ คุณจะร้องไห้เสียใจให้กับฉันไหมค่ะ” เขารู้สึกกลัวที่จะตอบคำถามของมินตราออกไปตรงๆ
“ฉันถามว่าหากฉันต้องตายไปจริงๆ คุณจะร้องไห้เสียใจให้กับฉันไหม” เธอไม่คิดจะให้เขาได้หลบเลี่ยงหลีกหนีที่จะไม่ตอบคำถามของเธอได้เลยจริงๆ หรือไงกัน
“ผมต้องเสียใจแน่ๆ”
“คุณตอบไม่ตรงกับคำถามของฉัน อยู่ตลอดเวลาเลยนะคุณธเนศ แต่ก็ช่างเถอะ นิสัยผู้ชายเช่นคุณไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้อยู่แล้ว ฉันคาดคั้นกับคุณไปก็รู้สึกจะเสียเวลาไปเปล่าๆปรี่ๆ” ธเนศรู้สึกเจ็บปวดอยู่ภายในหัวใจที่ถูกมินตรากล่าวหา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างที่มินตรากล่าวหาเขาออกมาจริงๆ ก็ตาม แต่อย่างน้อยเธอน่าจะให้เขาได้หลงเหลือความกล้าหาญและความเชื่อมั่นเอาไว้บ้าง
“คุณคิดว่าที่แห่งนี้ เป็นอย่างไรบ้าง” เขาไม่แน่ใจว่าเธอกำลังหมายถึงสิ่งใดกันแน่ หากหมายถึงสุสานของบิดาของเธอ เขาเองก็ยังไม่กล้าที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะมันอาจจะไปสะกิดโดนบาดแผลภายในจิตใจของเธอเข้าให้ก็ได้ แต่หากเธอหมายถึงวิวทิวทัศน์ของป่าเขารอบข้าง ตัวเขาเองก็ต้องการอยากที่จะเปลี่ยนแปลงบทการสนทนาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการเสแสร้งแกล้งหลงลืมความเจ็บปวดจากเรื่องราวในอดีต มันก็เป็นเรื่องที่ดีมากถึงแม้ว่ามันจะสามารถหลบเลี่ยงหลบหนีไปได้เพียงแค่ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม
“มันเป็นผืนป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มากเลยครับ มีภูเขา ลำธาร พืชพันธุ์ไม้นานาชนิด สัตว์ป่าอีกมากมายหลากหลายสายพันธุ์ และสิ่งก่อสร้างอันเก่าแก่ทรงคุณค่าที่อยู่โดยล้อมรอบคุ้มแห่งนี้อีกด้วย หากมันถูกเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชื่นชม มันก็จะกลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของภาคเหนือเลยทีเดียว ผู้คนมากมายที่มาท่องเที่ยวจะต้องจดจำสถานที่แห่งนี้ได้ และหวนกลับคืนมาใหม่อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยทีเดียวครับ”
“แต่ก็มีบางคน กลับไม่ได้คิดอย่างที่คุณกำลังคิดอยู่” ธเนศรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่ามินตรากำลังหมายถึงใคร เพราะบุรุษผู้นั้นกำลังจะเริ่มทำให้มินตรารู้สึกโกรธและผูกจิตอาฆาต และเขาเองก็กำลังรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่มินตรากำลังครุ่นคิดอยู่ภายในจิตใจ เพราะมันจะต้องเป็นการตอบโต้กลับคืนไปที่น่ากลัวอย่างที่เจ้าหม่อนเมืองเอง ไม่อาจจะคาดคิดถึงมาก่อนเลยทีเดียว อย่างที่เขาเองได้เคยประสบพบเจอะเจอมากับตัวเองแล้ว และบุรุษที่มินตรากำลังต้องการจะระบายอารมณ์ความโกรธที่กักเก็บเอาไว้เป็นคนต่อไปในเวลานี้ก็คือ
“คุณคงหมายถึงเจ้าหม่อนเมือง” ตัวตายตัวแทนของเขาในเวลานี้
“คุณคิดว่าจะเป็นคนอื่นได้อีกอย่างนั้นหรือค่ะ”
“เท่าที่ผมรู้จักกับทุกคน ในคุ้มเวียงผาหมอก พวกเขาทุกคนต่างก็เป็นคนดี แต่อาจจะมีบางคนอาจจะได้ทำอะไรผิดพลาดลงไปบ้าง แต่ก็พอจะเจรจาตกลงกันได้ คุณไม่คิดอย่างนั้นบ้างหรือครับ”
“เหมือนว่าคุณเองก็กำลังพูดเพื่อ ตัวของคุณเองอยู่ด้วยเหมือนกันนะคะ คุณธเนศ” เขาก้าวเดินตรงเข้าไปยืนนิ่งอยู่เคียงคู่กับมินตรา แล้วจ้องจับมองตรงไปยังแววตาอันเย็นชาแลแสนเศร้าคู่นั้นอย่างตรงๆ อีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ถึงความคิดอันแท้จริงของมินตราได้เลย ครั้งหนึ่งเมื่อเขายังเป็นเด็กหนุ่มน้อยอายุประมาณแปดขวบ คุณปู่ของเขาเคยบอกกับเขาเอาไว้ว่า
“หลานรู้ไหมตระกูลตรีเตชะมร คือพวกที่มีแววตาของปีศาจ หากพวกเขาจับจ้องมองพวกเราตรงๆ มันจะเหมือนกับพวกเราจะถูกดูดเอาดวงวิญญาณ ให้หลุดลอยออกไปจากร่างกายได้เลยทีเดียว”
“ใครทำให้คุณปู่รู้สึกอย่างนั้นครับ”
“เพื่อนของปู่เอง เขามีชื่อว่าพ่อเลี้ยงเกียงไกร ตรีเตชะมร ดวงตาของเขาเป็นเสมือนหลุมดำที่ไม่มีใครที่จะสามารถคาดเดาความคิดหรือความรู้สึกภายในจิตใจได้เลย”
“จริงหรือครับ คุณปู่”
“จริงแน่นอนหลานรัก สักวันหลานจะได้จับจ้องมองเห็นมันจากดวงตาของ กระต่ายตัวน้อยของหลานเอง”
จนถึง ณ วันนี้กระต่ายตัวน้อยในอดีตตามที่คุณปู่ของเขาได้เคยพูดเอาไว้ เธอไม่ใช่กระต่ายตัวน้อยในสมัยเมื่อยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว และยิ่งไม่ใช่สุภาพสตรีที่เขาเองจะสามารถเรียกได้เลยว่า เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา เธอเติบโตและเป็นหญิงสาวแสนสวย ที่เต็มไปด้วยแววตาอย่างที่คุณปู่ของเขาเคยพูดเอาไว้ แววตาของปีศาจ เธอเย็นชาและไม่สามารถจับจ้องค้นหาความรู้สึกจริงๆ จากภายในจิตใจส่วนลึกได้เลย เธอมีความซับซ้อนทางด้านอารมณ์ความรู้สึกมากจนเกินไป ในบางครั้งเมื่อเธอจับจ้องมองเขาผ่านทางแววตาอันแสนเศร้าของเธอ เขาจะรู้สึกได้ถึงความรักอันเปี่ยมล้นที่เธอพยายามจะมอบมันให้กับเขา แต่ในบางครั้งเหมือนเธอจะจับจ้องมองไม่เห็นเขายืนอยู่เคียงข้างด้วยกันกับเธอเลย อะไรกันแน่คือความรู้สึกอันแท้จริงของสุภาพสตรี ที่เขากำลังยืนสงบนิ่งพูดคุยอยู่ด้วยในขณะนี้ เขาเองก็ไม่สามารถที่จะแยกแยะมันออกมาได้อีกต่อไปแล้ว
“ผมเพียงแต่พูดตามหลักเหตุและผล การด่วนสรุปความผิดของใคร เร็วจนเกินไปมันไม่ได้ส่งผลดีอะไรเลย จริงไหมครับ”
“แต่คุณก็มองเห็นหลักฐานอยู่ตรงเบื้องหน้าในขณะนี้แล้วนะค่ะ คุณธเนศ” มินตราจับจ้องมองตรงไปยังผืนป่าไม้สักทองเบื้องล่าง ที่เจ้าหม่อนเมืองพาคนงานมาตัดเพื่อจะก่อสร้างทำเป็นเหมืองเพชรพลอย โดยที่ไม่คิดจะมาขออนุญาตจากเจ้าของผืนแผ่นดินเสียก่อนล่วงหน้าเลย ธเนศเองก็ไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัวแทนเจ้าหม่อนเมืองได้อีกต่อไปแล้วเช่นเดียวกัน นอกจาก
“คุณคิดจะทำอย่างไรต่อไปครับ”
“คุณคิดว่าที่นี่ มันดูน่าเบื่อมากไหมค่ะ” คำถามที่ไม่ได้คำตอบ แต่เขามักจะถูกตั้งคำถามอย่างอื่นกลับคืนมาเสมอ เมื่อต้องการที่จะพูดคุยสิ่งใดกับมินตราก็ตาม
“ก็...” เขาไม่รู้จะตอบคำถามของมินตราอย่างไรต่อไปดี ตลอดชั่วชีวิตของเขาไม่เคยถูกใครกักขังหน่วงเหนียวมาก่อนเลยในชีวิต เขามีอิสระดั่งฝูงนกที่ต้องการอยากจะโบยบินไปยังที่แห่งหนตำบทใดก็ได้ ตามจิตใจต้องการอยากที่จะไป ชีวิตของเขาอยู่ในโลกอันเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสีและผู้คนมากมาย เขาออกเดินทางไปจนทั่วแล้วทุกมุมของโลกใบนี้ เพื่อไปเรียนหนังสือ ไปท่องเที่ยวและทำงาน แต่ในวันนี้เขากับต้องมาใส่เสื้อผ้าขาดๆ สกปรกอย่างกับกรรมกรแบกหามทั่วไป ทานข้าวในถาดหลุม ไม่มีแม้โทรศัพท์ ทีวี และเครื่องมือสื่อสารอะไรใช้ได้เลย ณ บ้านป่าเมืองเถื่อนแห่งนี้ โลกที่เขาได้เข้ามาอยู่ในขณะนี้เหมือนกับถูกย้อนห้วงกาลเวลากลับคืนไปยังสมัยคุณปู่คุณยายังสาวๆ แล้วจะให้เขาตอบคำถามของมินตรากลับไปว่าอย่างไรดี
“แม่ของฉันต้องหลบลี้หนีหน้าผู้คนที่เคยรู้จัก ไปอยู่ยังสถานที่อันห่างไกล มากกว่ายี่สิบปี ปู่ของฉันต้องกักขังตัวเองและตัดขาดจากผู้คนที่เคยรู้จักเพราะความโศกเศร้าเสียใจ ส่วนฉันเองในเวลานี้ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากแม่ของฉันหรือปู่ของฉันเลย ฉันเองก็กำลังถูกกังขังเอาไว้ยังสถานที่ที่ฉันเองก็เพิ่งจะเคยรู้จักกับมันเมื่อไม่นานมานี้เอง” ธเนศรู้สึกจะตัวแข็งเป็นก้อนหินอีกครั้ง ไม่สามารถจะพูดสิ่งใดต่อไปได้อีก เพราะไม่ใช่ว่ามีแต่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ทีมีความรู้สึกดั่งเช่นเดียวกันกับมินตรา ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมินตราต่างก็มีความรู้สึกเหมือนดั่งกำลังถูกกังขังอยู่ด้วยเหมือนกันหมด และยิ่งเลวร้ายมากกว่าความรู้สึกของเขาหรือของมินตราเป็นหลายร้อยเท่า เพราะการถูกกังขังมันไม่ได้รวมไว้แค่การถูกขังไว้ยังบ้านป่าเมืองเถื่อนแห่งนี้เท่านั้น แต่มันยังรวมถึงจิตใจที่เจ็บปวด รวมเข้าไปอยู่ในความหมายของการถูกกักขังนั้นเข้าไปด้วย
“มันก็เป็นสถานที่ที่น่าอยู่เพียงมากอีกแห่งหนึ่ง แค่พวกเราต้องปรับเปลี่ยนสภาพของตัวเองอีกสักเล็กน้อยเท่านั้น”
“แสดงว่าคุณสามารถจะอยู่ที่บ้านป่า ในหุบเขาแห่งนี้ ต่อไปได้แม้จะตลอดชั่วชีวิตของคุณอย่างนั้นรึ คุณธเนศ”
“ครับ ผมอยู่ได้ สิบปี ยี่สิบปีผมก็สามารถที่จะอยู่ได้”
“คุณอย่าได้พูดสิ่งใดก็ตามที่มันจะเป็นการผูกมัดหัวใจของตัวเองหน่อยเลย คุณธเนศ” เขาตัดสินใจที่จะลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ครอบครัวหรือคู่หมั้นของเขาเองเพื่อที่จะเป็นแค่นายไม้คนงานในคุ้มของพ่อเลี้ยงเกียงไกร ตรีเตชะมร และเพื่อชดใช้บางอย่างให้กับสตรีสาวสวยเบื้องหน้าของเขาเอง และเพื่อจะรักษาภาพแห่งความทรงจำในอดีตที่ยังคงฝังแน่นอยู่ภายในจิตใจของตัวของเขาเองด้วย
“ผมจะอยู่ที่นี้ มากเท่าที่คุณต้องการอยากที่จะเห็นหน้าของผม”
“คุณมีคนที่คุณรักรอคอยอยู่ข้างนอกนั้น คุณมีบริษัทที่จะต้องดูแล คุณสามารถละทิ้งมันไปได้จริงๆ อย่างงั้นหรือไง”
“ผมไม่อยากจะคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว” แววตาธเนศรู้สึกจะเศร้าสลดลงอย่างยอมจำนนในทุกสิ่งทุกอย่าง
“บริษัทของคุณมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่างที่มันควรจะเป็น” มินตราบอกกล่าวข่าวดีกับธเนศที่กำลังตกอยู่ในความรู้สึกเศร้าสลด
“คุณหมายความว่า อย่างไรกันครับ”
“ฉันให้ทนายจัดการขายหุ้นบางส่วนกลับคืน ให้กับครอบครัวของคุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ธเนศจับจ้องมองมินตราอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอกำลังพูดอยู่
“แต่คุณก็อย่าได้ดีใจจนเกินไป ถึงแม้มันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในตอนนี้ ต่อไปภายภาคหน้ามันก็สามารถที่จะกลับกลายมาเลวร้ายเหมือนเดิมได้อีกเช่นกัน” ธเนศจับจ้องมองหน้ามินตราอย่างสงสัยในคำพูดของเธอ
“เมื่อสองปีที่แล้ว ฉันเพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ และเพิ่งจะได้งานดีๆ ทำ ฉันรู้มาโดยตลอดว่าแม่ของฉันท่านไม่ค่อยจะสบายและไม่มีหนทางใดที่จะรักษาให้หายได้” ใบหน้าของมินตรามองดูจะสงบนิ่งมากเมื่อพยายามจะเล่าเรื่องราวในอดีตของมารดาของเธอ ให้กับเขาได้รับฟังและเขาเองก็ไม่คิดต้องการอยากที่จะแสดงความรู้สึกใดๆ เป็นการเข้าไปขัดขวางสิ่งที่เธอกำลังจะเล่าให้กับเขาได้รับฟัง เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเองก็อยากที่จะรับฟังมาโดยตลอดเวลาเช่นกัน
“ท่านเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่หลายครั้งจนสุดท้าย หลังจากหนึ่งปีที่ท่านได้พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะต้องการอยากที่จะได้เห็นฉันได้แต่งงานมีครอบครัวกับใครสักคน ความต้องการนั้นของท่านก็ไม่สามารถจะเป็นความจริงได้”
“ทำไมครับ” เธอหันวงหน้าเปื้อนรอยยิ้มเศร้าๆ มามองหน้าเขาแล้วบอกเล่าเรื่องราวต่อไป
“คุณคงรู้จักกับ คุณดิเรกเป็นอย่างดี เพราะดิเรกมักจะเล่าเรื่องของคุณให้ฉันได้ฟังอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส แม้ฉันเองจะไม่เคยรู้จักกับคุณมาก่อนเลยก็ตาม” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ดิเรกเป็นผู้ชายคนเดียวที่แม่ของฉันชื่นชอบในนิสัยใจคอ และมักจะพูดถึงดิเรกให้ฉันได้รับฟังอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส ท่านต้องการอยากจะให้ฉันได้แต่งงานกับดิเรกก่อนที่จะจากไป แต่สุดท้ายความหวังของแม่ฉันมันก็ไม่มีทางที่จะสมหวังไปได้”
“ทำไมครับ เท่าที่ผมรู้จักกับดิเรกเขา...” เขาหยุดไว้ไม่กล้าจะพูดต่อไป
“คุณคงจะบอกว่าเขารักฉันมาก เขาเองก็เคยสารภาพรักกับฉันหลายครั้ง แต่ฉันต้องบอกปฏิเสธความรู้สึกอันบริสุทธิ์นั้นไป มันไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยนึกชอบดิเรกเลย ฉันชอบเขามากถึงมันจะยังไม่ใช่ความรักก็ตาม ฉันกับดิเรกมีช่องว่างระหว่างเวลาเข้ามาขวางกั้นเอาไว้ ฉันสามารถที่จะรักกับดิเรกและแต่งงานกับดิเรกได้ หากเมื่อเราสองคนได้ทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้น”
“แล้วทำไมถึงได้ปฏิเสธดิเรกไปเสียล่ะครับ”
“ครอบครัวและฐานะ” เขาจับจ้องมองอย่างสงสัย
“ฉันเคยเจอะเจอกับมารดาของดิเรก ครั้งหนึ่งและมันก็เป็นการพบกันที่ไม่ค่อยจะดีมากนัก”
“หมายความว่าอะไรไม่มีมากนัก”
“ดิเรกเป็นถึงเจ้าหม่อนฟ้า มีเชื่อสายผู้ดีเก่าแก่จากประเทศไทย ครอบครัวร่ำรวยมหาศาล ส่วนฉันในเวลานั้นต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินเรียนหนังสือ ฉันไม่มีเวลาจะนอนหลับให้เต็มอิ่มสักวันเดียวด้วยซ้ำ ครอบครัวญาติพี่น้องให้พึ่งพาก็ไม่มี คุณคิดว่าครอบครัวที่ดีมีฐานะอย่างเช่นดิเรกจะยอมรับฉันได้จริงๆ หรือค่ะ”
“แสดงว่า...”
“ฉันถูกสั่งห้ามให้เลิกคบกับดิเรก จนกระทั้งภายหลังจากแม่ของฉันได้ตายจากไป ฉันถึงได้รับรู้ว่าฉันยังมีใครที่คอยห่วงใยอยู่อีกคน เขาได้มอบความหวังครั้งใหม่ให้กับฉันมันคือ การแก้แค้น คุณคงพอจะรับรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร”
“พ่อเลี้ยงเกียงไกร ตรีเตชะมร”
“ใช่ปู่ของฉันเอง เขาเฝ้าจับจ้องมองดูฉันอย่างคนที่กำลังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ภายในจิตใจ ความเศร้าเสียใจและการยอมรับความจริงมันทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากจนเกินไป สำหรับตัวท่านเองและสำหรับตัวของฉันเองด้วย การเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รับรู้เรื่องราวอะไรเลยมันเป็นสิ่งที่ดีกว่า คุณว่าจริงไหม” เขาไม่คิดจะตอบคำถามของมินตรา เพราะคำถามของเธอมันกำลังจะทำให้เขารู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง เขาไม่เข้าใจคำถามของเธอเลยแม้แต่น้อย มันลึกซึ้งยากเกินที่จะทำความเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพ่อเลี้ยงเกียงไกรและของมินตราอย่างจริงๆ จังๆ
“แล้วคุณมาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังทำไมกัน”
“มันมีเหตุผลมากมายหลากหลายเหตุผล แต่ในเวลานี้ฉันต้องการอยากจะให้คุณช่วยเหลืออะไรฉันบางอย่าง” มันคือน้ำเสียงของการบังคับไม่ใช่การขอร้องเขาเลยแม้แต่น้อยและเขาเองก็ไม่กล้าที่จะคิดปฏิเสธการร้องขอของมินตราได้เลยแม้แต่น้อยเช่นกัน
“อย่างที่ฉันบอก ระหว่างพวกเราต่างก็มีเรื่องที่จะต้องพึ่งพาอาศัยกันต่อไปอีกในอนาคตข้างหน้า ในเวลานี้ฉันจึงยังไม่คิดที่จะทำสิ่งใดกับคุณหรือครอบครัวของคุณ ฉันขอหยุดเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างพวกเราสองคนเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน” เธอกำลังพยายามพูดข่มขู่เขาชัดๆ ทั้งจากสีหน้าและแววตาตลอดจนน้ำเสียง
“คุณต้องการจะให้ผมช่วยเหลือเรื่องอะไรกันแน่” มินตราจับจ้องมองตรงลงไปเบื้องล่างอย่างดวงตาของปีศาจร้ายที่คุณปู่เขาเคยพูดเอาไว้
“ทำลายตระกูลเวียงผาหมอกทิ้งซะ” ธเนศรู้สึกเนื้อตัวเย็นเฉียบจนจับถึงขั้วหัวใจ มินตรากำลังหาเหตุผลเพื่อที่จะระบายความเจ็บปวดภายในจิตใจตัวเองออกมา และเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ใกล้มือของเธอมากที่สุดในขณะนี้ก็คือ คุ้มเวียงผ่าหมอกของเจ้าหม่อนเมฆ และเขาเองก็กำลังจะตกเป็นเครื่องมือให้กับเธอได้ใช้ เพื่อระบายความเจ็บปวดภายในหัวใจของเธอออกมา แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไปดี
"เขาจำเป็นที่จะต้องทำในสิ่งที่มินตราต้องการอยากจะให้เขาทำ ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงก็ตาม เขาจำเป็นจะต้องทำร้ายคนบริสุทธิ์ให้ต้องเจ็บปวด และเขาก็จะยินยอมเสียสละตนเองให้เป็นเสมือนอาวุธอันไร้คุณค่าสักชิ้นเพื่อให้มินตราได้นำเอาไปใช้ไล่ทิ่มแทงคนอื่นให้ต้องทนทุกข์ทรมาน"
"ผมทำไม่ได้ครับ" มันคือคำตอบแรกที่เกิดขึ้นอยู่ภายในจิตใจของเขา ภายหลังจากได้รับฟังสิ่งที่มินตราต้องการอยากจะให้เขาช่วยเหลือเธอ แม้มันจะเป็นการบีบบังคับกันทางอ้อมก็ตามที แต่สุดท้ายคำตอบจริงๆ ของเขาก็คือ
"ตกลงครับ"
.................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ