เล่ห์กลรักเงาอสูร
20) บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เล่ห์กลรักเงาอสูร
บทที่ 4 คุ้มเวียงผาหลวง
หนึ่งเดือนต่อมา ณ กลางหุบเขาหลังม่านทะเลหมอกอันมีลักษณะเป็นกำแพงสีขาวอย่างกับกลุ่มควันไฟที่กระจายตัวครอบอาณาเขตบริเวณแห่งนี้เอาไว้ ทุกคนในพื้นที่รอบนอกต่างเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า คุ้มเวียงผาหลวง มันเป็นสถานที่อันถูกตัดขาดจากโลกภายนอกมายาวนานกว่ายี่สิบปี
“อ้ายไม้ตื่นนอนมาทำงานได้แล้ว” ธเนศชายหนุ่มผู้มีหนวดเครารกรุงรังลืมตาตื่นนอนยามเช้าตรู่
“ครับพี่เที่ยง” นายเที่ยงคือหัวหน้าคนงานของพ่อเลี้ยงเกียงไกร
“วันนี้ข้าไม่ว่างต้องติดตามพ่อเลี้ยงไปทำธุระในเมือง เอ็งต้องไปคุมคนงานแทนข้า” ธเนศก้าวเดินเข้าไปในห้องน้ำเล็กๆ ในเรือนคนพักชั่วคราวแล้วจับจ้องมองใบหน้าของตัวเองในกระจก
“เขาไม่แตกต่างอะไรจากมหาโจรเลยแม้แต่น้อย”
“ข้าว่าเอ็งควรที่จะโกนหนวดโกนเคราเสียหน่อยนะอ้ายไม้ พวกเด็กเล็กๆ มันกลัวเอ็งจะแย่อยู่แล้ว” นายเที่ยงนึกขำเมื่อต้องพูดประโยคต่อไป
“แต่พวกสาวๆ ในคุ้มมันกับบอกกับข้าว่า เอ็งมันดูโหดร้าย โหดเหี้ยมเหมือนกับผู้ร้ายในละคร หว่ะ แต่อย่างไรเอ็งก็ดันมีเสน่ห์แบบเถื่อนๆ ได้ใจสาวๆ หลายคนเหมือนกัน” นายเที่ยงแสดงท่าทางเป็นห่วงอย่างออกนอกหน้าเมื่อต้องพูดประโยคต่อไปอีก
“อย่างไรเสียเอ็งก็จงคอยระมัดระวังตัวเองเอาไว้หน่อย สาวๆ ที่นี่มันมีเจ้าข้าวเจ้าของกันเกือบจะหมดแล้ว จะจีบใคร ชอบใครเล่นๆ ควรจะระวังตัวกันสักหน่อย เดียวจะโดนผัวเก่ามันรุมกระทืบเอา” ธเนศล้างหน้าแปลงฟันจนเสร็จเรียบร้อย แต่ไม่ได้โกนหนวดโกนเครา อย่างที่นายเที่ยงแนะนำ แล้วจึงก้าวเดินลงมาจากบันไดเรือนคนงานหลังเล็กๆ ยกพื้นสูงประมาณเมตรกว่าๆ บันไดจึงมีเพียงไม่กี่ขั้นเท่านั้น
“ครับพี่เที่ยง” ความจริงแล้วภายในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาธเนศเองก็แทบจะไม่เคยได้คุยกับผู้หญิงคนไหนมากเกินกว่าสิบคำเลยด้วยซ้ำ
“ข้าว่าก็ดีเหมือนกันที่เอ็งดูน่ากลัวๆ แบบนี้ ถ้าเอ็งโกนหนวดโกนเคราออกจนหมด ข้ากลัวว่าลูกสาวของข้ามันจะใจแตกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก ตอนนี้สาวๆ ในคุ้มต่างกำลังจัดเตรียมอาวุธที่จะลุกขึ้นมาฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งชิงมหาโจรอย่างเอ็งกันแล้วล่ะหว่ะอ้ายไม้” นายเที่ยงมีลูกสาวอายุประมาณ 18 หรือ 19 ปี ที่แอบหลงรักหลงชอบธเนศตั้งแต่แรกพบปะเจอะเจอหน้า และสาวๆ อีกหลายคนในคุ้มต่างก็มีความคิดเฉกเช่นเดียวกันกับลูกสาวของนายเที่ยงด้วยเช่นกัน
“เอานี้กุญแจรถ” นายเที่ยงยื่นส่งกุญแจรถจี๊ปคันเล็กให้กับธเนศ ขณะที่ธเนศกำลังก้าวเดินไปไขว่คว้าเอาหมวกคาวบอยสีเทาบนเขากวาง ที่ทำเอาไว้สำหรับแขวนหมวกเป็นที่ประจำ ภายหลังจากนายเที่ยงส่งกุญแจรถจี๊ปให้กับธเนศแล้ว นายเที่ยงก็ก้าวเดินตรงไปยังเรือนหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงเกียงไกรในทันที ส่วนธเนศเมื่อได้กุญแจรถจี๊ปแล้วก็ขับรถตรงไปยังโรงอาหารทันทีด้วยเช่นเดียวกัน
“อุ๊ย!! พ่อองคุลีมาลของพวกเรามาถึงแล้วล่ะ หน้าโหดได้ใจและเหมือนเดิมอย่างทุกๆ ครั้งเลย” สาวๆ คนงานในคุ้มต่างจับจ้องมองธเนศขณะก้าวเดินตรงเข้าไปนั่งยังที่ประจำในโรงอาหาร ถาดหลุมที่จัดวางเตรียมเอาไว้ให้เป็นประจำอย่างทุกวัน นำมาวางเอาไว้อยู่ตรงเบื้องหน้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งประกอบไปด้วยข้าวสวยพูนหลุมจากถาดหลุมจนล้นที่ผู้ชายอย่างน้อยสองคนสามารถจะทานจนอิ่มได้ พร้อมกับข้าวกับปลาในแต่ละหลุมแต่อันประกอบด้วยแกงจืด แกงเขียวหวาน น้ำพริกและเครื่องเคียงจำพวกผักหลากหลายชนิด และที่พิเศษสุดกว่าใครๆ จากคนงานคนอื่นๆ ก็คือน่องไก่ขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งน่อง
“โว้ย!! ลำเอียงกันจริงๆ เลยโว้ย!! แม่ครัวทำอย่างนี้มันจะถูกที่ไหน”
“โคร้ม! !ๆๆ” เสียงสากตำน้ำพริกทุบเข้าที่ข้างฝาอันเป็นไม้กระดานเนื้อแข็งหลายครั้ง
“เอ็งจะกินเงียบๆ หรือว่าอยากจะโดนสากในมือของข้าเสียก่อนอ้ายยอด”
“เรียกมันให้ถูกๆ หน่อยกระผมมีชื่อว่านายยอดชาย”
“เอ็งจะชื่ออะไร ข้าไม่สนแต่ที่นี่ข้าใหญ่สุด”
“ครับแม่นางนวลลออ”
“ฮ่าๆๆ” เสียงกลุ่มคนงานชายต่างพากันหัวเราะชอบอกชอบใจ ในมุขตลกระหว่างอ้ายยอดชายกับแม่ครัวในโรงอาหารที่ต่างก็เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ในทุกเช้าก่อนที่ทุกคนจะออกไปทำงาน และเหตุการณ์เช่นนี้ก็จบลงที่ ต่างคนก็ต่างลุกแยกย้ายกันออกไปจากโต๊ะไม้ที่ต่อขึ้นใช้เอง ที่มีความยาวประมาณสองเมตรสามารถนั่งหันหน้าเข้าชนกันได้ฝั่งละไม่เกินห้าคน
“ไปกันจนได้นะ อ้ายพวกไม่รู้จักโต” แม่ครัวยังคงบ่นพึมพำต่อไปอันเป็นลักษณะนิสัยของคนช่างพูด และลักษณะนิสัยของคนที่มีจิตใจอ่อนโยน ธเนศยังคงนั่งทานอาหารของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะสนใจสาวน้อยสาวใหญ่ที่ต่างกำลังจับจ้องมองเขาอยู่ ธเนศนั่งฝืนทนทานข้าวต่อไปให้หมดถาดแม้จะอิ่มท้องมานานมากแล้วก็ตาม
“พ่อไม้เอาข้าวเพิ่มอีกไหม จ๊ะ” นางนวลลออแม่ครัววัยอายุสี่สิบกว่าเป็นภรรยาของนายเที่ยงหัวหน้าคนงานในคุ้มสอบถามขึ้น ด้วยเกรงกลัวว่าธเนศจะทานข้าวเช้าไม่อิ่ม
“ผมอิ่มแล้วครับ” แม้ธเนศจะหนวดเครารกรุงรังอย่างกับมหาโจร แต่น้ำเสียงของธเนศกับไพเราะน่าฟังอย่างเช่นพระเอกหนังไทย มันจึงทำให้เกิดเสียงแปลกๆ รอบข้างตามมาด้วยในทุกครั้งที่ธเนศเอ่ยปากพูดสิ่งใดออกมาก็ตาม
“ว้าย!!...” สาวๆ โต๊ะข้างๆ ต่างหยิกกัน ตีกันให้วุ่นวายกันไปหมด แต่ไม่มีใครกล้าก้าวเดินเข้ามาหาธเนศอย่างตรงๆ อย่างเช่นลูกสาวของนายเที่ยงและนางนวลลออ
“พี่ไม้อย่าได้เกรงใจนะจ๊ะ รำพัน จัดเตรียมกับข้าวเอาไว้เพื่อพี่ไม้อีกมากหากพี่ยังไม่อิ่ม”
“ผมอิ่มแล้วครับ”
“จริงหรือจ๊ะ พี่ไม้ทานน้อยจังเลยนะจ๊ะวันนี้ อย่างนั้นพรุ่งนี้รำพันจะเพิ่มข้าวให้พี่อีกหน่อยแล้วกัน” ธเนศแทบช็อกเพราะขณะนี้เขาก็แทบจะลุกขึ้นเดินไปไหนมาไหนไม่ไหวอยู่แล้ว โดยปกติแล้วอาหารในยามเช้าของธเนศก็จะเป็นกาแฟและขนมปัง แต่เมื่อธเนศต้องมาอาศัยและเป็นคนงานอยู่ภายในคุ้มเวียงผาหลวงของพ่อเลี้ยงเกียงไกร การทำตัวให้เคยชินกับสภาพของคนงานในคุ้มจึงค่อนข้างจะมีความสำคัญมากสำหรับเขา ซึ่งต้องทำงานให้ตรงต่อเวลา ตื่นนอนตรงต่อเวลา ทานอาหารให้ตรงต่อเวลา และสิ่งที่สำคัญในโรงอาหารแห่งนี้ก็คือเขาจะต้องทานอาหารให้หมดในทุกๆ ครั้งเพราะมันคือกฎที่นางนวลลออเขียนป้ายติดเอาไว้ ตามเสาเรือน ตามฝาผนังเรือนโปร่งแสงรอบข้าง หรือพื้นที่ว่างๆ ที่พอจะเขียนติดเอาไว้ได้
“อย่าเพิ่มให้ผมเลยครับ เอาให้เหมือนกับของทุกๆ คนก็พอ”
“ตกลงจ๊ะ พี่ไม้” รำพันจะตอบแบบนี้ในทุกครั้ง อย่างเช่นเดียวกันกับเขาเองก็จะตอบแบบเดียวกัน ในทุกครั้งด้วยเช่นเดียวกัน แต่ข้าวสวยในหลุมของเข้าก็จะเพิ่มขึ้นๆ จนล้นแบบนี้อยู่เช่นเดิม
“ผมต้องขอตัวไปทำงานก่อน” ธเนศลุกขึ้นยืนพร้อมจะก้าวเดินกับไปที่รถจี๊ปที่จอดทิ้งเอาไว้หน้าโรงอาหาร
“แม่จ๋า วันนี้หนูขอเอาข้าวไปส่งให้ที่เรือนไม้สักทองเอง นะจ๊ะ” ธเนศหยุดเดินเพื่อรอฟังการสนทนาระหว่างนางนวลลออกับลูกสาว
“ไม่ได้พ่อเลี้ยงไม่อยากให้ใครไปยุ่งวุ่นวายที่เรือนนั้น”
“แต่รำพันอยากรู้นี้จ๊ะว่าใครมันสามารถที่จะขึ้นไปอยู่บนเรือนไม้สักทองผีสิงนั้นได้ เกือบยี่สิบปีพ่อเลี้ยงไม่เคยเปิดให้ใครขึ้นไปอาศัยอยู่เลย รำพันอยากรู้จริงๆ นะจ๊ะแม่”
“อย่าสอดรู้สอดเห็นนางรำพันเรื่องของเจ้านายเขา”
“เขาว่าคนมาอยู่เป็นผู้หญิงด้วยใช่ไหมจ๊ะแม่ เขาว่าสวยอย่างกับนางฟ้า รำพันอยากจะเห็นว่าเธอสวยอย่างกับคุณโรสิลีดาราละครในดวงใจของรำพันหรือเปล่า”
“ข้าก็ไม่รู้ว่ามันจะสวยเท่าหรือเปล่า แต่เธอสวยมากๆ แม้แต่ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นคนสวยแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตล่ะว้า”
“จริงหรือจ๊ะแม่ อย่างนั้นวันนี้ให้รำพันติดตามแม่ไปด้วยนะจ๊ะ พ่อเลี้ยงไม่อยู่ที่คุ้ม หนูถามพ่อมาแล้ว พ่อเลี้ยงไปทำธุระที่คุ้มเวียงผาหมอกของเจ้าหม่อนเมฆ”
“พ่อเลี้ยงไม่ทำธุระอะไรที่คุ้มนั้นกันหว่ะ นังรำพัน”
“ก็ลูกชายคนโตของเจ้าหม่อนเมฆสิแม่ พาคนมาตัดไม้สักของพ่อเลี้ยงหมดไปเกือบเป็นไร่ๆ เลย”
“ทำไมถึงทำอย่างนั้นกันหว่ะ”
“ก็คงอยากจะให้พ่อเลี้ยงขายที่คืนให้สิแม่ ที่พื้นนั้นเขาว่ามันเป็นเหมืองเพชร เหมืองพลอยอะไรสักอย่างนี้แหละ”
“จริงหรือหว่ะ นังรำพัน”
“ก็พ่อบอกหนูมาอย่างนั้น จริงหรือไม่จริงหนูไม่รู้หรอก”
“มันถ้าจะเป็นเรื่องจริงหว่ะ ถ้าพ่อของเอ็ง กล้าบอกเอ็งมาจนขนาดนี้แล้วล่ะก็”
“แต่พ่อบอกหนูมาว่าพ่อเลี้ยงเกียงไกร โกรธมากเลยนะจ๊ะแม่ เพราะที่ตรงนั้นมันเป็นพื้นดินของลูกชายท่านที่ได้ตายไปแล้ว และลูกชายของท่านก็ชอบที่พื้นนั้นมากด้วย ถึงขนาดท่านไปปลูกสร้างสุสานเอาไว้ให้กับลูกชายของท่านได้อาศัยอยู่แม้จะได้ตายจากไปนานแล้วก็ตาม”
“ฟังเอ็งพูดแล้วข้ารู้สึกสะเทือนใจจริงๆ หว่ะ” แม้แต่ธเนศเองที่กำลังยืนหันหลังนิ่งฟังอยู่ด้วย ก็ยังรู้สึกเศร้าเสียใจเช่นเดียวกัน เพราะสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดมันต่างก็เกิดขึ้นมาจากครอบครัวของเขาเองทั้งสิ้น ธเนศไม่คิดจะสนใจว่าสองแม่ลูกจะพูดคุยสิ่งใดกันต่อไป เขาขึ้นรถจี๊ปคันเล็กแล้วขับตรงไปยังสุสานที่สองแม่ลูกกำลังพูดถึงอยู่ทันที เพราะเขาอยากจะพบเจอะเจอหน้าของมาวิณ ตรีเตชะมรอีกสักครั้งว่าใบหน้าที่เขาพบและจดจำได้ในความฝันจะยังคงเหมือนเดิมอยู่อีกหรือไม่
...............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ