เล่ห์กลรักเงาอสูร
2) บทที่ 1 แรงแค้น_1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
-ต่อจากบทก่อนหน้า-
บทที่ 1 แรงแค้น_1
นายเกียงไกร ตรีเตชะมร คือชายชราในวัยอายุ 69 ในวันอากาศดีๆ เย็นสบายของจังหวัดเชียงใหม่ ชายชรากำลังยืนสงบนิ่งอยู่หน้าป้ายหลุมศพของบุตรชายที่ได้ตายจากไปแล้วร่วมยี่สิบกว่าปี จากฝีมือของเพื่อนสนิทแม้มันจะไม่ใช่โดยทางตรงแต่มันก็ถือได้ว่า เป็นสาเหตุการตายของบุตรชายได้เช่นเดียวกัน บุคคลที่มีส่วนร่วมทำให้บุตรชายเขาเขา ต้องฆ่าตัวตายมีด้วยกันสามคนคนแรกได้แก่ นายสรยุทธ บุคคลที่สองคือนายกษิณ และคนสุดท้ายก็คือภรรยาของบุตรชายของเขาเอง ในจดหมายลาตายของบุตรชายบอกเอาไว้เพียงสั้นๆ ว่า
“พ่อครับ ผมขอโทษ ฝากดูแลบุตรสาวของผมด้วย ผมอ่อนแอจนเกินไป หากชาติหน้ามีจริงผมจะยอมเชื่อฟังพ่อทุกอย่าง”
“ฝากดูแลบุตรสาวของผมด้วย” ลูกชายฝากให้ดูแลเฉพาะบุตรสาว แต่กับภรรยาที่เคยบอกว่ารักมากมายนักหนา กับไม่ได้กล่าวถึงเอาไว้เลยในจดหมายลาตาย หลายปีต่อมาเขายินยอมที่จะทำตามคำขอร้องของบุตรชาย เขาเข้าไปอุปการะบุตรสาวของลูกชาย ในวันเวลาที่บุตรสาวของบุตรชายกำลังประสบกับปัญหาหลายๆ อย่าง ทั้งจากโรคร้ายของมารดา ทั้งจากค่าใช้จ่ายค่าในการรักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียน ที่หญิงสาวตัวเล็กๆ คนเดียวต้องพยายามแบกรับภาระ มันทำให้เขาเกิดนึกรักและสงสารหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่เพียงลำพังตัวคนเดียวในประเทศต่างแดน อันไร้ญาติซึ่งญาติมิตรและคนรู้จักที่พอจะช่วยเหลือเกื้อหนุนสิ่งใดกับเธอได้
การให้อภัยภรรยาของบุตรชายมันจึงถือเป็นก้าวแรกของเขาในเวลาเช่นนั้น การให้ความช่วยเหลือบุตรสาวของลูกชายมันคือความผูกผันทางสายเลือดตรีเตชะมรโดยแท้ หญิงสาวถอดแบบลักษณะนิสัยใจคอของเขาออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความฉลาด ไหวพริบการเอาตัวรอด และแววตาเย็นชาไร้อันความรู้สึก มันคือลักษณะนิสัยของคนในตระกูลตรีเตชะมรโดยแท้เช่นกัน มันคือความภาคภูมิใจเพียงสิ่งเดียวที่ลูกชายที่จากไปได้หลงเหลือทิ้งเอาไว้ให้ เขาต้องการให้บุตรชายได้มาเห็นหลานสาวของเขาในวันนี้เสียจริงๆ
“บุตรสาวของลูก เธอสวย น่ารักเหมือนกับนางฟ้าเลยลูกพ่อ” มันคือการบอกกล่าวต่อหน้าป้ายหลุมศพอายุยี่สิบกว่าปี ด้วยน้ำเสียงที่ยังมีความเศร้าเสียใจเจือปนอยู่อย่างมาก สายลมเย็นๆ รอบข้างต่างช่วยกันพัดพาเอาคำพูดแห่งความเศร้าเสียใจของชายชรา ให้ล่องลอยผ่านกระแสเกลียวคลื่นแห่งสายลมเย็นๆ ไปได้ไกลสุดที่จะหยั่งถึงได้ และบุตรชายก็น่าจะรับรู้หรือรับฟังได้บ้างด้วยเช่นกัน
“พ่อเอารูปถ่ายของบุตรสาว ของลูกมาให้ดูด้วย” ชายชราวางรูปถ่ายใบหน้าตรง ลงวางไว้ข้างๆ กับดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ที่ได้นำเอามาฝากบุตรชายด้วยเช่นเดียวกันกับรูปถ่ายใบเล็กๆ หนึ่งใบ
“พ่อทำตามคำสัญญาแล้ว มาวิณ พ่อทำตามคำสัญญาแล้ว” มันคือเสียงสะอื้นและคำพูดแห่งความรักและความคิดถึงบุตรชาย แม้จะพยายามเข้มแข็งและเก็บกักมันเอาไว้มากมายแล้วก็ตาม
“ครั้งต่อไปพ่อจะพาบุตรสาว ของลูกมาหา พ่อให้สัญญา มาวิณ” มันไม่ใช่แค่คำสัญญาที่ไม่มีความหมาย ภายในหัวใจของชายชราเลย แต่มันคือคำสัญญาที่แสนจะเจ็บปวดและกำลังคาดหวังถึงการชดใช้ที่เท่าเทียบกัน อยู่ภายในหัวใจส่วนลึกแห่งคำสัญญานั้น
“เมื่อถึงเวลาแห่งการชดใช้ที่เท่าเทียมกัน ของพวกตระกูลเกียรติภูมินต์สำเร็จ และสิ้นสุดลงแล้ว” มันคือจิตอาฆาตที่ชายชราได้เก็บกักมันเอาไว้ ภายในส่วนลึกของหัวใจ รอวันเวลาที่จะบอกกล่าวแก่บุตรชายในวันข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง
“บุตรสาวของลูกจะต้องเอาชีวิต ของบุตรชายแห่งเกียรติภูมินต์ เอามาไว้อยู่ในกำมือได้อย่างแน่นอน ลูกรักของพ่อ พวกมันจะต้องได้รับรู้ถึงความรู้สึก ที่จะต้องสูญเสียลูกชายไปว่ามันมีความรู้สึกเป็นเช่นไร” มันคือความคิดผูกจิตอาฆาตที่ยังคงไม่ต้องการอยากจะบอกกล่าวแก่บุตรชายในเวลานี้ แต่สักวันจะต้องได้บอกกล่าวให้แก่บุตรชายได้รับฟัง ได้รับรู้อย่างแน่นอน
“แล้ววันหลัง พ่อจะกลับมาหาลูกใหม่ มาวิณ ตรีเตชะมร ลูกรักของพ่อ” น้ำเสียงหนักแน่นไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ตลอดจนแววตาอย่างเช่นเดียวกันกับแววตาอันไร้ความรู้สึกของมินตรา เจ.คลาส หรือมินตรา ตรีเตชะมร หญิงสาวที่จะทำให้ตระกูลเกียรติภูมินต์ จะต้องล่มสลายทั้งทรัพย์สินเงินทองและความรักความผูกผันของทุกคนในครอบครัวเกียรติภูมินต์ ชายชราก้าวเดินกลับไปยังรถสีดำคันใหญ่สีดำที่จอดรอคอยอยู่พร้อมกับคนขับรถ และรับโทรศัพท์มือถือมาจากคนขับรถยื่นส่งให้ อย่างรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าบุตรสาวของลูกชายกำลังโทรเข้ามาหา เสียงใสๆ ของหลานสาวก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะคุณลุง เมเองนะค่ะ”
“มีอะไรจะให้ลุงช่วยอีกหรือเม”
“คุณลุงยังสามารถที่ปั่นราคาหุ้นให้เพิ่มขึ้นอีกสักนิดได้ไหมค่ะ เมอยากจะเร่งให้ทางนั้นรีบตกลงตามเงื่อนไขของเมเร็วๆ”
“ตกลง หลานสาวที่รักของปู่” มันคือคำตอบในความคิดของชายชราในทุกๆ ครั้งที่หลานสาวโทรเข้ามาหา แต่สิ่งที่เขาตอบกลับคืนไปในทุกครั้งก็คือ
“ตกลงเม เดียวลุงจะจัดการให้”
“ขอบคุณค่ะ คุณลุง” น้ำเสียงแสดงความดีใจ ทำให้ชายชรารู้สึกคลายความเศร้าเสียใจในการมาพบปะบุตรชายไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ไม่เป็นไรเม หากต้องการจะให้ลุงช่วยเหลืออะไรอีก ก็โทรมาได้ตลอดเวลา ลุงจะจัดการให้” คำพูดของชายชราเป็นเหมือนดังเช่นคำสัญญา ที่มินตราสามารถที่จะเชื่อถือและไว้วางใจได้ หากมินตราบอกให้ชายชราไปจัดการฆ่าใครให้กับเธอ เธอคาดคิดว่าชายชราผู้ลึกลับก็คงจะรีบจัดการให้กับเธอได้ด้วยเช่นเดียวกัน มันคือความรู้สึกที่แวบเข้ามาอยู่ในห้วงความคิด
“ตกลงค่ะคุณลุง เมขอกลับไปทำงานต่อนะค่ะ” หลังจากวางสายโทรศัพท์จากชายชราผู้ลึกลับมินตราจึงเริ่มคิดถึง ชายหนุ่มรูปหล่อ ที่เธอเพิ่งพบปะเจอะเจอไปเมื่อหลายชั่งโมงก่อนหน้า ธเนศกำลังทำสิ่งใดอยู่ในขณะนี้กันนะ
................................................
หลังจากกลับมาจากบริษัทของสาวสวย มินตรา เจ.คลาส ธเนศก็เริ่มต้นทำงานทันที สิ่งแรกที่เขาจะต้องรับรู้ให้ได้ก็คือ มินตรา เจ.คลาส เป็นใครมาจากไหน ในวงการธุรกิจในต่างประเทศ น่าจะพอรับรู้เรื่องราวของเธออยู่บ้าง แต่เปล่าเลย หญิงสาวอยู่ดีๆ ก็โผล่หน้าขึ้นมา จากที่ไหนก็ไม่รู้พร้อมกับหุ้นในบริษัทของบิดาของเขาจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ มันเป็นเรื่องบ้าบอชัดๆ เขาตั้งประเด็นความสงสัยเอาไว้สองข้ออันได้แก่
มินตราคือผู้อยู่เบื้องหลังการปั่นหุ้นของบริษัทของเขา และเมื่อราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงทะลุเพดานเธอก็ปล่อยขายหุ้นของบริษัทของเขาเพื่อทำกำไรทันที แล้วหลบหนีไป
อย่างทีสอง มินตรา ไม่ใช่เป็นเพียงแค่นักปั่นหุ้นธรรมดา แต่อาจจะร่วมมือกับคู่แข่งของเขาเข้ามาเทคโอเวอร์ บริษัทของเขาก็ได้
ธเนศ จับจ้องมองจอมอนิเตอร์ มันคือตัวเลขความสูญเสียทั้งหมด ณ เวลานี้ ของบริษัท ที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยกำลังพากันเทขายหุ้นเพื่อเริ่มต้นทำกำไร แต่ในขณะนี้ ทางบริษัทยังสามารถที่จะรองรับแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ แต่หากว่ามินตรา รอจังหวะเทขายหุ้นทั้งหมดจำนวนสามสิบเปอร์เซ็นต์ในทันที ความเสียหายของบริษัทของเขาจะเกิดขึ้นนับพันล้านบาทเลยทีเดียว มีทางเดียวเท่านั้น เขาจะต้องรีบเรียกคืนหุ้นทั้งหมดเอามาเก็บเอาไว้เสียก่อนที่ตัวเลขราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นสูงต่อไปอย่างหยุดไม่อยู่เช่นนี้
ธเนศจับจ้องมองนาฬิกาข้อมือแล้วเริ่มคำนวณเวลาของประเทศในต่างแดน ที่เพื่อนนักธุรกิจของเขาอาศัยอยู่ ชายหนุ่มวัย 32 ปี มีนามว่าดิเรก ทำงานเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ธเนศกดปุ่มโทรศัพท์มือถือโทรออกในทันที
“ไฮ เนด” เสียงตอบรับจากดิเรก แม้จะไม่ได้พบปะเจอะเจอหน้าเพื่อนเก่ามานาน แต่เมื่อได้รับฟังน้ำเสียงดีใจ เหมือนเพื่อนรักกำลังมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า ตามลักษณะนิสัยที่ธเนศเคยจดจำได้
“ไฮ เรก”
“ไอ้เนด เป็นไงไปหว่ะเพื่อน น้ำเสียงนายไม่มีความสุขเลย”
“ฉันคิดว่านายคงพอจะรับรู้อยู่บ้างแล้วนะ เรก หากนายยังทำงานในวงการค้าหุ้นอยู่” ดิเรกหยุดคิดเพื่อค้นหาคำตอบให้กับเขาอยู่สักพัก ก่อนจะตอบคำถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“บริษัทของนายมีนักปั่นหุ้นจับจ้องจะเข้าเทคโอเวอร์อยู่จริงๆหว่ะเพื่อน และเหมือนว่าจะเป็นการลงขันกันในหลายๆ ประเทศ กันก็ไม่แน่ใจว่ามีใครบ้างและกันก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือนายแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไรด้วย แต่หากนายสามารถที่ซื้อหุ้นกลับคืนมาได้ในราคาต้นทุนก็รีบกว้านซื้อกลับคืนให้หมดเถอะเพื่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะส่งผลเป็นลูกโซ่ บริษัทของนายอาจจะถูกเข้าเทคโอเวอร์เอาจริงๆ ก็ได้” สิ่งที่ดิเรกกำลังแนะนำ ตัวเขาเองก็พอจะคาดเดาและคาดคิดเอาไว้ภายใจจิตใจล่วงหน้าก่อนแล้วเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่ต้องการอยากจะยอมรับความจริงในเวลานี้ ก็เท่านั้น
“เรก นายลองตรวจสอบประวัติ ของผู้หญิงคนหนึ่ง ให้หน่อยได้ไหม”
“ใครหว่ะ เนด” น้ำเสียงแสดงความสงสัยและแสดงความสนใจอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันได้ส่งรูป และชื่อไปให้นายทางเมล์แล้วลองเช็คดู เธอมีชื่อว่า มินตรา เจ.คลาส นายพอรู้จักไหม”
“ว่าไงนะ พูดอีกทีสิ เนด” ดิเรกมีอาการตื่นตกใจ คำพูดตลอดจนน้ำเสียงจึงเสียงดังฟังชัด เขาคาดคิดเอาไว้ว่าดิเรกต้องได้ยินได้ฟัง คำพูดของเขาได้อย่างชัดเจนในครั้งแรกดีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการอยากที่จะให้เขาพูดทวนซ้ำอีกครั้ง เท่านั้น อาจจะเป็นเพราะยังต้องการอยากจะได้รับคำยื่นยันจากเขาให้แน่ชัดอีกสักครั้ง เขาเริ่มสะกดชื่อของมินตราด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดอย่างเน้นๆ ทุกๆ คำพูด
“มิน-ตรา-เจ-คลาส เธอมีชื่อว่า มินตรา นามสกุล เจ.คลาส น่าจะเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกันเธอสวยมากจริงๆ หว่ะเพื่อน” ดิเรกเงียบเสียงลงไปสักพัก แล้วเริ่มตอบรับคำถามของเขา
“กันรู้จักกับเธอเป็นอย่างดีเลยล่ะ เนด” น้ำเสียงของดิเรกเหมือนจะมีความเศร้าสร้อยเจือปนอยู่ด้วย เมื่อตอบคำถามของเขาออกมา
“นายช่วยเล่าเรื่องราวของเธอ ออกมาให้ฉันได้ฟังหน่อยได้ไหม เรก” น้ำเสียงแสดงอาการบีบบังคับไม่ใช่เป็นการขอร้อง และดิเรกเองก็สามารถจะจับลักษณะของน้ำเสียงของเขาได้ด้วยเช่นเดียวกัน จึงเริ่มต้นเล่าประวัติของมินตราออกมา
“นายจำตอนที่กันเลิกกับแฟนเก่าใหม่ๆ ได้ไหมหว่ะ” เขาไม่ตอบคำถามเพื่อนรัก เป็นอันรับรู้กันดีว่าเขาจดจำได้และรอฟังเพื่อนรักเล่าต่อไป
“กันแทบจะไม่เป็นคน แต่กันก็ยังโชคดี ที่ได้เจอะเจอกับมินตรา เธอเป็นเพื่อนที่ดีให้กับกันในเวลานั้นจริงๆ เพียงแค่เวลาไม่นานมากนักกันก็สามารถที่จะลืมความรักในครั้งแรกไปได้ แล้วเริ่มต้นคบหากับมินตราเป็นเพื่อนรัก จนความรู้สึกของกันเริ่มจะเปลี่ยนแปรไป จากความเป็นเพื่อนเริ่มจะเปลี่ยนเป็นความรักเธอฝ่ายเดียว กันกับมินตราเราไม่ได้โกหกเรื่องความรู้สึกภายในจิตใจ กันสารภาพความรักกับเธอออกไปตรงๆ เธอก็ตอบปฏิเสธความรักของกันกลับคืนมาตรงๆ เช่นกัน ภายหลังจากนั้น กันกับมินตราพวกเราก็ต่างก็ยังคงคบหาและสนิทสนมเป็นเพื่อนอยู่เช่นเดิม แต่เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว กันก็จำต้องขาดการติดต่อจากเธอไป กันพยายามจะติดตามและออกสืบค้นหาเธออยู่ตลอด แต่ก็ไม่สามารถจะติดตามสืบค้นหาจนพบได้ ก็ในเมื่อกันหลงรักเธอเข้าให้แล้วกันจะปล่อยเธอไปเลยได้อย่างไร กันก็เป็นคนมีความรู้สึกมีเลือดมีเนื้ออย่างเช่นคนปกติธรรมดา จริงไหมหว่ะ เนด” จากเรื่องเล่ากลับกลายเป็นเรื่องระบายอารมณ์ความรู้สึกให้กับเพื่อนอย่างเขาฟังเสียนี้
“เล่าต่อไปสิ เพื่อน” เขาออกคำสั่งอีกครั้ง
“มินตรา เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยคะแนนสูงสุดด้วยวัยเพียงแค่ 25 ปี เรียกได้ว่าอัจฉริยะเลยล่ะเพื่อน เธอสามารถเลือกเข้าทำงานที่ไหนก็ได้ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกเข้าทำงานให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ เธอเป็นนักโปรแกรมเมอร์มือหนึ่ง หลังจากเธอทำงานได้เพียงหนึ่งปี เธอก็หายสาบสูญไป ไม่ได้ติดต่อกับกันกลับมาอีกเลย กันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรกันขึ้นกับเธอ เหมือนเธอกำลังคิดจะหลบหน้ากันอยู่ หรือมีเหตุผลอย่างอื่นที่กันเองก็ไม่สามารถจะคาดเดาได้ถูกว่ามันคืออะไร” น้ำเสียงของดิเรกแสดงความเศร้าเสียใจอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน เพื่อนรักของเขาตกหลุมรักยายมินตราเข้าให้แล้วอย่างจริงๆ เขาสามารถที่จะรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นเพื่อนรัก เพื่อนสนิทที่เคยคบหากันมายาวนานหลายปี จนรับรู้ถึงนิสัยใจคอของดิเรกได้เป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังมีข้อสงสัยหลงเหลืออยู่ภายใจจิตใจอีกที่ยังต้องการสืบค้นหาคำตอบ
“เรก นายช่วยเล่าเรื่องฐานะทางบ้านของ มินตรา ให้ฉันฟังหน่อย อย่างเช่น บิดา มารดา ญาติพี่น้องเป็นใคร”
“โอ้โฮ เนด นายจะสืบค้นประวัติ อะไรละเอียดขนาดนั้น หรือมินตราไปทำอะไรไว้ให้นายไม่พอใจเอาไว้หรือเปล่าหว่ะ อย่างน้อยก็เห็นแก่ความเป็นเพื่อนรักของกันกับนาย ปล่อยเธอไปสักครั้งเถอะหว่ะเพื่อน” หากดิเรกรับรู้ว่าคนที่ไม่คิดจะปล่อยเขาไป เป็นยายมินตราเอง แล้วเรื่องราวจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรต่อไปกันแน่นะ เขาต้องการอยากที่จะบอกเล่าความจริงให้กับเพื่อนรักได้รับฟัง แต่เขาก็ยังอยากต้องการที่จะได้รับคำยื่นยันอะไรบางอย่างจากดิเรกเพิ่มให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกสักเล็กน้อย
“เรก บอกข้อมูลในสิ่งที่ฉันถามมาก่อน แล้วเรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันทีหลัง” มันเป็นการออกคำสั่งเสียงดังฟังชัดอีกครั้ง
“มินตรา อาศัยอยู่กับมารดาสองคนในบ้านของคนรายได้ขนาดปานกลางไม่ได้ร่ำรวยหรูหราอะไรมากมายนัก เธอทำงานไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วยและดูแลมารดาที่ไม่ค่อยจะสบายไปด้วย ชีวิตของเธอจะวนเวียนอยู่แค่เรื่องไปเรียนหนังสือ ทำงาน และกลับบ้านเพื่อพักผ่อนอยู่กับมารดาเท่านั้น นานๆ ครั้งพวกเราคนไทยในต่างแดนจะนัดพบ รวมกลุ่มสังสรรค์กันและจะพบปะเจอะเจอหน้ากันบ้าง พวกเราจะพบปะเจอะเจอหน้าของมินตราก็แค่ประมาณสักสิบนาทีหรือยี่สิบกว่านาทีเท่านั้น ก็อย่างที่รู้ๆ กันพวกเราต่างคบหาเป็นเพื่อนกันก็ต่างต้องดูที่ฐานะทางครอบครัวเป็นอย่างแรก หรือดูที่หน้าตาทางสังคมอีกอย่าง เพื่อนชาวไทยที่นี่ต่างก็เป็นคนร่ำรวย มีหน้ามีตา เป็นนักธุรกิจเอย เป็นท่านทูตเอย เป็นดาราเอย ส่วนมินตรามีปมส่วนตัวเกี่ยวกับฐานะทางครอบครัวจึงไม่ค่อยได้เข้ามารวมกลุ่มกับพวกเราบ่อยครั้งมากนัก หรือหากจะมาก็เฉพาะเวลาที่กันพยายามบีบบังคับให้มาด้วยเท่านั้น” ดิเรกหยุดพักลมหายใจแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวต่อไป
“เท่าที่กันพอจะรับรู้มามารดาของมินตราถือสัญชาติอเมริกันเพราะเธอแต่งงานกับชาวอเมริกัน แต่อย่างไรไม่ทราบได้ ไม่นานภายหลังจากแต่งงานก็ได้เลิกรากันไป รายละเอียดเรื่องนี้กันไม่รับรู้จริงๆ หว่ะเพื่อน”
“นายแน่ใจนะว่าฐานะทางครอบครัวของมินตราไม่ได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีร้อยล้านพันล้านนะ เรก” เขาตั้งคำถามอย่างนึกสงสัยอย่างต้องการจะจับผิดเพื่อนรัก กลัวว่าเพื่อนรักจะโกหกเขา หรืออีกอย่างหนึ่งเพื่อนรักของเขาเองก็กำลังถูกหญิงสาวที่ตนเองแอบหลงรัก กำลังโกหกเรื่องฐานะจริงๆ ของทางครอบครัวอยู่ด้วย
“กันแน่ใจสิหว่ะ เนด กันเอาหัวเป็นประกันเลย” คำตอบหนักแน่น อย่างไม่คิดจะโกหกเขาจริงๆ
“ขอบใจมาก เรก” มันคือการกล่าวคำลาเพื่อนรักเอาอย่างดื้อๆ โดยไม่คิดจะอธิบายสิ่งใดให้เพื่อนรักได้รับฟัง
“เดี๋ยวๆๆ สิหว่ะเนด นายบอกกันมาได้หรือยัง มินตราไปทำอะไรกับนายไว้ เลิกยุ่งกับเธอเถอะหว่ะเพื่อนกันขอร้อง” ผู้ชายเมื่อตกหลุมรักจนปักใจแล้ว มันเป็นอย่างเช่นที่ดิเรกกำลังแสดงออกมา ขนาดยังไม่ได้รับรู้เลยว่าหญิงสาวได้ทำอะไรผิดเอาไว้ เพื่อนรักของเขาก็เริ่มจะขอร้องให้เขายกโทษให้กับเธอเสียแล้ว
“ฉันมั่นใจว่านายคงจะกลับมาเมืองไทยในเร็วๆ วันนี้ ใช่ไหมหว่ะ เรก” มันคือความมั่นใจของเขาเต็มหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
“ของมันแน่นอนอยู่แล้ว เอาช้างมาชุดกันเอาไว้ที่นี่ อีกแค่สักวินาที กันก็ไม่มีทางจะอยู่ต่ออีกแล้ว กันอยากจะกลับเมืองไทยใจจะขาดลอนๆ แล้วล่ะเพื่อน” จิตใจเพื่อนรักของเขามันล่องลอยมาจนถึงประเทศไทยก่อนที่ร่างกายจะติดตามมาถึงแล้วเสียอีก
“อย่างนั้นฉันจะยังไม่เล่ารายละเอียดอะไรให้นายได้รับฟัง นายมาดูหน้าคนรัก มินตรา เจ.คลาส ของนายเอาเองก็แล้วกัน รับรองได้ว่านายจะต้องคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน” เขาทิ้งปริศนาเอาไว้ให้เพื่อนรักไม่สบายใจเล่น
“เดี๋ยวๆๆ สิหว่ะ เนด บอกกับกันมาก่อน ไม่อย่างนั้นกันจะออกไปซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วบินกลับเมืองไทยตอนนี้เลยน่ะ” มันไม่ใช่แค่การพูดล้อเล่นกันเล่นอย่างสนุกๆ ดิเรกคิดที่จะทำตามที่พูดออกมาจริงๆ
“ตามใจนายสิหว่ะ เรก ยิ่งนายมาเร็วเท่าไร นายก็อาจจะช่วยเหลืออะไรฉันได้บ้าง หรืออาจจะ แก้ไขปัญหาอะไรให้ฉันได้บ้างก็ได้” แน่นอนว่าเขาหวังพึ่งสหายรัก อยู่มากเลยทีเดียว อย่างน้อยก็ยังมีคนที่รับรู้เรื่องราวของมินตราได้ดีกว่าเขาอยู่อีกหนึ่งคน การเกลี้ยกล่อมไม่ให้มินตราเทขายหุ้น หรือการเกลี้ยกล่อมให้มินตรายอมขายหุ้นกลับคืนให้กับเขาก็อาจจะประสบความสำเร็จก็ไ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ