เล่ห์กลรักเงาอสูร
-
15) บทที่ 3 ดวงตาแห่งความเศร้า_2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเล่ห์กลรักเงาอสูร
บทที่ 3 ดวงตาแห่งความเศร้า_2
ณ โรงพยาบาล หน้าห้องผู้ป่วยมีป้ายชื่อเขียนติดเอาไว้ว่า ภูผา เกียรภูมินต์ ภายหลังจากธเนศ ภูผา และวรนุช พากันนั่งรับชม รับฟังรายการถ่ายทอดสดของโรสิลีจนจบลง พวกเขาสามพี่น้องตระกูลเกียรติภูมินต์ก็ถูกมินตราขับไล่ออกจากห้องพักผู้ป่วยในทันที โดยมินตราให้เหตุผลเพียงง่ายๆ ว่า
“ฉันเบื่อหน้าพวกคุณสามพี่น้องเต็มทีแล้ว ออกไปจากห้องของฉันได้แล้ว ฉันอยากจะนอนพักผ่อนเงียบๆ เพียงคนเดียว” ไม่มีใครกล้าจะปฏิเสธคำขอในแววตาและน้ำเสียงอันบีบบังคับของมินตราได้ พวกเขาสามพี่น้องจึงลุกขึ้นก้าวเดินของมาจากห้องของมินตราอย่างเงียบ ๆ หรืออาจจะไม่เงียบ
“นอนหลับฝันดีนะครับ คุณมินตรา แล้วผมจะคอยเฝ้าปกป้องคุ้มครองคุณอยู่ในความฝัน อยู่เสมอ” ภูผาหยอกล้อทิ้งท้ายกับมินตราเอาไว้ ก่อนจะก้าวเดินออกมาจากห้อง ภายหลังจากสามพี่น้องก้าวเดินกลับออกมาจนถึงห้องพักผู้ป่วยของภูผา ทุกคนต่างก็ไม่มีใครสนใจอยากจะพูดคุยสิ่งใดกันอีกต่อไป โดยเฉพาะธเนศเมื่อก้าวเดินตรงไปจนถึงโซฟานุ่มๆ อย่างเช่นเดียวกันกับในห้องของมินตรา ธเนศก็ล้มตัวลงนอนปิดเปลือกตาหลับสนิทไปในทันที ส่วนวรนุชก็ไม่แตกต่างกัน วรนุชไม่ได้คิดจะสนใจดูแลอาการคนป่วยเช่นภูผาอีกต่อไป เมื่อวรนุชหาที่หลับนอนได้ เธอก็ล้มตัวลงนอนปิดเปลือกตาหลับสนิทตามธเนศพี่ชายไปด้วยอีกคน แต่สำหรับภูผากับไม่ต้องการอยากที่จะล้มตัวลงนอนอย่างเช่นธเนศและวรนุช กำลังคิดถึงอนาคตของมินตราหญิงสาวแสนสวยที่ได้ก้าวเดินเข้ามาสิงสถิตย์อยู่ภายในหัวใจทั้งสี่หัวของเขาจนล้นปรี่
“ผมตกหลุมรัก คุณเข้าให้แล้วมินตรา” ภูผากระซิบคำรักบอกกับมินตราอยู่ภายใจจิตใจก่อนจะล้มตัวลงนอนปิดเปลือกตาหลับสนิทตามธเนศและวรนุช ไปด้วยอีกหนึ่งคนจนถึงยามเช้าของวันใหม่แสงสว่างเริ่มทอประกายแสงของความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่ธเนศ ตื่นนอนตั้งแต่เช้าเลยนะครับ” ภูผาก้าวเดินออกมาจากเตียงผู้ป่วย แล้วจึงก้าวเดินตรงเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้เล็กๆ ตรงข้ามกับธเนศพี่ชายติดกับริมระเบียงด้านนอกของห้องผู้ป่วย บรรยากาศยามเช้ากำลังเย็นสบาย แสงสว่างจากพระอาทิตย์กำลังทอประกายแสงอบอุ่นอย่างผีตากผ้าอ้อมลำแสงเล็กๆ หลากหลายเฉดสีในยามนี้ มันช่างมีเสน่ห์อันอบอุ่นยิ่งนัก ภูผาจับจ้องมองธเนศพี่ชายกำลังนั่งจิบกาแฟร้อนๆ อย่างสบายอารมณ์และภูผาเองก็ต้องการอยากจะขอกาแฟจากพี่ชายลองจิบดูบ้าง แต่ธเนศพี่ชายกับส่ายหน้าปฏิเสธสายตาอันต้องการจะดื่มกาแฟของภูผา
“นายควรที่จะดื่มนมอุ่นๆ”
“บ้าสิ ผมโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ ที่จะต้องดื่มนมอุ่นๆ ทุกเช้า” ภูผาไม่ชอบสายตาและน้ำเสียงในคำพูดของธเนศพี่ชายที่คิดว่าเขายังคงเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ร่ำไป
“แต่นายกำลังป่วย”
“ผมหายดีแล้ว”
“แต่หมอบอกว่านายต้องนอนพักผ่อนต่ออีกหลายวัน”
“บ้าสิ หมอคนไหนมันกล้ามาพูดแบบนั้น บอกผมมา ผมจะจับมันมาเชือดทำเป็นอาหารเช้าของวันนี้เสียเลย” แววตาและคำพูดของภูผาต้องการจะติดตามจับหมอทุกคน นำเอากลับมาเชือดทำเป็นกับข้าวกินยามเช้าจริงๆ
“หมอทุกคนในโรงพยาบาล” ธเนศอยากจะรับรู้ว่าภูผาจะติดตามเชือดหมอจนหมดครบทุกคนหรือไม่
“ตลกดีครับ พี่ธเนศ อย่างไงวันนี้ผมก็จะออกจากโรงพยาบาลบ้าๆ นี้เสียที ผมอยากจะกลับบ้านเต็มที่แล้ว” จริงๆ แล้วภูผาต้องการอยากจะติดตามมินตราออกไปจากโรงพยาบาลเสียมากกว่า โดยที่ไม่ต้องการอยากจะให้มินตราได้คลาดจากสายตาไปได้เลยแม้แต่เพียงวินาทีเดียว
“แต่พ่อแม่ของนาย ยังอยากจะให้นายอยู่ต่ออีก”
“พี่ธเนศเห็นผมเป็นคนว่านอนสอนง่ายไปตั้งแต่เมื่อไรกันล่ะครับ” มันคือความจริงภูผาไม่เคยเชื่อฟังคำแนะนำของใครมาก่อนเลย แม้แต่กับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดก็ตาม
“ฉันก็คิดไว้แล้วว่านายจะต้องตอบแบบนี้ ดังนั้นฉันได้ทำเรื่องย้ายนายออกจากโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ภูผารู้สึกอึ่งในมุกชวนทะเลาะหยอกล้อเล่นยามเช้าของพี่ชาย ภูผาได้แต่แย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเริ่มจะชินชาในมุกตลกหน้าตายของธเนศพี่ชาย
“ผมอยากดื่มกาแฟบ้าง”
“หาชงเอาเอง”
“แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
“หมดแล้ว” ภูผาผวาตกใจในมุกหยอกล้อเล่นที่ไม่ค่อยจะตลกสักเท่าไรของพี่ชายอีกครั้ง
“พี่ธเนศล้อผมเล่นใช่ไหม” ธเนศส่ายหน้ามันมีความหมายว่า ไม่ได้ล้อเล่น และมันก็เป็นอย่างที่ตอบคำถามไปแล้วจริงๆ ธเนศพกกาแฟตัวตนมาด้วยไม่มากนักส่วนใหญ่จะแอบเก็บซ่อนเอาเอาไว้ในห้องของมินตรา แต่ในเวลานี้ธเนศเอามันออกมาชงดื่มจนหมดแล้ว
“โอเค หมดก็หมด ผมหานมอุ่นๆ ดื่มเอาก็ได้”
“คิดได้แบบนั้นมันก็ดี เพราะนมมันดีต่อสุขภาพของนายเอง” ภูผาหน้าบึงตึงอย่างคับแค้นในจิตใจที่ ถูกพี่ชายกลั่นแกล้งหยอกล้อเล่นแต่เช้า อารมณ์อันกำลังสดใสเบิกบานยามเช้าต้องสูญเสียไปเกือบหมดสิ้น สุดท้ายแล้วภูผาก็ยังคงไม่ได้ดื่มอะไรเลยสักอย่างเดียว แม้แต่กาแฟหรือนมสักแก้ว ภูผาได้แต่นั่งจับจ้องมองพี่ชายอย่างคับแค้นใจ แต่ดูเหมือนธเนศพี่ชายจะไม่ได้คิดสนใจอารมณ์ความโกรธแค้นของภูผาเลย
“นายมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันอีกไหมภูผา นอกจากมานั่งทำหน้าบึงตึงใส่ฉัน”
“มีครับ” คำพูดของภูผาเริ่มผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ก็ยังคงรู้สึกโกรธพี่ชายอยู่นิดๆ ที่ยังคงมองเห็นเขามีวุฒิภาวะอย่างกับเด็กเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา และคอยแต่จะกลั่นแกล้งหยอกล้อเขาเล่นเหมือนกับเขายังไม่โตเป็นหนุ่มรูปหล่อพอที่จะมีเมียมีลูกได้แล้ว
“เรื่องอะไร” ธเนศถามคำถามน้องชายโดยที่ไม่คิดอยากจะจับจ้องมองหน้าบึงตึงของภูผา
“ผมอยากมีเมีย” เมื่อพี่ชายไม่คิดอยากจะสนใจฟัง ภูผาจึงแกล้งที่จะทำให้พี่ชายตกใจเล่น แต่เปล่าเลยสักนิดธเนศพี่ชายยังคงทำสีหน้าไม่สนใจอยู่เช่นเดิม
“กับใคร” ธเนศรับรู้อยู่แก่ใจผู้หญิงคนนั้น ต้องเป็นมินตราอย่างแน่นอน
“พี่ธเนศน่าจะรับรู้อยู่แก่ใจ”
“เมื่อเดือนที่แล้วนายก็พูดแบบนี้ กับฉันมาแล้วไม่ต่ำกว่าสี่ครั้ง ก็ตกเฉลี่ยอาทิตย์ละครั้ง สุดท้ายก็ไม่เห็นนายได้แต่งงานกับใครสักคน” ภูผาเป็นชายหนุ่มรักสนุกและขี้เล่นเดินควงสาวสวยไม่ซ้ำหน้า เมื่อเจอะเจอหน้าพี่ชายในคราใดก็จะแกล้งหลอกล้อพี่ชายเล่นอยู่เสมอ โดยบอกกับที่ชายเป็นนัยๆ ว่าตนเองกำลังอยากจะแต่งงาน นิสัยอย่างเด็กเลี้ยงแกะของภูผาจึงไม่มีใครอยากจะหลงเชื่อถือง่ายๆ แม้แต่ในเวลาที่ภูผาคิดจะเล่าเรื่องจริงจังก็ยังไม่มีใครอยากจะเชื่อถือคำพูดของภูผาอยู่เช่นเดิม
“แต่ครั้งนี้ผมอยากจะแต่งงานจริงๆ ผมจะสามสิบแล้วนะครับ ผมอยากจะมีลูกเล็กๆ ให้กับคุณพ่อแม่ได้อุ้มหลานเร็วๆ” มันเป็นความคิดที่ดีแม้แต่ธเนศเองก็เห็นด้วย แต่มินตราไม่ใช่ผู้หญิงที่ภูผาจะเอื้อมมือไปไขว่คว้าได้ถึงอย่างง่ายๆ มินตราเป็นผู้หญิงที่มีความซับซ้อนมากจนเกินไป ธเนศยังคงจดจำได้เป็นอย่างดีในช่วงที่เขาได้เข้าไปนอนเฝ้าไข้ ให้กับมินตราในค่ำคืนแรกที่เธอถูกส่งตัวเข้าห้องพักผู้ป่วย
“แม่ค่ะ หนูจะแก้แค้นพวกมันแทนแม่เอง หนูขอสัญญา แม่เชื่อหนูนะค่ะ” มินตรานอนเผลอและละเมอพร้อมตะโกนออกมาเสียงดังซ้ำๆ กันหลายครั้ง อย่างน้ำเสียงและคำพูดที่มีความมุ่งมั่นอย่างผูกจิตอาฆาตและต้องการอยากจะแก้แค้นแทนมารดาของเธอเองให้ได้ แม้แต่ในเวลานี้ธเนศเองก็ยังคงจดจำน้ำเสียงสัญญาผูกจิตอาฆาตของมินตราได้เป็นอย่างดี
“ฉันคิดว่ามินตราไม่ใช่ผู้หญิงที่เหมาะสมจะแต่งงานกับนายหรอกนะภูผา” มันเป็นคำตอบที่ทำร้ายจิตใจและความรู้สึกของภูผาอย่างตรงๆ ภูผาเองก็เริ่มมีสีหน้าสลดลงไปเล็กน้อยเพราะเข้าใจในความหมายของคำพูดของพี่ชายเป็นอย่างดี
“คงเป็นเรื่องที่มินตราคิดอยากจะแก้แค้นพวกเราใช่ไหมครับ” ภูผาตั้งคำถามขึ้น
“ใช่ พวกเราไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับมินตราเลยสักนิดเดียว พวกเราไม่รับรู้ถึงสาเหตุของการคิดจะแก้แค้นของมินตราด้วยซ้ำ” ธเนศกำลังพูดโกหก เพราะอย่างน้อยธเนศก็พอจะรับรู้ได้แล้วว่ามินตรากำลังคิดอยากจะแก้แค้นแทนมารดา เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามารดาของมินตราชื่อว่าอะไร และมีความคับแค้นอะไรอยู่กับครอบครัวของเขา และเมื่อดิเรกเพื่อนสนิทของเขาเดินทางมากลับถึงเมืองไทย เขาก็คงจะได้ข้อมูลต่างๆ ของมินตราจากดิเรกเพิ่มมากขึ้น
“พี่ธเนศคิดว่ามินตรา กำลังคิดแก้แค้นผิดคนหรือเปล่าครับ” ธเนศส่ายหน้าปฏิเสธเพราะคิดว่าผู้หญิงฉลาดอย่างมินตราคงไม่คิดแก้แค้นใครผิดตัวอย่างแน่นอน
“ถ้าไม่ใช่พ่อของนายก็คงพ่อของฉันเองที่มินตราต้องการคิดอยากจะแก้แค้น พ่อๆ ของพวกเราคงจะต้องไปก่อกรรมสร้างเวรอะไรทิ้งเอาไว้อีกแล้วแน่นอนเลย ภูผา” มันเป็นการคาดการที่มีเหตุผลมากที่สุด บิดาของธเนศเมื่อครั้งอดีตก็เคยทำให้อดีตเพื่อนรักต้องฆ่าตัวตาย ลูกเมียของเพื่อนรักต้องบ้านแตกสาแหรกขาด แล้วยังเล่ห์เหลี่ยมกลโกงในชั้นเชิงธุรกิจอีกร้อยแปดพันเก้า ที่บิดาของภูผาและบิดาของธเนศ ได้ไปก่อสร้างความเครียดแค้น ชิงชังเอาไว้อีกมากมาย หนึ่งในจำนวนนั้นก็อาจจะรวมครอบครัวของมินตราเข้าไปด้วยก็ได้ แต่การกลับมาเพื่อแก้แค้นของมินตรามันช่างดูน่ากลัวเกินไปจริง เพราะมันอาจจะสามารถทำให้ครอบครัวของเขาถึงกับต้องล้มละลายได้เลยทีเดียว
“พี่แน่ใจหรือครับ”
“ถ้าไม่ใช่พ่อนายและพ่อฉันแล้วจะเป็นใครได้อีก หรือว่าจะเป็นนาย”
“พี่ธเนศอย่าพูดล้อผมเล่นสิครับ ผมอาจจะเจ้าชู้แต่ก็ไม่เคยไปทำอะไรให้ใครต้องเดือดร้อนหลอกนะครับ” คำพูดของภูผาที่เปล่งน้ำเสียงออกมามันดูไม่เต็มน้ำเสียงมากนัก สาเหตุเป็นเพราะภูผาเองก็เคยใช้เสน่ห์ความเจ้าชู้ไปทำร้ายจิตใจของผู้ชายคนหนึ่งเอาไว้จริงๆ แม้ภูผาจะทำมันลงไปเพราะความหวังดีต่อน้องสาวก็ตามที วรนุชไปตกหลุมรักดิเรกเพื่อนสนิทของธเนศพี่ชาย แต่ดิเรกกับมอบความรักให้กับวรนุชได้เพียงแค่ความเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทเท่านั้น สาเหตุที่ดิเรกไม่คิดจะสานต่อสายใยความรักกับวรนุช ก็เพราะดิเรกมีหญิงสาวสวยคนรักที่คบหาดูใจกันมายาวนานหลายปี และมีโครงการจะแต่งงานเพื่อสร้างครอบครัวที่อบอุ่นในวันข้างหน้า แต่วรนุชเองกับต้องการอยากจะแยกและต้องการอยากจะแย่งชิงดิเรกมาเป็นของตนเองให้จงได้ วรนุชจึงไปขอร้องให้ภูผาช่วยใช่เสน่ห์เล่ห์กลหลอกล้อหญิงสาวคนรักของดิเรกให้มาตกหลุมรัก เวลาเพียงไม่นานความรักที่ดิเรกมั่นใจในตัวของหญิงสาวคนรักอย่างมากมายนักหนา ว่าจะไม่มีวันสั่นคลอนหรือจืดจางลงไปได้เลยแม้จะต้องเจอะเจอกับพายุลูกใหญ่พัดพาจู่โจมกระหน่ำเข้าใส่ หรือถูกดาวหางขนาดยักษ์วิ่งพุ่งตรงเข้าชน ความรักของทั้งคู่ก็จะไม่มีวันต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่ดิเรกกับคาดคิดผิด น้ำใจแห่งนางอันเป็นหญิงสาวคนรักไม่ได้แตกต่างอะไรจากวุ้นในลูกมะพร้าวน้ำหอมเลยแม้แต่น้อย มันสามารถแหกเหลวแตกสลายไปได้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ หรือใช้นิ้วสะกิดเพียงแค่เบาๆ เท่านั้นก็สามารถกลับกลายเป็นผุยผงได้แล้ว
“ภูผานายกำลังคิดอะไรอยู่ “
“เปล่า”
“นายกำลังโกหก แต่ก็ช่างเถอะ ฉันไม่มีเวลามานั่งชักถามเอาคำตอบอะไรจากนายในเวลานี้หรอกนะ เพราะฉันกำลังจะไปเค้นเอาคำตอบจากมินตราผู้หญิงอันมีแววตาอย่างกับก้อนหินคนนั้นให้ได้มากกว่า”
“ผมว่าเธอคงไม่คิดอยากจะตอบคำถามของพี่หรอกนะครับ”
“ก็อาจจะใช่ แต่นายก็รู้ว่าพี่ชายของนายเป็นคนอย่างไง”
“ไม่มีใครทนเห็นรอยยิ้มน่ารักๆ ของพี่ได้นานใช่ไหมล่ะครับ”
“ใช่แล้วเวลาฉันยิ้มน่ารักๆ ต่อให้ผู้หญิงที่กำลังล้มป่วยใกล้จะตายก็กลับฟืนคืนสติมาได้ ในวันนี้มินตราจะได้เห็นรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ของฉันและมินตราจะต้องรีบเล่าเรื่องราวของเธอออกมาให้ฉันฟังจนหมดสิ้น เพราะฉันเครียดกับปัญหาและเรื่องราวบ้าๆ พวกนี้มาเป็นแรมเดือนแล้ว”
“อย่างนั้นก็ตามใจพี่ธเนศเถอะครับ เดี๋ยวผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจะรีบตามพี่ออกไป”
ภายหลังจากสองพี่น้องหมดเรื่องที่จะพูดคุยหยอกล้อกันเล่นในยามเช้าแล้ว ธเนศก็ก้าวเดินออกไปจากห้องของภูผาไปในทันที จุดหมายปลายทางก็คือห้องพักของมินตรา ส่วนวรนุชน้องสาวภายหลังจากการตื่นนอนยามเช้า วรนุชก็ตรงกลับไปยังโรงแรมที่เปิดทิ้งไว้ใกล้ๆ กันกับโรงพยาบาลเพื่ออาบน้ำชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวใหม่ และอีกไม่นานวรนุชก็คงจะตรงกลับมาหาพี่ชายทั้งสองคนอีกครั้ง ส่วนภูผาเองเมื่อถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ให้อยู่ในห้องเพียงคนเดียว ภูผาเองก็ก้าวเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระล้างร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน แต่ภายในหัวสมองของภูผาขณะกำลังอาบน้ำอยู่ ภูผากำลังคิดถึงแต่ใบหน้ามินตราอยู่ตลอดเวลา ผู้หญิงสาวสวยที่ธเนศพี่ชายกำลังตรงไปหาเพื่อเค้นเอาคำตอบจากคำสัญญาที่มินตราได้ให้เอาไว้ ภูผาหวังว่าธเนศพี่ชายจะสามารถเค้นเอาคำตอบจากมินตรามาได้โดยเร็ว อย่างไม่ใช่เป็นเพียงแค่เล่ห์เหลี่ยมในการซื้อเวลาของมินตราเท่านั้น
ระหว่างเส้นทางเดินตรงเข้าห้องพักของมินตราโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อของธเนศก็ส่งเสียงดังขึ้น เมื่อธเนศเปิดรับสายโทรเข้าน้ำเสียงใส่ๆ อันดังกังวานของดิเรกก็ส่งดังขึ้นมาในทันที
“ธเนศนายอยู่ไหน แล้วตอนนี้มินตราของกันเธออยู่ที่ไหน” ธเนศรู้สึกตื่นตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นน้ำเสียงของดิเรก ที่กำลังโทรศัพท์เข้ามาหาเขาในขณะนี้จริงๆ
“ฉันควรจะถามนายมากกว่าตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”
“กันกำลังจะขึ้นแท็กซี่ ออกจากสนามบิน”
“อย่าบอกนะว่านายมาถึงเมืองไทยแล้ว”
“กันกำลังยืนอยู่บนพื้นแผ่นดินไทยเลยล่ะเพื่อน” ธเนศได้คุยกับดิเรกผ่านทางโทรศัพท์ไปเมื่อเจ็ดวันที่แล้ว และดิเรกก็บอกว่าจะเดินทางกลับมาเมืองไทยในทันที สุดท้ายดิเรกก็สามารถทำได้อย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ อนุภาพแห่งความรักมันเป็นเช่นนี้นั้นเอง อนุภาพความรักที่ดิเรกมอบเอาไว้ให้กับมินตรามันช่างลึกซึ้งและยิ่งใหญ่มากมายกว่าความรักในครั้งแรก แล้วอนาคตในวันข้างหน้าของพวกเขามันจะเป็นอย่างไรต่อไป ดิเรก ผูภา ต่างก็หลงรักมินตรา วรนุชน้องสาวของเขาก็ยังคงหลงรักดิเรกอยู่เช่นเดิม เหมือนในครั้งอดีตเมื่อสองปีก่อนและความรักของเขากับโรสิลีมันจะเป็นอย่างไรต่อไปหากมินตราคิดที่จะแก้แค้นเขาเป็นคนแรกขึ้นมาจริงๆ มันคงจะยุ่งยากอย่างกับยุงตีกันเลยทีเดียว
“ตกลงว่ามินตราของกันเธออยู่ที่ไหนธเนศ”
“อยู่โรงพยาบาล”
........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ