THE LAST OF LOVED (ความรักครั้งสุดท้าย)
4.8
1) เมืองเกิดของแม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เครื่องบินกำลังล่อนลงจอด ณ. สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย ผู้คนต่างรีบร้อนเดินมุ่งตรงไปทางด้านผู้โดยสารขาออก ชายหนุ่มวัย 29 ปี รูปร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อเชิดสีฟ้าอ่อนทับด้วยสูทสีกลม สวมแว้นตาสีดำ กำลังเดินมองหาอะไรบางอย่าง บริเวณนั้นต่างหนาแน่นไปด้วยญาติๆ ของคนที่เดินทางมาจากแดนไกล
“เฮ้ย..นายเมฆ ทางนี้”เสียงนั้นทำให้เขาต้องถอดแว้นดำ และมองมาที่ชายหนุ่มหน้าตี๋กำลังโบกไม้โบกมือเรียกด้วยท่าทางดีใจ เขาไม่รอช้ารีบเดินตรงเข้ามาทั้งคู่สวมกอดทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย
“Hey… ฉันนึกว่านายจะไม่มารับซะแล้ว” วาริทพูด แต่แล้วก็มีเสียงซุบซิบ ดังอยู่รอบข้างพร้อมสายตามองตรงที่พวกมาเขา วาริทมองด้วยความสงสัย เหตุให้สาวๆน้อยใหญ่ จึงมองเขาด้วยทางทางแบบเช่นนี้
“ฉันว่าเรารีบไปจากที่นี่เถอะวะ ถ้าฉันเดาไม่ผิดพวกนั้นคงคิดว่าเราเป็นคู่เกย์กันแล้วป่านนี้”ดนัยพูด
“ทำไมวะ..หน้าฉัน หรือหน้านายที่ทำให้พวกเขาคิดอย่างนั้น”วาริทพูดแล้วมองอย่างสงสัย
“หน้านายหละสิ จะมีตากล้องสักกี่คนที่จะดู หน้าคมเข้ม ผิวขาว แถมยังสูงโปร่งซะขนาดนี้ ก็อย่างว่าหละนะ ลูกครึ่งส่วนผสมที่เหมาะเจาะ” ดนัยวิเคราะห์จนเห็นภาพ มันก็ไม่แปลกที่สาวๆจะซุบซิบด้วยความเสียดาย
“แล้วใครจะไปเหมือนนาย ตี๋หล่อซะ.. จนปานนี้ยังไม่มีแฟนหรือนายคิดอะไรกับฉันจริงๆวะ ”ราวิทแซว
“เอาน่า ฉันยังไม่เจอคนที่ใช่ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะบอก” ทั้งคู่เดินคุยจนมาถึงลานจอรถ ดนัยยกกระเป๋าขึ้นรถ
“อ้อ.. แล้วนายจองที่พักให้ฉันแล้วหรือยัง” ราวิทถามระหว่างนั่งรถออกจากสนามบิน
“แล้วทำไมนายไม่ไปนอนที่บ้าน หรือที่ร้านฉันวะ ต้องจองให้มันสิ้นเปลืองทำไม”ดนัยป่นเพราะพูดอยู่บ่อย
“เกรงใจที่บ้านนายเปล่าๆ ว่าจะพักที่กรุงเทพ สัก2-3 วันก่อนจะออกเดินทาง”ราวิทพูด ขณะที่กำลังเช็คกล้อง
“แล้วนายจะไปที่ไหนบ้าง Plan ไว้หรือยัง”ดนัยหันมามองเล็กน้อย
“ฉันว่าระหว่างที่อยู่กรุงเทพ คงจะถ่ายภาพไปเลื่อยๆ งานนี้เขาจัดขึ้นที่เมืองไทย ในอีก 2 เดือนข้างหน้า ฉันคงตะลอนไปเลื่อยๆ เพราะยังตีโจทย์ไม่แตกวะ อะไรมันจะใช่สำหรับ สิ่งมีชีวิตที่ทำให้โลกน่าอยู่” ราวิทขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ดนัยหันมามองก่อนจะยิ้มที่มุมปาก
“ช่างภาพฝีมือดี อย่างนายตีโจทย์ไม่แตก สงสัยว่านายคงต้องเรียนรู้การมีชีวิตเหมือนคนปกติให้ได้ก่อนวะ”
“แล้วฉันต่างจากคนปกติตรงไหน..”ดนัยนึกอยากจะขำซะให้ดังๆ เพราะรู้จักพฤติกรรมของเพื่อนรักเป็นอย่างดี
“ก็ตรงที่เป็นตัวตนของนายไง ขนาดว่ามีแฟนสาวเป็นถึงนางแบบชื่อดังคบกันมาตั้งหลายปีนายยังไม่คิดจะขอเขาแต่งงานสักที ถ้าฉันเป็นเจนนี่ซ่าคงทิ้งนายไปหาชายอื่นแล้ววะ” ดนัยพูดราวกับเป็นเรื่องตลก
“งั้นเหรอ มิน่าหละ เขาถึงได้มีทิ้งฉันจริงๆ” ราวิทพูดเสียงแพรวเบา ดนัยถึงกับเหยียบเบรกด้วยความตกใจ
“เอ้ย..นี่นายจะเบรกทำไม่วะ ได้ยินไหมเสียคันหลังบีบแตไล่แล้ว”ราวิทดุ ดนัยได้สติจึงขับรถต่อ
“นายว่าอะไรนะ กับเจนนี่ซ่า เลิกกันแล้วเหรอ” ดนัยยังคงงง ถึงแม้ว่าราวิทจะพยักหน้าใบหน้าเศร้าจนเห็นได้ชัด สายตาของราวิทมองผ่านกระจกไปยังท้องถนนช่วงระหว่างเที่ยงผู้คนกำลังวุ่นวาย และรีบร้อน ดนัยคงได้แต่มอง
ราวิททุ่มเทกับการถ่ายภาพอย่างจริงจัง ราวิทมายืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าของวัดพระแก้วมรกต ถึงแม้วันนี้จะไม่ใช่วันหยุด แต่ผู้คนก็มากมาย โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ราวิทดูมองด้วยความภาคภูมิใจจนอดที่ยิ้มออกมาไปไม่ได้ ที่เขายังมีสายเลือดความเป็นคนไทยอยู่กว่าครึ่ง เมื่อคิดได้อย่างนั้นราวิทจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดีครับ...ไม่ทราบว่าผมกำลังเรียนสายกับใครอยู่...”ราวิทพูดไปอมยิ้มไป และเดินตามผู้คนเข้าไปในวัด
“ไปอยู่เมืองไทยไม่กี่วัน พูดภาษาไทยเก่งขนาดนี้เชียวหรือ”ปลายสายพูด
“คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างครับ ไม่รู้ว่าจะคิดถึงลูกชายคนนี้บ้างหรือเปล่า”ราวิททำเสียงออดอ้อนผู้เป็นแม่
“แม่ก็คิดถึง.. คิดถึงเมืองไทยด้วย” น้ำเสียงของแม่เศร้าจับใจ ราวิทจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้ว่าหากพูดไปจะยิ่งทำให้ผู้เป็นแม่เศร้าไปกว่านี้ หลังจากที่เขาวางสาย วาริทตั้งหน้าถ่ายภาพต่อเพื่อสรรหาภาพที่ดีที่สุด
เวลาผ่านไปจนเย็นย้ำเมื่อออกจากวัดพระแก้ว ราวิทไปต่อที่ตอกข้าวสาร เป็นอีกที่สถานที่หนึ่งที่ได้ชื่อว่าผู้คนมากมาย ทั้งไทยและเทศ ราวิทนั่งจิกาแฟ ที่ร้านริมถนนกระจกใส่มองเห็นผู้คนทีมีวิถีชีวิตต่างกัน เขายกกล้องขึ้นมาเพื่อย่อขนาดของภาพที่กว้างให้เล็กลง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกดชัดเตอร์เมื่อเห็นภาพประทับใจเด็กหญิงประมาณ 10 ขวบผู้เป็นแม่จูงมือกำลังเดินข้ามถนน เธอหันกลับมาดูคุณยายมองซ้ายที่ขวาที่แต่ก็ยังยืนอยู่มุมเดิม เด็กน้อยเดินกลับหลังและหันมาจูงมือคุณยาย ราวิทไม่รอช้าที่จะกดชัดเตอร์ และอมยิ้มเล็กน้อย
“นี่...นายไม่คิดจะเสียเวลาสักนาทีเลยหรือไง”ดนัยพูด และนั่งลงข้างๆ
“อ้อ... ถ่ายเล่นๆนะ สำหรับภาพเข้าประกวด ฉันตั้งใจจะใช้ภาพสถานโบราณ สถานที่ ไม่ใช่ผู้คนหรอกน่า”ราวิท ยิ้มก่อนจะเก็บกล้องเข้ากระเป๋า ดนัยสั่งอาหารระหว่างรอ เมื่อทั้งคู่พูดคุยกันต่อได้พักใหญ่จึงพากันกลับที่พัก
เช้าวันต่อมาราวิทมาที่ร้านของดนัย เพื่อล้างภาพที่เขาได้ถ่าย กว่าครึ่งวันราวิทยังไม่ออกมาจากห้องอัดภาพ
“เป็นไงบ้างวะเมฆ.. เท่าที่ดูฉันว่ามันก็ใช้ได้นะ”ดนัยพูด ราวิทดูรูปที่ดนัยถืออยู่
“ใช้ได้..แต่ยังไม่ดีพอ ฉันคิดว่าอาจต้องออกต่างจังหวัดแต่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน”ราวิทพูด
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลลอยกระทง ฉันคิดว่าถ้านายอยากได้สถานที่ แสงสี และความอลังการหละก็ น่าจะเป็นที่นี่...สุโขทัย”ดนัยพูดขึ้น ราวิทถึงกับหยุดและหันมองที่เพื่อนรัก และยิ้มขึ้นมา
“น่าสนใจเห็น..แม่เคยพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ งานที่นั้นยิ่งใหญ่มาก แต่..”ราวิทหันมาดนัยด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“แต่อะไร..จากสายตาอย่างนั้น ฉันคงเดือนร้อนแล้วใช่ไหม”ดนัยเริ่มรู้สึกกลัวจริงๆ กับคำตอบของเพื่อนรัก
“นายคงต้องเป็นไกด์ให้ฉันแล้วหละ..” ราวิทยิ้ม
“ว่าแล้วไง..เข้าตัวจนได้.. เอ้า!..ฉันคิดค่าจ้างกันเองแล้วกัน”ดนัยพูด และถอดหายใจใหญ่อย่างจำใจ มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เขารู้ดีว่าราวิทไม่ได้คุนเคยกับเมืองไทยนัก เพราะเค้าพึงจะมาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เกิดจนอายุ 29 ปี
“แล้วร้านของนายหละ นายจะปิดเอาไว้เหรอ” วาริทถามขึ้นอย่างกังวลใจ
“เดี๋ยวฉันจ้าง ยายหมวยเล็กมาดูแลแทนก็ได้ ไปสักอาทิตย์ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”ดนัยพูดขึ้น และยกหูโทรศัพท์ขึ้นโทรทันที
ราวิท และดนัยนั่งที่ร้านอาหารเวียดนาม กำลังคุยกันอยู่นั่น พวกเขาต้องตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็มีหนังสือวางลงตรงหน้า ทั้งคู่หันขึ้นไปมองหญิงสาวที่สวมแว้นตาหนา ผมหยิกเป็นรอนยาว ถูกมันรวมกันเป็นพุ้ม มือทั้งสองกอดอก และสายตาที่มอง กับคิ้วที่ขมวดราวกับผู้เอาไว้เป็นโบ บอกถึงความโมโหสุดๆ
“จะหนีเที่ยวต้องเดือนร้อนคนอื่นตลอดเลย พี่คนนี้”เสียงใส่นั้นทำให้ทั้งคู่ตืนจากความตกใจ
“เอ้า!..หมวยเล็กมาแล้วเหรอ” ดนัยพูดขึ้นและขยับโต๊ะให้ผู้เป็นน้องสาวนั่ง
“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วไม่ให้เรียกหมวยเล็ก..พี่พูดอีกคำนะฉันจะเรียกตี๋ใหญ่ และก็ไม่ช่วยพี่จริงด้วย”ดารัตน์งอน
“โธ่..น้องรักของพี่ น้องดาก็ได้.. อ้อรู้จักกับเพื่อนพี่สิ เมฆ พึ่งมาจากลอดดอน”ดนัยง้อน้องสาวและแนะนำวาริท
“สวัสดีครับ น้องดาพี่ชื่อเมฆครับ”เสียงอันนุ่มนวลของราวิท ทำให้ดารัตน์หันมองตกตลึงกับใบหน้าและสายตาของวาริท รอยยิ้มของเขาสะกดให้ดารัตน์ถอดแว้นสายตา แล้วขยี่ตาก่อนจะสวมแว้นและจ้องเข้ามาใกล้ๆ
“หยุดเลย!..จะกินเพื่อนพี่เลยหรือไว้จ้องใกล้ซะขนาดนี้”ดนัยผลักหัวน้องสาวก่อนจะทำตาเขียวใส่วาริท
“พี่ก็..พูดจาอะไรไม่เรื่อง ก็พี่..เออ..พี่อะไรนะ”ดารัตน์พยายามนึกชื่อของวาริทอยู่ครู่หนึ่ง วาริทยิ้มและตอบ
“พี่เมฆ..วาริทครับ”วาริทส่งยิ้มอีกครั้ง ดนัยถึงกับหัวเราะขึ้น น้องขี้ลืมราวกับปลาทอง...
“ค่ะ..พี่เมฆ”ดารัตน์บิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย
“เอาหละ..หมดเวลาแนะนำตัวแล้ว ที่พี่ให้หา นะได้เอามาด้วยหรือเปล่า” ดนัยเปลี่ยนเรื่องคุยกันท่าอย่างคนที่หวงน้องสาวสุดๆ ซึ่งวาริทก็รู้ดีว่าดนัยหวงน้องสาวคนนี้มาก เขามันจะเล่าให้ฟังอยู่เสมอ
“นี่ไง.. ขอเค้าไปด้วยคนได้ไหม..”ดารัตน์พูดสายตาออดอ้อน ผิดไปกับท่าทีในตอนแรก
“ไม่ได้ เป็นเรื่องของผู้ชายเราเป็นผู้หญิงจะไปทำไม”ดนัยเสียงดุ
“เอ้ย!..แล้วนายจะทำเสียงดุไปทำไม”วาริทหันมาดุดนัยแทน ดนัยหันไปมองผู้เป็นน้องที่กำลังล้อเลียนอยู่
“อื่อ..เข้าข้างกันตั้งแต่ยังไม่รู้จะซะแล้ว เดี๋ยวยายดาก็ได้ใจใหญ่”ดนัยบ่นและหยิบคู่มือท่องเที่ยวสุโขทัยขึ้นดู
“พี่เมฆเป็นช่างภาพหรือค่ะ เคยได้ยินพี่ดนัยพูดถึงอยู่บ่อยๆ พึ่งได้เจอตัวจริงไม่เป็นอย่างที่คิดเลย”ดารัตน์พูด
“แล้วที่คิดไว้เป็นอย่างไรครับ ดนัยเอาเรื่องอะไรไปเผาพี่บ้างเล่าให้ฟังบ้างสิ”ดนัยหันมามองดารัตน์ตาเขียว
“ก็หลายเรื่อง.. มีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย ฮ่าๆ”ดารัตน์ขำ เมื่อเห็นสายตาของพี่ชายพร้อมยักคิ้วให้
“นี่จะนินทากันซึ่งหน้าอย่างนี้เลยเหรอ”ดนัยถามขึ้นเมื่อเห็นทั้งคู่ดูจะพูดกันถูกอ ทั้งคู่ถึงกับหัวเราะขึ้น
เวลาผ่าน 2 ชั่วโมง การสนทาจึงจบ และดูเหมือนว่า ดารัตน์ และราวิทจะเข้ากันได้ดี กว่าผู้เป็นพี่ชาย ด้วยซ้ำ
ราวิทเป็นลูกชายคนเดียวเขาไม่มีพี่น้องที่โตมาด้วยกัน มันจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะดูร่าเริงกว่าปกติ
“น้องสาวนาย น่ารักดีนะ”วาริทยิ้มและโบกมือตอบดารัตน์ที่กำลังจะขึ้นรถ
“อะแฮ้ม..น้อยๆหน่อย นั่นนะน้องสาวสุดหวงของฉัน นายหมดสิทธิ์”ดนัยพูดลอยๆ แต่วาริทกับยิ้ม
“ต้องทำเสียงเข้มขนาดนั้นเลยหรือ ฉันรู้น่าน้องของนายก็คือน้องของฉัน มันไม่มีทางเป็นอย่างอื่นหรอก ฉันคงรักใครอีกไม่ได้แล้ว นายก็รู้”ราวิทพูดและยิ้มแต่สายตาก็ยังแฝงด้วยความเศร้าเล็กน้อย แต่ก็เห็นได้ชัดเจน
“เฮ้ย..นายเมฆ ทางนี้”เสียงนั้นทำให้เขาต้องถอดแว้นดำ และมองมาที่ชายหนุ่มหน้าตี๋กำลังโบกไม้โบกมือเรียกด้วยท่าทางดีใจ เขาไม่รอช้ารีบเดินตรงเข้ามาทั้งคู่สวมกอดทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย
“Hey… ฉันนึกว่านายจะไม่มารับซะแล้ว” วาริทพูด แต่แล้วก็มีเสียงซุบซิบ ดังอยู่รอบข้างพร้อมสายตามองตรงที่พวกมาเขา วาริทมองด้วยความสงสัย เหตุให้สาวๆน้อยใหญ่ จึงมองเขาด้วยทางทางแบบเช่นนี้
“ฉันว่าเรารีบไปจากที่นี่เถอะวะ ถ้าฉันเดาไม่ผิดพวกนั้นคงคิดว่าเราเป็นคู่เกย์กันแล้วป่านนี้”ดนัยพูด
“ทำไมวะ..หน้าฉัน หรือหน้านายที่ทำให้พวกเขาคิดอย่างนั้น”วาริทพูดแล้วมองอย่างสงสัย
“หน้านายหละสิ จะมีตากล้องสักกี่คนที่จะดู หน้าคมเข้ม ผิวขาว แถมยังสูงโปร่งซะขนาดนี้ ก็อย่างว่าหละนะ ลูกครึ่งส่วนผสมที่เหมาะเจาะ” ดนัยวิเคราะห์จนเห็นภาพ มันก็ไม่แปลกที่สาวๆจะซุบซิบด้วยความเสียดาย
“แล้วใครจะไปเหมือนนาย ตี๋หล่อซะ.. จนปานนี้ยังไม่มีแฟนหรือนายคิดอะไรกับฉันจริงๆวะ ”ราวิทแซว
“เอาน่า ฉันยังไม่เจอคนที่ใช่ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะบอก” ทั้งคู่เดินคุยจนมาถึงลานจอรถ ดนัยยกกระเป๋าขึ้นรถ
“อ้อ.. แล้วนายจองที่พักให้ฉันแล้วหรือยัง” ราวิทถามระหว่างนั่งรถออกจากสนามบิน
“แล้วทำไมนายไม่ไปนอนที่บ้าน หรือที่ร้านฉันวะ ต้องจองให้มันสิ้นเปลืองทำไม”ดนัยป่นเพราะพูดอยู่บ่อย
“เกรงใจที่บ้านนายเปล่าๆ ว่าจะพักที่กรุงเทพ สัก2-3 วันก่อนจะออกเดินทาง”ราวิทพูด ขณะที่กำลังเช็คกล้อง
“แล้วนายจะไปที่ไหนบ้าง Plan ไว้หรือยัง”ดนัยหันมามองเล็กน้อย
“ฉันว่าระหว่างที่อยู่กรุงเทพ คงจะถ่ายภาพไปเลื่อยๆ งานนี้เขาจัดขึ้นที่เมืองไทย ในอีก 2 เดือนข้างหน้า ฉันคงตะลอนไปเลื่อยๆ เพราะยังตีโจทย์ไม่แตกวะ อะไรมันจะใช่สำหรับ สิ่งมีชีวิตที่ทำให้โลกน่าอยู่” ราวิทขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ดนัยหันมามองก่อนจะยิ้มที่มุมปาก
“ช่างภาพฝีมือดี อย่างนายตีโจทย์ไม่แตก สงสัยว่านายคงต้องเรียนรู้การมีชีวิตเหมือนคนปกติให้ได้ก่อนวะ”
“แล้วฉันต่างจากคนปกติตรงไหน..”ดนัยนึกอยากจะขำซะให้ดังๆ เพราะรู้จักพฤติกรรมของเพื่อนรักเป็นอย่างดี
“ก็ตรงที่เป็นตัวตนของนายไง ขนาดว่ามีแฟนสาวเป็นถึงนางแบบชื่อดังคบกันมาตั้งหลายปีนายยังไม่คิดจะขอเขาแต่งงานสักที ถ้าฉันเป็นเจนนี่ซ่าคงทิ้งนายไปหาชายอื่นแล้ววะ” ดนัยพูดราวกับเป็นเรื่องตลก
“งั้นเหรอ มิน่าหละ เขาถึงได้มีทิ้งฉันจริงๆ” ราวิทพูดเสียงแพรวเบา ดนัยถึงกับเหยียบเบรกด้วยความตกใจ
“เอ้ย..นี่นายจะเบรกทำไม่วะ ได้ยินไหมเสียคันหลังบีบแตไล่แล้ว”ราวิทดุ ดนัยได้สติจึงขับรถต่อ
“นายว่าอะไรนะ กับเจนนี่ซ่า เลิกกันแล้วเหรอ” ดนัยยังคงงง ถึงแม้ว่าราวิทจะพยักหน้าใบหน้าเศร้าจนเห็นได้ชัด สายตาของราวิทมองผ่านกระจกไปยังท้องถนนช่วงระหว่างเที่ยงผู้คนกำลังวุ่นวาย และรีบร้อน ดนัยคงได้แต่มอง
ราวิททุ่มเทกับการถ่ายภาพอย่างจริงจัง ราวิทมายืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าของวัดพระแก้วมรกต ถึงแม้วันนี้จะไม่ใช่วันหยุด แต่ผู้คนก็มากมาย โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ราวิทดูมองด้วยความภาคภูมิใจจนอดที่ยิ้มออกมาไปไม่ได้ ที่เขายังมีสายเลือดความเป็นคนไทยอยู่กว่าครึ่ง เมื่อคิดได้อย่างนั้นราวิทจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดีครับ...ไม่ทราบว่าผมกำลังเรียนสายกับใครอยู่...”ราวิทพูดไปอมยิ้มไป และเดินตามผู้คนเข้าไปในวัด
“ไปอยู่เมืองไทยไม่กี่วัน พูดภาษาไทยเก่งขนาดนี้เชียวหรือ”ปลายสายพูด
“คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างครับ ไม่รู้ว่าจะคิดถึงลูกชายคนนี้บ้างหรือเปล่า”ราวิททำเสียงออดอ้อนผู้เป็นแม่
“แม่ก็คิดถึง.. คิดถึงเมืองไทยด้วย” น้ำเสียงของแม่เศร้าจับใจ ราวิทจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้ว่าหากพูดไปจะยิ่งทำให้ผู้เป็นแม่เศร้าไปกว่านี้ หลังจากที่เขาวางสาย วาริทตั้งหน้าถ่ายภาพต่อเพื่อสรรหาภาพที่ดีที่สุด
เวลาผ่านไปจนเย็นย้ำเมื่อออกจากวัดพระแก้ว ราวิทไปต่อที่ตอกข้าวสาร เป็นอีกที่สถานที่หนึ่งที่ได้ชื่อว่าผู้คนมากมาย ทั้งไทยและเทศ ราวิทนั่งจิกาแฟ ที่ร้านริมถนนกระจกใส่มองเห็นผู้คนทีมีวิถีชีวิตต่างกัน เขายกกล้องขึ้นมาเพื่อย่อขนาดของภาพที่กว้างให้เล็กลง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกดชัดเตอร์เมื่อเห็นภาพประทับใจเด็กหญิงประมาณ 10 ขวบผู้เป็นแม่จูงมือกำลังเดินข้ามถนน เธอหันกลับมาดูคุณยายมองซ้ายที่ขวาที่แต่ก็ยังยืนอยู่มุมเดิม เด็กน้อยเดินกลับหลังและหันมาจูงมือคุณยาย ราวิทไม่รอช้าที่จะกดชัดเตอร์ และอมยิ้มเล็กน้อย
“นี่...นายไม่คิดจะเสียเวลาสักนาทีเลยหรือไง”ดนัยพูด และนั่งลงข้างๆ
“อ้อ... ถ่ายเล่นๆนะ สำหรับภาพเข้าประกวด ฉันตั้งใจจะใช้ภาพสถานโบราณ สถานที่ ไม่ใช่ผู้คนหรอกน่า”ราวิท ยิ้มก่อนจะเก็บกล้องเข้ากระเป๋า ดนัยสั่งอาหารระหว่างรอ เมื่อทั้งคู่พูดคุยกันต่อได้พักใหญ่จึงพากันกลับที่พัก
เช้าวันต่อมาราวิทมาที่ร้านของดนัย เพื่อล้างภาพที่เขาได้ถ่าย กว่าครึ่งวันราวิทยังไม่ออกมาจากห้องอัดภาพ
“เป็นไงบ้างวะเมฆ.. เท่าที่ดูฉันว่ามันก็ใช้ได้นะ”ดนัยพูด ราวิทดูรูปที่ดนัยถืออยู่
“ใช้ได้..แต่ยังไม่ดีพอ ฉันคิดว่าอาจต้องออกต่างจังหวัดแต่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน”ราวิทพูด
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลลอยกระทง ฉันคิดว่าถ้านายอยากได้สถานที่ แสงสี และความอลังการหละก็ น่าจะเป็นที่นี่...สุโขทัย”ดนัยพูดขึ้น ราวิทถึงกับหยุดและหันมองที่เพื่อนรัก และยิ้มขึ้นมา
“น่าสนใจเห็น..แม่เคยพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ งานที่นั้นยิ่งใหญ่มาก แต่..”ราวิทหันมาดนัยด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“แต่อะไร..จากสายตาอย่างนั้น ฉันคงเดือนร้อนแล้วใช่ไหม”ดนัยเริ่มรู้สึกกลัวจริงๆ กับคำตอบของเพื่อนรัก
“นายคงต้องเป็นไกด์ให้ฉันแล้วหละ..” ราวิทยิ้ม
“ว่าแล้วไง..เข้าตัวจนได้.. เอ้า!..ฉันคิดค่าจ้างกันเองแล้วกัน”ดนัยพูด และถอดหายใจใหญ่อย่างจำใจ มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เขารู้ดีว่าราวิทไม่ได้คุนเคยกับเมืองไทยนัก เพราะเค้าพึงจะมาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เกิดจนอายุ 29 ปี
“แล้วร้านของนายหละ นายจะปิดเอาไว้เหรอ” วาริทถามขึ้นอย่างกังวลใจ
“เดี๋ยวฉันจ้าง ยายหมวยเล็กมาดูแลแทนก็ได้ ไปสักอาทิตย์ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”ดนัยพูดขึ้น และยกหูโทรศัพท์ขึ้นโทรทันที
ราวิท และดนัยนั่งที่ร้านอาหารเวียดนาม กำลังคุยกันอยู่นั่น พวกเขาต้องตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็มีหนังสือวางลงตรงหน้า ทั้งคู่หันขึ้นไปมองหญิงสาวที่สวมแว้นตาหนา ผมหยิกเป็นรอนยาว ถูกมันรวมกันเป็นพุ้ม มือทั้งสองกอดอก และสายตาที่มอง กับคิ้วที่ขมวดราวกับผู้เอาไว้เป็นโบ บอกถึงความโมโหสุดๆ
“จะหนีเที่ยวต้องเดือนร้อนคนอื่นตลอดเลย พี่คนนี้”เสียงใส่นั้นทำให้ทั้งคู่ตืนจากความตกใจ
“เอ้า!..หมวยเล็กมาแล้วเหรอ” ดนัยพูดขึ้นและขยับโต๊ะให้ผู้เป็นน้องสาวนั่ง
“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วไม่ให้เรียกหมวยเล็ก..พี่พูดอีกคำนะฉันจะเรียกตี๋ใหญ่ และก็ไม่ช่วยพี่จริงด้วย”ดารัตน์งอน
“โธ่..น้องรักของพี่ น้องดาก็ได้.. อ้อรู้จักกับเพื่อนพี่สิ เมฆ พึ่งมาจากลอดดอน”ดนัยง้อน้องสาวและแนะนำวาริท
“สวัสดีครับ น้องดาพี่ชื่อเมฆครับ”เสียงอันนุ่มนวลของราวิท ทำให้ดารัตน์หันมองตกตลึงกับใบหน้าและสายตาของวาริท รอยยิ้มของเขาสะกดให้ดารัตน์ถอดแว้นสายตา แล้วขยี่ตาก่อนจะสวมแว้นและจ้องเข้ามาใกล้ๆ
“หยุดเลย!..จะกินเพื่อนพี่เลยหรือไว้จ้องใกล้ซะขนาดนี้”ดนัยผลักหัวน้องสาวก่อนจะทำตาเขียวใส่วาริท
“พี่ก็..พูดจาอะไรไม่เรื่อง ก็พี่..เออ..พี่อะไรนะ”ดารัตน์พยายามนึกชื่อของวาริทอยู่ครู่หนึ่ง วาริทยิ้มและตอบ
“พี่เมฆ..วาริทครับ”วาริทส่งยิ้มอีกครั้ง ดนัยถึงกับหัวเราะขึ้น น้องขี้ลืมราวกับปลาทอง...
“ค่ะ..พี่เมฆ”ดารัตน์บิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย
“เอาหละ..หมดเวลาแนะนำตัวแล้ว ที่พี่ให้หา นะได้เอามาด้วยหรือเปล่า” ดนัยเปลี่ยนเรื่องคุยกันท่าอย่างคนที่หวงน้องสาวสุดๆ ซึ่งวาริทก็รู้ดีว่าดนัยหวงน้องสาวคนนี้มาก เขามันจะเล่าให้ฟังอยู่เสมอ
“นี่ไง.. ขอเค้าไปด้วยคนได้ไหม..”ดารัตน์พูดสายตาออดอ้อน ผิดไปกับท่าทีในตอนแรก
“ไม่ได้ เป็นเรื่องของผู้ชายเราเป็นผู้หญิงจะไปทำไม”ดนัยเสียงดุ
“เอ้ย!..แล้วนายจะทำเสียงดุไปทำไม”วาริทหันมาดุดนัยแทน ดนัยหันไปมองผู้เป็นน้องที่กำลังล้อเลียนอยู่
“อื่อ..เข้าข้างกันตั้งแต่ยังไม่รู้จะซะแล้ว เดี๋ยวยายดาก็ได้ใจใหญ่”ดนัยบ่นและหยิบคู่มือท่องเที่ยวสุโขทัยขึ้นดู
“พี่เมฆเป็นช่างภาพหรือค่ะ เคยได้ยินพี่ดนัยพูดถึงอยู่บ่อยๆ พึ่งได้เจอตัวจริงไม่เป็นอย่างที่คิดเลย”ดารัตน์พูด
“แล้วที่คิดไว้เป็นอย่างไรครับ ดนัยเอาเรื่องอะไรไปเผาพี่บ้างเล่าให้ฟังบ้างสิ”ดนัยหันมามองดารัตน์ตาเขียว
“ก็หลายเรื่อง.. มีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย ฮ่าๆ”ดารัตน์ขำ เมื่อเห็นสายตาของพี่ชายพร้อมยักคิ้วให้
“นี่จะนินทากันซึ่งหน้าอย่างนี้เลยเหรอ”ดนัยถามขึ้นเมื่อเห็นทั้งคู่ดูจะพูดกันถูกอ ทั้งคู่ถึงกับหัวเราะขึ้น
เวลาผ่าน 2 ชั่วโมง การสนทาจึงจบ และดูเหมือนว่า ดารัตน์ และราวิทจะเข้ากันได้ดี กว่าผู้เป็นพี่ชาย ด้วยซ้ำ
ราวิทเป็นลูกชายคนเดียวเขาไม่มีพี่น้องที่โตมาด้วยกัน มันจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะดูร่าเริงกว่าปกติ
“น้องสาวนาย น่ารักดีนะ”วาริทยิ้มและโบกมือตอบดารัตน์ที่กำลังจะขึ้นรถ
“อะแฮ้ม..น้อยๆหน่อย นั่นนะน้องสาวสุดหวงของฉัน นายหมดสิทธิ์”ดนัยพูดลอยๆ แต่วาริทกับยิ้ม
“ต้องทำเสียงเข้มขนาดนั้นเลยหรือ ฉันรู้น่าน้องของนายก็คือน้องของฉัน มันไม่มีทางเป็นอย่างอื่นหรอก ฉันคงรักใครอีกไม่ได้แล้ว นายก็รู้”ราวิทพูดและยิ้มแต่สายตาก็ยังแฝงด้วยความเศร้าเล็กน้อย แต่ก็เห็นได้ชัดเจน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
3.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ