~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age]
8.3
เขียนโดย Daimaou_no_Sora
วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.46 น.
12 Lesson
28 วิจารณ์
21.40K อ่าน
4) อาณาจักรอสูร Shina Dark! [ตอนแรก]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ-= ~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age] - The Chronicle of Zodas =-
-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-
-= Lesson 4 : อาณาจักรอสูร Shina Dark! [ตอนแรก] =-
ในที่สุดวันที่คอนสแตนตินจะต้องออกเดินทางก็มาถึง ในช่วงบ่ายเขาตั้งใจที่จะไปกล่าวขอโทษนีน่า เรื่องที่ต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ แต่เนื่องด้วยชั่วโมงเรียนทั้งหมดในวันนี้ของทั้งคู่นั้นมันคาบกันอยู่ จึงทำให้วันนี้ทั้งวันเขาและเธอไม่มีโอกาสที่จะได้พบปะพูดคุยกันเลยสักครั้ง จนถึงช่วงเย็นคอนสแตนตินวิ่งหน้าตื่นตรงดิ่งไปยังห้องพักอาจารย์ที่อยู่ระหว่างระเบียงทางเดินของชั้นที่ 4 ในอาคารเรียนหมายเลข 12 ซึ่งเขารู้ดีว่าอาคารเรียนหมายเลข 12 นั้น จะให้เฉพาะนักเรียนและอาจารย์ที่เป็นเพศหญิงเท่านั้นที่สามารถเข้าไปภายในตัวอาคารได้
เขาเดินสวนทางกับนักเรียนสาวที่กล่าวทักทายเขาคนแล้วคนเล่าแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจในสายตาของนักเรียนที่จับจ้องมาที่เขาเลยแม้แต่น้อย และในระหว่างทางเขาก็พบกับอาจารย์หญิงเผ่าสมิงขาวเข้าโดยบังเอิญในจังหวะที่เขากำลังจะเลี้ยวขวาตรงหัวมุมพอดิบพอดี ทำให้เกิดการชนกันเกิดขึ้นและแน่นอนฝ่ายที่ล้มลงกับพิ้นก็ต้องเป็นอาจารย์หญิงนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขะ… ขอโทษครับอาจารย์เลโอนีส เป็นอะไรมากไหมครับ?”
คอนสแตนตินกล่าวขอโทษสั้นๆ แต่ด้วยความโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ สายตาของเขาเหลือบไปเห็นกางเกงในตัวบางจิ๋วสีดำประดับด้วยลายลูกไม้พร้อมกับสายรัดถุงน่องสีดำเข้ากับกางเกงในตัวจิ๋วนั่นเป็นอย่างดีของอาจารย์หญิงคนนั้น ขาทั้ง 2 ข้างของหล่อนถูกบังคับให้ถ่างออกกว้างอย่างไม่ตั้งใจ ส่วนชายกระโปรงของหล่อนนั้นยังถูกรั้งขึ้นไปจนเกือบสุดทำให้เกิดภาพสุดหวาบหวิวที่กำลังเป็นอยู่นี้ขึ้นโดยบังเอิญ
“เอ่อ… คือว่า…”
คอนสแตนตินรีบชักสายตาหันไปทางอื่นทันที ส่วนทางด้านอาจารย์หญิงดูเหมือนเริ่มจะรู้สึกตัวว่าท่าทางที่ตัวเองแสดงอยู่ตอนนี้เหมือนกับว่ากำลังให้ท่าคอนสแตนตินก็มิปาน เธอสะดุ้งเฮือกและรีบหุบขาเข้าหากันทันทีก่อนที่จะรูดชายกระโปรงกลับเข้าที่ดังเดิมแล้วดันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นก่อนที่จะจัดแต่งองค์ทรงเครื่องของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางและกล่าวออกมาอย่างเรียบๆแบบวางเชิงว่า
“คราวหน้าคราวหลังระวังให้มากกว่านี้หน่อยนะคะ อาจารย์คอนสแตนติน... และอีกอย่างอาคารเรียนนี้ก็ไม่อนุญาติให้นักเรียนหรืออาจารย์ชายเข้ามานะคะ”
“เรื่องนั้นผมทราบดีครับ พอดีผมมีธุระด่วนกับอาจารย์นีน่าน่ะครับ”“ถ้าอาจารย์นีน่าล่ะก็... เธอกลับไปได้สักพักแล้วล่ะค่ะ เห็นบอกว่ามีธุระด่วนหรืออะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ”“อย่างนั้นเหรอครับ”“คงจะเป็นเช่นนั้นล่ะค่ะ ดิชั้นก็ไม่ทราบรายละเอียดสักเท่าไหร่... ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว... อาจารย์ก็กรุณารีบออกไปจากอาคารเรียนนี้ซะนะคะ เพราะตอนนี้อาจารย์กำลังทำผิดกฎระเบียบอยู่ ประเดี๋ยวนักเรียนจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้นะคะ”
คอนสแตนตินรีบเดินออกมาจากอาคารเรียนทันที เขามองนาฬิกาดิจิทัลที่อัคคามิฬให้เอาไว้ขึ้นมาดูตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงที่เขาจะต้องเตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของและต้องรีบไปยังท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักรที่เขานัดหมายกับอัคคามิฬเอาไว้ให้ตรงเวลา ในระหว่างที่เขากำลังเดินกลับห้องพักของเขาอยู่นั้นในหัวของเขาก็คิดถึงเรื่องของนีน่าสลับกับเรื่องภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายไปมาจนพาให้เขาปวดหัว
“ไม่สมกับเป็นแกเลยคอนสแตนติน เรื่องของอาจารย์นีน่าเอาไว้กลับมาค่อยทำอะไรให้เธอเพื่อเป็นการไถ่โทษเธอก็ได้ ตอนนี้เราต้องคิดถึงภารกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก ตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดไปซะ!!”
คอนสแตนตินตบแก้มตัวเองทั้งสองข้างเบาๆพลางส่ายหัวไปมาเพื่อให้เรื่องอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ในหัวลงไปกองรวมกันในก้นบึ้งของจิตใต้สำนึกเพื่อที่จะได้เอาสมาธิไปจดจ่อกับภารกิจได้อย่างเต็มที่ เมื่อเขากลับมาถึงห้องและทำธุระส่วนตัวรวมไปถึงเก็บของใช้ที่จำเป็นใส่กระเป๋าเป้ลายพรางใบโตของเขาเป็นที่เรียบร้อย เขามองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเขาอีกครั้ง อีก 2 ชั่วโมงจะถึงเวลานัดหมาย เขาออกจากห้องพักและไม่ลืมที่จะหันกลับไปตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องของตน เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้อาจจะกินเวลาหลายวัน เขาจึงต้องทำให้สภาพห้องของเขาเรียบร้อยที่สุดเพื่อที่เวลากลับมาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยในเรื่องของการทำความสะอาดให้มากนัก
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเป็นที่น่าพอใจเขารีบออกจากหอพักอาจารย์ทันที นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่เขาได้ออกมานอกบริเวณของสถาบัน ภายนอกสถาบันนั้นในช่วงเวลาประมาณนี้บริเวณริมถนนทั้ง 2 ข้างได้มีร้านค้าแผงลอยมาตั้งเรียงรายเป็นจำนวนมาก มีทั้งร้านขายอาหารข้างทางราคาถูก ร้านขายหนังสือโบราณเก่าๆที่ตั้งราคาหนังสือแต่ละเล่มแบบขูดเลือดขูดเนื้อ ร้านขายเครื่องประดับกระจุกกระจิกทั่วๆไปไม่ว่าคุณต้องการอะไรก็มีหมดที่ร้านนี้ ทำให้ร้านนี้ได้รับความนิยมจากบรรดานักเรียนสาวๆของสถาบันที่แอบหนีออกมาเที่ยวกลางดึกเป็นอย่างมาก แต่คอนสแตนตินก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเขาเดินผ่านร้านค้าเหล่านั้นมาจนมาถึงบริเวณท่าจอดรถที่อยู่ไกลออกมาจากจุดแผงลอยนิดหน่อย
ประมาณ 5 นาทีรถบัสแบบลอยตัวเหนือพื้นที่ดูเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียบๆสีขาวซึ่งมีบานกระจกอยู่โดยรอบ และมีแถบตรงกลางเป็นเส้นสีแดงคาดอยู่ตลอดคัน มันค่อยๆลอยตัวอย่างอืดอาจเข้ามาเทียบท่าจอดรถก่อนจะลดระดับลงมาเล็กน้อย บรรดาฝูงชนที่โดยสารมากับรถบัสที่ว่าต่างพากันหลั่งไหลลงมาจากรถคันนั้น คอนสแตนตินไม่รอช้าเขาฝ่าฝูงชนขึ้นไปบนรถและหาที่นั่งริมหน้าต่างด้านในสุดที่ว่างอยู่พอดี พร้อมกับเอากระเป๋าใบโตของเขาใส่ไว้ในช่องสัมภาระที่อยู่ด้านบน ก่อนจะค่อยๆย่อนก้นตัวเองลงกับที่นั่งบุนวมแข็งๆสีแดงสด และทันใดนั้นเสียงยานคางชวนให้ง่วงนอนจากมอนิเตอร์ขนาด 3 นิ้วที่อยู่ตรงหน้าเขาก็พูดขึ้น
“กรุณาระบุจุดหมายปลายทางที่ท่านต้องการค่ะ...”“ท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักร”“กรุณาประทับลายนิ้วมือของท่านในช่องสี่เหลี่ยมที่ปรากฏบนหน้าจอด้วยค่ะ...”
คอนสแตนตินทำตามอย่างว่าง่าย เสียง “ปิ๊บๆ” ดังขึ้น 4-5 ครั้งอย่างเป็นจังหวะ
“หมายเลขประจำตัว A-453S-6D76-GS-5 คอนสแตนติน แมกซาเรทซ์ สถานีปลายทาง ท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักร จำนวนเงินทั้งสิ้น 5 กัลอิเลี่ยน (50 บาทไทย) ถูกหักออกจากบัญชีเงินฝากของคุณแล้วค่ะ ขอบคุณที่ใช้บริการ Hover Bus”
แผ่นกระดาษแข็งสีขาวขนาด 2x5 เซนติเมตร ออกมาจากช่องเล็กๆข้างมอนิเตอร์นั่น คอนสแตนตินดึงมันออกมาและเก็บใส่กระเป๋าเสื้อคลุมของเขาเอาไว้ เมื่อผู้โดยสารขึ้นมาจนเต็มคันรถเป็นที่เรียบร้อย อยู่ๆคอนสแตนตินรู้สึกหวิวๆที่ท้องน้อยขึ้นมาเนื่องจากแรงยกจากเครื่องยนตร์ของรถบัสที่กำลังยกตัวมันเองขึ้นมาจากพื้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมก่อนที่มันจะค่อยๆเคลื่อนๆตัวออกจากจุดจอดนั้นอย่างช้าๆและค่อยเร่งความเร็วขึ้นทีละนิดๆ เวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายพร้อมกับวิวทิวทัศน์ของตึกรามบ้านช่องที่ค่อยๆผ่านสายตาของเขาไป เสียงยานคางเสียงเดิมของคอมพิวเตอร์ภายในรถก็ประกาศจุดหมายปลายทางไปเรื่อยๆ ผู้โดยสารคนอื่นๆก็เริ่มทยอยกันลงไปจากรถเมื่อถึงที่หมายของตน คอนสแตนตินลุกขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มเล็กๆปกแข็งสีเขียวคล้ำออกมาจากกระเป๋าเป้ของตน ก่อนจะเอามาเปิดอ่านเพื่อฆ่าเวลาไปพลางๆ
“สถานนีต่อไป ท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักร ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านกรุณาสำรวจสัมภาระของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนลงจากรถด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ..”
เสียงนั่นประกาศซ้ำกันอีก 2 ครั้ง แล้วก็จะเงียบไป และไม่กี่อึดใจรถก็เข้าจอดเทียบท่าของท่าอากาศยาน ผู้โดยสารคนอื่นๆที่มีจุดหมายเดียวกับคอนสแตนตินค่อยๆทยอยลงจากรถ คอนสแตนตินเมื่อหลุดพ้นจากการเดินทางอันแสนน่าเบื่อมาได้ก็รีบจ้ำอ้าวไปยังท่าจอดยานทันทีและเมื่อเขามาถึง เขาเงยหน้ามองดูเวลาบนนาฬิกาดิจิทัลที่อยู่บนไวด์สกรีนขนาดใหญ่ที่ระบุเที่ยวบินและเวลาของเที่ยวบินแต่ละเที่ยว อีกราวๆ 1 ชั่วโมงถึงเวลานัดหมายเขากวาดสายตามองหาที่นั่งว่างๆในจุดที่นั่งพักผู้โดยสารแต่ตอนนี้เก้าอี้ทุกตัวต่างมีคนนั่งเต็มกันหมดแล้วเนื่องจากช่วงนี้ใกล้จะถึงฤดูการท่องเที่ยวจึงทำให้บรรยากาศภายในท่าอากาศยานแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่หาเวลาในช่วงวันหยุดยาวพาครอบครัวไปเปลี่ยนบรรยากาศที่อาณาจักรอื่นๆใกล้เคียง
“ช่วยไม่ได้นะ ถ้างั้นไปหาอะไรอุ่นๆดื่มสักแก้วก่อนเดินทางท่าจะดี”
คอนสแตนตินแบกสัมภาระของตนขึ้นหลัง เขาเดินหาร้านกาแฟแถวๆนั้น จนมาเจอร้านกาแฟชื่อ Soul & Coffee ซึ่งบรรยากาศภายในร้านถูกตกแต่งเต็มไปด้วยของสะสมที่เกี่ยวกับความเชื่อทางจิตวิญญาณคล้ายๆกับพวกหมอผี มีทั้งเทียนไขสีดำเก่าๆที่สั้นเสียจนไม่สามารถนำมาจุดต่อได้และถูกตั้งเอาไว้บนเชิงเทียนขึ้นสนิมซึ่งวางไว้กลางโต๊ะทุกตัว รวมไปถึงเครื่องรางที่มีสัญญาลักษณ์แปลกๆที่ห้อยอยู่เหนือโต๊ะเกือบทุกตัว แต่สิ่งที่คอนสแตนตินถูกใจที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าของร้านที่เป็นชายวัยกลางคนรุ่นเดียวกับเขาแต่ชายคนนี้จะมีท่าทางออกจะพิลึกหน่อยๆ เพราะเวลาที่เขาชงกาแฟให้กับลูกค้าเสร็จเขามักจะพล่ามโน่นพล่ามนี่ไปเรื่อยไร้สาระ ทำให้ลูกค้าที่ได้ยินต้องอมยิ้มไปตามๆกัน
“กาแฟถ้วยนี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณแห่งจตุรธาตุทั้ง 4 1 ดิน! ผู้อุ้มชูชุบเลี้ยงต้นกาแฟให้อุดมสมบูรณ์เพื่อเมล็ดกาแฟที่สมบูรณ์ 2 น้ำ! ผู้ให้ความชุ่มชื้นแก่ต้นกาแฟ 3 ไฟ! ผู้ให้ความร้อนแรงในการต้มน้ำให้เดือดพล่าน! 4 ลม! สายลมอ่อนๆช่วยส่งกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟชั้นเลิศเข้าสู่รูจมูกของคุณ! เห็นมั้ย! มันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง! ที่สถิตอยู่ในเมล็ดกาแฟแต่ละเม็ด ซึ่งเอาไปบดให้ละเอียดอย่างพิถีพิถันโดยใส่จิตวิญญาณชั้นสูงลงไป! แหม่~~ มันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณชั้นเลิศบวกกับเมล็ดกาแฟชั้นเลิศ! จึงออกมาเป็นกาแฟชั้นเลิศถ้วยนี้! ให้คุณได้ลิ้มลอง!”
คอนสแตนตินถึงกับยืนตาค้างเมื่อเห็นวิธีการค้าขายของชายคนนี้ แต่เขาก็เดินผ่านร้านนี้ไปเพื่อหาร้านที่เข้าท่ามากกว่านี้จนเขาเดินมาเกือบจะสุดทางเขาก็เจอร้านเบเกอรี่เล็กๆที่อยู่ตรงหัวมุม ร้านนี้จะมีตู้กระจกใสเล็กๆที่ข้างในเต็มไปด้วยขนมปังหอมกรุ่นมากมายหลายชนิดให้เลือก เขาไม่รอช้าเลี้ยวควับเข้าร้านนี้ทันที ถึงร้านนี้จะเป็นแค่ร้านเล็กๆแต่ก็มีผู้คนมาใช้บริการกันอย่างแน่นขนัดจนบริเวณเค้าเตอร์สำหรับบริการลูกค้ามีลูกค้ายืนเรียงรายต่อคิวกันเพื่อจ่ายเงินเป็นแถวยาวเกือบถึงหน้าร้านและ 1 ในหลายๆคนที่ยืนต่อแถวอยู่นั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งเมื่อคอนสแตนตินเห็นก็จำได้ทันทีนั่นก็คืออัคคามิฬนั่นเอง เขากำลังยืนหน้าหงิกหน้างอในมือมีถาดที่มีขนมปังก้อนโรยน้ำตาลไอส์ซิ่งอยู่เพียบ คอนสแตนตินเห็นเช่นนั้นจึงไม่รอช้าเดินเข้าไปทักชายหนุ่มทันที
“มาถึงนานแล้วรึ?”“อ่ะ! มาถึงเร็วจังนะครับ ผมเพิ่งมาถึงได้เมื่อไม่นานนี่เอง”“อืม… ว่าแต่ว่า… เธอกินเยอะแบบนี้จะดีเหรอ?”“ผมกะไว้ว่าจะซื้อเก็บเอาไว้กินระหว่างอยู่บนเครื่องน่ะครับ และผมก็ซื้อเผื่อคุณด้วย นี่ไงครับ...”“ขอบใจนะ... แต่บังเอิญไอ้ชั้นมันไม่ค่อยจะชอบอาหารจำพวกแป้งสักเท่าไหร่เสียด้วยสิ เอ้อ!! เอาแบบนี้ก็แล้วกัน... ชั้นฝากซื้อชาดอกทงไป่หลั๋นสักแก้วสิ”“อ่า… ได้เลยครับ... ชาดอกทงไป่หลั๋นนะครับ”“ถ้างั้นชั้นออกไปรอข้างนอกนะ เพราะดูเหมือนในร้านจะไม่มีที่ให้นั่ง”
คอนสแตนตินหยิบเศษเงินจำนวนหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้อัคคามิฬก่อนที่เขาจะเดินปลีกตัวออกมายืนรออยู่หน้าร้าน ผ่านไปสักพักอัคคามิฬก็เดินออกมาพร้อมถุงใบโตที่เต็มไปด้วยขนมปังที่เขาซื้อมา เขายื่นแก้วชาพลาสติกใสทรงสูงแก้วใหญ่ที่ข้างในบรรจุน้ำสีม่วงใสใส่น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบให้คอนสแตนติน
“เราไปหาที่นั่งกันเถอะครับ อีกตั้ง 30 กว่านาทีเครื่องถึงจะออก อ่อ!... เกือบลืมไป”
อัคคามิฬควักกระดาษจำนวนหนึ่งออกมามันคือตั๋วเครื่องบินนั่นเอง แต่ที่ผิดสังเกตุก็คือมันมีตั้ง 4 ใบแทนที่จะมีแค่ 2 ใบคือของเขากับคอนสแตนตินเท่านั้น
“ยังมีคนอื่นอีกเหรอ? ไหนว่ามีเราแค่ 2 คนที่ทำภารกิจนี่ไง?”“ครับ พอดีเบื้องบนมีคำสั่งด่วนให้พาอีก 2 คนไปด้วย เดี๋ยวพวกเขาก็คงจะมากันแล้วล่ะมั้งครับ”
ทั้ง 2 ได้ที่นั่งบริเวณใกล้กับช่องผู้โดยสารขาออกที่ระบุไว้ในตั๋วพอดี อัคคามิฬหยิบพ๊อกเก๊ตบุ๊คขึ้นมาเปิดอ่านระหว่างรอ แต่คอนสแตนตินก็บังเอิญเหลือบไปเห็นชื่อของหนังสือที่อัคคามิฬอ่านจนได้ “ตำนานรักสาวน้อยวัยกระเตาะ” จนทำให้คอนสแตนตินถึงกับอมยิ้มที่เห็นชายหนุ่มอ่านนิยายรักหวานแหววอย่างกับเด็กผู้หญิง แต่ที่ทั้ง 2 ตั้งหน้าตั้งตารอนั้นไม่ใช่กำหนดการที่เครื่องจะออกแต่เป็นบุคคลที่อัคคามิฬบอกเอาไว้ในตอนแรกต่างหาก และทันใดนั้นเสียง “ปิ๊บ!” ยาวๆก็ดังขึ้นมันดังมาจากนาฬิกาของชายหนุ่ม เขากดปุ่มเล็กๆที่อยู่ด้านข้างของตัวเรือน ทันใดนั้นก็มีจอโฮโลแกรมขนาดเล็กปรากฎขึ้นมาและมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า “Sound Only” ที่กลางจอ
“สวัสดีค่ะ… ไม่ทราบว่านั่นใช่คุณอัคคามิฬรึเปล่าคะ?”“ครับ ไม่ทราบว่าคุณใช่คนที่ ดร.วิกเตอร์ พูดถึงใช่รึเปล่า?”“ใช่ค่ะ ดิชั้นนเดินทางมาถึงแล้ว แต่ดิชั้นนหาจุดที่คุณอยู่ไม่เจอ แล้วไอฺ้เครื่องนี่ที่หมอนั่น อ๊ะ!! ดร.วิกเตอร์ ส่งมาให้ดิชั้น ก็ดูเหมือนจะรวนๆอยู่น่ะค่ะ เลยจับตำแหน่งของคุณไม่ได้ ไม่ทราบว่าจะช่วยกรุณาบอกจุดที่คุณอยู่ให้ดิชั้นหน่อยจะได้ไหมคะ?”“เราอยู่ตรงประตูผู้โดยสารขาออกหมายเลข 6 น่ะครับ...”“ประตูหมายเลข 6 เหรอคะ? ตายแล้ว!! นี่ดิชั้นเดินเลยมาถึง 10 ประตูเลยเหรอคะเนี่ย?”
ชายทั้ง 2 ต่างมองหน้าซึ่งกันและกันและพากันอมยิ้มเล็กน้อยให้กับเพื่อนร่วมเดินทางครั้งนี้
“ถ้ายังไงก็ช่วยรีบเข้าหน่อยเถอะครับ เพราะใกล้จะได้เวลาที่เราจะต้องขึ้นเครื่องกันแล้ว”“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
เมื่อสิ้นสุดการสนทนาอัคคามิฬก็กลับมานั่งอ่านนิยายของตนต่อ และไม่กี่นาทีต่อมาหญิงสาวที่สนทนากับอัคคามิฬเมื่อครู่ก็มาปรากฎตัวต่อหน้าพวกเขาทั้ง 2 พร้อม Android ในชุดเมดเต็มรูปแบบ ซึ่งทำให้คอนสแตนตินประหลาดใจเป็นอย่างมากเพราะหล่อนคือนีน่านั่นเอง และข้างกายของนีน่านั่นก็คือเฟรย่า Android สาวคู่ใจผู้ที่มีบุคลิกสนุกสนานร่าเริงต่างไปจาก Android ตัวอื่นๆที่วันๆได้แต่ทำหน้านิ่งไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“อาจารย์นีน่า!?”“อ้าว!! สวัสดีค่ะอาจารย์คอนสแตนติน บังเอิญจัง ว่าแต่... มาทำอะไรที่นี่คะเนี่ย อย่าบอกนะคะว่าอาจารย์ก็โดนเรียกตัวกลับไลลารินเหมือนกันกับดิชั้น”“อ่า~ ใช่ครับ”“เอ่อ… นี่ทั้ง 2 คนรู้จักกันด้วยเหรอครับเนี่ย?”“อะ! ขอโทษนะคะ คุณคงจะเป็นคุณอัคคามิฬ ใช่ไหมคะ? ดิฉันชื่อนีน่าค่ะ นีน่า เอฟ ลอสโอริเทียร์ ส่วนนี่เป็น Android ของดิฉันเองค่ะชื่อว่าเฟรย่า”
Andriod สาวก้มหัวให้เล็กน้อยพร้อมกับส่งยิ้มให้เขาอย่างเต็มใจ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
อัคคามิฬจุมพิตที่หลังมือของนีน่าเบาๆเพียงแค่นั้นก็ทำให้คอนสแตนตินถึงกับเจ็บแปล๊บที่น่าอกขึ้นมาทันทีทำให้เขารู้สึกประหลาดใจกับอาการที่เกิดขึ้นกับตัวเองแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก เพราะเขารู้ว่านั่นคือการทักทายในแบบสุภาพบุรุษของอัคคามิฬอยู่แล้ว เขาเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาบนไวด์สกรีนที่อยู่ตรงหน้าที่ใกล้จะได้เวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องขึ้นเครื่อง
“ชั้นว่าน่าจะได้เวลาแล้วล่ะ~ อัคคามิฬ พวกเราไปกันเถอะ”
คอนสแตนตินสะพายเป้ลายพรางของตน ก่อนจะนำตั๋วในมือส่งให้เจ้าหน้าที่เผ่าฮ๊อบบิทตัวเล็กที่ยืนอยู่บนลังไม้ใบใหญ่เพื่อให้ความสูงได้ระดับพอเหมาะกับผู้โดยสาร เขารับตั๋วจากคอนสแตนตินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและท่าทางสุภาพ ก่อนที่จะฉีกต้นขั้วคืนให้กับคอนสแตนติน ตามด้วยอัคคามิฬและนีน่า แต่พอมาถึงคิวของเฟรย่า เขาก็ทำหน้าตาตื่นๆแล้วพูดออกมาว่า
“เอ่อ… ขอโทษนะครับท่าน Andriod ต้องใช้ตั๋วโดยสารพิเศษอีกแบบนะครับ...”
คอนสแตนตินเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮิอบบิทหนุ่มกล่าว เขาจึงเดินเข้าไปกระซิบกระซาบที่ข้างหูของฮ๊อบบิทหนุ่มผู้นั้นเบาๆ
“ขะ...ขอประทานอภัยครับท่าน กระผมสะเพร่าเองที่ไม่ดูให้ดีเสียก่อน ขอประทานอภัยด้วยนะครับ... คุณผู้หญิง”
ฮ๊อบบิทหนุ่มก้มโค้งจนปลายจมูกแทบจะแตะกับปลายรองเท้าให้ Andriod สาวอย่างสุภาพ
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม... ไปกันเถอะเฟรย่า เราเสียเวลามากแล้ว”
ในที่สุดเฟรย่าก็ขึ้นเครื่องไปกับคนอื่นๆได้สำเร็จ โดยที่เครื่องบินที่พวกเขาโดยสารไปนั้น เป็นเครื่องบินโดยสารระดับเฟิร์สคลาส ซึ่งจะมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางรวดเดียวโดยไม่มีการลงจอดแวะพักที่ไหน จึงทำให้การเดินทางของพวกเขานั้นใช้เวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมงซึ่งแตกต่างจากเครื่อนบินระดับรองลงไปที่จะใช้เวลานานกว่ามาก ส่วนบรรยากาศบนเครื่องนั้นค่อนข้างเงียบเหงาเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมใช้บริการเครื่องบินระดับนี้เพราะเนื่องจากตั๋วที่มีราคาแพงหูฉีก และส่วนใหญ่มักจะมีแต่บุคคลระดับสูงอย่างเช่นนักการเมืองที่ใช้บริการ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเครื่องบินก็ลงจอดที่ท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักร แห่งอาณาจักรไลลาริน คอนสแตนตินที่หลับๆตื่นๆมาตลอดทางนั้นก็หันไปปลุกอัคคามิฬที่กำลังนอนอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆด้วยการสะกิด (ตบ) ที่หน้าเขา 1 ทีเบาๆ อัคคามิฬสะดุ้งพรวดขึ้นมาทันทีพลางมองคอนสแตนตินด้วยสายตาเคืองๆเล็กน้อย
“ถึงไลลารินแล้วไอฺ้หนู~”
คอนสแตนตินปลดเข็มขัดนิรภัยของตนก่อนจะลุกจากเก้าอี้เพื่อไปปลุกนีน่าที่อยู่ใกล้ๆแต่ก็ช้าไป เพราะเฟรย่าได้ปลุกนีน่าเสียก่อนแล้ว เธอลุกขึ้นมาด้วยท่าทางสะลึมสะลือก่อนที่จะหันไปถามอะไรบางอย่างกับ Android ของเธอว่า…
“อืม~~ กี่โมงแล้วเนี่ยเฟรย่า?”“4 นาฬิกา 24 นาที 36 วินาทีค่ะ นายหญิง รีบลุกขึ้นเถอะค่ะเรายังต้องเดินทางกันอีกไกล”
ทั้ง 4 รีบออกจากตัวเครื่องบินและเดินออกทางประตูผู้โดยสารขาเข้าหมายเลข 17 และเมื่อทั้ง 4 เดินออกมาถึงด้านนอกตัวอาคารของท่าอากาศยานก็พบว่าฝนกำลังตกหนัก และไม่มีทีท่าว่าหยุดตกเลยแม้แต่น้อยทั้ง 4 พยายามมองหารถโดยสารเพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือเมือง เอส ซารัส ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของอาณาจักรไลลารินแห่งนี้เพื่อไปพบกับวิกเตอร์ที่นั่น ที่อยู่ๆก็ติดต่อเข้ามาว่าขอเปลี่ยนแผนการเล็กน้อยโดยให้ทั้ง 4 ไปพบกับเขาที่นั่น ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 2 ชั่วโมงจากเมืองหลวงที่พวกเขากำลังอยู่ในขณะนี้ และทันใดนั้นทั้ง 4 ก็พบกับชายหนุ่ม 3 คนที่สวมเสื้อคลุมสีดำกำลังยืนวางท่าเคร่งขรึมอยู่กลางสายฝนซึ่งดูจากภายนอกน่าจะเป็นทหาร สังเกตุได้จากที่ด้านหลังของชายหนุ่มทั้ง 3 คนนั้นมีรถ APC (Armored Personnal Carriers) สีเขียวลายพรางขนาดกลางซึ่งเป็นรถของกองทัพจอดแช่อยู่และเมื่อทั้ง 3 เห็นกลุ่มของอัคคามิฬ 1 ในนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นอย่างเข้มแข็ง
“วันทยาาาาหัตถ์! ยินดีต้อนรับสู้ไลลารินครับผม!! ผู้พัน!”
ชายหนุ่มทั้ง 3 ยืนตรงพร้อมกับเอามือตะเบ๊ะเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้มาเยือนทั้ง 4 แต่จริงๆแล้วพวกเขาตะเบ๊ะให้กับคอนสแตนตินเพียงคนเดียวมากกว่า เมื่อคอนสแตนตินเห็นเช่นนั้นก็เอามือตะเบ๊ะกลับเช่นกัน
“มารับถึงที่เลยเหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะผู้กองลอนสัน ดูท่าทางสบายดีนะ”
คอนสแตนตินเดินเข้าไปทักชายคนที่น่าจะมีอายุ 30 ต้นๆใบหน้าเคร่งขรึม มีรอยแผลเป็นที่แก้มข้างซ้ายเหมือนกับรอยโดนมีดกรีด ตัดผมเกรียนเหมือนทหารทั่วๆไป คิ้วดกหนา จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคมดุดันดุจสัตฺว์ร้าย รูปร่างสมส่วนดูมีกล้ามเล็กน้อยเนื่องจากผ่านการฝึกฝนมาพอสมควร ส่วนสูงน่าพอๆกับคอนสแตนติน
“ครับผม! ผู้พันเองก็เช่นกัน!!”“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพิธีรีตรองให้มากมายนักก็ได้ นี่เพิ่งจะตี 4 เองนะชั้นไม่อยากให้ชาวบ้านแถวนี้เขาแตกตื่น”“ขอประทานโทษครับผม!!”
ทหารอีกคนที่ขึ้นไปรออยู่บน APC เรียบร้อยแล้วโผล่หน้าออกมาทางช่องหน้าต่างเล็กๆทางด้านคนขับ พลางส่งสัญญาณมือให้ผู้กองก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำ
“ผู้กองครับ! เราต้องรีบเดินทางกันแล้วนะครับ!”“รับทราบจ่า! ผู้พันครับเชิญผู้พันและคนอื่นๆขึ้นรถเถอะครับ เราสายมากแล้ว”
คอนสแตนตินหันไปส่งสายตาให้กับอัคคามิฬและนีน่าก่อนที่จะขึ้นรถที่คนในกองทัพเรียกมันว่าลีมูซีนนั้นไป อัคคามิฬและนีน่าไม่รอช้ารีบตามคอนสแตนตินขึ้นไปทันที ประตูถูกปิดโดยอัตโนมัติเมื่อทุกคนขึ้นมาบนรถกันหมดแล้ว ทหารคนที่เป็นพลขับทำอะไรสักอย่างกับแผงปุ่มกดที่อยู่ตรงหน้าและทันใดนั้นก็มีคันบังคับโผล่ขึ้นมาจากที่เท้าแขนของเก้าอี้ข้างขวา พลขับใช้มืออีกข้างที่เหลือกดปุ่มบนแผงควบคุม 2-3 ครั้งทันใดนั้นคอนสแตนตินก็รู้สึกหวิวๆที่ท้องน้อยอีกครั้ง เนื่องจาก APC คันนี้เป็นแบบลอยตัวเหนือพื้นเหมือนกับรถบัสที่เขาเพิ่งจะนั่งมาเมื่อไม่นานมานี้ รถค่อยๆเคลื่อนที่ออกไปและมุ่งตรงเข้าสู่ทางหลวงภาคตะวันออกหมายเลข 3 เวลานี้ถนนค่อนข้างโล่งเพราะนี่เพิ่งจะตี 4 เกือบตี 5 ก็เลยยังไม่มียานพาหนะผ่านสัญจรไปมาเยอะนัก ทำให้พลขับสามารถเร่งความเร็วรถได้เต็มที่ เขาขับรถไปผิวปากไปเป็นเพลงชาติของไลลารินไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนผู้กองลอนสันก็นั่งอยู่ข้างๆพลขับคนนั้นและรับตำแหน่งพลนำทาง ฝนยิ่งตกหนักมากขึ้นไปอีกทำให้ถนนค่อนข้างลื่นแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเมื่อยานพาหนะที่คุณกำลังโดยสารอยู่นั้นไม่ได้แล่นด้วยล้อ
คอนสแตนตินมองทัศนียภาพผ่านจอมอนิเตอร์ขนาด 14 นิ้ว ภายนอกนั้นตอนนี้เริ่มจะมีแสงสว่างให้เห็นบ้างแล้วเนื่องจากเวลาตอนนี้ใกล้จะ 6 โมงเช้าเข้าไปทุกทีๆ เขาเริ่มเห็นทิวของต้นไม้ที่เรียงรายกันอย่างสวยงามไปตลอดทางและถัดมาเป็นไร่ข้าวโพดและสวนส้มนี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาใกล้จะถึงเมือง เอส ซารัส เมืองเกษตรกรรมที่เป็นหนึ่งในอู่ข้าวอู่น้ำของอาณาจักรแห่งนี้ ที่เป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขา หลังจากที่ต้องนั่งทนหลังขดหลังแข็งเดินทางมากว่าครึ่งโลกเพื่อสาเหตุอะไรนั้นก็ไม่มีใครทราบได้รู้แต่เพียงว่าต้องบุกอาณาจักรอสูรเพียงแค่นั้นแล้วเป้าหมายที่แท้จริงของภารกิจนี้ล่ะคืออะไร นี่เป็นสิ่งที่คอนสแตนตินครุ่นคิดมาโดยตลอดในระหว่างการเดินทาง
“ใกล้ถึงแล้วครับผู้พัน!!”
ผู้กองลอนสันพูดขึ้นและทันใดนั้นรถก็ค่อยๆชลอความเร็วลง พลทหารในชุดทหารสีน้ำเงินและมีอาวุธอย่างครบครันที่ดูเหมือนว่าจะรับหน้าที่เป็นยามรักษาการ 2 นายกำลังยืนเฝ้าประตูทางเข้าของสถานที่แห่งนี้อยู่ และเมื่อเห็น APC ของพวกเขานั้นก็โบกไม้โบกมือแสดงเป็นสัญญาณให้รถหยุด ผู้กองลอนสันเปิดบานเลื่อนของรถออกเล็กน้อยก่อนที่จะยื่นไมโครชิพเล็กๆให้กับพลทหาร 1 ใน 2 คนนั้นไป ทางด้านพลทหารเมื่อได้ไมโครชิพไปแล้วก็นำไปเสียบในเครื่องมือที่เหมือนกับแผงควบคุมขนาดเล็ก ที่ทำเป็นเหมือนกับปลอกแขนและทันใดนั้นหน้าจอโฮโลแกรมก็ปรากฎขึ้นและมีตัวหนังสือขึ้นมาบนหน้าจอนั้นเรียงรายกันเต็มไปหมด พลทหารสบตากับผู้กองลอนสันและส่งสัญญาณมือให้กับพลทหารอีกคนที่กำลังใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนั้นสแกนรอบตัวถังรถและพยักหน้ากลับมาเป็นสัญญาณว่า “ทุกอย่างเรียบร้อย ให้ผ่านได้เลย” เมื่อเป็นเช่นนั้นพลทหารคนแรกก็กดปุ่มสีเขียวที่แผงควบคุมที่แขนของเขา ทันใดนั้นประตูทางเข้าที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ พลขับพลักคันบังคับไปข้างหน้าเล็กน้อยรถก็ค่อยๆเคลื่อนที่อีกครั้ง สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้คือ “กองบัญชาการทหารอากาศ” ในตอนนี้รถได้แล่นผ่านโกดังเก็บเครื่องบินขับไล่รุ่นลิเบอร์ตี้ ที่อยู่เรียงรายไปตลอดทางซึ่งแต่ละโกดังนั้นก็ใหญ่พอที่จะสามารถเก็บเครื่องบินได้ประมาณ 3-4 ลำ ถัดจากพื้นที่โกดังเก็บเครื่องบินจะเป็นพื้นที่ลานคอนกรีตกว้างสำหรับพักผ่อนหรือเอาไว้ใช้ฝึกเหล่าทหารหาญ คอนสแตนตินเห็นบรรยากาศในตอนเช้าตรู่ที่มีเหล่าพลทหารออกมาวิ่งกันเป็นแถวอย่างเข้มแข็งและมีระเบียบนั้นชวนให้เขานึกถึงภาพเก่าๆในสมัยที่ยังหนุ่ม ไม่ทันที่เขาจะซึมซับบรรยากาศของที่นี่ได้มากนักรถก็หยุดตรงหน้าอาคารกระจกทรงปิรามิดซึ่งภายในนั้นเมื่อมองผ่านกระจกเข้าไปจะมีบรรยากาศเหมือนกับพิพิธภัณท์หรือไม่ก็ท้องฟ้าจำลองบ้านเรา และตรงประตูทางเข้าของอาคารนั้นก็มีชายหนุ่มในชุดกาวน์สีหน้าเหมือนยังไม่ตื่นดีสวมแว่นตากลมหนาเตอะ ร่างกายผอมบางเหมือนขาดสารอาหาร ผมยุ่งกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง กำลังยืนเกาหัวพลางหาวไปด้วยถ้ามีแมลงวันอยู่แถวนั้นล่ะก็คงจะบินเข้าปากเขาไปได้หลายตัวเลยทีเดียวแต่ที่น่าสังเกตุก็คือที่ไหล่ซ้ายของเขามีกบตัวสีเขียวหน้าตาน่าเกลียดสวมแว่นตาเหมือนกับเขาเป๊ะแต่ขนาดเล็กกว่าเกาะอยู่ คอนสแตนตินเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ของตนก่อนที่จะสะกิดอัคคามิฬให้กลับจากการเข้าเฝ้าพระอินทร์อีกครั้งแต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้วิธีการตบหน้าแต่ใช้วิธีบ้านๆอย่างการเขย่าตัวเขาแทนอัคคามิฬตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือเหยียดแข้งเหยียดขาบิดขี้เกียจก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินทางและเสื้อคลุมตัวโปรดของตนก่อนที่จะค่อยๆย่างก้าวเดินลงจากรถ ส่วนนีน่านั้นตื่นตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าเมื่อกี้แล้วแต่ยังคงอยู่ในอาการงัวเงียไม่หายจนต้องลำบากเฟรย่าที่ต้องพยุงตัวเธอลงจากรถ
“อรุณสวัสดิ์ทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งสหราชอาณาจักรไลลาริน เราคงจะรู้จักกันแล้วในข้อความที่อยู่ในนาฬิกาของพวกคุณ แต่จะขอแนะนำตัวอีกทีผม ดร.วิกเตอร์ โนว่า เป็นนักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของที่นี่ ส่วนนี่…”
วิกเตอร์หันหน้าไปทางกบหน้าตาน่าเกลียดนั่น ทันใดนั้นมันก็ยกแขนเล็กๆสีเขียวคล้ำของมันขึ้นมาทำท่าทางกระแอ้มกระไอก่อนจะพูดขึ้นมาว่า…
“ส่วนฉัน ศาสตราจารย์ ดร.ไอแซค ซานดาลฟอน หัวหน้านักวิจัยของที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เสียงยานคางเหมือนคนแก่นั้นทำให้ทุกคนยกเว้นเฟรย่าหายง่วงเป็นปลิดทิ้งทันทีเมื่อกบหน้าตาน่าเกลียดที่อยู่บนไหล่ของวิกเตอร์พูดแนะนำตัวด้วยสีหน้าจริงจังและน่าเชื่อถือเหมือนคนมีการศึกษาแถมยังมีชื่อเหมือนกับคนอีก แต่อยู่ๆนีน่าก็สะกิดใจขึ้นมาเล็กน้อยกับชื่อของกบตัวนั้น เหมือนกับว่าเธอเคยได้ยินหรือเห็นผ่านหูผ่านตาจากที่ไหนมาก่อน แต่เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าซองสีน้ำตาลที่วิกเตอร์ยื่นให้เธอในคืนที่บ้านของเธอถูกพวกกลุ่มเลนินบุกวันนั้นนั่นเอง
“ไม่เห็นจะต้องทำหน้าทำตาตกใจแบบนั้นเลยนี่นา… ชั้นเองก็เคยเป็น ”มนุษย์” แบบพวกเธอมาก่อนเหมือนกัน แต่ด้วยสาเหตุบางอย่างทำให้ชั้นต้องมาอยู่ในร่างนี่ เอาล่ะๆ วิกต์ ช่วยนำทางพวกเขาไปยังห้องวิจัยของชั้นหน่อยนะ”“อืม… ก็อย่างที่ทุกคนได้ยินนั่นแหละนะ เพราะฉนั้นกรุณาตามผมมา”
วิกเตอร์เดินนำทั้ง 4 เข้าไปในอาคาร ทันทีที่พวกเขาก้าวข้ามทรณีประตูเข้ามาข้างในทั้ง 3 คนก็รู้สึกว่าบรรยากาศข้างในนี้กับข้างนอกนั้นแตกต่างกันอย่างสุดขั้วราวกับว่าอยู่คนละโลกเพราะเมื่อเข้ามาแล้วร่างกายกลับรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งภายในหัวนั้นโล่งไปหมดและมีค่อยๆมีความคิดต่างๆหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ วิกเตอร์เห็นท่าทีและสีหน้าของทุกคนที่เปลี่ยนไปจึงเริ่มอธิบาย (โม้) ให้กับทุกคนฟังทันที
“พอเข้ามาในนี้แล้วพวกคุณจะรู้สึกปลอดโปร่งนั่นเป็นเพราะในอาคารแห่งนี้จะคำนวณค่าความสมดุลของระบบหมุนเวียนโลหิตในร่างกายของแต่ละบุคคลและสร้างบรรยากาศที่เหมาะกับบุคคลนั้นๆออกมา”
วิกเตอร์อธิบายเกี่ยวกับความพิเศษของอาคารแห่งนี้แต่อัคคามิฬก็แย้งออกมาว่า
“ทำไมถึงพูดเหมือนกับว่าอาคารนี้มันสามารถแยกแยะและเจาะจงบรรยากาศให้กับแต่ละบุคคลได้อย่างงั้นล่ะครับ วิธีแบบนั้นมันทำกันได้ด้วยอย่างงั้นเหรอ?”“อันนั้นน่ะง่ายมาก ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือ DNA… DNA นั่นมันก็เหมือนกับหมายเลขประจำตัว 13 หลักของเรานั่นแหละแต่ละคนจะมีพื้นฐานโครงสร้าง DNA ที่ไม่เหมือนกัน และ DNA ไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากเลือดเพียงอย่างเดียว เศษผิวหนัง เล็บ ขนตา เส้นผม และอื่นๆ ก็มีโครงสร้าง DNA เช่นกัน แต่รู้ไหมทำไมอาคารแห่งนี้มันถึงเอา DNA ของพวกคุณไปวิเคราะห์ได้โดยทันทีทั้งๆที่พวกคุณก็ไม่มีทั้ง เศษผิวหนังที่หลุดลอก เส้นผมหรือขนตาที่หลุดร่วง เลือดรึ? นั่นก็ยิ่งไม่ใช่แล้วใหญ่ ผมจะบอกให้สิ่งนั้นมันก็คือ ลมหายใจ ของพวกคุณนั่นเอง ลมหายใจที่สูดอนูอากาศของที่นี่ที่เต็มไปด้วยเหล่า นาโนเมทริก เข้าไปซึ่ง นาโนเมทริก นั้นจะเข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายของพวกคุณตราบเท่าที่คุณยังอยู่ในอาคารแห่งนี้ มันจะเข้าไปวิเคราะห์และส่งข้อมูลระบบหมุนเวียนภายในร่างกายของคุณในขณะนั้นทุกๆ 5 วินาทีให้กับเมนเฟรมของ “ไบโอคอมพิวเตอร์” เพื่อทำการแยกแยะและปรับสมดุลของร่างกายให้เข้ากับบรรยากาศของที่นี่ยังไงล่ะครับ”“แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ น่าจะเอาเทคโนโลยีนี้ไปใส่ในชุดเกราะที่ใช้ในสนามรบ เพราะได้สูดอากาศแบบนี้แล้ว ความกดดันและความตรึงเครียดหายเป็นปลิดทิ้งเลย”“ผมคิดเหมือนกับผู้พันนั่นละครับ เคยลองเสนอเรื่องนี้ให้กับ ผอ. ของที่นี่ไปครั้งหนึ่งแล้วแต่ก็โดนหาว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ก็เลยต้องล้มเลิกความคิดไปน่ะครับ”
วิกเตอร์พาลัดเลาะไปตามทางเดินจนถึงสุดหัวมุมก็เจอเข้ากับทางตันเป็นผนังคอนกรีตเรียบๆไม่มีอะไรสะดุดตา ทันใดนั้นวิกเตอร์ก็เอาฝ่ามือของตนไปแตะที่กลางผนังนั่นทันที เกิดระลอกคลื่นจากมือของวิกเตอร์ออกไปรอบทิศทางแต่ยังไม่ทันที่ระลอกคลื่นทั้งหมดวิ่งไปชนมุมผนังก็เกิดเส้นตัดขึ้นมาและทำมุมเข้าด้วยกันเป็นสี่เหลี่ยมสูงประมาณ 2 เมตร และกว้างประมาณ 1.7 เมตร ก่อนที่ผนังระลอกคลื่นนั่นจะสลายหายไปราวกับภาพลวงตาเกิดเป็นช่องลิฟต์ขนาดที่พอให้คนตัวใหญ่ๆ 3 - 4 คนเข้าไปอัดกันได้ เมื่อทุกคนเข้ามาอยู่ในลิฟต์กันครบทุกคนก็สังเกตุเห็นว่าในลิฟต์นี้ไม่มีแผงปุ่มให้กดเลือกชั้นเหมือนกับลิฟต์ภายในห้างสรรพสินค้าทั่วๆไป และเมื่อประตูลิฟต์ปิดลงทุกคนรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเหมือนจะลอยขึ้นจากพื้นเสียง “วี๊ดดด!” ฟังดูเหมือนเป็นเสียงการทำงานของลิฟต์ดังขึ้นเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าลิฟต์ตัวนี้กำลังลงด้วยความเร็วสูงมาก ในชั่วไม่กี่อึดใจลิฟต์ก็ลงมาถึงชั้นล่างสุดนีน่ารีบเอามือปิดปากของตัวเองทันทีร่างกายเธอปรับตัวเข้ากับแรงโน้มถ่วงที่เปลี่ยนอย่างกระทันหันไม่ทันจึงทำให้เธอเหมือนอยากจะอาเจียนเฟรย่าใช้มือลูบหลังให้นีน่าเบาๆเพื่อช่วยบรรเทาอาการและเมื่ออาการของนีน่าบรรเทาลงวิกเตอร์ก็พูดออกมาว่า…
“ตอนนี้เราอยู่ในอาคารที่อยู่ลึกจากพื้นดินลงมาประมาณ 950 เมตรเป็นศูนย์วิจัยที่ใช้สำหรับพัฒนาอาวุธและยุทโธปกรณ์ขั้นสูงให้กับทั้ง 3 เหล่าทัพ เอาล่ะทุกท่านเชิญตามผมมา”
วิกเตอร์พาทั้ง 4 คนเดินไปตามทางโดยผ่านห้องกระจกห้องหนึ่งที่กำลังทดสอบหุ่นวอล์กเกอร์ที่ไม่ต้องใช้คนขับรุ่นใหม่อยู่ แต่ดูท่าทางการทดสอบจะล้มเลวไม่เป็นท่าเพราะหุ่นตัวนั้นมันอาละวาดใช้ท่อนแขนเหล็กขนาดใหญ่ของมันซัดนักวิจัยเสียปลิวติดกำแพงจนนักวิจัยคนอื่นๆต้องใช้โซ่ที่สร้างจากเวทมนตร์รั้งตัวมันเอาไว้ก่อนจะเอาปืนคลื่นแม่เหล็กยิงใส่ให้มันหยุดทำงานและล้มลง ทั้ง 3 ยกเว้นเฟรย่าต่างทำสีหน้าตื่นๆเพราะห่วงนักวิจัยที่โดนท่อนแขนซัดปลิวคนนั้น แต่วิกเตอร์กลับหันมาพูดด้วยเสียงเรียบเป็นเชิงจะบอกว่า “นี่มันเรื่องปกติ”
“ไม่ต้องห่วง… นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกวันของที่นี่ครับ เอาล่ะครับ ถึงห้องทดลองหมายเลย 17 แล้ว เชิญทุกคนเข้ามาข้างในก่อน ขอโทษนะครับ ดร.ไอแซค...”
วิกเตอร์จับกบที่เกาะไหล่ของเขาอยู่และวางลงบนแท่นวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ฟุตและบนแท่นนั่นก็มีแผงควบคุมเล็กๆโผล่ขึ้นมาและทันใดนั้นมันก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศและลอยไปลอยมารอบห้องมันเป็นแท่นที่เอาไว้ให้ ดร.ไอแซค ในร่างกบใช้สำหรับพาตัวเองไปยังที่ต่างๆภายในห้องได้ตามใจนั่นเอง ภายในห้องนั้นเป็นห้องมืดๆประมาณ 200 ตารางเมตร ซึ่งสว่างได้ด้วยแสงจากจอมอนิเตอร์จำนวนมากที่อยู่ภายในห้องเท่านั้น และกลางห้องมีหลอดแก้วทรงกระบอกขนาดพอดีกับตัวคนประมาณ 3 หลอด ซึ่ง 2 ใน 3 หลอดนั้นก็มีร่างผู้หญิงถูกแช่อยู่ในน้ำสีเขียวใสตัวเต็มไปด้วยสายระโยงระยางในชุดวันเกิดเผยให้เห็นสัดส่วนทั้งหมดแบบไม่มีเซ็นเซอร์แต่ผู้หญิง 1 ใน 2 คนนั้นเป็นคนที่นีน่าเคยพบมาแล้วนั่นคือหุ่น Android ของวิกเตอร์ที่ชื่อว่าฟรีน่าและอีกหลอดที่เหลืออยู่นั้นคิดว่าน่าจะเป็นหุ่น Android เช่นกันแต่สภาพร่างกายภายนอกนั้นแตกต่างจากหุ่น Android ทั่วๆไป เธอนั้นมีผิวที่เรียบและขาวราวกับกระดาษ และยังมีข้อต่อตามร่างกายที่ทำออกมาได้ไม่แนบเนียนเหมือนกับหุ่น Android ตัวอื่นๆ เส้นผมที่ดูแข็งกระด้างที่ทำจากไฟเบอร์สีเงินสั้นประบ่านั่น และที่สำคัญตรงส่วนตาข้างซ้ายนั้นเป็นรอยแตกเหมือนบาดแผลฉกรรจ์ ริมฝีปากบางเฉียบและดูเย็นชา ดูเผินๆราวกับเจ้าหญิงหิมะที่กำลังหลับอยู่ในหลอดแก้วก็มิปาน นีน่าเดินเข้าไปเอามือสัมผัสที่หลอดแก้วของ Android ตัวนั้นอย่างสนอกสนใจแต่ทันใดนั้นมันก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทำให้คนทั้งห้องยกเว้น วิกเตอร์ และ ดร.ไอแซค ตกใจสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน ที่ตกใจไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็ลืมตาตื่นขึ้นมาเอาดื่อๆ แต่มันคือรูโบ๋ในเบ้าตาข้างซ้ายที่กลวงเป็นหลุมดำของเธอต่างหากทำให้อิมเมจจากเจ้าหญิงหิมะกลายเป็นตุ๊กตาผีในชั่วพริบตา น้ำในหลอดแก้วค่อยๆลดลงจนหมด แขนกลที่โผล่มาจากด้านบนของห้องใช้มือที่เหมือนคีมยักษ์ของมันจับหลอดแก้วเอาไว้แล้วยกมาวางไว้บนแท่นที่อยู่กลางห้องซึ่งเอาไว้วางหลอดแก้วแบบนี้โดยเฉพาะ ดร.ไอแซค เคลื่อนแท่นลอยตัวนั่นเข้าไปใกล้กับหลอดแก้วของ Android ตัวนั้น แล้วใช้นิ้วเล็กๆของกบที่ปูดตรงปลายเล็กน้อยกดปุ่มบนแผงควบคุม ทันใดนั้นเสียงเหมือนกับสูญญากาศถูกปล่อยออกมาดังขึ้นและฝาของหลอดแก้วก็เปิดออกช้าๆ ร่างของ Android สาวค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ดร.ไอแซค ขยับแว่นเล็กๆของตนเล็กน้อยก่อนจะเปิดหน้าจอสถานะบนแผงควบคุมของตนขึ้นมา
“ระบุสถานะปัจจุบันมาสิ? เอมมอนส์”“สถานะปัจจุบันระบบการเคลื่อนไหวปรกติ ระบบแปลงสภาพพลังงานปรกติ ระบบการทำงานอื่นๆในขั้นพื้นฐานไม่มีปัญหาค่ะ โอเวอร์ไลน์ระบบ 100% โครงบอดี้ทั้งหมดอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมค่ะ นายท่าน…”“ดีมาก สภาพโดยรวมสมบูรณ์ดี ถ้างั้นก็ไปสวมเสื้อผ้าได้แล้วไป”
เอมมอนส์ลุกออกจากหลอดแก้วและเดินไปหลังห้องหยิบชุดกระโปรงแขนยาวสีขาวสะอาดที่มีกระดุมเม็ดเล็กๆสีดำสนิทเรียงกันอย่างมีระเบียบออกมาบรรจงใส่อย่างพิถีพิถันและในขั้นตอนสุดท้ายเธอเอาฮูดของชุดนั้นขึ้นมาคลุมหัวเอาไว้คราวนี้อิมเมจของเธอทำให้ทุกคนในห้องเห็นเธอเป็น “หุ่นตุ๊กตาผีขั้นสมบูรณ์” ไปเสียแล้ว และอีกไม่กี่นาทีต่อมาหลอดแก้วของฟรีน่าก็ค่อยๆถ่ายน้ำออกแขนกลทำหน้าที่ของมันภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพเดียวกับเมื่อครู่เป๊ะๆแต่เปลี่ยนจากตุ๊กตาผีในชุดวันเกิดเป็นหญิงงามในชุดวันเกิดแทน แต่คราวนี้วิกเตอร์เป็นคนตรวจสอบระบบของฟรีน่าเอง
“ระบุสถานะปัจจุบันมาสิ?”“สถานะปัจจุบันระบบการเคลื่อนไหวปรกติ ระบบแปลงสภาพพลังงานปรกติ ระบบแปลงสภาพโมเดลปรกติ ระบบการทำงานพื้นฐานอื่นๆสมบูรณ์ 100% โครงสร้างภายนอกได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าโครงสร้างแบบเดิม 99.998% ค่ะ”“ดีมาก... ทุกอย่างเรียบร้อยดี พร้อมปฏิบัติภารกิจได้ทุกเมื่อครับ ดร.ไอแซค”“งั้นเหรอ ถ้างั้นเอาข้อมูลภารกิจที่นายพลชวาลนอฟฝากเอาไว้ให้กับทุกคน แล้วพาพวกเขาไปพักผ่อนจนกว่าจะถึงเวลาปฏิบัติภารกิจทีนะ วิกต์”“เดี๋ยวก่อน! ที่บอกว่าพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจได้ทุกเมื่อน่ะอย่าบอกนะว่า…”
อัคคามิฬแย้งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่วิกเตอร์พูดเหมือนกับว่าจะไปที่เกาะอสูรด้วยกันกับพวกเขา วิกเตอร์เห็นท่าทีของอัคคามิฬจึงรีบพูดตัดบทขึ้นมา
"ที่คุณกำลังคิดน่ะถูกต้องแล้วคุณอัคคามิฬ ผมกับดร.ไอแซค ก็จะไปกับพวกคุณด้วยเพื่อทำการวิจัยอะไรบางอย่างกับสิ่งที่อยู่บนเกาะนั้น”“ไม่ตลกเลยนะ! ขนาดผมและอาจารย์คอนสแตนตินก็ไม่รู้ว่าจะรอดกลับมาได้รึเปล่า? แต่นี่เล่นพานักวิทยาศาสตร์ 2 คนที่ขาดประสบการณ์ภาคสนามไปด้วย!”“นี่เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของพวกคุณนะ ซึ่งนั่นระบุอยู่ในข้อมูลภารกิที่ให้ไปเมื่อครู่ รึว่า… คุณคงจะกลัวว่าพวกผมจะไปเป็นตัวถ่วงของพวกคุณรึไง? คุณอัคคามิฬ”“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น! ผมแค่อยากจะบอกว่าบนเกาะนั้นมันอันตรายเกินไป!!”“พวกคุณไม่ต้องมาสนใจพวกผมเลยแม้แต่น้อย คุณก็แค่ปฏิบัติหน้าที่ของคุณที่ได้รับมอบหมายในเอกสารนั่นก็พอ ส่วนพวกผมก็จะปฏิบัติหน้าที่ในด้านงานวิจัยของผม ไม่มีใครก้าวก่ายหน้าที่ของใคร ตกลงไหม?”
เมื่อวิกเตอร์พูดจบ คอนสแตนตินที่ยืนฟังอยู่นั้นถึงกับยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบพลางจ้องตาของวิกเตอร์เขม็ง
“ง่ายดีนะ ต่างคนต่างไม่ก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน ทำหน้าที่เสร็จก็กลับ แต่… ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณหรือถ่วงแข้งถ่วงขาพวกผมแม้แต่น้อยล่ะก็… ผมจะปล่อยให้พวกคุณตายอยู่ที่เกาะนั่นซะ! ตกลงไหม?
เมื่อสนทนากันจบคอนสแตนตินก็เดินออกจากห้องไป อัคคามิฬเองก็เช่นกัน ส่วนนีน่าก็หันมาสบตากับวิกเตอร์พลางส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป ส่วนวิกเตอร์เองก็อึ้งกับคำพูดของคอนสแตนตินที่ทิ้งท้ายเอาไว้อยู่พักหนึ่งก็รีบวิ่งตามทุกคนไปเนื่องจากต้องพาทุกคนไปยังห้องพักของตน และเมื่อวิกเตอร์มาส่งนีน่าถึงหน้าห้องก็ขอพาตัวเฟรย่าไปที่ห้องทดลองกับตนเพราะต้องการจะปรับปรุงระบบและโมเดลทั้งหมดใหม่ ในคืนวันนั้นหลังจากที่ทุกคนรู้ถึงภารกิจของตนเป็นที่เรียบร้อย ต่างก็พยายามพักผ่อนเพื่อสะสมพลังงานให้มากที่สุดก่อนปฏิบัติภารกิจ ยกเว้นนีน่า เธอออกมานั่งรับสายลมยามค่ำคืนที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆศูนย์วิจัย พลางคิดถึงเรื่องเก่าๆเมื่อตอนก่อนที่เธอจะเดินทางออกจากไลลาริน ที่เธอมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ก็เพราะว่าเธอไม่รู้จะไประบายเรื่องราวที่อัดอั้นอยู่ในใจให้กับใคร เช่นเรื่องของผู้เป็นพ่อของเธอที่ถูกเนรเทศออกจากไลลารินเมื่อตอนเธอยังเด็ก รวมไปถึงแม่กับน้องสาวและน้องชายที่เธอจากมา เธอเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนฟากฟ้ายามราตรี พร้อมกับขอพรในใจให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้นั้นราบรื่นไปได้ด้วยดี...
เช้าวันรุ่งขึ้นที่โรงอาหารของศูนย์วิจัยนีน่าที่ดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัดเธอกำลังนั่งกินโดนัทกับกาแฟดำถ้วยใหญ่โดยมีอัคคามิฬและคอนสแตนตินนั่งทำหน้าตาสงสัยว่าเมื่อคืนเธอไปทำอะไรมา จากนั้นวิกเตอร์ก็เดินเข้ามาภายในโรงอาหารและไปหยิบโดนัท 2 – 3 ชิ้นกับกาแฟดำจากเค้าเตอร์มากินเช่นกันก่อนที่จะมานั่งลงข้างๆนีน่าก่อนจะกระซิบกับเธอว่า
“เรื่องเมื่อวานนี้ ชั้นขอโทษนะ”“ช่างมันเถอะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าคิดมากเลย แล้วอีกอย่างนายจะมาขอโทษชั้นทำไม คนที่นายสมควรจะขอโทษคือคุณอัคคามิฬมากกว่า ชั้นว่า… ชั้นไปเตรียมตัวก่อนดีกว่าแล้วเจอกันที่ลานจอดเครื่องบินที่ 3 นะ”
ว่าแล้วนีน่าก็ลุกออกจากโต๊ะไปทิ้งให้ชายหนุ่มทั้ง 3 นั่งงงกับท่าทีของเธอ จนถึงเวลานัดหมายบริเวณลานจอดเครื่องบินที่ 3 นีน่า , ฟรีน่ากับเฟรย่า และดร.ไอแซคกับเอมมอนส์ก็มารอทั้ง 3 อยู่ก่อนแล้ว และด้านหลังของพวกนีน่านั้นก็มีเครื่องบินที่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อนเนื่องจากมันดูไม่เหมือนเครื่องบินรบหรือเครื่องบินขนส่งแต่มันดูเหมือนกระสวยอวกาศเสียมากกว่าแต่รูปร่างของมันดูเพรียวบางแล้วคล่องตัวกว่ามากแถมจมูกที่อยู่ด้านหน้าของมันยังเรียวแหลมคล้ายเข็มฉีดยา แถมแพนหางและแพนระดับก็ไม่มี แต่เปลี่ยนเป็นเครื่องยนตร์ไอโอไดรฟ์ แบบปรับทิศทางได้ 5 เครื่องที่ติดตั้งอยู่ด้านหน้า 2 เครื่องและด้านหลังอีก 3 เครื่อง
ซึ่งถูกจอดไว้บนแท่นส่งตัวที่เหมือนคานเหล็กยาวระนาบไปกับพื้นไกลจนสุดลูกหูลูกตาและเกือบจะสุดทางของคานระนาบนั่นจะเป็นคานงอโค้งขึ้นไปจนทำมุมตั้งฉากกับพื้น ในระหว่างที่ทุกคนกำลังให้ควานสนใจกับยานลำนั้นเสียงกระแอ้มกระไอของดร.ไอแซคก็ฉุดทุกคนให้หันมาทางเขาทันที
“เอาล่ะๆ ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้วชั้นจะอธิบายถึงข้อมูลสัดส่วนและองค์ประกอบคร่าวๆของอาณาจักรอสูรให้ฟังกันนะ อาณาจักรอสูรนั้นมีพื้นที่โดยรวมประมาณ 2,349,876 ตร.ไมล์ สูงจากระดับน้ำทะเล 30,642 ฟุต ไม่ต้องตกใจไปขนาดนั้นไม่ใช่ปัญหาของเรา ปัญหาจริงๆนั่นคือม่านเกราะมนตราที่ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 2,500,000 ตร.ไมล์ และสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 50,000 ฟุต และที่สำคัญถึงแม้เราจะสามารถฝ่าชั้นเกราะเวทเข้าไปได้แล้วก็ต้องเจอกับกลุ่มเมฆที่มีพายุสายฟ้าเกิดขึ้น 30 ครั้ง/นาที ไอฺ้นี่แหละคือปัญหาถ้าตัวยานของเราโดนมันผ่าเข้าสักครั้งล่ะก็… หึหึ หวังว่าคงเข้าใจนะ”“แล้วไม่มีวิธีอื่นนอกจากทางอากาศที่เราจะเข้าไปได้เลยหรือคะ? ดร.”“ไม่มีเลย เพราะม่านเกราะมนตราที่จอมเวทจากมหาสงครามเมื่อคราวก่อนปิดผนึกเอาไว้นี่แข็งแกร่งเกินไปจึงไม่สามารถใช้วิธีปรกติฝ่าเข้าไปตรงๆได้ จึงมีอยู่ทางเดียวคือใช้ความเร็วที่สูงมากๆฝ่าเข้าไป”“ความเร็วสูงที่ว่านั่น มันประมาณเท่าไหร่ และยานลำนี้สามารถทำได้ถึงระดับนั้นหรือเปล่า?”
คอนสแตนตินตั้งคำถามขึ้น พลางยืนกอดอกทำท่าทางครุ่นคิด
“คิดว่าไม่น่าจะได้หรอกผู้พัน เพราะความเร็วที่ชั้นคำนวณไว้น่ะมันมากโขอยู่นะ”“พอจะบอกได้ไหมครับ ดร.ไอแซค”
อัคคามิฬ พูดขึ้นแสดงสีหน้าหวาดๆ เหงื่อเริ่มปรากฎบนใบหน้าแสดงความตรึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ขอคิดก่อนนะ อืม… ถ้าใช้อัตราเร่งจากแรงโน้มถ่วงประมาณ 10G ก็น่าจะฝ่ามันเข้าไปได้”“ใช้แรงโน้มถ่วงตั้ง 10G! ระดับนั้นจะไปหาที่ไหนได้”“เพราะแบบนั้นถึงต้องพานีน่ามาที่นี่ไง เพราะเธอเป็นคนเดียวที่สามารถใช้เวทควบคุมแรงดึงดูดในระดับนั้นได้”
วิกเตอร์ว่าพลางมองไปที่นีน่า เธอสะดุ้งโหยงทันทีก่อนที่จะพูดแย้งขึ้นมา
“จะบ้าเรอะ! ถ้าทำแบบนั้นพวกเราก็โดนแรง G กดทับตายกันหมดพอดี นี่นายเข้าใจอัตราเร่งจากแรงโน้มถ่วงจริงๆรึเปล่าวิกเตอร์”“ชั้นเข้าใจ แรงดึงดูด 1G ความเร็วของวัตถุจะเพิ่มขึ้นทุก 9.8 เมตรในทุกๆ 1 วินาที งั้นก็แสดงว่าในแรงดึงดูด 10G ถ้าเธอสามารถทำได้ล่ะก็นะ ความเร็วของวัตถุก็จะเพิ่มขึ้น 98 เมตรในทุกๆ 1 วินาที ถ้าคิดเป็นความเร็วเสียงล่ะก็ความเร็วของตัวยานคงอยู่ที่ประมาณ มัค 298 ล่ะมั้ง” (298 เท่าของความเร็วเสียง)“นั่นแหละคือปัญหา นายลองคิดดูนะความสูงจากชั้นของเกราะมนตรานั่นคือประมาณ 50,000 ฟุต หรือ 15 กิโลเมตร เท่ากับว่าเรามีเวลาไม่เกิน 150 วินาทีก่อนที่ยานจะดิ่งถึงพื้นนายเข้าใจไหม!”“ฉันเข้าใจที่เธอพูดทุกอย่างนั่นแหละ แต่ในเมื่อเธอสามารถเพิ่มได้ เธอก็สามารถที่จะควบคุมมันเพื่อที่จะสร้างแรงฉุดยานขึ้นได้ใช่ไหมเล่า!”“เรื่องนั้นมันก็ทำได้อยู่หรอก แต่…”“ส่วนค่า G ที่เหลือเราสามารถโอเวอร์ไดรฟ์ระบบเครื่องยนตร์ไอโอไดรฟ์ทั้ง 5 ตัวและปรับให้หันไปในทิศทางเดียวกันเพื่อช่วยชะลอความเร็วของยานได้นี่! จริงม่ะ?”“แล้วกำลังขับของเครื่องยนตร์ไอโอไดรฟ์อะไรนี่ แต่ล่ะเครื่องมันเท่าไหร่กันล่ะ”“เมื่อรวมกัน 5 เครื่องจะสามารถเร่งถึง มัค 120 ได้ภายใน 3 วินาที แต่ถ้าโอเวอร์ไดรฟ์ระบบก็จะได้ประมาณ มัค 180 รวมกับเบรคอากาศด้วยแล้วก็คิดว่าน่าจะช่วยได้เยอะ คิดว่านะ…”“ไม่หรอกแค่นั้นยังไม่พอ ดร. คะ ขอดิชั้นดูแบบแปลนของยานลำนี้หน่อยจะได้ไหมคะ?”“เอ่อ.. ได้สิแต่ห้ามเอาไปบอกใครล่ะ นี่เป็นความลับทางทหาร...”
ดร.ไอแซคเปิดภาพโฮโลแกรมแสดงแบบแปลนของยานทั้งหมดให้นีน่าดู เธอเอามือทั้ง 2 ข้างนาบลงบนหน้าจอ ก่อนจะค่อยๆเลื่อนมันออกจากันเพื่อเป็นการซูมภาพในจุดที่เธอต้องการ และใช้นิ้วชื้และนิ้วกลางจิ้มตรงจุดๆหนึ่งบนแบบแปลนโฮโลแกรมนั่นและเลื่อนมันไปทางขวา 2-3 ครั้ง เพื่อเลื่อนภาพในหน้าจอ และทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาโดยสลับจากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง พลิกไปพลิกมาจนในที่สุด…
“นึกแล้ว... ใช่อย่างที่คิดจริงๆด้วย ถ้าใช้ไอฺ้นี้ล่ะก็น่าจะพอไหว”
รอยยิ้มเริ่มปรากฎบนใบหน้าของเธอเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองทุกคนที่ต่างพากันสงสัยว่าเธอหาอะไรในแบบแปลนนั่น ไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอรีบเดินนำพวกเขาและตรงไปที่ยานลำนั้นทันที โดยที่ยังคงปล่อยรอยยิ้มนั่นให้ยังคงเป็นปริศนา…
-= Lesson 4 End =--= To Be Continue Lesson 5 =-
-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-
-= Lesson 4 : อาณาจักรอสูร Shina Dark! [ตอนแรก] =-
ในที่สุดวันที่คอนสแตนตินจะต้องออกเดินทางก็มาถึง ในช่วงบ่ายเขาตั้งใจที่จะไปกล่าวขอโทษนีน่า เรื่องที่ต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ แต่เนื่องด้วยชั่วโมงเรียนทั้งหมดในวันนี้ของทั้งคู่นั้นมันคาบกันอยู่ จึงทำให้วันนี้ทั้งวันเขาและเธอไม่มีโอกาสที่จะได้พบปะพูดคุยกันเลยสักครั้ง จนถึงช่วงเย็นคอนสแตนตินวิ่งหน้าตื่นตรงดิ่งไปยังห้องพักอาจารย์ที่อยู่ระหว่างระเบียงทางเดินของชั้นที่ 4 ในอาคารเรียนหมายเลข 12 ซึ่งเขารู้ดีว่าอาคารเรียนหมายเลข 12 นั้น จะให้เฉพาะนักเรียนและอาจารย์ที่เป็นเพศหญิงเท่านั้นที่สามารถเข้าไปภายในตัวอาคารได้
เขาเดินสวนทางกับนักเรียนสาวที่กล่าวทักทายเขาคนแล้วคนเล่าแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจในสายตาของนักเรียนที่จับจ้องมาที่เขาเลยแม้แต่น้อย และในระหว่างทางเขาก็พบกับอาจารย์หญิงเผ่าสมิงขาวเข้าโดยบังเอิญในจังหวะที่เขากำลังจะเลี้ยวขวาตรงหัวมุมพอดิบพอดี ทำให้เกิดการชนกันเกิดขึ้นและแน่นอนฝ่ายที่ล้มลงกับพิ้นก็ต้องเป็นอาจารย์หญิงนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขะ… ขอโทษครับอาจารย์เลโอนีส เป็นอะไรมากไหมครับ?”
คอนสแตนตินกล่าวขอโทษสั้นๆ แต่ด้วยความโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ สายตาของเขาเหลือบไปเห็นกางเกงในตัวบางจิ๋วสีดำประดับด้วยลายลูกไม้พร้อมกับสายรัดถุงน่องสีดำเข้ากับกางเกงในตัวจิ๋วนั่นเป็นอย่างดีของอาจารย์หญิงคนนั้น ขาทั้ง 2 ข้างของหล่อนถูกบังคับให้ถ่างออกกว้างอย่างไม่ตั้งใจ ส่วนชายกระโปรงของหล่อนนั้นยังถูกรั้งขึ้นไปจนเกือบสุดทำให้เกิดภาพสุดหวาบหวิวที่กำลังเป็นอยู่นี้ขึ้นโดยบังเอิญ
“เอ่อ… คือว่า…”
คอนสแตนตินรีบชักสายตาหันไปทางอื่นทันที ส่วนทางด้านอาจารย์หญิงดูเหมือนเริ่มจะรู้สึกตัวว่าท่าทางที่ตัวเองแสดงอยู่ตอนนี้เหมือนกับว่ากำลังให้ท่าคอนสแตนตินก็มิปาน เธอสะดุ้งเฮือกและรีบหุบขาเข้าหากันทันทีก่อนที่จะรูดชายกระโปรงกลับเข้าที่ดังเดิมแล้วดันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นก่อนที่จะจัดแต่งองค์ทรงเครื่องของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางและกล่าวออกมาอย่างเรียบๆแบบวางเชิงว่า
“คราวหน้าคราวหลังระวังให้มากกว่านี้หน่อยนะคะ อาจารย์คอนสแตนติน... และอีกอย่างอาคารเรียนนี้ก็ไม่อนุญาติให้นักเรียนหรืออาจารย์ชายเข้ามานะคะ”
“เรื่องนั้นผมทราบดีครับ พอดีผมมีธุระด่วนกับอาจารย์นีน่าน่ะครับ”“ถ้าอาจารย์นีน่าล่ะก็... เธอกลับไปได้สักพักแล้วล่ะค่ะ เห็นบอกว่ามีธุระด่วนหรืออะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ”“อย่างนั้นเหรอครับ”“คงจะเป็นเช่นนั้นล่ะค่ะ ดิชั้นก็ไม่ทราบรายละเอียดสักเท่าไหร่... ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว... อาจารย์ก็กรุณารีบออกไปจากอาคารเรียนนี้ซะนะคะ เพราะตอนนี้อาจารย์กำลังทำผิดกฎระเบียบอยู่ ประเดี๋ยวนักเรียนจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้นะคะ”
คอนสแตนตินรีบเดินออกมาจากอาคารเรียนทันที เขามองนาฬิกาดิจิทัลที่อัคคามิฬให้เอาไว้ขึ้นมาดูตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงที่เขาจะต้องเตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของและต้องรีบไปยังท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักรที่เขานัดหมายกับอัคคามิฬเอาไว้ให้ตรงเวลา ในระหว่างที่เขากำลังเดินกลับห้องพักของเขาอยู่นั้นในหัวของเขาก็คิดถึงเรื่องของนีน่าสลับกับเรื่องภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายไปมาจนพาให้เขาปวดหัว
“ไม่สมกับเป็นแกเลยคอนสแตนติน เรื่องของอาจารย์นีน่าเอาไว้กลับมาค่อยทำอะไรให้เธอเพื่อเป็นการไถ่โทษเธอก็ได้ ตอนนี้เราต้องคิดถึงภารกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก ตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดไปซะ!!”
คอนสแตนตินตบแก้มตัวเองทั้งสองข้างเบาๆพลางส่ายหัวไปมาเพื่อให้เรื่องอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ในหัวลงไปกองรวมกันในก้นบึ้งของจิตใต้สำนึกเพื่อที่จะได้เอาสมาธิไปจดจ่อกับภารกิจได้อย่างเต็มที่ เมื่อเขากลับมาถึงห้องและทำธุระส่วนตัวรวมไปถึงเก็บของใช้ที่จำเป็นใส่กระเป๋าเป้ลายพรางใบโตของเขาเป็นที่เรียบร้อย เขามองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเขาอีกครั้ง อีก 2 ชั่วโมงจะถึงเวลานัดหมาย เขาออกจากห้องพักและไม่ลืมที่จะหันกลับไปตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องของตน เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้อาจจะกินเวลาหลายวัน เขาจึงต้องทำให้สภาพห้องของเขาเรียบร้อยที่สุดเพื่อที่เวลากลับมาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยในเรื่องของการทำความสะอาดให้มากนัก
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเป็นที่น่าพอใจเขารีบออกจากหอพักอาจารย์ทันที นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่เขาได้ออกมานอกบริเวณของสถาบัน ภายนอกสถาบันนั้นในช่วงเวลาประมาณนี้บริเวณริมถนนทั้ง 2 ข้างได้มีร้านค้าแผงลอยมาตั้งเรียงรายเป็นจำนวนมาก มีทั้งร้านขายอาหารข้างทางราคาถูก ร้านขายหนังสือโบราณเก่าๆที่ตั้งราคาหนังสือแต่ละเล่มแบบขูดเลือดขูดเนื้อ ร้านขายเครื่องประดับกระจุกกระจิกทั่วๆไปไม่ว่าคุณต้องการอะไรก็มีหมดที่ร้านนี้ ทำให้ร้านนี้ได้รับความนิยมจากบรรดานักเรียนสาวๆของสถาบันที่แอบหนีออกมาเที่ยวกลางดึกเป็นอย่างมาก แต่คอนสแตนตินก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเขาเดินผ่านร้านค้าเหล่านั้นมาจนมาถึงบริเวณท่าจอดรถที่อยู่ไกลออกมาจากจุดแผงลอยนิดหน่อย
ประมาณ 5 นาทีรถบัสแบบลอยตัวเหนือพื้นที่ดูเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียบๆสีขาวซึ่งมีบานกระจกอยู่โดยรอบ และมีแถบตรงกลางเป็นเส้นสีแดงคาดอยู่ตลอดคัน มันค่อยๆลอยตัวอย่างอืดอาจเข้ามาเทียบท่าจอดรถก่อนจะลดระดับลงมาเล็กน้อย บรรดาฝูงชนที่โดยสารมากับรถบัสที่ว่าต่างพากันหลั่งไหลลงมาจากรถคันนั้น คอนสแตนตินไม่รอช้าเขาฝ่าฝูงชนขึ้นไปบนรถและหาที่นั่งริมหน้าต่างด้านในสุดที่ว่างอยู่พอดี พร้อมกับเอากระเป๋าใบโตของเขาใส่ไว้ในช่องสัมภาระที่อยู่ด้านบน ก่อนจะค่อยๆย่อนก้นตัวเองลงกับที่นั่งบุนวมแข็งๆสีแดงสด และทันใดนั้นเสียงยานคางชวนให้ง่วงนอนจากมอนิเตอร์ขนาด 3 นิ้วที่อยู่ตรงหน้าเขาก็พูดขึ้น
“กรุณาระบุจุดหมายปลายทางที่ท่านต้องการค่ะ...”“ท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักร”“กรุณาประทับลายนิ้วมือของท่านในช่องสี่เหลี่ยมที่ปรากฏบนหน้าจอด้วยค่ะ...”
คอนสแตนตินทำตามอย่างว่าง่าย เสียง “ปิ๊บๆ” ดังขึ้น 4-5 ครั้งอย่างเป็นจังหวะ
“หมายเลขประจำตัว A-453S-6D76-GS-5 คอนสแตนติน แมกซาเรทซ์ สถานีปลายทาง ท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักร จำนวนเงินทั้งสิ้น 5 กัลอิเลี่ยน (50 บาทไทย) ถูกหักออกจากบัญชีเงินฝากของคุณแล้วค่ะ ขอบคุณที่ใช้บริการ Hover Bus”
แผ่นกระดาษแข็งสีขาวขนาด 2x5 เซนติเมตร ออกมาจากช่องเล็กๆข้างมอนิเตอร์นั่น คอนสแตนตินดึงมันออกมาและเก็บใส่กระเป๋าเสื้อคลุมของเขาเอาไว้ เมื่อผู้โดยสารขึ้นมาจนเต็มคันรถเป็นที่เรียบร้อย อยู่ๆคอนสแตนตินรู้สึกหวิวๆที่ท้องน้อยขึ้นมาเนื่องจากแรงยกจากเครื่องยนตร์ของรถบัสที่กำลังยกตัวมันเองขึ้นมาจากพื้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมก่อนที่มันจะค่อยๆเคลื่อนๆตัวออกจากจุดจอดนั้นอย่างช้าๆและค่อยเร่งความเร็วขึ้นทีละนิดๆ เวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายพร้อมกับวิวทิวทัศน์ของตึกรามบ้านช่องที่ค่อยๆผ่านสายตาของเขาไป เสียงยานคางเสียงเดิมของคอมพิวเตอร์ภายในรถก็ประกาศจุดหมายปลายทางไปเรื่อยๆ ผู้โดยสารคนอื่นๆก็เริ่มทยอยกันลงไปจากรถเมื่อถึงที่หมายของตน คอนสแตนตินลุกขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มเล็กๆปกแข็งสีเขียวคล้ำออกมาจากกระเป๋าเป้ของตน ก่อนจะเอามาเปิดอ่านเพื่อฆ่าเวลาไปพลางๆ
“สถานนีต่อไป ท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักร ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านกรุณาสำรวจสัมภาระของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนลงจากรถด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ..”
เสียงนั่นประกาศซ้ำกันอีก 2 ครั้ง แล้วก็จะเงียบไป และไม่กี่อึดใจรถก็เข้าจอดเทียบท่าของท่าอากาศยาน ผู้โดยสารคนอื่นๆที่มีจุดหมายเดียวกับคอนสแตนตินค่อยๆทยอยลงจากรถ คอนสแตนตินเมื่อหลุดพ้นจากการเดินทางอันแสนน่าเบื่อมาได้ก็รีบจ้ำอ้าวไปยังท่าจอดยานทันทีและเมื่อเขามาถึง เขาเงยหน้ามองดูเวลาบนนาฬิกาดิจิทัลที่อยู่บนไวด์สกรีนขนาดใหญ่ที่ระบุเที่ยวบินและเวลาของเที่ยวบินแต่ละเที่ยว อีกราวๆ 1 ชั่วโมงถึงเวลานัดหมายเขากวาดสายตามองหาที่นั่งว่างๆในจุดที่นั่งพักผู้โดยสารแต่ตอนนี้เก้าอี้ทุกตัวต่างมีคนนั่งเต็มกันหมดแล้วเนื่องจากช่วงนี้ใกล้จะถึงฤดูการท่องเที่ยวจึงทำให้บรรยากาศภายในท่าอากาศยานแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่หาเวลาในช่วงวันหยุดยาวพาครอบครัวไปเปลี่ยนบรรยากาศที่อาณาจักรอื่นๆใกล้เคียง
“ช่วยไม่ได้นะ ถ้างั้นไปหาอะไรอุ่นๆดื่มสักแก้วก่อนเดินทางท่าจะดี”
คอนสแตนตินแบกสัมภาระของตนขึ้นหลัง เขาเดินหาร้านกาแฟแถวๆนั้น จนมาเจอร้านกาแฟชื่อ Soul & Coffee ซึ่งบรรยากาศภายในร้านถูกตกแต่งเต็มไปด้วยของสะสมที่เกี่ยวกับความเชื่อทางจิตวิญญาณคล้ายๆกับพวกหมอผี มีทั้งเทียนไขสีดำเก่าๆที่สั้นเสียจนไม่สามารถนำมาจุดต่อได้และถูกตั้งเอาไว้บนเชิงเทียนขึ้นสนิมซึ่งวางไว้กลางโต๊ะทุกตัว รวมไปถึงเครื่องรางที่มีสัญญาลักษณ์แปลกๆที่ห้อยอยู่เหนือโต๊ะเกือบทุกตัว แต่สิ่งที่คอนสแตนตินถูกใจที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าของร้านที่เป็นชายวัยกลางคนรุ่นเดียวกับเขาแต่ชายคนนี้จะมีท่าทางออกจะพิลึกหน่อยๆ เพราะเวลาที่เขาชงกาแฟให้กับลูกค้าเสร็จเขามักจะพล่ามโน่นพล่ามนี่ไปเรื่อยไร้สาระ ทำให้ลูกค้าที่ได้ยินต้องอมยิ้มไปตามๆกัน
“กาแฟถ้วยนี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณแห่งจตุรธาตุทั้ง 4 1 ดิน! ผู้อุ้มชูชุบเลี้ยงต้นกาแฟให้อุดมสมบูรณ์เพื่อเมล็ดกาแฟที่สมบูรณ์ 2 น้ำ! ผู้ให้ความชุ่มชื้นแก่ต้นกาแฟ 3 ไฟ! ผู้ให้ความร้อนแรงในการต้มน้ำให้เดือดพล่าน! 4 ลม! สายลมอ่อนๆช่วยส่งกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟชั้นเลิศเข้าสู่รูจมูกของคุณ! เห็นมั้ย! มันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง! ที่สถิตอยู่ในเมล็ดกาแฟแต่ละเม็ด ซึ่งเอาไปบดให้ละเอียดอย่างพิถีพิถันโดยใส่จิตวิญญาณชั้นสูงลงไป! แหม่~~ มันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณชั้นเลิศบวกกับเมล็ดกาแฟชั้นเลิศ! จึงออกมาเป็นกาแฟชั้นเลิศถ้วยนี้! ให้คุณได้ลิ้มลอง!”
คอนสแตนตินถึงกับยืนตาค้างเมื่อเห็นวิธีการค้าขายของชายคนนี้ แต่เขาก็เดินผ่านร้านนี้ไปเพื่อหาร้านที่เข้าท่ามากกว่านี้จนเขาเดินมาเกือบจะสุดทางเขาก็เจอร้านเบเกอรี่เล็กๆที่อยู่ตรงหัวมุม ร้านนี้จะมีตู้กระจกใสเล็กๆที่ข้างในเต็มไปด้วยขนมปังหอมกรุ่นมากมายหลายชนิดให้เลือก เขาไม่รอช้าเลี้ยวควับเข้าร้านนี้ทันที ถึงร้านนี้จะเป็นแค่ร้านเล็กๆแต่ก็มีผู้คนมาใช้บริการกันอย่างแน่นขนัดจนบริเวณเค้าเตอร์สำหรับบริการลูกค้ามีลูกค้ายืนเรียงรายต่อคิวกันเพื่อจ่ายเงินเป็นแถวยาวเกือบถึงหน้าร้านและ 1 ในหลายๆคนที่ยืนต่อแถวอยู่นั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งเมื่อคอนสแตนตินเห็นก็จำได้ทันทีนั่นก็คืออัคคามิฬนั่นเอง เขากำลังยืนหน้าหงิกหน้างอในมือมีถาดที่มีขนมปังก้อนโรยน้ำตาลไอส์ซิ่งอยู่เพียบ คอนสแตนตินเห็นเช่นนั้นจึงไม่รอช้าเดินเข้าไปทักชายหนุ่มทันที
“มาถึงนานแล้วรึ?”“อ่ะ! มาถึงเร็วจังนะครับ ผมเพิ่งมาถึงได้เมื่อไม่นานนี่เอง”“อืม… ว่าแต่ว่า… เธอกินเยอะแบบนี้จะดีเหรอ?”“ผมกะไว้ว่าจะซื้อเก็บเอาไว้กินระหว่างอยู่บนเครื่องน่ะครับ และผมก็ซื้อเผื่อคุณด้วย นี่ไงครับ...”“ขอบใจนะ... แต่บังเอิญไอ้ชั้นมันไม่ค่อยจะชอบอาหารจำพวกแป้งสักเท่าไหร่เสียด้วยสิ เอ้อ!! เอาแบบนี้ก็แล้วกัน... ชั้นฝากซื้อชาดอกทงไป่หลั๋นสักแก้วสิ”“อ่า… ได้เลยครับ... ชาดอกทงไป่หลั๋นนะครับ”“ถ้างั้นชั้นออกไปรอข้างนอกนะ เพราะดูเหมือนในร้านจะไม่มีที่ให้นั่ง”
คอนสแตนตินหยิบเศษเงินจำนวนหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้อัคคามิฬก่อนที่เขาจะเดินปลีกตัวออกมายืนรออยู่หน้าร้าน ผ่านไปสักพักอัคคามิฬก็เดินออกมาพร้อมถุงใบโตที่เต็มไปด้วยขนมปังที่เขาซื้อมา เขายื่นแก้วชาพลาสติกใสทรงสูงแก้วใหญ่ที่ข้างในบรรจุน้ำสีม่วงใสใส่น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบให้คอนสแตนติน
“เราไปหาที่นั่งกันเถอะครับ อีกตั้ง 30 กว่านาทีเครื่องถึงจะออก อ่อ!... เกือบลืมไป”
อัคคามิฬควักกระดาษจำนวนหนึ่งออกมามันคือตั๋วเครื่องบินนั่นเอง แต่ที่ผิดสังเกตุก็คือมันมีตั้ง 4 ใบแทนที่จะมีแค่ 2 ใบคือของเขากับคอนสแตนตินเท่านั้น
“ยังมีคนอื่นอีกเหรอ? ไหนว่ามีเราแค่ 2 คนที่ทำภารกิจนี่ไง?”“ครับ พอดีเบื้องบนมีคำสั่งด่วนให้พาอีก 2 คนไปด้วย เดี๋ยวพวกเขาก็คงจะมากันแล้วล่ะมั้งครับ”
ทั้ง 2 ได้ที่นั่งบริเวณใกล้กับช่องผู้โดยสารขาออกที่ระบุไว้ในตั๋วพอดี อัคคามิฬหยิบพ๊อกเก๊ตบุ๊คขึ้นมาเปิดอ่านระหว่างรอ แต่คอนสแตนตินก็บังเอิญเหลือบไปเห็นชื่อของหนังสือที่อัคคามิฬอ่านจนได้ “ตำนานรักสาวน้อยวัยกระเตาะ” จนทำให้คอนสแตนตินถึงกับอมยิ้มที่เห็นชายหนุ่มอ่านนิยายรักหวานแหววอย่างกับเด็กผู้หญิง แต่ที่ทั้ง 2 ตั้งหน้าตั้งตารอนั้นไม่ใช่กำหนดการที่เครื่องจะออกแต่เป็นบุคคลที่อัคคามิฬบอกเอาไว้ในตอนแรกต่างหาก และทันใดนั้นเสียง “ปิ๊บ!” ยาวๆก็ดังขึ้นมันดังมาจากนาฬิกาของชายหนุ่ม เขากดปุ่มเล็กๆที่อยู่ด้านข้างของตัวเรือน ทันใดนั้นก็มีจอโฮโลแกรมขนาดเล็กปรากฎขึ้นมาและมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า “Sound Only” ที่กลางจอ
“สวัสดีค่ะ… ไม่ทราบว่านั่นใช่คุณอัคคามิฬรึเปล่าคะ?”“ครับ ไม่ทราบว่าคุณใช่คนที่ ดร.วิกเตอร์ พูดถึงใช่รึเปล่า?”“ใช่ค่ะ ดิชั้นนเดินทางมาถึงแล้ว แต่ดิชั้นนหาจุดที่คุณอยู่ไม่เจอ แล้วไอฺ้เครื่องนี่ที่หมอนั่น อ๊ะ!! ดร.วิกเตอร์ ส่งมาให้ดิชั้น ก็ดูเหมือนจะรวนๆอยู่น่ะค่ะ เลยจับตำแหน่งของคุณไม่ได้ ไม่ทราบว่าจะช่วยกรุณาบอกจุดที่คุณอยู่ให้ดิชั้นหน่อยจะได้ไหมคะ?”“เราอยู่ตรงประตูผู้โดยสารขาออกหมายเลข 6 น่ะครับ...”“ประตูหมายเลข 6 เหรอคะ? ตายแล้ว!! นี่ดิชั้นเดินเลยมาถึง 10 ประตูเลยเหรอคะเนี่ย?”
ชายทั้ง 2 ต่างมองหน้าซึ่งกันและกันและพากันอมยิ้มเล็กน้อยให้กับเพื่อนร่วมเดินทางครั้งนี้
“ถ้ายังไงก็ช่วยรีบเข้าหน่อยเถอะครับ เพราะใกล้จะได้เวลาที่เราจะต้องขึ้นเครื่องกันแล้ว”“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
เมื่อสิ้นสุดการสนทนาอัคคามิฬก็กลับมานั่งอ่านนิยายของตนต่อ และไม่กี่นาทีต่อมาหญิงสาวที่สนทนากับอัคคามิฬเมื่อครู่ก็มาปรากฎตัวต่อหน้าพวกเขาทั้ง 2 พร้อม Android ในชุดเมดเต็มรูปแบบ ซึ่งทำให้คอนสแตนตินประหลาดใจเป็นอย่างมากเพราะหล่อนคือนีน่านั่นเอง และข้างกายของนีน่านั่นก็คือเฟรย่า Android สาวคู่ใจผู้ที่มีบุคลิกสนุกสนานร่าเริงต่างไปจาก Android ตัวอื่นๆที่วันๆได้แต่ทำหน้านิ่งไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“อาจารย์นีน่า!?”“อ้าว!! สวัสดีค่ะอาจารย์คอนสแตนติน บังเอิญจัง ว่าแต่... มาทำอะไรที่นี่คะเนี่ย อย่าบอกนะคะว่าอาจารย์ก็โดนเรียกตัวกลับไลลารินเหมือนกันกับดิชั้น”“อ่า~ ใช่ครับ”“เอ่อ… นี่ทั้ง 2 คนรู้จักกันด้วยเหรอครับเนี่ย?”“อะ! ขอโทษนะคะ คุณคงจะเป็นคุณอัคคามิฬ ใช่ไหมคะ? ดิฉันชื่อนีน่าค่ะ นีน่า เอฟ ลอสโอริเทียร์ ส่วนนี่เป็น Android ของดิฉันเองค่ะชื่อว่าเฟรย่า”
Andriod สาวก้มหัวให้เล็กน้อยพร้อมกับส่งยิ้มให้เขาอย่างเต็มใจ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
อัคคามิฬจุมพิตที่หลังมือของนีน่าเบาๆเพียงแค่นั้นก็ทำให้คอนสแตนตินถึงกับเจ็บแปล๊บที่น่าอกขึ้นมาทันทีทำให้เขารู้สึกประหลาดใจกับอาการที่เกิดขึ้นกับตัวเองแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก เพราะเขารู้ว่านั่นคือการทักทายในแบบสุภาพบุรุษของอัคคามิฬอยู่แล้ว เขาเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาบนไวด์สกรีนที่อยู่ตรงหน้าที่ใกล้จะได้เวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องขึ้นเครื่อง
“ชั้นว่าน่าจะได้เวลาแล้วล่ะ~ อัคคามิฬ พวกเราไปกันเถอะ”
คอนสแตนตินสะพายเป้ลายพรางของตน ก่อนจะนำตั๋วในมือส่งให้เจ้าหน้าที่เผ่าฮ๊อบบิทตัวเล็กที่ยืนอยู่บนลังไม้ใบใหญ่เพื่อให้ความสูงได้ระดับพอเหมาะกับผู้โดยสาร เขารับตั๋วจากคอนสแตนตินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและท่าทางสุภาพ ก่อนที่จะฉีกต้นขั้วคืนให้กับคอนสแตนติน ตามด้วยอัคคามิฬและนีน่า แต่พอมาถึงคิวของเฟรย่า เขาก็ทำหน้าตาตื่นๆแล้วพูดออกมาว่า
“เอ่อ… ขอโทษนะครับท่าน Andriod ต้องใช้ตั๋วโดยสารพิเศษอีกแบบนะครับ...”
คอนสแตนตินเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮิอบบิทหนุ่มกล่าว เขาจึงเดินเข้าไปกระซิบกระซาบที่ข้างหูของฮ๊อบบิทหนุ่มผู้นั้นเบาๆ
“ขะ...ขอประทานอภัยครับท่าน กระผมสะเพร่าเองที่ไม่ดูให้ดีเสียก่อน ขอประทานอภัยด้วยนะครับ... คุณผู้หญิง”
ฮ๊อบบิทหนุ่มก้มโค้งจนปลายจมูกแทบจะแตะกับปลายรองเท้าให้ Andriod สาวอย่างสุภาพ
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม... ไปกันเถอะเฟรย่า เราเสียเวลามากแล้ว”
ในที่สุดเฟรย่าก็ขึ้นเครื่องไปกับคนอื่นๆได้สำเร็จ โดยที่เครื่องบินที่พวกเขาโดยสารไปนั้น เป็นเครื่องบินโดยสารระดับเฟิร์สคลาส ซึ่งจะมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางรวดเดียวโดยไม่มีการลงจอดแวะพักที่ไหน จึงทำให้การเดินทางของพวกเขานั้นใช้เวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมงซึ่งแตกต่างจากเครื่อนบินระดับรองลงไปที่จะใช้เวลานานกว่ามาก ส่วนบรรยากาศบนเครื่องนั้นค่อนข้างเงียบเหงาเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมใช้บริการเครื่องบินระดับนี้เพราะเนื่องจากตั๋วที่มีราคาแพงหูฉีก และส่วนใหญ่มักจะมีแต่บุคคลระดับสูงอย่างเช่นนักการเมืองที่ใช้บริการ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเครื่องบินก็ลงจอดที่ท่าอากาศยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักร แห่งอาณาจักรไลลาริน คอนสแตนตินที่หลับๆตื่นๆมาตลอดทางนั้นก็หันไปปลุกอัคคามิฬที่กำลังนอนอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆด้วยการสะกิด (ตบ) ที่หน้าเขา 1 ทีเบาๆ อัคคามิฬสะดุ้งพรวดขึ้นมาทันทีพลางมองคอนสแตนตินด้วยสายตาเคืองๆเล็กน้อย
“ถึงไลลารินแล้วไอฺ้หนู~”
คอนสแตนตินปลดเข็มขัดนิรภัยของตนก่อนจะลุกจากเก้าอี้เพื่อไปปลุกนีน่าที่อยู่ใกล้ๆแต่ก็ช้าไป เพราะเฟรย่าได้ปลุกนีน่าเสียก่อนแล้ว เธอลุกขึ้นมาด้วยท่าทางสะลึมสะลือก่อนที่จะหันไปถามอะไรบางอย่างกับ Android ของเธอว่า…
“อืม~~ กี่โมงแล้วเนี่ยเฟรย่า?”“4 นาฬิกา 24 นาที 36 วินาทีค่ะ นายหญิง รีบลุกขึ้นเถอะค่ะเรายังต้องเดินทางกันอีกไกล”
ทั้ง 4 รีบออกจากตัวเครื่องบินและเดินออกทางประตูผู้โดยสารขาเข้าหมายเลข 17 และเมื่อทั้ง 4 เดินออกมาถึงด้านนอกตัวอาคารของท่าอากาศยานก็พบว่าฝนกำลังตกหนัก และไม่มีทีท่าว่าหยุดตกเลยแม้แต่น้อยทั้ง 4 พยายามมองหารถโดยสารเพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือเมือง เอส ซารัส ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของอาณาจักรไลลารินแห่งนี้เพื่อไปพบกับวิกเตอร์ที่นั่น ที่อยู่ๆก็ติดต่อเข้ามาว่าขอเปลี่ยนแผนการเล็กน้อยโดยให้ทั้ง 4 ไปพบกับเขาที่นั่น ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 2 ชั่วโมงจากเมืองหลวงที่พวกเขากำลังอยู่ในขณะนี้ และทันใดนั้นทั้ง 4 ก็พบกับชายหนุ่ม 3 คนที่สวมเสื้อคลุมสีดำกำลังยืนวางท่าเคร่งขรึมอยู่กลางสายฝนซึ่งดูจากภายนอกน่าจะเป็นทหาร สังเกตุได้จากที่ด้านหลังของชายหนุ่มทั้ง 3 คนนั้นมีรถ APC (Armored Personnal Carriers) สีเขียวลายพรางขนาดกลางซึ่งเป็นรถของกองทัพจอดแช่อยู่และเมื่อทั้ง 3 เห็นกลุ่มของอัคคามิฬ 1 ในนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นอย่างเข้มแข็ง
“วันทยาาาาหัตถ์! ยินดีต้อนรับสู้ไลลารินครับผม!! ผู้พัน!”
ชายหนุ่มทั้ง 3 ยืนตรงพร้อมกับเอามือตะเบ๊ะเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้มาเยือนทั้ง 4 แต่จริงๆแล้วพวกเขาตะเบ๊ะให้กับคอนสแตนตินเพียงคนเดียวมากกว่า เมื่อคอนสแตนตินเห็นเช่นนั้นก็เอามือตะเบ๊ะกลับเช่นกัน
“มารับถึงที่เลยเหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะผู้กองลอนสัน ดูท่าทางสบายดีนะ”
คอนสแตนตินเดินเข้าไปทักชายคนที่น่าจะมีอายุ 30 ต้นๆใบหน้าเคร่งขรึม มีรอยแผลเป็นที่แก้มข้างซ้ายเหมือนกับรอยโดนมีดกรีด ตัดผมเกรียนเหมือนทหารทั่วๆไป คิ้วดกหนา จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคมดุดันดุจสัตฺว์ร้าย รูปร่างสมส่วนดูมีกล้ามเล็กน้อยเนื่องจากผ่านการฝึกฝนมาพอสมควร ส่วนสูงน่าพอๆกับคอนสแตนติน
“ครับผม! ผู้พันเองก็เช่นกัน!!”“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพิธีรีตรองให้มากมายนักก็ได้ นี่เพิ่งจะตี 4 เองนะชั้นไม่อยากให้ชาวบ้านแถวนี้เขาแตกตื่น”“ขอประทานโทษครับผม!!”
ทหารอีกคนที่ขึ้นไปรออยู่บน APC เรียบร้อยแล้วโผล่หน้าออกมาทางช่องหน้าต่างเล็กๆทางด้านคนขับ พลางส่งสัญญาณมือให้ผู้กองก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำ
“ผู้กองครับ! เราต้องรีบเดินทางกันแล้วนะครับ!”“รับทราบจ่า! ผู้พันครับเชิญผู้พันและคนอื่นๆขึ้นรถเถอะครับ เราสายมากแล้ว”
คอนสแตนตินหันไปส่งสายตาให้กับอัคคามิฬและนีน่าก่อนที่จะขึ้นรถที่คนในกองทัพเรียกมันว่าลีมูซีนนั้นไป อัคคามิฬและนีน่าไม่รอช้ารีบตามคอนสแตนตินขึ้นไปทันที ประตูถูกปิดโดยอัตโนมัติเมื่อทุกคนขึ้นมาบนรถกันหมดแล้ว ทหารคนที่เป็นพลขับทำอะไรสักอย่างกับแผงปุ่มกดที่อยู่ตรงหน้าและทันใดนั้นก็มีคันบังคับโผล่ขึ้นมาจากที่เท้าแขนของเก้าอี้ข้างขวา พลขับใช้มืออีกข้างที่เหลือกดปุ่มบนแผงควบคุม 2-3 ครั้งทันใดนั้นคอนสแตนตินก็รู้สึกหวิวๆที่ท้องน้อยอีกครั้ง เนื่องจาก APC คันนี้เป็นแบบลอยตัวเหนือพื้นเหมือนกับรถบัสที่เขาเพิ่งจะนั่งมาเมื่อไม่นานมานี้ รถค่อยๆเคลื่อนที่ออกไปและมุ่งตรงเข้าสู่ทางหลวงภาคตะวันออกหมายเลข 3 เวลานี้ถนนค่อนข้างโล่งเพราะนี่เพิ่งจะตี 4 เกือบตี 5 ก็เลยยังไม่มียานพาหนะผ่านสัญจรไปมาเยอะนัก ทำให้พลขับสามารถเร่งความเร็วรถได้เต็มที่ เขาขับรถไปผิวปากไปเป็นเพลงชาติของไลลารินไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนผู้กองลอนสันก็นั่งอยู่ข้างๆพลขับคนนั้นและรับตำแหน่งพลนำทาง ฝนยิ่งตกหนักมากขึ้นไปอีกทำให้ถนนค่อนข้างลื่นแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเมื่อยานพาหนะที่คุณกำลังโดยสารอยู่นั้นไม่ได้แล่นด้วยล้อ
คอนสแตนตินมองทัศนียภาพผ่านจอมอนิเตอร์ขนาด 14 นิ้ว ภายนอกนั้นตอนนี้เริ่มจะมีแสงสว่างให้เห็นบ้างแล้วเนื่องจากเวลาตอนนี้ใกล้จะ 6 โมงเช้าเข้าไปทุกทีๆ เขาเริ่มเห็นทิวของต้นไม้ที่เรียงรายกันอย่างสวยงามไปตลอดทางและถัดมาเป็นไร่ข้าวโพดและสวนส้มนี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาใกล้จะถึงเมือง เอส ซารัส เมืองเกษตรกรรมที่เป็นหนึ่งในอู่ข้าวอู่น้ำของอาณาจักรแห่งนี้ ที่เป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขา หลังจากที่ต้องนั่งทนหลังขดหลังแข็งเดินทางมากว่าครึ่งโลกเพื่อสาเหตุอะไรนั้นก็ไม่มีใครทราบได้รู้แต่เพียงว่าต้องบุกอาณาจักรอสูรเพียงแค่นั้นแล้วเป้าหมายที่แท้จริงของภารกิจนี้ล่ะคืออะไร นี่เป็นสิ่งที่คอนสแตนตินครุ่นคิดมาโดยตลอดในระหว่างการเดินทาง
“ใกล้ถึงแล้วครับผู้พัน!!”
ผู้กองลอนสันพูดขึ้นและทันใดนั้นรถก็ค่อยๆชลอความเร็วลง พลทหารในชุดทหารสีน้ำเงินและมีอาวุธอย่างครบครันที่ดูเหมือนว่าจะรับหน้าที่เป็นยามรักษาการ 2 นายกำลังยืนเฝ้าประตูทางเข้าของสถานที่แห่งนี้อยู่ และเมื่อเห็น APC ของพวกเขานั้นก็โบกไม้โบกมือแสดงเป็นสัญญาณให้รถหยุด ผู้กองลอนสันเปิดบานเลื่อนของรถออกเล็กน้อยก่อนที่จะยื่นไมโครชิพเล็กๆให้กับพลทหาร 1 ใน 2 คนนั้นไป ทางด้านพลทหารเมื่อได้ไมโครชิพไปแล้วก็นำไปเสียบในเครื่องมือที่เหมือนกับแผงควบคุมขนาดเล็ก ที่ทำเป็นเหมือนกับปลอกแขนและทันใดนั้นหน้าจอโฮโลแกรมก็ปรากฎขึ้นและมีตัวหนังสือขึ้นมาบนหน้าจอนั้นเรียงรายกันเต็มไปหมด พลทหารสบตากับผู้กองลอนสันและส่งสัญญาณมือให้กับพลทหารอีกคนที่กำลังใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนั้นสแกนรอบตัวถังรถและพยักหน้ากลับมาเป็นสัญญาณว่า “ทุกอย่างเรียบร้อย ให้ผ่านได้เลย” เมื่อเป็นเช่นนั้นพลทหารคนแรกก็กดปุ่มสีเขียวที่แผงควบคุมที่แขนของเขา ทันใดนั้นประตูทางเข้าที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ พลขับพลักคันบังคับไปข้างหน้าเล็กน้อยรถก็ค่อยๆเคลื่อนที่อีกครั้ง สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้คือ “กองบัญชาการทหารอากาศ” ในตอนนี้รถได้แล่นผ่านโกดังเก็บเครื่องบินขับไล่รุ่นลิเบอร์ตี้ ที่อยู่เรียงรายไปตลอดทางซึ่งแต่ละโกดังนั้นก็ใหญ่พอที่จะสามารถเก็บเครื่องบินได้ประมาณ 3-4 ลำ ถัดจากพื้นที่โกดังเก็บเครื่องบินจะเป็นพื้นที่ลานคอนกรีตกว้างสำหรับพักผ่อนหรือเอาไว้ใช้ฝึกเหล่าทหารหาญ คอนสแตนตินเห็นบรรยากาศในตอนเช้าตรู่ที่มีเหล่าพลทหารออกมาวิ่งกันเป็นแถวอย่างเข้มแข็งและมีระเบียบนั้นชวนให้เขานึกถึงภาพเก่าๆในสมัยที่ยังหนุ่ม ไม่ทันที่เขาจะซึมซับบรรยากาศของที่นี่ได้มากนักรถก็หยุดตรงหน้าอาคารกระจกทรงปิรามิดซึ่งภายในนั้นเมื่อมองผ่านกระจกเข้าไปจะมีบรรยากาศเหมือนกับพิพิธภัณท์หรือไม่ก็ท้องฟ้าจำลองบ้านเรา และตรงประตูทางเข้าของอาคารนั้นก็มีชายหนุ่มในชุดกาวน์สีหน้าเหมือนยังไม่ตื่นดีสวมแว่นตากลมหนาเตอะ ร่างกายผอมบางเหมือนขาดสารอาหาร ผมยุ่งกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง กำลังยืนเกาหัวพลางหาวไปด้วยถ้ามีแมลงวันอยู่แถวนั้นล่ะก็คงจะบินเข้าปากเขาไปได้หลายตัวเลยทีเดียวแต่ที่น่าสังเกตุก็คือที่ไหล่ซ้ายของเขามีกบตัวสีเขียวหน้าตาน่าเกลียดสวมแว่นตาเหมือนกับเขาเป๊ะแต่ขนาดเล็กกว่าเกาะอยู่ คอนสแตนตินเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ของตนก่อนที่จะสะกิดอัคคามิฬให้กลับจากการเข้าเฝ้าพระอินทร์อีกครั้งแต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้วิธีการตบหน้าแต่ใช้วิธีบ้านๆอย่างการเขย่าตัวเขาแทนอัคคามิฬตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือเหยียดแข้งเหยียดขาบิดขี้เกียจก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินทางและเสื้อคลุมตัวโปรดของตนก่อนที่จะค่อยๆย่างก้าวเดินลงจากรถ ส่วนนีน่านั้นตื่นตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าเมื่อกี้แล้วแต่ยังคงอยู่ในอาการงัวเงียไม่หายจนต้องลำบากเฟรย่าที่ต้องพยุงตัวเธอลงจากรถ
“อรุณสวัสดิ์ทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งสหราชอาณาจักรไลลาริน เราคงจะรู้จักกันแล้วในข้อความที่อยู่ในนาฬิกาของพวกคุณ แต่จะขอแนะนำตัวอีกทีผม ดร.วิกเตอร์ โนว่า เป็นนักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของที่นี่ ส่วนนี่…”
วิกเตอร์หันหน้าไปทางกบหน้าตาน่าเกลียดนั่น ทันใดนั้นมันก็ยกแขนเล็กๆสีเขียวคล้ำของมันขึ้นมาทำท่าทางกระแอ้มกระไอก่อนจะพูดขึ้นมาว่า…
“ส่วนฉัน ศาสตราจารย์ ดร.ไอแซค ซานดาลฟอน หัวหน้านักวิจัยของที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เสียงยานคางเหมือนคนแก่นั้นทำให้ทุกคนยกเว้นเฟรย่าหายง่วงเป็นปลิดทิ้งทันทีเมื่อกบหน้าตาน่าเกลียดที่อยู่บนไหล่ของวิกเตอร์พูดแนะนำตัวด้วยสีหน้าจริงจังและน่าเชื่อถือเหมือนคนมีการศึกษาแถมยังมีชื่อเหมือนกับคนอีก แต่อยู่ๆนีน่าก็สะกิดใจขึ้นมาเล็กน้อยกับชื่อของกบตัวนั้น เหมือนกับว่าเธอเคยได้ยินหรือเห็นผ่านหูผ่านตาจากที่ไหนมาก่อน แต่เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าซองสีน้ำตาลที่วิกเตอร์ยื่นให้เธอในคืนที่บ้านของเธอถูกพวกกลุ่มเลนินบุกวันนั้นนั่นเอง
“ไม่เห็นจะต้องทำหน้าทำตาตกใจแบบนั้นเลยนี่นา… ชั้นเองก็เคยเป็น ”มนุษย์” แบบพวกเธอมาก่อนเหมือนกัน แต่ด้วยสาเหตุบางอย่างทำให้ชั้นต้องมาอยู่ในร่างนี่ เอาล่ะๆ วิกต์ ช่วยนำทางพวกเขาไปยังห้องวิจัยของชั้นหน่อยนะ”“อืม… ก็อย่างที่ทุกคนได้ยินนั่นแหละนะ เพราะฉนั้นกรุณาตามผมมา”
วิกเตอร์เดินนำทั้ง 4 เข้าไปในอาคาร ทันทีที่พวกเขาก้าวข้ามทรณีประตูเข้ามาข้างในทั้ง 3 คนก็รู้สึกว่าบรรยากาศข้างในนี้กับข้างนอกนั้นแตกต่างกันอย่างสุดขั้วราวกับว่าอยู่คนละโลกเพราะเมื่อเข้ามาแล้วร่างกายกลับรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งภายในหัวนั้นโล่งไปหมดและมีค่อยๆมีความคิดต่างๆหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ วิกเตอร์เห็นท่าทีและสีหน้าของทุกคนที่เปลี่ยนไปจึงเริ่มอธิบาย (โม้) ให้กับทุกคนฟังทันที
“พอเข้ามาในนี้แล้วพวกคุณจะรู้สึกปลอดโปร่งนั่นเป็นเพราะในอาคารแห่งนี้จะคำนวณค่าความสมดุลของระบบหมุนเวียนโลหิตในร่างกายของแต่ละบุคคลและสร้างบรรยากาศที่เหมาะกับบุคคลนั้นๆออกมา”
วิกเตอร์อธิบายเกี่ยวกับความพิเศษของอาคารแห่งนี้แต่อัคคามิฬก็แย้งออกมาว่า
“ทำไมถึงพูดเหมือนกับว่าอาคารนี้มันสามารถแยกแยะและเจาะจงบรรยากาศให้กับแต่ละบุคคลได้อย่างงั้นล่ะครับ วิธีแบบนั้นมันทำกันได้ด้วยอย่างงั้นเหรอ?”“อันนั้นน่ะง่ายมาก ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือ DNA… DNA นั่นมันก็เหมือนกับหมายเลขประจำตัว 13 หลักของเรานั่นแหละแต่ละคนจะมีพื้นฐานโครงสร้าง DNA ที่ไม่เหมือนกัน และ DNA ไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากเลือดเพียงอย่างเดียว เศษผิวหนัง เล็บ ขนตา เส้นผม และอื่นๆ ก็มีโครงสร้าง DNA เช่นกัน แต่รู้ไหมทำไมอาคารแห่งนี้มันถึงเอา DNA ของพวกคุณไปวิเคราะห์ได้โดยทันทีทั้งๆที่พวกคุณก็ไม่มีทั้ง เศษผิวหนังที่หลุดลอก เส้นผมหรือขนตาที่หลุดร่วง เลือดรึ? นั่นก็ยิ่งไม่ใช่แล้วใหญ่ ผมจะบอกให้สิ่งนั้นมันก็คือ ลมหายใจ ของพวกคุณนั่นเอง ลมหายใจที่สูดอนูอากาศของที่นี่ที่เต็มไปด้วยเหล่า นาโนเมทริก เข้าไปซึ่ง นาโนเมทริก นั้นจะเข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายของพวกคุณตราบเท่าที่คุณยังอยู่ในอาคารแห่งนี้ มันจะเข้าไปวิเคราะห์และส่งข้อมูลระบบหมุนเวียนภายในร่างกายของคุณในขณะนั้นทุกๆ 5 วินาทีให้กับเมนเฟรมของ “ไบโอคอมพิวเตอร์” เพื่อทำการแยกแยะและปรับสมดุลของร่างกายให้เข้ากับบรรยากาศของที่นี่ยังไงล่ะครับ”“แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ น่าจะเอาเทคโนโลยีนี้ไปใส่ในชุดเกราะที่ใช้ในสนามรบ เพราะได้สูดอากาศแบบนี้แล้ว ความกดดันและความตรึงเครียดหายเป็นปลิดทิ้งเลย”“ผมคิดเหมือนกับผู้พันนั่นละครับ เคยลองเสนอเรื่องนี้ให้กับ ผอ. ของที่นี่ไปครั้งหนึ่งแล้วแต่ก็โดนหาว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ก็เลยต้องล้มเลิกความคิดไปน่ะครับ”
วิกเตอร์พาลัดเลาะไปตามทางเดินจนถึงสุดหัวมุมก็เจอเข้ากับทางตันเป็นผนังคอนกรีตเรียบๆไม่มีอะไรสะดุดตา ทันใดนั้นวิกเตอร์ก็เอาฝ่ามือของตนไปแตะที่กลางผนังนั่นทันที เกิดระลอกคลื่นจากมือของวิกเตอร์ออกไปรอบทิศทางแต่ยังไม่ทันที่ระลอกคลื่นทั้งหมดวิ่งไปชนมุมผนังก็เกิดเส้นตัดขึ้นมาและทำมุมเข้าด้วยกันเป็นสี่เหลี่ยมสูงประมาณ 2 เมตร และกว้างประมาณ 1.7 เมตร ก่อนที่ผนังระลอกคลื่นนั่นจะสลายหายไปราวกับภาพลวงตาเกิดเป็นช่องลิฟต์ขนาดที่พอให้คนตัวใหญ่ๆ 3 - 4 คนเข้าไปอัดกันได้ เมื่อทุกคนเข้ามาอยู่ในลิฟต์กันครบทุกคนก็สังเกตุเห็นว่าในลิฟต์นี้ไม่มีแผงปุ่มให้กดเลือกชั้นเหมือนกับลิฟต์ภายในห้างสรรพสินค้าทั่วๆไป และเมื่อประตูลิฟต์ปิดลงทุกคนรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเหมือนจะลอยขึ้นจากพื้นเสียง “วี๊ดดด!” ฟังดูเหมือนเป็นเสียงการทำงานของลิฟต์ดังขึ้นเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าลิฟต์ตัวนี้กำลังลงด้วยความเร็วสูงมาก ในชั่วไม่กี่อึดใจลิฟต์ก็ลงมาถึงชั้นล่างสุดนีน่ารีบเอามือปิดปากของตัวเองทันทีร่างกายเธอปรับตัวเข้ากับแรงโน้มถ่วงที่เปลี่ยนอย่างกระทันหันไม่ทันจึงทำให้เธอเหมือนอยากจะอาเจียนเฟรย่าใช้มือลูบหลังให้นีน่าเบาๆเพื่อช่วยบรรเทาอาการและเมื่ออาการของนีน่าบรรเทาลงวิกเตอร์ก็พูดออกมาว่า…
“ตอนนี้เราอยู่ในอาคารที่อยู่ลึกจากพื้นดินลงมาประมาณ 950 เมตรเป็นศูนย์วิจัยที่ใช้สำหรับพัฒนาอาวุธและยุทโธปกรณ์ขั้นสูงให้กับทั้ง 3 เหล่าทัพ เอาล่ะทุกท่านเชิญตามผมมา”
วิกเตอร์พาทั้ง 4 คนเดินไปตามทางโดยผ่านห้องกระจกห้องหนึ่งที่กำลังทดสอบหุ่นวอล์กเกอร์ที่ไม่ต้องใช้คนขับรุ่นใหม่อยู่ แต่ดูท่าทางการทดสอบจะล้มเลวไม่เป็นท่าเพราะหุ่นตัวนั้นมันอาละวาดใช้ท่อนแขนเหล็กขนาดใหญ่ของมันซัดนักวิจัยเสียปลิวติดกำแพงจนนักวิจัยคนอื่นๆต้องใช้โซ่ที่สร้างจากเวทมนตร์รั้งตัวมันเอาไว้ก่อนจะเอาปืนคลื่นแม่เหล็กยิงใส่ให้มันหยุดทำงานและล้มลง ทั้ง 3 ยกเว้นเฟรย่าต่างทำสีหน้าตื่นๆเพราะห่วงนักวิจัยที่โดนท่อนแขนซัดปลิวคนนั้น แต่วิกเตอร์กลับหันมาพูดด้วยเสียงเรียบเป็นเชิงจะบอกว่า “นี่มันเรื่องปกติ”
“ไม่ต้องห่วง… นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกวันของที่นี่ครับ เอาล่ะครับ ถึงห้องทดลองหมายเลย 17 แล้ว เชิญทุกคนเข้ามาข้างในก่อน ขอโทษนะครับ ดร.ไอแซค...”
วิกเตอร์จับกบที่เกาะไหล่ของเขาอยู่และวางลงบนแท่นวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ฟุตและบนแท่นนั่นก็มีแผงควบคุมเล็กๆโผล่ขึ้นมาและทันใดนั้นมันก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศและลอยไปลอยมารอบห้องมันเป็นแท่นที่เอาไว้ให้ ดร.ไอแซค ในร่างกบใช้สำหรับพาตัวเองไปยังที่ต่างๆภายในห้องได้ตามใจนั่นเอง ภายในห้องนั้นเป็นห้องมืดๆประมาณ 200 ตารางเมตร ซึ่งสว่างได้ด้วยแสงจากจอมอนิเตอร์จำนวนมากที่อยู่ภายในห้องเท่านั้น และกลางห้องมีหลอดแก้วทรงกระบอกขนาดพอดีกับตัวคนประมาณ 3 หลอด ซึ่ง 2 ใน 3 หลอดนั้นก็มีร่างผู้หญิงถูกแช่อยู่ในน้ำสีเขียวใสตัวเต็มไปด้วยสายระโยงระยางในชุดวันเกิดเผยให้เห็นสัดส่วนทั้งหมดแบบไม่มีเซ็นเซอร์แต่ผู้หญิง 1 ใน 2 คนนั้นเป็นคนที่นีน่าเคยพบมาแล้วนั่นคือหุ่น Android ของวิกเตอร์ที่ชื่อว่าฟรีน่าและอีกหลอดที่เหลืออยู่นั้นคิดว่าน่าจะเป็นหุ่น Android เช่นกันแต่สภาพร่างกายภายนอกนั้นแตกต่างจากหุ่น Android ทั่วๆไป เธอนั้นมีผิวที่เรียบและขาวราวกับกระดาษ และยังมีข้อต่อตามร่างกายที่ทำออกมาได้ไม่แนบเนียนเหมือนกับหุ่น Android ตัวอื่นๆ เส้นผมที่ดูแข็งกระด้างที่ทำจากไฟเบอร์สีเงินสั้นประบ่านั่น และที่สำคัญตรงส่วนตาข้างซ้ายนั้นเป็นรอยแตกเหมือนบาดแผลฉกรรจ์ ริมฝีปากบางเฉียบและดูเย็นชา ดูเผินๆราวกับเจ้าหญิงหิมะที่กำลังหลับอยู่ในหลอดแก้วก็มิปาน นีน่าเดินเข้าไปเอามือสัมผัสที่หลอดแก้วของ Android ตัวนั้นอย่างสนอกสนใจแต่ทันใดนั้นมันก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทำให้คนทั้งห้องยกเว้น วิกเตอร์ และ ดร.ไอแซค ตกใจสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน ที่ตกใจไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็ลืมตาตื่นขึ้นมาเอาดื่อๆ แต่มันคือรูโบ๋ในเบ้าตาข้างซ้ายที่กลวงเป็นหลุมดำของเธอต่างหากทำให้อิมเมจจากเจ้าหญิงหิมะกลายเป็นตุ๊กตาผีในชั่วพริบตา น้ำในหลอดแก้วค่อยๆลดลงจนหมด แขนกลที่โผล่มาจากด้านบนของห้องใช้มือที่เหมือนคีมยักษ์ของมันจับหลอดแก้วเอาไว้แล้วยกมาวางไว้บนแท่นที่อยู่กลางห้องซึ่งเอาไว้วางหลอดแก้วแบบนี้โดยเฉพาะ ดร.ไอแซค เคลื่อนแท่นลอยตัวนั่นเข้าไปใกล้กับหลอดแก้วของ Android ตัวนั้น แล้วใช้นิ้วเล็กๆของกบที่ปูดตรงปลายเล็กน้อยกดปุ่มบนแผงควบคุม ทันใดนั้นเสียงเหมือนกับสูญญากาศถูกปล่อยออกมาดังขึ้นและฝาของหลอดแก้วก็เปิดออกช้าๆ ร่างของ Android สาวค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ดร.ไอแซค ขยับแว่นเล็กๆของตนเล็กน้อยก่อนจะเปิดหน้าจอสถานะบนแผงควบคุมของตนขึ้นมา
“ระบุสถานะปัจจุบันมาสิ? เอมมอนส์”“สถานะปัจจุบันระบบการเคลื่อนไหวปรกติ ระบบแปลงสภาพพลังงานปรกติ ระบบการทำงานอื่นๆในขั้นพื้นฐานไม่มีปัญหาค่ะ โอเวอร์ไลน์ระบบ 100% โครงบอดี้ทั้งหมดอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมค่ะ นายท่าน…”“ดีมาก สภาพโดยรวมสมบูรณ์ดี ถ้างั้นก็ไปสวมเสื้อผ้าได้แล้วไป”
เอมมอนส์ลุกออกจากหลอดแก้วและเดินไปหลังห้องหยิบชุดกระโปรงแขนยาวสีขาวสะอาดที่มีกระดุมเม็ดเล็กๆสีดำสนิทเรียงกันอย่างมีระเบียบออกมาบรรจงใส่อย่างพิถีพิถันและในขั้นตอนสุดท้ายเธอเอาฮูดของชุดนั้นขึ้นมาคลุมหัวเอาไว้คราวนี้อิมเมจของเธอทำให้ทุกคนในห้องเห็นเธอเป็น “หุ่นตุ๊กตาผีขั้นสมบูรณ์” ไปเสียแล้ว และอีกไม่กี่นาทีต่อมาหลอดแก้วของฟรีน่าก็ค่อยๆถ่ายน้ำออกแขนกลทำหน้าที่ของมันภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพเดียวกับเมื่อครู่เป๊ะๆแต่เปลี่ยนจากตุ๊กตาผีในชุดวันเกิดเป็นหญิงงามในชุดวันเกิดแทน แต่คราวนี้วิกเตอร์เป็นคนตรวจสอบระบบของฟรีน่าเอง
“ระบุสถานะปัจจุบันมาสิ?”“สถานะปัจจุบันระบบการเคลื่อนไหวปรกติ ระบบแปลงสภาพพลังงานปรกติ ระบบแปลงสภาพโมเดลปรกติ ระบบการทำงานพื้นฐานอื่นๆสมบูรณ์ 100% โครงสร้างภายนอกได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าโครงสร้างแบบเดิม 99.998% ค่ะ”“ดีมาก... ทุกอย่างเรียบร้อยดี พร้อมปฏิบัติภารกิจได้ทุกเมื่อครับ ดร.ไอแซค”“งั้นเหรอ ถ้างั้นเอาข้อมูลภารกิจที่นายพลชวาลนอฟฝากเอาไว้ให้กับทุกคน แล้วพาพวกเขาไปพักผ่อนจนกว่าจะถึงเวลาปฏิบัติภารกิจทีนะ วิกต์”“เดี๋ยวก่อน! ที่บอกว่าพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจได้ทุกเมื่อน่ะอย่าบอกนะว่า…”
อัคคามิฬแย้งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่วิกเตอร์พูดเหมือนกับว่าจะไปที่เกาะอสูรด้วยกันกับพวกเขา วิกเตอร์เห็นท่าทีของอัคคามิฬจึงรีบพูดตัดบทขึ้นมา
"ที่คุณกำลังคิดน่ะถูกต้องแล้วคุณอัคคามิฬ ผมกับดร.ไอแซค ก็จะไปกับพวกคุณด้วยเพื่อทำการวิจัยอะไรบางอย่างกับสิ่งที่อยู่บนเกาะนั้น”“ไม่ตลกเลยนะ! ขนาดผมและอาจารย์คอนสแตนตินก็ไม่รู้ว่าจะรอดกลับมาได้รึเปล่า? แต่นี่เล่นพานักวิทยาศาสตร์ 2 คนที่ขาดประสบการณ์ภาคสนามไปด้วย!”“นี่เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของพวกคุณนะ ซึ่งนั่นระบุอยู่ในข้อมูลภารกิที่ให้ไปเมื่อครู่ รึว่า… คุณคงจะกลัวว่าพวกผมจะไปเป็นตัวถ่วงของพวกคุณรึไง? คุณอัคคามิฬ”“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น! ผมแค่อยากจะบอกว่าบนเกาะนั้นมันอันตรายเกินไป!!”“พวกคุณไม่ต้องมาสนใจพวกผมเลยแม้แต่น้อย คุณก็แค่ปฏิบัติหน้าที่ของคุณที่ได้รับมอบหมายในเอกสารนั่นก็พอ ส่วนพวกผมก็จะปฏิบัติหน้าที่ในด้านงานวิจัยของผม ไม่มีใครก้าวก่ายหน้าที่ของใคร ตกลงไหม?”
เมื่อวิกเตอร์พูดจบ คอนสแตนตินที่ยืนฟังอยู่นั้นถึงกับยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบพลางจ้องตาของวิกเตอร์เขม็ง
“ง่ายดีนะ ต่างคนต่างไม่ก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน ทำหน้าที่เสร็จก็กลับ แต่… ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณหรือถ่วงแข้งถ่วงขาพวกผมแม้แต่น้อยล่ะก็… ผมจะปล่อยให้พวกคุณตายอยู่ที่เกาะนั่นซะ! ตกลงไหม?
เมื่อสนทนากันจบคอนสแตนตินก็เดินออกจากห้องไป อัคคามิฬเองก็เช่นกัน ส่วนนีน่าก็หันมาสบตากับวิกเตอร์พลางส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป ส่วนวิกเตอร์เองก็อึ้งกับคำพูดของคอนสแตนตินที่ทิ้งท้ายเอาไว้อยู่พักหนึ่งก็รีบวิ่งตามทุกคนไปเนื่องจากต้องพาทุกคนไปยังห้องพักของตน และเมื่อวิกเตอร์มาส่งนีน่าถึงหน้าห้องก็ขอพาตัวเฟรย่าไปที่ห้องทดลองกับตนเพราะต้องการจะปรับปรุงระบบและโมเดลทั้งหมดใหม่ ในคืนวันนั้นหลังจากที่ทุกคนรู้ถึงภารกิจของตนเป็นที่เรียบร้อย ต่างก็พยายามพักผ่อนเพื่อสะสมพลังงานให้มากที่สุดก่อนปฏิบัติภารกิจ ยกเว้นนีน่า เธอออกมานั่งรับสายลมยามค่ำคืนที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆศูนย์วิจัย พลางคิดถึงเรื่องเก่าๆเมื่อตอนก่อนที่เธอจะเดินทางออกจากไลลาริน ที่เธอมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ก็เพราะว่าเธอไม่รู้จะไประบายเรื่องราวที่อัดอั้นอยู่ในใจให้กับใคร เช่นเรื่องของผู้เป็นพ่อของเธอที่ถูกเนรเทศออกจากไลลารินเมื่อตอนเธอยังเด็ก รวมไปถึงแม่กับน้องสาวและน้องชายที่เธอจากมา เธอเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนฟากฟ้ายามราตรี พร้อมกับขอพรในใจให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้นั้นราบรื่นไปได้ด้วยดี...
เช้าวันรุ่งขึ้นที่โรงอาหารของศูนย์วิจัยนีน่าที่ดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัดเธอกำลังนั่งกินโดนัทกับกาแฟดำถ้วยใหญ่โดยมีอัคคามิฬและคอนสแตนตินนั่งทำหน้าตาสงสัยว่าเมื่อคืนเธอไปทำอะไรมา จากนั้นวิกเตอร์ก็เดินเข้ามาภายในโรงอาหารและไปหยิบโดนัท 2 – 3 ชิ้นกับกาแฟดำจากเค้าเตอร์มากินเช่นกันก่อนที่จะมานั่งลงข้างๆนีน่าก่อนจะกระซิบกับเธอว่า
“เรื่องเมื่อวานนี้ ชั้นขอโทษนะ”“ช่างมันเถอะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าคิดมากเลย แล้วอีกอย่างนายจะมาขอโทษชั้นทำไม คนที่นายสมควรจะขอโทษคือคุณอัคคามิฬมากกว่า ชั้นว่า… ชั้นไปเตรียมตัวก่อนดีกว่าแล้วเจอกันที่ลานจอดเครื่องบินที่ 3 นะ”
ว่าแล้วนีน่าก็ลุกออกจากโต๊ะไปทิ้งให้ชายหนุ่มทั้ง 3 นั่งงงกับท่าทีของเธอ จนถึงเวลานัดหมายบริเวณลานจอดเครื่องบินที่ 3 นีน่า , ฟรีน่ากับเฟรย่า และดร.ไอแซคกับเอมมอนส์ก็มารอทั้ง 3 อยู่ก่อนแล้ว และด้านหลังของพวกนีน่านั้นก็มีเครื่องบินที่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อนเนื่องจากมันดูไม่เหมือนเครื่องบินรบหรือเครื่องบินขนส่งแต่มันดูเหมือนกระสวยอวกาศเสียมากกว่าแต่รูปร่างของมันดูเพรียวบางแล้วคล่องตัวกว่ามากแถมจมูกที่อยู่ด้านหน้าของมันยังเรียวแหลมคล้ายเข็มฉีดยา แถมแพนหางและแพนระดับก็ไม่มี แต่เปลี่ยนเป็นเครื่องยนตร์ไอโอไดรฟ์ แบบปรับทิศทางได้ 5 เครื่องที่ติดตั้งอยู่ด้านหน้า 2 เครื่องและด้านหลังอีก 3 เครื่อง
ซึ่งถูกจอดไว้บนแท่นส่งตัวที่เหมือนคานเหล็กยาวระนาบไปกับพื้นไกลจนสุดลูกหูลูกตาและเกือบจะสุดทางของคานระนาบนั่นจะเป็นคานงอโค้งขึ้นไปจนทำมุมตั้งฉากกับพื้น ในระหว่างที่ทุกคนกำลังให้ควานสนใจกับยานลำนั้นเสียงกระแอ้มกระไอของดร.ไอแซคก็ฉุดทุกคนให้หันมาทางเขาทันที
“เอาล่ะๆ ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้วชั้นจะอธิบายถึงข้อมูลสัดส่วนและองค์ประกอบคร่าวๆของอาณาจักรอสูรให้ฟังกันนะ อาณาจักรอสูรนั้นมีพื้นที่โดยรวมประมาณ 2,349,876 ตร.ไมล์ สูงจากระดับน้ำทะเล 30,642 ฟุต ไม่ต้องตกใจไปขนาดนั้นไม่ใช่ปัญหาของเรา ปัญหาจริงๆนั่นคือม่านเกราะมนตราที่ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 2,500,000 ตร.ไมล์ และสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 50,000 ฟุต และที่สำคัญถึงแม้เราจะสามารถฝ่าชั้นเกราะเวทเข้าไปได้แล้วก็ต้องเจอกับกลุ่มเมฆที่มีพายุสายฟ้าเกิดขึ้น 30 ครั้ง/นาที ไอฺ้นี่แหละคือปัญหาถ้าตัวยานของเราโดนมันผ่าเข้าสักครั้งล่ะก็… หึหึ หวังว่าคงเข้าใจนะ”“แล้วไม่มีวิธีอื่นนอกจากทางอากาศที่เราจะเข้าไปได้เลยหรือคะ? ดร.”“ไม่มีเลย เพราะม่านเกราะมนตราที่จอมเวทจากมหาสงครามเมื่อคราวก่อนปิดผนึกเอาไว้นี่แข็งแกร่งเกินไปจึงไม่สามารถใช้วิธีปรกติฝ่าเข้าไปตรงๆได้ จึงมีอยู่ทางเดียวคือใช้ความเร็วที่สูงมากๆฝ่าเข้าไป”“ความเร็วสูงที่ว่านั่น มันประมาณเท่าไหร่ และยานลำนี้สามารถทำได้ถึงระดับนั้นหรือเปล่า?”
คอนสแตนตินตั้งคำถามขึ้น พลางยืนกอดอกทำท่าทางครุ่นคิด
“คิดว่าไม่น่าจะได้หรอกผู้พัน เพราะความเร็วที่ชั้นคำนวณไว้น่ะมันมากโขอยู่นะ”“พอจะบอกได้ไหมครับ ดร.ไอแซค”
อัคคามิฬ พูดขึ้นแสดงสีหน้าหวาดๆ เหงื่อเริ่มปรากฎบนใบหน้าแสดงความตรึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ขอคิดก่อนนะ อืม… ถ้าใช้อัตราเร่งจากแรงโน้มถ่วงประมาณ 10G ก็น่าจะฝ่ามันเข้าไปได้”“ใช้แรงโน้มถ่วงตั้ง 10G! ระดับนั้นจะไปหาที่ไหนได้”“เพราะแบบนั้นถึงต้องพานีน่ามาที่นี่ไง เพราะเธอเป็นคนเดียวที่สามารถใช้เวทควบคุมแรงดึงดูดในระดับนั้นได้”
วิกเตอร์ว่าพลางมองไปที่นีน่า เธอสะดุ้งโหยงทันทีก่อนที่จะพูดแย้งขึ้นมา
“จะบ้าเรอะ! ถ้าทำแบบนั้นพวกเราก็โดนแรง G กดทับตายกันหมดพอดี นี่นายเข้าใจอัตราเร่งจากแรงโน้มถ่วงจริงๆรึเปล่าวิกเตอร์”“ชั้นเข้าใจ แรงดึงดูด 1G ความเร็วของวัตถุจะเพิ่มขึ้นทุก 9.8 เมตรในทุกๆ 1 วินาที งั้นก็แสดงว่าในแรงดึงดูด 10G ถ้าเธอสามารถทำได้ล่ะก็นะ ความเร็วของวัตถุก็จะเพิ่มขึ้น 98 เมตรในทุกๆ 1 วินาที ถ้าคิดเป็นความเร็วเสียงล่ะก็ความเร็วของตัวยานคงอยู่ที่ประมาณ มัค 298 ล่ะมั้ง” (298 เท่าของความเร็วเสียง)“นั่นแหละคือปัญหา นายลองคิดดูนะความสูงจากชั้นของเกราะมนตรานั่นคือประมาณ 50,000 ฟุต หรือ 15 กิโลเมตร เท่ากับว่าเรามีเวลาไม่เกิน 150 วินาทีก่อนที่ยานจะดิ่งถึงพื้นนายเข้าใจไหม!”“ฉันเข้าใจที่เธอพูดทุกอย่างนั่นแหละ แต่ในเมื่อเธอสามารถเพิ่มได้ เธอก็สามารถที่จะควบคุมมันเพื่อที่จะสร้างแรงฉุดยานขึ้นได้ใช่ไหมเล่า!”“เรื่องนั้นมันก็ทำได้อยู่หรอก แต่…”“ส่วนค่า G ที่เหลือเราสามารถโอเวอร์ไดรฟ์ระบบเครื่องยนตร์ไอโอไดรฟ์ทั้ง 5 ตัวและปรับให้หันไปในทิศทางเดียวกันเพื่อช่วยชะลอความเร็วของยานได้นี่! จริงม่ะ?”“แล้วกำลังขับของเครื่องยนตร์ไอโอไดรฟ์อะไรนี่ แต่ล่ะเครื่องมันเท่าไหร่กันล่ะ”“เมื่อรวมกัน 5 เครื่องจะสามารถเร่งถึง มัค 120 ได้ภายใน 3 วินาที แต่ถ้าโอเวอร์ไดรฟ์ระบบก็จะได้ประมาณ มัค 180 รวมกับเบรคอากาศด้วยแล้วก็คิดว่าน่าจะช่วยได้เยอะ คิดว่านะ…”“ไม่หรอกแค่นั้นยังไม่พอ ดร. คะ ขอดิชั้นดูแบบแปลนของยานลำนี้หน่อยจะได้ไหมคะ?”“เอ่อ.. ได้สิแต่ห้ามเอาไปบอกใครล่ะ นี่เป็นความลับทางทหาร...”
ดร.ไอแซคเปิดภาพโฮโลแกรมแสดงแบบแปลนของยานทั้งหมดให้นีน่าดู เธอเอามือทั้ง 2 ข้างนาบลงบนหน้าจอ ก่อนจะค่อยๆเลื่อนมันออกจากันเพื่อเป็นการซูมภาพในจุดที่เธอต้องการ และใช้นิ้วชื้และนิ้วกลางจิ้มตรงจุดๆหนึ่งบนแบบแปลนโฮโลแกรมนั่นและเลื่อนมันไปทางขวา 2-3 ครั้ง เพื่อเลื่อนภาพในหน้าจอ และทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาโดยสลับจากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง พลิกไปพลิกมาจนในที่สุด…
“นึกแล้ว... ใช่อย่างที่คิดจริงๆด้วย ถ้าใช้ไอฺ้นี้ล่ะก็น่าจะพอไหว”
รอยยิ้มเริ่มปรากฎบนใบหน้าของเธอเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองทุกคนที่ต่างพากันสงสัยว่าเธอหาอะไรในแบบแปลนนั่น ไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอรีบเดินนำพวกเขาและตรงไปที่ยานลำนั้นทันที โดยที่ยังคงปล่อยรอยยิ้มนั่นให้ยังคงเป็นปริศนา…
-= Lesson 4 End =--= To Be Continue Lesson 5 =-
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ