~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age]

8.3

เขียนโดย Daimaou_no_Sora

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.46 น.

  12 Lesson
  28 วิจารณ์
  21.38K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) อาณาจักรอสูร Shina Dark! [ตอนที่ 2]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

-= ~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age] - The Chronicle of Zodas =-

http://www.keedkean.com

-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-

 

-= Lesson 5 : อาณาจักรอสูร Shina Dark! [ตอนที่ 2] =-
 

     วิกเตอร์กดปุ่มสีเขียวเล็กๆบนแผงควบคุมที่ติดอยู่ที่ท่อนแขนของตน ทันใดนั้นที่ด้านข้างของตัวยานก็ปรากฎเส้นตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งขนาดพอดีกับตัวคนขึ้นมาและมีเส้นสีเขียวเรืองแสงเป็นประมาณ 6 เส้นวิ่งจากระหว่างกลางด้านข้างทั้ง 4 มุมของกรอบสี่เหลี่ยม และก่อนที่เส้นสีเขียวทั้ง 6 จะวิ่งเข้ามาบรรจบกันที่กึ่งกลางของกรอบสี่เหลี่ยม อัญมณีเรืองแสงรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่าที่ถูกติดเอาไว้ในแนวทะแยงก็โผล่ขึ้นมา พอดีกับเส้นสีเขียวที่วิ่งเข้ามารวมกันที่อัญมณีเรืองแสงสีเขียวนั้น

     ทันใดนั้นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้านั่นก็หยุบตัวเข้าไปเล็กน้อย ก่อนที่ระหว่างกลางของมันจะ เกิดเส้นตัดแนวนอนขึ้นมาและแยกออกจากกันเกิดเป็นประทางเข้า นีน่าไม่รอช้ารีบเข้าไปในยานก่อนเป็นคนแรก และตามมาด้วยวิกเตอร์ ส่วนคนอื่นๆก็ค่อยๆทะยอยกันตามขึ้นมา

“วิกเตอร์ นายมากับชั้น ส่วน ดร.ไอแซคและคนอื่นๆให้ไปที่ห้องควบคุมส่วนกลางนะคะ”

     นีน่าบอกกับทุกคนเมื่อเข้ามาถึงทางแยกก่อนที่เธอจะเดินแยกออกไปทางซ้ายส่วนวิกเตอร์นั้นก็รีบตามเธอไปทันที ส่วนคนอื่นๆก็เดินแยกออกไปอีกทางเพื่อไปยังห้องควบคุมส่วนกลางซึ่งเป็นห้องที่ใช้สำหรับควบคุมระบบเครื่องยนตร์และอื่นๆหยิบย่อยของยาน ส่วนทางที่นีน่าและวิกเตอร์กำลังอยู่นั้นเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างส่วนกลางของตัวยานและห้องนักบิน และเมื่อทั้ง 2 เข้ามาภายในก็ต้องพบกับแผงควบคุมที่เต็มไปด้วยปุ่มและหน้าจอต่างๆทั้งเล็กและใหญ่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด

     นีน่าไม่มีทีท่าว่าจะสนใจแผงควบคุมพวกนั้น เธอรีบเดินไปยังที่นั่งคนขับที่อยู่ทางด้านซ้ายทันที ส่วนวิกเตอร์ก็มานั่งตรงที่นั่งฝั่งขวาซึ่งมีหน้าจอและแผงควบคุมเยอะกว่าฝั่งที่นีน่านั่งอยู่หลายเท่าเพราะมันคือที่นั่งในตำแหน่งของ เนวิเกเตอร์ นั่นเอง วิกเตอร์หยิบอุปกรณ์สื่อสารที่ดูเหมือนกับบลูทูธมาใส่เอาไว้ก่อนจะพูดว่า

“นี่คือ AGIS-401P หอบังคับการ กรุณายืนยันสภาพอากาศให้กับเราด้วย”

“AGIS-401P นี่คือ รอ.ท โอนิ เบนจามิน ทราบแล้วเปลี่ยน”

     เสียงที่เหมือนกับเสียงที่ออกมาจากเครื่องกรองอากาศที่ตอบกลับมานั้นทำให้สีหน้าของวิกเตอร์เปลี่ยนไปทันที มันเป็นเสียงของบุคคลในชุดเกราะสีดำที่ถูกสลักเต็มไปด้วยตัวอักษรโบราณตัวใหญ่ นีน่าสังเกตุเห็นสีหน้าของวิกเตอร์ที่เปลี่ยนไปแต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก เธอหันกลับไปกดปุ่มและสวิตซ์ต่างๆที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าของเธอเพื่อเปิดระบบต่างๆของยานให้อยู่ในสภาพที่พร้อมต่อการปล่อยตัว

 

“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่คุณมาเป็นผู้ควบคุมการออกยานของเรานะครับ คุณโอนิ”

“เล็กน้อยน่า ดร. เอาล่ะๆ เราเสียเวลามามากแล้ว เดี๋ยวจะรายงานสภาพอากาศให้คุณก่อนก็แล้วกัน สภาพอากาศในขณะนี้เช็นเซอร์ชี้ชัดว่าไม่เป็นปัญหาต่อการบินแต่อย่างใด อุณหภูมิคงที่แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ความเร็วของกระแสลมตอนนี้ประมาณ 10 เมตร/วินาที ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี”

“ขอบคุณมากหอบังคับการ เราพร้อมที่จะออกเดินทางใน 30 วินาที”

“รับทราบ AGIS-401P ยืนยันการส่งตัวในอีก 30 วินาที ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง…”

     วิกเตอร์หันมาส่งสายตาพร้อมกับยิ้มให้กับนีน่าเล็กน้อยเป็นเชิงให้กำลังใจ ส่วนนีน่านั้นก็ส่งสายตากลับมาให้เขาเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับไปสนใจหน้าที่ของตัวเองต่อ

“สภาพเครื่องยนตร์เป็นอย่างไรบ้างคะ? ดร.”

     นีน่าติดต่อสื่อสารไปยังห้องควบคุมส่วนกลางที่ตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมเครื่องยนตร์และระบบต่างๆให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระหว่างทาง ดร.ไอแซค ลอยไปทางโน่นทีทางนี้ทีบนแท่นลอยตัวที่มีฝาครอบเป็นแก้วของเขาและเกือบจะชนเข้ากับอัคคามิฬที่กำลังไล่ตรวจเช็คระบบพลังงานที่เชื่อมต่อจากเตาปฏิกรณ์อย่างเคร่งเครียด ส่วนคอนสแตนตินเองก็กำลังตรวจสอบระบบขับเคลื่อนของเครื่องยนตร์ทั้ง 5 อยู่เช่นกัน และทันใดนั้นทั้งคู่ก็หันมายกนิ้วโป้งให้กับ ดร.ไอแซค เป็นสัญญาณว่าระบบทุกอย่างพร้อมและเรียบร้อยดี

“ทุกอย่างพร้อมสำหรับการออกเดินทาง เดินทางได้เลยนีน่า...”

     เมื่อได้ยินเช่นนั้นนีน่าก็เอื้อมมือไปกดปุ่มสีส้มเรืองแสงบนแผงควบคุมที่อยู่ตรงหน้าของเธอ ทันใดนั้นเสียงเครื่องยนตร์ก็เริ่มดังขึ้น เสียง “วี๊ดๆๆ” ดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะ ทันใดนั้นไฟสีเขียวที่อยู่บนคานส่งตัวก็สว่างขึ้นและค่อยๆสว่างเรียงไปจนสุดคานที่ไกลสุดลูกหูลูกตา และที่ปลายสุดของคานส่งตัวนั้นจะเป็นคานแนวโค้งไล่ระดับขึ้นไปจนตั้งฉากกับพื้น 90 องศา ดูคล้ายๆกับแท่นปล่อยกระสวยอวกาศก็มิปาน

 

“เริ่มนับถอยหลัง 10 วินาที 9… 8… 7… 6… 5… 4…”

     วิกเตอร์ทำการนับถอยหลังสายตามองสถานะการทำงานของระบบต่างๆบนหน้าจอซึ่งตอนนี้ยังเป็นสีเขียวอยู่ ส่วนนีน่านั้นเธอกำคันโยกที่อยู่ข้างตัวเอาไว้แน่นและรอฟังสัญญาณปล่อยตัวจากวิกเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ

“3… 2… 1! ไป!!!”

     นีน่าดันคันโยกจนสุดทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีแรงกดเข้ามาจากด้านหน้าของเธอทำให้ตัวของเธอนั้นติดกับที่นั่งและหายใจได้ไม่ทั่วท้องนัก เธอกำลังต่อสู้อยู่กับแรง G ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เธอกัดฟันแน่นและภาวนาขอให้พ้นจากไอฺ้คานส่งตัวนี่โดยเร็วที่สุด และเมื่อเกือบจะถึงคานที่เป็นโค้งตั้งฉากกับพื้นวิกเตอร์ก็แจ้งความเร็วในขนะนี้ให้นีน่ารู้แต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลามาสนใจอะไรทั้งสิ้นเธอกัดฟันแน่นพยายามต่อสู้กับแรง G ในขณะนั้น

“22,321… 24,465… 28,340… 41… 42… 43… 44… ความเร็วตอนนี้อยู่ที่ มัค 24 (28,344 กิโลเมตร/ชั่วโมง 24 เท่าของความเร็วเสียง)”

    ส่วนทางด้านห้องควบคุมส่วนกลางที่คนอื่นๆอยู่ เช่นเดียวกับนีน่าทั้งคอนสแตนตินและอัคคามิฬต่างพยายามกัดฟันแน่นต่อสู้กับแรง G นี่เช่นกัน ต่างกับ ดร.ไอแซค และ Andriod ทั้ง 3 ที่ยังคงทำหน้าตาเฉยๆอยู่เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่กับ Android นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะพวกเธอไม่มีความรู้สึกเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทั่วๆไป แต่สิ่งมีชีวิคเล็กๆเช่น “กบ” อย่าง ดร.ไอแซค นี่ล่ะ? อะไรกันที่ทำให้เขานิ่งเฉยอยู่ได้ นั่นก็เพราะว่า ดร.ไอแซค มีเกราะที่เป็นแก้วใสที่ทำขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะที่ห่อหุ้มแท่นลอยตัวของเขาเอาไว้ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างในไม่ได้รับผลกระทบใดๆที่เกิดขึ้นจากภายนอกทั้งสิ้น

     ทันใดนั้นคานไฮดรอลิกก็ยกตัวยานขึ้นเล็กน้อยเพื่อรับกับทางที่โค้งขึ้นไปอย่างพอดี และเมื่อผ่านช่วงโค้งมาได้ตัวยานตอนนี้จึงอยู่ในสภาพที่ตั้งฉากกับพื้น 90 องศา ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้แรง G เพิ่มมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย และไม่ทันไรยานก็พุ่งมาเกือบจะถึงสุดปลายทางของคานส่งตัว และเมื่อนีน่าเห็นเช่นนั้นเธอก็รีบเอื้อมมือไปสับสวิตซ์ที่อยู่ด้านข้างของคันบังคับ แต่ด้วยแรง G มหาศาลเช่นนี้ทำให้เธอขยับตัวได้ลำบากยิ่งนัก

 

“ยัยบ้า! มัวทำอะไรอยู่! รีบปลดสลักตัวล็อคออกสิ!”

    วิกเตอร์เห็นว่านีน่ามีท่าทีเงอะๆงะๆจึงตะคอกใส่เธอ นีน่าซึ่งไม่ชอบให้ใครมาตะคอกใส่เป็นทุนเดิมด้วยแล้ว เธอจึงฝืนกัดฟันรวบรวมกำลังทั้งหมดเท่าที่เธอทำได้ และขยับปลายนิ้วไปสับสวิตซ์นั่นได้สำเร็จก่อนที่ยานจะถึงสุดปลายทาง เกร็กๆๆๆ ครึง!!! เสียงเหมือนตัวสลักล็อคของไฮดรอลิกที่ยืดตัวยานเอาไว้กับคานถูกปลดออก ทำให้ตัวยานถูกปลดออกจากพันธนาการจากคานส่งตัวและพุ่งขึ้นไปในอากาศ เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังลั่นเข้ามาผ่านทางบลูทูธ วิกเตอร์เดาว่าคงจะเป็นเสียงจากหอบังคับการเป็นแน่

“ห...อบั...งคับกา..รถึง AG…IS-401P ร...ายงาน...ส...ถานะปัจ...จุบันขอ...งคุณม...าสิ?”

     การสื่อสารจากโอนิ ติดต่อเข้ามาอีกครั้งแต่เสียงที่ติดต่อเข้ามานั้นไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่ แต่วิกเตอร์ก็พยายามจับใจความสำคัญเท่าที่ทำได้ ก่อนจะตอบกลับไป

“หอบังคับการนี่คือ AGIS-401P ระบบทุกอย่างยังอยู่ในสภาพปรกติ สภาพโครงสร้างของตัวยานยังครบถ้วนสมบูรณ์ 100%”

“เยี่ย...มมาก AGI…S-40…1P คุณคือคว...าม...หวังของเร...า ขอใ...ห้การป...ฏิบัติภา...รกิจใน...ครั้...งนี้ผ่า...นไปได้ด้...วยดี ข...อให้โชค...ดีทุกคน... เลิกก...ารติ...ดต่อ”

     ว่าแล้วสัญญาณก็ขาดหายไปวิกเตอร์ใช้นิ้วสัมผัสบนหน้าจอที่อยู่ตรงหน้าของเขา ทันใดนั้นมันก็แสดงแผนผังระยะความสูงของตัวยานและชั้นบรรยากาศแต่ละชั้นออกมา ซึ่งตอนนี้ตำแหน่งของยานอยู่ที่ชั้นบรรยากาศชั้นกลางและกำลังจะเข้าสู่ชั้นบรรบากาศชั้นนอกสุดในอีกไม่กี่วินาที ความกดดันภายในยานเริ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำแข็งเริ่มค่อยๆเกาะที่ขอบกระจกและรอบๆตัวยาน นีน่าเพิ่งสังเกตุว่าเธอนั้นเริ่มปรับตัวเข้ากับแรง G เมื่อสักครู่ได้แล้ว แต่วิกเตอร์ก็หันมาแสดงสีหน้าเคร่งเครียดให้กับเธอก่อนที่จะพูดว่า

“อีกไม่นานเราจะออกนอกชั้นบรรยากาศ เพราะฉนั้นชั้นว่าเราเปิดการทำงานของ คาสนอฟ เอาไว้ก่อนจะดีกว่า”

     หลังจากพูดจบวิกเตอร์ก็กดปุ่มสีแดงบนนาฬิการของตนทันใดนั้นก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันคอนสแตนตินขึ้นและในชั่วเวลาไม่นานร่างของวิกเตอร์ก็ถูกหุ้มอยู่ในชุดเกราะโลหะสีดำ นีน่าเห็นเช่นนั้นเธอจึงทำตามบ้างเธอกดปุ่มสีแดงบนนาฬิกาของเธอแผ่นโลหะสีดำค่อยแผ่ขยายออหมาจากใต้ตัวเรือนและห่อหุ้มตัวของเธอเอาไว้และในไม่กี่อึดใจเธอก็กลายเป็นสาวงามในชุดเกราะสีดำที่ดูน่าเกรงขามไปเสียแล้ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีวิกเตอร์ก็ติดต่อไปยังห้องควบคุมส่วนกลางเพื่อบอกให้ คอนสแตนตินและอัคคามิฬสวมชุดเอาไว้เช่นกัน

 

     และเมื่อยานพุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศชั้นสุดท้ายออกมาได้สำเร็จสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าของพวกเขาตอนนี้ก็คือพื้นที่ว่างเปล่าที่มืดและเงียบสนิทที่เรียกว่า อวกาศ นีน่าสังเกตุสิ่งที่อยู่รอบๆแต่เธอก็พบแต่ความมืดที่ว่างเปล่าและไม่มีจุดสิ้นสุด และในระหว่างนั้นเธอก็รู้สึกว่าตัวของเธอเบาอย่างไม่น่าเชื่อ

     แต่วิกเตอร์ก็ใช้นิ้วสัมผัสที่หน้าจออีกครั้งตอนนี้มันปรากฎเป็นหน้าจอควบคุมแรงดันและแรงดึงดูดของยาน วิกเตอร์เลื่อนขีดสีขาวที่อยู่ในช่องว่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ระบุไว้ว่า Gravity Control และเลื่อนมันจาก 100% ให้ไปอยู่ที่ 150% นีน่ารู้สึกว่าตัวเธอเริ่มมีน้ำหนักขึ้นมาหน่อยแต่ก็ไม่เท่ากับตอนที่อยู่บนพื้นดิน

“นั่นมันดาว ปิเซรัส 1 ใน 16 ดาวบริวารของเรานี่ใช่ไหม ชั้นเคยอ่านเจอในหนังสือเรียนวิชาดาราศาสตร์ ไม่คิดเลยว่ามันจะสวยขนาดนี้”

     นีน่ามองเห็นดาวเคราะห์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะและน้ำแข็งขนาดเท่ากับโลกที่เราอยู่กันทุกวันนี้แต่มีขนาดเล็กกว่าโลกที่พวกเขาอยู่หลายเท่านัก ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนกับ โลก และ ดวงจันทร์ ของเรานั่นละ แต่มีระยะทางที่ใกล้กว่ามากโข เธอแสดงอาการตื่นเต้นเป็นอย่างมากผิดกับวิกเตอร์ที่เขาแสดงท่าทางเฉยๆเหมือนกับนั่นไม่เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอะไรสำหรับเขาเลย

“ใช่... และนั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องใช้ประโยชน์จากมัน”

“ใช้ประโยชน์งั้นเหรอ? หมายความว่าไง?”

     วิกเตอร์ไม่ตอบแต่เขาหันไปพิมพ์อะไรบางอย่างบนแผงควบคุมของเขาและทันใดนั้นภาพโฮโลแกรมก็ปรากฎขึ้นและมีลูกกลมๆสีขาวซึ่งน่าจะเป็นดาวปิเซรัสไม่ผิดแน่ และมีจุดเล็กๆเท่าเมล็ดข้าวที่คาดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่แทนยานของพวกเขา วิกเตอร์กดปุ่มบนแผงควบคุมอีกครั้งคราวนี้ภาพโฮโลแกรมนั่นแสดงภายถึงจุดที่เป็นยานของพวกเขาที่เคลื่อนที่อ้อมไปด้านหลังของดาวและวกกลับมายังเส้นทางเดิมใหม่อีกครั้ง นีน่าทำสีหน้าไม่เข้าใจอย่างแรง วิกเตอร์เห็นเช่นนั้นจึงอธิบายคร่าวๆว่า

 

“ความเร็วในการฝ่าทะลุเกราะมนตราคือประมาณ มัค 300 ซึ่งถ้าเราใช้ความเร็วของยานที่เหมาะสมกับแรงดึงดูดที่เธอสร้างขึ้นมาก็ย่อมสามารถทำความเร็วขนาดนั้นได้อยู่แล้ว แต่เธอเคยนึกถึงสิ่งที่เราต้องฝ่ามันก่อนเกราะมนตรานั่นไหมล่ะ?”

“สิ่งที่ต้องฝ่าก่อนเกราะมนตรา… นะ… นี่นายอย่าบอกนะว่ามันคือ… ชั้นบรรยากาศ!”

“ถูกต้อง ชั้นบรรยากาศที่เราเพิ่งฝ่าออกมาเมี่อกี้ไง ชั้นบรรยากาศจะทำให้เราสูญเสียความเร็วไปส่วนหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งลองคิดเล่นๆว่าความเร็วสูงสุดของยานลำนี้คือ มัค 120 บวกกับ แรง G ที่เธอสร้างขึ้นอีก มัค 298 เมื่อรวมกันก็จะได้ มัค 418 และชั้นบรรยากาศของเรามีอยู่ 3 ชั้นและแต่ละชั้นจะห่างกันประมาณ 20 - 30 กิโลเมตร โดยที่ชั้นกลางและชั้นในนั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหามันอยู่ที่ชั้นนอกซึ่งมีแรงกดดันและความหนาแน่นสูง นี่ยังไม่นับปัญหาเยือกแข็งที่จะเกิดขึ้นกับระบบของเครื่องยนตร์ทำให้เครื่องยนตร์ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ซึ่งอาจจะทำให้สูญเสียความเร็วไปเกือบ 50% เลยทีเดียว เมื่อลองคำนวนดูผลของความเร็วที่ออกมานั้นจะอยู่ที่ มัค 209 ถึงจะรวมกับแรงดึงดูดของโลกที่กระทำกับยานคือ 1G หรือประมาณ มัค 30 ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี”

     นีน่าถึงกับอึ้งในปัญหาที่วิกเตอร์กล่าวมาและกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าทั้ง 2 เงียบกริบและกำลังใช้ความคิดอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดนีน่าก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจว่า

“แล้วไอฺ้ที่บอกว่าสามารถโอเวอร์ไดรฟ์เครื่องยนตร์ให้เป็น มัค 180 ได้ล่ะ?”

“มันจะเป็นการทำให้เครื่องยนตร์ทำงานหนักเกินไป ชั้นอยากให้เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินตอนที่เราลงจอดมากกว่า เพราะถ้าโอเวอร์ไดรฟ์ระบบไปครั้งหนึ่งแล้ว ระบบอื่นๆก็จะมีปัญหาตามมา เพราะฉนั้นจึงมีอยู่ทางเดียวคือใช้แรงเหวี่ยงจากแรงดึงดูดของปิเซรัส เพื่อสร้างความเร็วที่ขาดไปให้กับยานลำนี้”

     นีน่าแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เพราะเธอรู้ดีถึงความน่ากลัวของการไปเล่นกับแรงดึงดูดดี และอีกอย่างที่เธอรู้ก็คือแรงดึงดูดของปิเซรัสนั้นมีมากกว่าดาวที่พวกเธออยู่ถึง 4 เท่า แต่พวกเธอก็ไม่มีทางเลือกมากนักเพราะเวลาก็มีไม่มากก่อนที่เป้าหมายจะคลาดเคลื่อน ถ้าพวกเธอมัวแต่มาชักช้าอยู่อย่างนี้ อาณาจักรอสูรที่เป็นเป้าหมายอาจจะคลาดเคลื่อนและทำให้จุดที่พวกเธอต้องลงจอดแทนที่จะเป็นพื้นดินกลายเป็นทะเลก็เป็นไปได้

“ชั้นเชื่อใจนายนะวิกเตอร์ เอางั้นก็ได้”

“ต้องอย่างนี้สิ! วิทยาศาสตร์ ถ้าไม่ทดลองทำดู แล้วมันจะไปได้อะไรล่ะ จริงไหม?”

“แผนล่ะว่าไง?”

     วิกเตอร์นั่งกดปุ่มบนแผงควบคุมเพื่อทำการคำนวนค่าความเป็นได้ของแผนการของเขา ก่อนที่จะหันมาพูดกับนีน่า

“ก็อย่างที่บอกว่าเราจะใช้แรงเหวี่ยงจากแรงดึงดูดของปิเซรัสให้เป็นประโยชน์ แรงดึงดูดของปิเซรัสนั้นมีมากกว่าดาวของเราถึง 4 เท่า ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องรักษาระดับให้คงที่อยู่ตลอดเวลาคือ 60 กิโลเมตร ไม่มากและไม่น้อยไปกว่านี้ จากนั้นให้เธอเปิดระบบเครื่องยนตร์ไอโอไดรฟ์ให้ครบทุกเครื่องและเร่งความเร็วให้ถึง มัค 120 ก่อนที่ตัวยานจะพ้นจากแรงดึงดูดของปิเซรัส แรง G ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างนั้นมันจะมีมากกว่าแรงดึงดูดปกติของปิเซรัสหลายเท่าเลยทีเดียว ซึ่งช่วงนี้แหละคือช่วงลุ้นระทึกของพวกเราล่ะนะ และความเร็วของยานในตอนนั้นตามที่ชั้นคำนวนเอาไว้ก็จะอยู่ที่ประมาณ มัค 478 เพราะฉนั้นคุมยานให้ดีๆล่ะ”

     นีน่าฟังสิ่งที่วิกเตอร์กล่าวอย่างตั้งใจ เธอบังคับยานให้เข้าไปใกล้ปิเซรัสมากยิ่งขึ้นและพลิกตัวยานให้ด้านขนานกับพื้นผิวจนถึงระดับที่วิกเตอร์บอกคือ 60 กิโลเมตรเหนือพื้นผิวของปิเซรัส เธอเอื้อมมือไปกดปุ่มสีส้มเรืองแสงที่เหลืออยู่อีก 4 ปุ่มเพื่อเปิดระบบส่งพลังงานไปให้เครื่องยนตร์ทั้ง 4 ที่เหลืออยู่

“พอชั้นให้สัญญาณ เธอดันคันโยกให้สุดเลยนะ”

 

“ระ... รู้แล้วล่ะน่า”

 

“นีน่า...”

 

“อะไร?”

 

“ชั้นเชื่อใจเธอ...”

 

“...”

     เธอไม่ตอบกลับพร้อมกับดึงคันโยกสีแดงที่พับอยู่ข้างๆตัวของเธอออกมาและกำมันเอาไว้แน่น นีน่านั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวหัวใจเต็นรัวเพราะความกดดันเนื่องจากการดันคันโยกครั้งนี้หมายถึงชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว อยู่หรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับการดันคันโยกของนีน่า และเมื่อยานเคลื่อนมาถึงจุดที่วิกเตอร์ต้องการแล้วเขาก็ตะโกนขึ้นมาสุดเสียง

“ตอนนี้แหละ!!”

    นีน่าดันคันโยกสุดแรงเกิดเครื่องยนตร์ที่เหลืออีก 4 เครื่องเคลื่อนออกมาทำมุมระนาบกับพื้นก่อนที่มันจะแผ่กระจายแสงสีเขียวที่มีลักษณะเหมือนกับปีกนกออกมา นีน่ารู้สึกถึงแรง G ที่เกิดขึ้นทันทีแต่ก็ไม่มากเพราะเธอได้ คาสนอฟ ช่วยกันไว้อีกชั้นแต่ก็ได้แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แรงกดมากขึ้นเรื่อยๆและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตัวยานพุ่งไปด้วยความเร็วสูงในสภาพไร้น้ำหนัก นีน่าพยายามควบคุมยานไม่ให้หลุดออกจากระดับที่วิกเตอร์กำหนดไว้

“160!”

     วิกเตอร์พยายามกัดฟันคอยรายงานแรง G ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ให้กับนีน่า แต่ถึงเขาจะตะโกนสุดเสียงแค่ไหนแต่ด้วยความเร็วและแรง G ขนาดนี้เป็นใครก็ต้องไม่มีสมาธิที่จะฟัง

“220!”

     ส่วนทางด้านห้องควบคุมส่วนกลางทุกคนแม้กระทั่ง ดร.ไอแซค ก็ต้องเกิดอาการขึ้นมาบ้างแล้ว คอนสแตนตินและอัคคามิฬที่อยู่ในชุดเกราะก็ยังต้องกัดฟันแน่น มือบีบที่เท้าแขนของเก้าอี้เอาไว้แน่น แต่ด้วยคุณสมบัติของ คาสนอฟ ทำให้มันถูกบีบจนหยุบตามรูปทรงมือของทั้งคู่

“280!... 340!...400!... 460!... ใกล้แล้ว! อีกนิดเดียว!! 478!! มัค 478!! สำเร็จแล้วนีน่า!!”

    ในที่สุดยานก็หลุดจากแรงดึงดูดของปิเซรัสและมีความเร็วตามที่วิกเตอร์ต้องการคือ มัค 478 แรง G ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ค่อยๆหมดไป และภาพที่ปรากฎเบื้องหน้าของทั้งคู่ในตอนนี้ก็คือ เอโอซิลิซ หรือชื่อของโลกที่พวกเขาอยู่นั่นเอง นีน่ามองจากมุมนี้แล้วเธอคิดว่ามันช่างงดงามอะไรเยี่ยงนี้ แต่เธอมีเวลาไม่มากเนื่องจากในอีกไม่ช้ายานจะพุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศชั้นนอกซึ่งเป็นปัญหาที่วิกเตอร์ว่าเอาไว้ในตอนแรก ทันทีที่ยานพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศทุกคนก็รู้สึกว่าถูกกระชากจากด้านหลังอย่างแรงความเร็วของยานเริ่มลดลงเรื่อยๆ แรงเสียดสีระหว่างตัวยานและชั้นบรรยากาศทำให้รอบๆของตัวยานถูกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉานเหมือนกับอุตกาบาต

    และเมื่อตัวยานฝ่าชั้นบรรยากาศชั้นแรกมาได้แล้วน้ำแข็งก็ค่อยๆเกาะที่บริเวณเครื่องยนตร์ทำให้เครื่องยนตร์ทุกเครื่องดับ ทำให้ยานของพวกเขาดิ่งลงในแนวดิ่งอย่างรวดเร็ว แต่นีน่าก็ยังสามารถประคองยานไม่ให้ออกนอกเส้นทางได้ วิกเตอร์ถึงกับตกใจกับค่าตัวเลขที่ลดลงอย่างรวดเร็ว มันเร็วกว่าที่เขาคำนวณเอาไว้มากเลยทีเดียว ถึงจะมีปัญหากับเครื่องยนตร์ก็น่าจะมีความเร็วพอที่จะไปยังตำแหน่งที่ให้นีน่าใช้เวทควบคุมแรงดึงดูดได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆยานของพวกเขาจะมีความเร็วไม่เพียงพอที่จะให้นีน่าทำอย่างนั้นเพื่อฝ่าเกราะมนตราเข้าไป แต่เขาก็คงต้องเสี่ยงเพราะทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ตามแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์เช่นเขา เขาหันมามองนีน่าซึ่งเธอทำการร่ายมนตราล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว เธอกำลังหน่วงพลังเวทเอาไว้และรอจังหวะจากวิกเตอร์ซึ่งเขาเองก็กำลังรอจังหวะเหมาะๆเช่นกัน

 

“เอาเลย! นีน่า!!”

     ทันทีที่สิ้นเสียงจากวิกเตอร์ร่างของนีน่าก็ถูกปกคลุมด้วยออร่าสีเงินทันใดนั้นความเร็วของตัวยานก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น นีน่าใช้เวทมนตร์ควบคุมแรงดึงดูดทำให้ความเร็วของยานเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ตามมาด้วยแรง G ที่เพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน ถึงขนาดทำให้อัคคามิฬเกิดอาการ Black Out! สลบคาที่นั่งไป แต่เนื่องจากการคำนวนของวิกเตอร์เกิดความคลาดเคลื่อนทำให้วิกเตอร์คิดว่าแบบนี้ไม่ทันการแน่ๆ เพราะด้วยระยะห่างจากชั้นบรรยากาศที่พวกเขาอยู่และเกราะมนตรานั้นอยู่ไม่ไกลกันมากแล้ว วิกเตอร์ เอื้อมมือไปโยกคันโยกสีเงินที่อยู่ตรงหน้าไปมาหลายครั้งเสียงเครื่องยนตร์ดัง “วื๊ดๆ” สองสามครั้งแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วิกเตอร์โยกคันโยกใหม่อีกครั้งคราวนี้เขาโยกอย่างไม่ลืมหูลืมตาทันใดนั้นเครื่องยนตร์ที่ถูกน้ำแข็งเกาะแน่นก็ถูกกระเทาะออกและทำงานได้อีกครั้ง ความเร็วของยานเพิ่มขึ้นไปอีก

 

“ดีมากแบบนี้ฝ่าเข้าไปได้แน่ๆ”

     เมื่อยานเข้าสู่ชั้นบรรยากาศชั้นสุดท้าย ภาพของเกาะขนาดมหึมาที่ไม่น่าจะเรียกว่าเกาะพร้อมด้วยโดมพลังเวทขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งเกาะและสะท้อนกับแสงแดดยามเย็นเกิดเป็นแสงสะท้อนสีส้มแวววับก็ปรากฎตรงหน้าของพวกเขา นีน่าและวิกเตอร์ถึงกับตะลึงในความใหญ่โตของมัน ก่อนที่วิกเตอร์จะดึงคันโยกที่อยู่ข้างๆตัวของเขา ทันใดนั้น บริเวณจมูกของยานก็มีแท่งพลังงานสีขาวอมเหลืองที่ถูกอัดขึ้นมาเป็นทรงปลายแหลมเหมือนกับหอกปรากฎขึ้น ยานพุ่งเข้าหาเกราะมนตรานั่นอย่างเร็วและเป็นไปตามคาดมันฝ่าทะลุเข้าไปในเกราะมนตรานั่นอย่างง่ายดายเหมือนผิวหนังคนเราโดนเข็มฉีดยา ทันทีที่ตัวยานฝ่าเข้ามาภายในเกราะมนตราได้ทั้งลำ นีน่าก็เปลี่ยนแรงดึงดูดที่กระทำกับตัวยานทันที พร้อมกับเร่งเครื่องยนตร์หมายเลข 1 เต็มกำลังและหันเครื่องยนตร์ที่เหลือทั้ง 4 ตัว ไปด้านหน้าและค่อยๆประคองคันโยกเพื่อไม่ให้แรงขับของเครื่องยนตร์ทั้ง 4 ดันพวกเขากลับขึ้นไป ความเร็วของยานลดลงไปมากแต่ก็ยังเร็วไปสำหรับการลงจอดอยู่ดี

“วิกต์! อย่าลืมชั้นของพายุสายฟ้านะ ระวังให้ดี”

     ดร.ไอแซค ติดต่อเข้ามาบอกกับทั้งคู่ ซึ่งนั่นทั้งคู่รู้ดีเพราะมันอยู่ตรงหน้านี่เอง นีน่ายังไม่กดปุ่มโอเวอร์ไดรฟ์เครื่องยนตร์เพราะนั่นจะทำให้ยานของพวกเขาช้าเกินไปและอาจจะโดนสายฟ้าเหล่านั้นผ่าเข้าได้ ยังไม่ทันขาดคำสายฟ้าเส้นใหญ่ก็ผ่าเฉียดปลายจมูกยานของพวกเขาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ตัวยานฝ่าชั้นพายุสายฟ้ามาได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้นปัญหาที่เหลืออยู่ก็คือการลงจอด แต่ด้วยความเร็วขนาดนี้จะทำยังไงดีล่ะ?

     นีน่าตัดสินใจปลดเวทควบคุมแรงดึงดูดที่ฉุดยานเอาไว้ออกเพื่อให้ยานลงจอดอย่างธรรมชาติ ยานพุ่งลงมาด้วยความเร็วอีกครั้ง ทันใดนั้นนีน่าดันคันโยกจนสุดเครื่องยนตร์ทั้ง 4 ตัวทำงานอย่างเต็มที่ นีน่าดึงคันโยกสีน้ำเงินที่อยู่ใกล้ๆเธอสุดแรง เบรคฉุกเฉินแทนที่จะเป็นเบรคอากาศทั้ง 21 จุด ด้านหน้า 3 จุด ตรงกลางของตัวยาน 6 จุด ด้านหลังอีก 4 จุด และบริเวณเครื่องยนตร์ทั้ง 4 เครื่องอีกเครื่องละ 2 จุด ถูกกางออกทันที ความเร็วของยานทำให้เบรคฉุกเฉินบางจุดหักออกไปเนื่องจากแรงลมปะทะ แต่ความเร็วของยานก็ลดลงอย่างเป็นที่น่าพอใจ นีน่าโยกคันบังคับขึ้นเล็กน้อยให้ตัวยานเชิดขึ้น และค่อยๆบังคับมันลงบนพื้นดินอย่างทุลักทุเล แต่ก็ไม่วายที่ยานจะพุ่งชนเข้ากับต้นไม้จนได้ แต่ทุกคนภายในยานก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

     ทันทีที่เครื่องลงจอดคอนสแตนตินในชุดเกราะหิ้วปีกของอัคคามิฬที่สลบไปเพราะอาการ Black Out! เข้ามาในห้องนักบินและยกนิ้วโป้งให้กับทั้งคู่ ก่อนที่ ดร.ไอแซค จะทำการเปิดประตูยาน Android สาวทั้ง 3 ถูกส่งออกไปข้างนอกเป็นหน่วยกล้าตายก่อน เมื่อสัญญาณมือจากฟรีน่าส่งมาเป็นเชิงว่าทุกอย่างเคลียร์ ดร.ไอแซค ตามด้วยคอนสแตนตินและอัคคามิฬที่ยังไม่ได้สติก็ลงจากยานไป

“เบรคฉุกเฉินงั้นเหรอ? เกินคาดจริงๆนะ เธอเนี่ย คิดว่าจะต้องใช้โอเวอร์ไดรฟ์ช่วยซะแล้วสิ แบบนี้ก็ผ่อนแรงในการซ่อมแซมไปได้เยอะเลย”

“ชั้นเห็นไอฺ้นี่ในแบบแปลนน่ะ ก็เลยคิดว่าน่าจะใช้ได้เพราะตัวยานก็ออกแบบมาเพื่อใช้ในความเร็วสูงมาก ฉะนั้นเบรคฉุกเฉินก็คงจะทำจากวัสดุที่แข็งแรงกว่าเบรคอากาศธรรมดามากอยู่แล้ว อย่าเพิ่งพูดมากเลย ชั้นว่าเรารีบลงจากยานเถอะ”

     นีน่าพูดจบก็วิ่งลงจากยานไปรวมกับกลุ่มของ ดร.ไอแซค วิกเตอร์ส่ายหัวเล็กน้อยก่อนที่จะตามนีน่าออกไปและเมื่อเขาออกมาภายนอกก็พบว่าบรรยากาศรอบๆนั้นเลวร้ายมาก เพราะท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆหนาสีเทาหม่นที่มีฟ้าผ่าจำนวนมาก แถมลมกรรโชกแรงเหมือนกับจะเกิดพายุ และที่สำคัญต้นไม้ใบหญ้ารอบบริเวณเหิ่ยวแห้งบ่งบอกถึงความสิ้นหวังอย่างสุดๆ เมื่อทุกคนออกมาจากยานกันหมดแล้ว ดร.ไอแซค ก็เคลื่อนแท่นลอยตัวเข้าไปใกล้ๆกับตัวยานแล้วทำอะไรบางอย่างซึ่งไม่มีใครเห็นได้ ทันใดนั้นก็มีประกายสีขาวห่อหุ้มตัวยานเอาไว้ก่อนที่มันจะสลายไป เหลือแต่แคปซูลขนาดเท่าไข่ไก่สีน้ำเงินหล่นอยู่ ดร.ไอแซค ใช้แขนกลจากแท่นลอยตัวของเขาเก็บมันขึ้นมาแล้วใส่ไว้ในช่องเล็กๆไว้สำหรับใส่สิ่งของจำเป็นที่อยู่ด้านหลังของแท่นลอยตัวนั่น

“วิกต์ เธอเอาไอฺ้นั่นออกมาสิ”

“ได้ครับ ดร.”

     วิกเตอร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วลากนิ้วชี้เป็นวงกลมกลางอากาศ ก่อนจะเกิดหลุมดำเล็กๆขึ้นมาเขาล้วงมือเข้าไปในหลุมนั้นแล้วดึงแคบซูลสีเขียวขนาดเท่าไข่ไก่ออกมา 1 ชิ้น ก่อนที่จะกดสวิตซ์ที่ด้านข้างของมันแล้วโยนออกไปไม่ไกลจากตัวมากนัก แคปซูลนั่นแตกออกก่อนที่จะตกถึงพื้น ประกายแสงสีขาวเกิดขึ้นอีกครั้งและเมื่อแสงนั่นจางลง หุ่น APU (Armored Personal Units) เกราะหุ่นยนตร์ตัวสีดำสูงประมาณ 3 เมตร ที่ท่อนแขนทั้ง 2 ข้างมีแท่นขนาดใหญ่ติดอยู่คาดว่าเอาไว้สำหรับติดอาวุธประเภทต่างๆ ตรงส่วนที่เป็นที่นั่งคนขับจะมี 2 ที่นั่งและมีฝาครอบเป็นกระจกกันกระสุนซึ่งตอนนี้เปิดอ้าอยู่ ตรงส่วนด้านหลังจะมี Pack ขนาดใหญ่พอๆกับลำตัวของมันอยู่เป็นที่เก็บแหล่งพลังงานและอุปกรณ์ต่างๆรวมไปถึงเสบียง

     วิกเตอร์ไม่รอช้าปีนขึ้นไปนั่งในที่นั่งคนขับทันที และเอาอุปกรณ์บังคับที่เหมือนกับถุงมือที่มีสายระโยงระยางมาสวมเอาไว้ก่อนที่จะเอื่อมมือไปเปิดระบบให้เครื่องทำงาน ชุดเกราะหุ่นยนตร์นั้นยืดตัวขึ้นตรง ตอนนี้ความสูงมันเกือบ 5 เมตรเลยทีเดียว เมื่อวิกเตอร์กำหมัด ชุดหุ่นยนตร์ก็กำหมัดตามเขาเช่นกัน วิกเตอร์ลองเหวี่ยงแขนทั้ง 2 ข้างไปในทิศทางต่างๆ หุ่นตัวนั้นก็ทำตามอย่างที่เขาทำทุกอริยาบท

“พร้อมแล้วครับ ดร.”

     วิกเตอร์บอกกับทุกคนก่อนที่จะยื่นแขนหุ่นยนตร์ของเขามาที่ด้านหน้าของคอนสแตนติน ทางด้านคอนสแตนตินนั้นก็งงกับท่าทางของวิกเตอร์เล็กน้อยแต่ก็พอเข้าใจ เขาวางอัคคามิฬที่สลบไม่ได้สติลงบนมือนั่น วิกเตอร์ชักมือกลับอย่างช้าๆก่อนจะบังคับให้มันย่อนเขาลงบนที่นั่งคนขับในตำแหน่งที่ 2 ก่อนจะปิดฝาครอบกระจกของหุ่นนั่น และเมื่อทุกคนกำลังจะออกเดินทางอยู่ๆ เฟรย่า Andriod ของนีน่าก็จับสัญญาณของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ได้

“ทางทิศ 3 นาฬิกา มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ค่ะ...”

“จำนวนล่ะ?”

     วิกเตอร์ถามกลับก่อนบังคับให้หุ่นหันไปยังทิศทางที่เฟรย่าบอก แต่ทันใดนั้นเฟรย่าก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า

“สัญญาณขาดหายไปแล้วค่ะ...”

     ในขณะที่วิกเตอร์กำลังจะหันหุ่นกลับสิ่งมีชีวิตที่ว่าก็พุ่งออกมาจากป่าข้างๆพวกเขาและเข้าหาเขาด้วยความเร็วและใช้นอเรืองแสงเป็นประกายของมันชนเขากระเด็นไปหลายเมตร ขนาดของตัวมันใหญ่เสียจนทุกคนพากันอึ้ง ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ว่านั่นคล้ายกับแรดทั่วๆไป แต่ตามส่วนที่เป็นข้อต่อของร่างกายจะถูกแยกออกจากกันและมีเหมือนกับกระแสไฟฟ้าทำให้มันเชื่อมต่อกันอยู่ และส่วนหัวที่เป็นนอนั้นจะเป็นแรงอัดของพลังเวทจนเกิดเป็นรูปร่างเหมือนกับนอแรดเรืองแสงขึ้นมา มีขนาดตัวสูงประมาณ 3.7 เมตร กว้าง 3 เมตร ยาว 5.8 เมตร วิกเตอร์บังคับหุ่นขึ้นมายืนได้ใหม่พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า

“ทุกคนหาที่หลบเร็วเข้า!”

     ทุกคนทำตามวิกเตอร์อย่างว่าง่ายเพราะขนาด Andriod ที่ว่าแน่นักหนายังคำนวนอัตราชนะสิ่งมีชีวิตรูปแบบนี้ออกมาแทบจะเป็น 0% เนื่องจากผิวหนังของมันสามารถทนต่อการโจมตีได้แทบทุกชนิด และยังสามารถสะท้อนพลังเวทได้อีกด้วย แถมยังมีพละกำลังมหาศาลยิ่งกว่าเอาช้าง 100 เชือกมารวมกัน วิกเตอร์เองก็ใช่ว่าจะเห็นทางชนะ เขาเหวี่ยงแขนออกไปด้านข้างทั้ง 2 ข้าง และแสดงท่าทางเหมือนเป็นการท้าทายพละกำลังเจ้าสัตฺว์ตัวนั้น

     มันทำท่าทางเดือดดาลพ่นลมหายใจที่เป็นไอสีม่วงออกมาจากรูจมูกของมัน สะบัดหัวเล็กน้อยก่อนจะร้องคำราม “โฮกกกกก!” เสียงดังลั่นจนพื้นดินสะเทือน และวิ่งเข้าใส่เป้าหมายหวังจะปลิดชีวิตด้วยการขวิดในครั้งนี้

“ไรโนเซบูรัส! ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรที่มันยุ่งยากตั้งแต่แรกเลยแฮะ”

     วิกเตอร์คิดพลางย่อตัวหุ่นลงเล็กน้อยเพื่อเตรียมรับแรงกระแทกที่กำลังจะเกิดขึ้น มันวิ่งเข้ามาเรื่อยๆด้วยความเร็วที่มากขึ้นๆ และพุ่งเข้าชนวิกเตอร์เต็มแรงแต่วิกเตอร์ใช้ความไวรวมไปถึงเทคนิคที่เหนือกว่าจับนอเรืองแสงและดันหัวของมันเอาไว้ เสียงเคร้งคร้างและประกายไฟของโลหะที่เสียดสีกับนอพลังเวทเรืองแสงของมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลมหายใจของมันที่ถูกพ่นออกมาเสียงดัง “ฟืดฟาดๆ” แสดงว่ามันก็เอาจริงเช่นกัน ทั้งคู่ประลองกำลังกันอยู่สักพัก วิกเตอร์ตัดสินใจรวบรวมพลังภายในทั้งหมดเหวี่ยงตัวมันลอยออกไปด้านข้างข้ามหัวของพวกนีน่าไปมันตกลงกับพื้นและกลิ้งไปไกลพอๆกับที่มันชนเขากระเด็น

“อย่ามาดูถูกกันนะเว้ย! ไอฺ้แรดดึกดำบรรพ์! แน่จริงก็เข้ามา!”

     มันแสดงท่าทีเดือดดาลมากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นออร่าสีม่วงก็ห่อหุ้มตัวมันไว้ แรงกดดันมหาศาลจากพลังเวททำให้ทุกคนถึงกับขนลุก ทันใดนั้นมันกระทืบเท้า 2-3 ครั้ง ทำให้หุ่นของวิกเตอร์ทรุดลง มันโจมตีเขาด้วยคลื่นกระแทกที่ทำให้ระบบของหุ่นรวนไประยะหนึ่ง และตามมาด้วยหอกดินปลายแหลมพุ่งเป็นแฉกๆขึ้นมาจากพื้นดินและตรงเข้าหาวิกเตอร์ทันที กลุ่มฝุ่นควันสีน้ำตาลคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ วิกเตอร์อยู่ท่ามกลางกลุ่มควันนั้นซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“วิกเตอร์!!!”

     นีน่าตะโกนออกมาสุดเสียง และเมื่อกลุ่มควันค่อยๆจางลง สิ่งที่ปรากฎตรงหน้านั่นคือหุ่นของวิกเตอร์ที่อยู่ในท่านั่งชันเข่า 1 ช้างพร้อมกับเอากำปั้นทุบดิน ซึ่งตรงหน้าของเขานั้นตอนนี้มีกำแพงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นมาจากดินกั้นเขาเอาไว้จากหอกปลายแหลมเหล่านั้น เมื่อแรดดึกดำบรรพ์ตัวนั้นเห็นว่าเป้าหมายของมันยังอยู่ มันยิ่งแสดงท่าทางเดือดดาลเข้าไปใหญ่ ส่วนทางด้านวิกเตอร์เองนั้นก็แสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตะคอกใส่มันเสียงดัง

“บอกแล้วใช่ไหม!? อย่ามาดูถูกพลังของนักวิทยาศาสตร์อย่างชั้น!”

 

-= Lesson 5 End =-

-= To Be Continue Lesson 6 =-

 

-= เกร็ตท้ายบท =-

 

ดอกทงไป่หลั๋น [อ้างอิงจากบทที่ 4]

- ดอกไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไปบนผืนดินของ เอโอซิลิซ ดอกของมันมีลักษณะคล้ายดอกกุหลาบมีสีแดงสดดูสวยงาม แต่ไม่มีกลิ่นหอมเลยสักนิดเดียว แต่เวลาโดนน้ำสีของดอกจากสีแดงจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง และส่งกลิ่นหอมหวนชวนหลงไหล ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้คนมักนิยมเอามาทำเป็นชาไว้ดื่มกัน เพราะมีสรรพคุณรักษาโรคหวัด ภูมิแพ้ ลดน้ำมูก แก้เจ็บคอ แก้ปวดข้อและกล้ามเนิ้อ แต่นั่นต้องใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไปจะกลายเป็นยาที่ให้โทษซึ่งมีฤิทธิ์หลอนประสาทและทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา