~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age]

8.3

เขียนโดย Daimaou_no_Sora

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.46 น.

  12 Lesson
  28 วิจารณ์
  21.68K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) หัวใจของเครื่องจักร และ ปริศนาของ F.R.E.Y.A [2]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

-= ~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age] - The Chronicle of Zodas =-

 

http://www.keedkean.com

 

-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-

 

-= Lesson 11 : หัวใจของเครื่องจักร และ ปริศนาของ F.R.E.Y.A [ตอนที่ 2] =-

 

เมื่อทั้งคู่ขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าที่กว้างประมาณครึ่งของสนามฟุตบอล ก็ต้องพบกับการต่อสู้ระหว่าง Android สาวทั้ง 2 ตัวที่อยู่ท่ามกลางสายฝน โดยที่ เอมมอนส์ นั้นเธอจะคอยถอยทิ้งระยะให้ห่างจาก อลิเซียร์ พร้อมกับยิงลำแสงจากฝ่ามือเพื่อโจมตีใส่ไปด้วย แต่ทว่า อลิเซียร์ ได้กางอาณาเขตต่อต้านอาวุธและเวทมนตร์เอาไว้รอบๆตัวเธอ จึงทำให้ลำแสงนั้นถูกเบี่ยงเบนออกไป แต่ก็ใช่ว่าอาณาเขตนี้จะอยู่ยงคงกระพัน แน่นอนว่ามันต้องมีลิมิตในเรื่องของระยะเวลา ซึ่ง เอมมอนส์ น่าจะรอจังหวะนี้อยู่ เอลลิค และ โยดริว ซึ่งกำลังหลบอยู่หลังซากกำแพงและกำลังประเมินสถานการณ์อยู่ห่างๆ เมื่อเขาเห็น อลิเซียร์ ที่กำลังเสียเปรียบในเรื่องระยะ ก็แสดงท่าทีร้อนรนขึ้นมาและเอ่ยกับ โยดริว ที่อยู่ข้างๆ

“ไปช่วย อลิเซียร์ กันเถอะ”

ขณะที่ เอลลิค กำลังจะออกไป โยดริว ได้ใช้แขนของตนมาขวางเขาเอาไว้ พลางส่ายหน้าเล็กน้อย เนื่องจากนี่เป็นการต่อสู้ระหว่าง Android ด้วยกัน ฉะนั้นถ้าขืนปล่อยให้มนุษย์อย่างเขาออกไป โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตกลับมานั้นจะเท่ากับ 0%

“คุณรออยู่ตรงนี้เถอะครับ ผมส่งสัญญาณไปให้ A-0001 กับ A-0002 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีก 180 วินาที ทั้ง 2 ก็จะมาสมทบกับเราที่นี่

ว่าแล้ว โยดริว ก็รีบออกไปช่วย อลิเซียร์ ทันที เอมมอนส์ เองนั้นเมื่อเห็นศัตรูตัวใหม่โผล่ออกมาก็พุ่งตัวเข้าไปถีบใส่กลางหน้าท้องของ อลิเซียร์ อย่างแรงเสียจนเธอกระเด็นไปทะลุเข้ากับซากกำแพงแถวๆนั้น ก่อนจะหันฝ่ามือไปทาง โยดริว แล้วกระหน่ำยิงลำแสงสีน้ำเงินใส่เขาแต่ทว่ารอบๆตัวของ โยดริว นั้นก็มีม่านพลังสีเหลืองอ่อนคลุมอยู่ เนื่องจากเขาได้เปิดเกราะมนตราเอาไว้ก่อนหน้านั้นเป็นที่เรียบร้อย จึงสามารถป้องกันมันเอาไว้ได้ทัน เขาค่อยๆเดินฝ่าลำแสงนั่นเข้าไปทีละนิดๆ แต่ด้วยอนุภาพของลำแสงที่ยิงออกมาแต่ละครั้งนั้น ทำให้เขาต้องเขยิบถอยหลังไปประมาณก้าวถึงสองก้าวเสมอ

“Change Reflector Mode MG Barrier Full Charge…”

โยดริว เปลี่ยนสภาพเกราะมนตราของตนเป็นแบบสะท้อนกลับ เมื่อลำแสงของ เอมมอนส์ กระทบกับเกราะมนตรานั่น มันก็สะท้อนกลับมาหาเธอทันที แต่ทว่าเธอเบี่ยงตัวหลบได้ทัน ก่อนจะพุ่งตัวเข้าคลุกวงใน โยดริว อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ เอมมอนส์ จะเข้าถึงตัวเขานั้น อยู่ๆก็มีโซ่ตรวนติดกรงเล็บพุ่งมาจากในเงามืดหลังบานประตูดาดฟ้าที่มืดสนิทนั่น มันปักเข้าที่พื้นระหว่าง เอมมอนส์ และ โยดริว พอดิบพอดี ทั้ง โยดริว และ เอมมอนส์ ต่างละสายตาจากกันและหันไปมองเงามืดหลังบานประตูนั่น ก่อนที่เงามืดจะค่อยๆปรากฎร่างของหญิงสาวผมยาวเรี่ยลำคอสีม่วงแกมน้ำเงิน อายุประมาณ 25 ปี ผู้มีผิวซีดเผือกออกเขียวคล้ำแกมน้ำเงิน ซึ่งทั้งตัวมีแต่รอยเย็บที่เชื่อมทุกส่วนเอาไว้ด้วยกันด้วยเส้นด้ายบางเฉียบ มือทั้ง 2 ข้างของเธอนั้นเป็นกรงเล็บโลหะที่แหลมคม ซึ่งตอนนี้มือข้างหนึ่งของเธอได้ปักติดอยู่กับพื้นตรง Android ทั้งคู่นั่นเอง ซึ่งถูกหล่ามเอาไว้ด้วยโซ่ตรวนที่ลากออกมาจากข้อมือของเธอ นัยต์ตาสีแดงราวกับโลหิตที่มีรอยคล้ำใต้ตานั่นไม่ระบุว่าเป็นมิตรหรือศัตรู มันจ้องไปที่ เอมมอนส์ เขม็งก่อนที่รอยแสยะยิ้มสยองบนใบหน้าจะค่อยๆปรากฏขึ้นเผยให้เห็นฟันสีขาวอมเหลืองนั่นได้ชัดเจน ก่อนที่จะชักกรงเล็บที่ปักอยู่ที่พื้นกลับเข้าที่

“เธอเองสิน้า~~~ ที่ทำร้ายเจ้านาย~~~ ของชั้น~~~”

เสียงยานคางฟังแล้วขนลุกที่หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้นทำให้ เอลลิค ที่อยู่ใกล้ๆถึงกับเกร็งตัวแข็งขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด เขาจ้องเขม็งดูหญิงสาวผู้ที่ดูยังไงก็ไม่ใช่มนุษย์ ทันใดนั้นเธอเองก็หันมามองเขาเช่นกัน ก่อนจะแสยะยิ้มน่ากลัวนั่นให้เขา

“ตรวจไม่พบคลื่นหัวใจ แต่คาดว่าน่าจะเป็นภัย จะเริ่มทำการกำจัด”

เอมมอนส์ หันมาสนใจหญิงสาวคนนั้นมากกว่า โยดริว ที่อยู่ใกล้ๆ เธอพุ่งตัวเข้าหาหญิงสาวคนนั้นทันที แต่ทว่า…

“เกเลม~~ ตอนนี้ล่ะ~~”

ทันใดนั้นแท่งดินสีน้ำตาล 2 แท่งก็พุ่งออกมาจากเงามืดตรงประตู และผ่านข้างลำตัวของหญิงสาวไปอย่างฉิวเฉียด เอมมอนส์ ซึ่งไม่ได้คาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้ล่วงหน้า จึงโดนแท่งดินที่แข็งราวกับเหล็กกล้าพุ่งอัดเข้ากลางลำตัวและใบหน้า จนเธอกระเด็นปลิวไปพร้อมกับแท่งดินนั่น คราวนี้หญิงสาวอีกคนที่ไว้ผมยาวสีน้ำตาลอมดำระต้นคอ รูปร่างบอบบางผู้มีผิวกายสีน้ำตาลราวกับดิน และผิวมีรอยแตกเล็กน้อย นัยต์ตาสีขาวขุ่นมัวไร้แววตานั่นก็ดูลึบลับไม่แพ้หญิงสาวคนแรกเลยแม้แต่น้อย เธอเดินออกมาจากเงามืดนั่นแต่เมื่อผิวเธอสัมผัสเข้ากับสายฝนเธอก็ต้องรีบเข้าไปหลบในเงาประตูอีกครั้ง

“พวกเธอเป็นใครกันเนี่ย!?”

เอลลิค เอ่ยถามหญิงสาวลึกลับ 2 คนนั่นเสียงสั่น แต่อยู่ๆก็มีเสียงที่เขาคุ้นเคยดังออกมาจากบานประตูนั่น

“ชั้นเรียกพวกเธอออกมาเองแหละ…”

เจ้าของเสียงนั่นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น ดร.ไอแซค ซึ่งมาพร้อมกับ Android อีก 2 ตัวที่ เอลลิค สั่งให้ไปทำการช่วยเหลือ แต่สภาพของ ดร.ไอแซค ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บหนักเอาการอยู่เหมือนกัน และดูเหมือนขาขวาของเขาจะหักด้วย แต่ร่างกายส่วนอื่นๆนอกจากแว่นที่แตกแล้วก็ไม่มีส่วนไหนที่น่าเป็นห่วงมากนักเพราะได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาแล้ว ราเนส ค่อยๆพยุงตัว ดร.ไอแซค นั่งลงข้างๆ เอลลิค ก่อนที่เขาจะสั่งงานกับ Android ที่อยู่ตรงหน้า

“พวกเธอ 2 คน ออกไปช่วยสนับสนุน A-0004 และ A-0005 ทีนะ ภารกิจคือ หยุดการทำงานของ A-0003 ให้ได้ หรือถ้าทำไม่ได้ ก็อนุญาติให้ทำลาย A-0003 ทิ้งได้ทันที”

“รับทราบค่ะ/ครับ”

Android ทั้ง 2 รีบเข้าไปช่วย อลิเซียร์ ที่อยู่ใต้ซากกำแพงหินก่อนทันที โดย ราเนส รับหน้าที่ยกแผ่นคอนกรีตใหญ่ยักษ์นั่น ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของ Android นั้น ทำให้ ราเนส สามารถยกแผ่นคอนกรีตนั่นได้อย่างสบายๆราวกับว่ามันไร้น้ำหนัก ก่อนเขาจะดึงร่างที่นอนแน่นิ่งของ อลิเซียร์ ขึ้นมา แต่ทว่า เอมมอนส์ ฟื้นตัวขึ้นมาได้ก่อน เธอยิงลำแสงจากฝ่ามืออีกครั้ง แต่ดีที่ โยดริว พุ่งตัวเข้ามากันทั้ง 3 เอาไว้ได้ทัน แต่เนื่องจากเขากระโดดเข้ามาขวางลำแสงเอาไว้ ทำให้เขาถูกแรงกระแทกจากลำแสงพลักกระเด็นลอยออกไป และไปเสียบเข้ากับแท่งเหล็กปลายแหลมขนาดใหญ่ที่เป็นโครงสร้างของตึกเข้า แท่งเหล็กนั่นมันเสียบทะลุกลางอกของเขาพอดิบพอดี ซึ่งจุดนั้นเป็นจุดที่ตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำหน้าที่คล้ายหัวใจถูกติดตั้งอยู่ ซึ่งนั่นทำให้ โยดริว แน่นิ่งไปในทันที

“โยดริว!!”

เอลลิค แหกปากตะโกนดังลั่นจนเผลอตัวยืนขึ้น จึงเปิดโอกาสให้ เอมมอนส์ ยิงลำแสงใส่เขาทันที แต่ก็ได้กำแพงดินที่ เกเลม สร้างขึ้นมากันเอาไว้ซึ่งกำแพงนั่นมันแข็งแกร่งก็จริงแต่พอเจอลำแสงที่ทรงอนุภาพของ เอมมอนส์ เข้าไปมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆได้ง่ายราวกับแก้ว ส่วน อลิเซียร์ นั้น ตอนนี้สามารถฟื้นตัวกลับมาทำงานได้แต่ไม่เต็มที่ 100% เนื่องจากโครงสร้างบางส่วนของเธอเริ่มเสียหายไปบ้างแล้ว เห็นได้ชัดจากแขนขวาของเธอที่ถูกคอนกรีตทับจนใช้การไม่ได้ ผิวหนังสังเคราะห์ในส่วนของใบหน้าซีกขวาก็ฉีกขาด เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงตัดสินใจกระชากแขนขวาที่ชำรุดของตัวเองออก เพื่อจะได้ไม่เกะกะเวลาต่อสู้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ทว่าร่างกายของเธอก็เสียหายมากจนเกินไป จนทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้

ส่วนทางด้าน ฟอลเรนเซียร์ นั้นเธอใช้ความสามารถของเธอที่สามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงสสารได้ บังคับซากคอนกรีตทั้งเล็กและใหญ่ ให้พุ่งเข้าใส่ เอมมอนส์ แต่คอนกรีตเหล่านั้นก็ถูกลำแสงจากฝ่ามือของเธอสะกัดเอาไว้ได้ทั้งหมด แต่อย่าคิดว่านั่นจะเป็นการโจมตีที่แท้จริงจาก ฟอลเรนเซียร์ เพราะเธอควบคุมให้โลหะที่เป็นโครงสร้างของอาคารที่กองอยู่แถวๆนั้นมาทำให้กลายสภาพเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนให้ลอยวนอยู่รอบๆตัวของเธอ ก่อนที่เธอจะอัดประจุไฟฟ้าจำนวนมากเข้าไป ทันใดนั้นบรรดาโลหะชิ้นเล็กๆเหล่านั้นก็เรืองแสงสีขาวสว่างจ้า และกระหน่ำพุ่งเข้าใส่ เอมมอนส์ ทันที กระสุนโลหะเหล่านั้นพุ่งไปด้วยความเร็วที่สูงมากจนมองเผินๆเหมือนกับ ฝนของลำแสงสีขาวจำนวนมากที่พุ่งเป้าไปยังเป้าหมายเดียว ใช่แล้วที่ ฟอลเรนเซียร์ ทำนั่นคือห่าฝน Railgun นั่นเอง

“สำเร็จไหม!?”

ดร.ไอแซค ตะโกนถาม Android สาว แต่เธอกลับนิ่ง พลางมองซากปรักหักพังที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมันทับถมกันโดยเกิดจากการโจมตีของเธอก่อนที่เธอจะตอบกลับ

“ไม่ค่ะ เป้าหมายสามารถหลบได้… ทะ…ทัน…”

เอมมอนส์ ที่อ้อมมาอยู่ข้างหลัง ฟอลเรนเซียร์ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เธอใช้ฝ่ามือขวาบีบอัดลำแสงจนกลายเป็นลูกบอลเล็กๆ และอัดเข้ากลางหลังของ ฟอลเรนเซียร์ ทันที จนทำให้แขนขวาของ เอมมอนส์ เกือบทั้งแขนทะลุเข้ากลางหลังของ ฟอลเรนเซียร์ และโผล่ออกมาตรงกลางหน้าอก แต่สิ่งที่ทะลุหน้าอกออกมานั้นไม่ได้มีแต่เพียงมือของ เอมมอนส์ เท่านั้น มันยังมีตัวขับเคลื่อนหลักติดมือเธอออกมาด้วย เธอกำมันเอาไว้แน่นและค่อยๆบีบมันจนแหลกคามือ ก่อนจะกระชากแขนออกจากร่างของ ฟอลเรนเซียร์ เธอล้มลงและแน่นิ่งไป เอมมอนส์ มุ่งเป้าไปยังเป้าหมายต่อไปคือ ราเนส ที่อยู่ใกล้ๆ

 

สายตาเย็นชาราวกับเจ้าหญิงหิมะของ เอมมอนส์ นั้นจับจ้องกับ ราเนส ซึ่งตอนนี้ Android ที่เหลืออยู่มีแค่เขากับ อลิเซียร์ เท่านั้น ด้วยความที่เป็น Android ความเกรงกลัวจึงไม่อยู่ในสารระบบ เขากระโจนเข้าหา เอมมอนส์ และซัดหมัดจากท่อนแขนอันล้ำบึ๊กของเขาอย่างต่อเนื่อง ความเร็วของหมัดค่อยๆเพิ่มความรวดเร็วขึ้น จนเกิดเป็นเสียงผ่าอากาศดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เอมมอนส์ นั้นเธอว่องไวกว่าเขาหลายเท่าตัว เธอหลบหมัดเหล่านั้นได้อย่างสบายๆ และมีหลายครั้งที่ ราเนส ใช้ความสามารถของตัวเองคือการเหาะเหินเดินอากาศ วกไปวนมารอบๆตัวของ เอมมอนส์ แต่เธอก็ยังสามารถหลบการโจมตีของเขาได้ทั้งหมด และเมื่อเธอเบื่อกับการเล่นหลบไปหลบมาแล้ว เธออาศัยจังหวะจับแขนขวาของ ราเนส เอาไว้แน่น และยิงลำแสงเข้าที่ข้อพับแขนนั่นในระยะใกล้จนมันขาดออกจากกัน แต่ เอมมนอส์ เธอยังคงถือส่วนที่เป็นท่อนแขนขวาของ ราเนส เอาไว้ในมือ ก่อนที่จะหวดมันเข้าที่ด้านข้างศรีษะของเขา

ตึง!! เคร้ง!! เสียงเหมือนของแข็งกระทบเข้ากับโลหะอย่างแรง จนผิวหนังสังเคราะห์ตรงใบหน้านั้นฉีกขาดและกระโหลกโลหะเกิดเป็นรอยหยุบเล็กน้อย ราเนส ล้มลงร่างของเขาชักกระตุกและสั่น เนื่องจากการหวดของเอมมอนส์นั้นคงจะไปกระเทือนเข้ากับอุปกรณ์สั่งงานที่ติดตั้งอยู่ในหัวเข้าให้ เอมมอนส์ ไม่ปล่อยให้เป้าหมายต้องทรมาณถึงจะเป็น Android ที่ไม่มีความรู้สึกก็ตามทีเถอะ เธอขึ้นคร่อมร่างของ ราเนส ก่อนจะเอาท่อนแขนที่เธอใช้ฟาดเขานั้น อัดเข้าที่หัวของเขาอย่างแรง หลายต่อหลายครั้งที่เสียงโลหะถูกกระแทกอย่างแรงและต่อเนื่องดังขึ้นพร้อมกับประกายไฟจากสายไฟหรือวงจรภายในเสียหาย ซึ่งไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปขวาง ส่วน 2 สาวที่ ดร.ไอแซค ทำการเรียกออกมานั้นใจจริงของพวกเธอก็อยากเข้าไปซัดกับ เอมมอนส์ ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ถูก ดร.ไอแซค สั่งให้คอยคุ้มกันพวกเขาอยู่ใกล้ๆห้ามไปไหนเด็ดขาด ในที่สุด เอมมอนส์ ก็อัดหัวของ ราเนส จนพังยับเยิน ในที่สุดเขาก็แน่นิ่งตาม Android 2 ตัวก่อนหน้านั้นไป

เอมมอนส์ ก้าวเท้าเข้าหาเป้าหมายต่อไปนั่นคือ กลุ่มของ เอลลิค และ ดร.ไอแซค แทนที่จะเป็น อลิเซียร์ ซึ่งในขณะที่ เอมมอนส์ เดินผ่าน อลิเซียร์ นั้น เธอมอง อลิเซียร์ ด้วยหางตาเพียงแค่นั้น และเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ ส่วนทางด้านกลุ่มผู้เคราะห์ร้ายนั้น เห็นว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว ดร.ไอแซค จึงสั่งให้ 2 สาวทำในสิ่งที่พวกเธออยากทำนั่นคือการเข้าไปสู้

“คราฟท์!! เกเลม!! ช่วยทีนะ เอลลิค เรารีบหนีกันก่อนเถอะ…”

“ไม่ครับ…”

“อะไรนะ? ขืนยังอยู่ที่นี่มีหวังพวกเราตายกันหมดแน่…”

“ดร.ไอแซค หนีไปก่อนเถอะครับ พอผมช่วย อลิเซียร์ ได้แล้ว ผมจะรีบตามไป”

เมื่อ ดร.ไอแซค ได้ยินสิ่งที่ เอลลิค พูดเขาก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า พร้อมกับซัดหมัดขวาเข้าที่แก้มซ้ายลูกน้องของตนสุดแรง ไม่ใช่เพราะ เอลลิค ขัดคำสั่ง แต่เป็นเพราะความโง่เขลาของเขาที่อยากจะช่วย Android เพียงแค่ตัวเดียวจนถึงขั้นยอมเอาชีวิตไปเสี่ยง

“เจ้าโง่!! นั่นมันเครื่องจักรนะ แกจะมายอมตายเพื่อเครื่องจักรอย่างงั้นเหรอ!!?”

“เธอไม่ใช่เครื่องจักร!! อย่าเอาเธอไปรวมกับ Android พื้นๆที่ไร้หัวใจพวกนั้นนะ!! เธอเองก็อยากที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ลองมองตาและการกระทำของเธอดูสิ!! นั่นเป็นสิ่งที่ Android ทั่วๆไปสามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ!!?”

“แต่ว่ามัน…”

“1 สัปดาห์ที่อยู่ด้วยกัน ถึงมันจะแสนสั้น แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเธอเองนั้นก็มีหัวใจ ไม่ได้แตกต่างจากพวกเราเลยแม้แต่น้อย!! ซึ่ง 1 อาทิตย์นั้น ผมได้ถือว่าเธอคือคนในครอบครัวของผมไปแล้ว คือลูกสาวของผมคนหนึ่งที่ผมสร้างเธอเองขึ้นมากับมือ… เพราะฉะนั้นผมซึ่งเป็นเหมือนกับผู้ที่เป็นพ่อ… ผมผิดเหรอที่ผมจะปกป้องลูกสาวของตัวเองน่ะ!!?”

“เอลลิค… นี่เธอ…”

“แต่ถ้าคุณยังมีความคิดที่เห็นแก่ตัวแบบนี้อยู่อีกล่ะก็… อย่าบังอาจเรียกตัวเองว่า ผู้ให้ชีวิตกับเครื่องจักร เลย ดร.ไอแซค ซานดาลฟอน…”

“เฮ้!! เอลลิค!! อย่าออกไป!”

เอลลิค กระโจนออกจากที่กำบัง ส่วน เอมมอนส์ นั้นเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขา เธอจึงคิดจะยิงลำแสงสะกัดเขาเอาไว้ แต่ทว่าโซ่ตรวนพร้อมกรงเล็บโลหะของ คราฟท์ ก็พุ่งเข้ามารั้งแขนของเธอเอาไว้ แถมยังมีดินเหนียวๆที่ เกเลม ทำให้โผล่ขึ้นมาจากพิ้นและยึดขาทั้ง 2 ข้างของเธอเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้อีก แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เอลลิค อาศัยจังหวะที่ เอมมอนส์ เคลื่อนไหวไม่ได้นั้นวิ่งเข้าไปหา อลิเซียร์ ทันที

“ขยับไหวมั้ย?”

“ระบบการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานทำงานไม่ปรกติค่ะ”

“อืม… เดี๋ยวชั้นจะลองแก้ไขปัญหาเบื้องต้นดูนะ เผื่อเธอจะขยับได้บ้าง…”

เอลลิค อ้อมไปด้านหลังของเธอ ก่อนจะเอามือปัดเส้นผมสีทองยาวๆของเธอให้พ้นจากหลังคอ เขาทาบนิ้วชี้ลงบนหลังคอของเธอเบาๆ ทันใดนั้นที่หลังคอของเธอก็เกิดเป็นกรอบสี่เหลี่ยมด้านเท่าขึ้นมา เขาเปิดมันออกอย่างแผ่วเบาแต่เร่งรีบเพื่อแข่งขันกับเวลา เมื่อเปิดแผ่นสี่เหลี่ยมนั่นออกมาก็ต้องพบกับแป้นตัวเลข 0-9 ที่มีปุ่มเล็กๆขนาดที่ต้องใช้อุปกรณ์ปลายแหลมจิ้ม เขาหยิบแท่งปลายแหลมสีเงินเงาวับออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะใช้แท่งปลายแหลมนั่นจิ้มรหัสเป็นเลขชุด 45 หลัก ซึ่งแปลงออกมาเป็นรหัสตัวอักษรได้ว่า [M-O-V-E-M-E-N-T-S-Y-S-T-E-M-B-Y-P-A-S-S]

เมื่อ เอลลิค ใส่เลขรหัสครบแล้ว ร่างของ อลิเซียร์ ก็เกิดอาการชักกระตุกเล็กน้อยเหมือนถูกไฟช็อต เธอหันมายิ้มให้กับเขา ก่อนจะค่อยๆพยุงร่างที่ใกล้จะพังเต็มทีของเธอขึ้นจากพื้น เอมมอนส์ เมื่อสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของ คราฟท์ และ เกเลม ออกมาได้ เธอก็ยิงลำแสงใส่ทั้ง 2 สาวทันที โดยที่ทั้ง 2 สาวยังไม่ทันที่จะตั้งตัว คราฟท์ โดนลำแสงเข้าที่กลางหน้าอกอย่างจัง จนร่างของเธอสลายกลายเป็นหมอกไป ส่วน เกเลม นั้นเธอแค่โดนถากๆจนผิวบริเวณลำตัวแตกร่อนออกมา แต่ไม่ทันไรมันก็ถูกฟื้นฟูให้กลับมาเป็นสภาพดังเดิม

“ผืนปฐพีที่โอบอุ้มความตายเอ๋ย จงแปลงจุดจบให้เป็นจุดเริ่มต้น จงเปลี่ยนความตายให้เป็นการกำเนิด จงหลอมรวมจิตวิญญาณอันไร้ที่พึ่ง เพื่อก่อกำเนิดเป็นร่างใหม่ จงฟื้นขึ้นมาทาสรับใช้ความตายแห่งข้า!!”

ดร.ไอแซค กล่าวบทอัญเชิญเรียก คราฟท์ ออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นวงแหวนเวทสีม่วงอมดำก็เกิดขึ้น ก่อนที่เธอค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากวงแหวนเวทนั่น และกลับมาด้วยอารามณ์ที่ค่อนข้างจะฉุนเฉียวเล็กน้อย ผิดกับหน้าตาตายด้านของเธอไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์แบบนั้นเลยสักนิด เธอเหวี่ยงโซ่ตรวนที่เชื่อมกับกรงเล็บโลหะเธอเหมือนกับโคบาลไปมาบนอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงมันใส่ เอมมอนส์ เธอหลบมันได้อย่างฉิ่วเฉียดแต่ทว่า คราฟท์ เพียงแค่สะบัดมืออีกข้างที่จับโซ่นั่นเล็กน้อย กรงเล็บทะยานฟ้า ของเธอก็เปลี่ยนทิศทางทันทีคราวนี้มันข่วนเข้าที่ตาซ้ายของ เอมมอนส์ จนเกิดเป็นรอยบาด ตาซ้ายของเธอได้รับความเสียหาย คราฟท์ ไม่ปล่อยให้เป้าหมายที่ทำให้เธอหายไปลอยนวล เธอสะบัดโซ่อีกครั้งมันเข้ารัดตัว เอมมอนส์ ทันที ก่อนที่เธอจะกระชากตัว Android สาวเข้ามาหาตัว และทันใดนั้น เกเลม ที่รอจังหวะนี้อยู่ เธอรวบรวมพลังไว้ที่หมัดขวา และซัดหมัดซ้ำเข้าที่เบ้าตาซ้ายของ เอมมอนส์ อีกครั้งอย่างแรง คราวนี้เบ้าตาซ้ายเธอหยุบและแตกออกทันที คราฟท์ สะบัดโซ่อีกครั้ง มันปลด เอมมอนส์ ออกจากพันธนาการ และด้วยแรงต่อยของ เกเลม ก็ทำให้ เอมมอนส์ กลิ้งไปไกลจนไปกระแทกกับกองโลหะที่อยู่แถวๆนั้น จนมันหล่นลงมาทับและขังเธอให้อยู่ใต้นั้น

เอมมอนส์ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเลได้สำเร็จ แต่ทว่าแรงกระแทกที่เธอได้รับบวกกับบาดแผลที่ เกเลม เป็นคนสร้างขึ้น ทำให้ลูกตาซ้ายของเธอนั้นหลุดออกมาจากเบ้า แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเพราะเธอใช้วิธีเดียวกับ อลิเซียร์ นั้นคือ เมื่อส่วนใดที่เสียหายก็กระชากมันออกมาก็สิ้นเรื่อง ตอนนี้เธอเลยเหลือดวงตาเพียงแค่ข้างเดียว ทั้ง 3 ยังคงตะลุมบอนกันอย่างเมามันส์ จนลืม อลิเซียร์ และ เอลลิค ไปเสียสนิท เขาอาศัยจังหวะที่กำลังชุลมุนกันอยู่นั้น พา อลิเซียร์ เข้าที่กำบังทันที

“เอลลิค เธอต้องใช้ เอเลเกียร์ รีบหยุดการทำงานของ เอมมอนส์ ซะ”

“แต่เธอไม่เปิดช่องว่างให้เราเข้าไปใกล้ๆได้เลยนะครับ”

“เรื่องนั้น… ให้เป็นหน้าที่ของชั้นเองค่ะ…”

“อลิเซียร์ แต่สภาพร่างกายเธอไม่ไหวแล้วนะ? ขืนโดนลำแสงของ เอมมอนส์ เข้าไปมีหวัง…”

“คุณคอยตามอยู่ข้างหลังชั้นก็พอค่ะ”

อลิเซียร์ ไม่ยอมเชื่อฟังคำที่ เอลลิค บอก เธอเดินออกจากที่กำบัง เขาเองก็เช่นกันถึงใจของเขาจะไม่อยากให้เธอต้องเสียหายไปมากกว่านี้ แต่เขาก็ต้องหยุด เอมมอนส์ ลงให้ได้ก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปมากกว่านี้ อลิเซียร์ ค่อยๆก้าวเข้าไปหา เอมมอนส์ อย่างช้าๆ แต่ก็เช่นเคย เอมมอนส์ เมื่อตรวจจับได้ว่ามีภัยกำลังคุกคามเข้ามา เธอก็กระหน่ำยิงลำแสงใส่ทันที แต่มันก็ถูกเบนออกไปด้านข้างเพราะ อลิเซียร์ ได้กางอาณาเขตอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่เต็มที่ 100% เพราะมีลำแสงอยู่บางเส้นที่ไม่ถูกเบนออกไป ส่วน 2 สาว ก็คอยก่อกวนไม่ให้ เอมมอนส์ ไปจดจ่ออยู่กับทั้งคู่เพียงอย่างเดียว

“อย่าลืม~~ พวกเราสิ~~ หุหุหุ~~”

เมื่อทั้งคู่เข้ามาใกล้ตัวของ เอมมอนส์ แล้ว คราฟท์ ก็ใช้โซ่ตรวนรั้งแขนขวาของ เอมมอนส์ เอาไว้ ส่วน เกเลม ก็อ้อมเข้าไปด้านหลังและกลายสภาพเป็นดินเหนียว ก่อนจะหุ้มร่างทั้งร่างของ เอมมอนส์ เอาไว้ไม่ให้เธอสามารถขยับตัวได้ เอลลิค เปิดการทำงานของ เอเลเกียร์ เขากัดฟันแน่นอีกครั้งเพราะแรงสั่นสะเทือนอันมหาศาลจากมัน อลิเซียร์ ที่อยู่ใกล้ๆเองก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนนี้จนทำให้วงจรภายในของเธอเริ่มรวน จนอาณาเขตที่เธอกางเอาไว้นั้นถูกปลดออก

เปรี้ยง!! ลำแสงจากมืออีกข้างของ เอมมอนส์ ที่โผล่ออกมาจากดินเหนียวนั่น พุ่งเข้ากลางหน้าอกของ อลิเซียร์ จนเธอทรุดลงกับพื้น

“อลิเซียร์!!”

“อยู่~~ เฉยๆ~~ สิ~~”

“อย่าขยับสิคะ~~”

 

คราฟท์ และ เกเลม รั้งตัว เอมมอนส์ แน่นเข้าไปอีก คราวนี้ ลำแสงนั่นถูกยิงไปออกไปแบบส่งๆสะเปะสะปะไร้ทิศทาง เอลลิค ประคองร่างของเธอเอาไว้ในอ้อมกอด เขาตรวจดูสภาพโดยรวมของเธอปรากฎว่าวงจรของเธอยังไม่ดับไป แต่แววตาของเธอเริ่มเลือนลางไปทีละนิดๆ เขาจับมือแข็งกระด้างของเธอเอาไว้แน่น และมองเข้าไปในดวงตาสีหม่นของเธอเหมือนกับจะบ่งบอกอะไรบางอย่าง รอยยิ้มเล็กๆปรากฎบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่น

“ขะ… ขอประทาน ทะ… โทษค่ะ ชะ… ชั้นไม่ทัน ดะ…ได้ระวังตัว…”

“ทำไม… อลิเซียร์… ทำไมเธอถึงต้องฝืนตัวเองขนาดนี้… ชั้นบอกกับเธอแล้ว…”

“มะ… มันเป็นหน้าที่ ขะ…ของชั้นค่ะ ทะ… ที่จะต้องปกป้องคุณและคน อะ…อื่นๆ จะ… จนถึงที่สุด…”

เอลลิค น้ำตาไหลพรากแต่ด้วยสายฝนที่โหมกระหน่ำนั้น ทำให้น้ำตาของเขาถูกน้ำฝนล้างออกไปจนหมด แต่ อลิเซียร์ ก็รู้ดีว่าเขาร้องไห้ให้กับเธอ

“ชะ… ชั้นดี จะ… ใจนะคะ ทะ… ที่คุณ ดะ… ได้สร้างชั้นขึ้นมา ถะ… ถึงแม้จะเป็นระยะ วะ… เวลาอันแสนสั้น กะ… ก็ตาม… แต่ ทะ… ทุกคนก็ ดะ… ดีกับชั้นมาก ทะ… ทั้งคุณหนู นีน่า คุณหนู ละ…เลน่า คุณหนู ซะ… เซโร่ แล้วก็ คุณ ผะ… ผู้หญิง กาเฮ็นน่า…”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ”

“สะ… สุดท้าย ชะ… ชั้นอยากจะ บะ… บอกกับคุณ วะ…ว่า ขอบคุณ ทะ… ที่ให้ชีวิต กะ… กับหนูนะคะ คุณ… พะ... พ่อ…”

วงจรของ อลิเซียร์ ดับไปแล้วตอนนี้เธอก็ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตาเลยแม้แต่น้อย เอลลิค แหกปากลั่นท่ามกลางสายฝนอย่างเจ็บใจ พลางจ้องเขม็งไปที่ เอมมอนส์ อย่างเคียดแค้น เขาค่อยๆวางร่างของ อลิเซียร์ ลงกับพื้นและย่างสามขุมเข้าไปหา เอมมอนส์ ที่ตอนนี้สิ้นฤิทธิ์ ไปเป็นที่เรียบร้อย เอลลิค เข้ามาหยุดตรงหน้าของ เอมมอนส์ ส่วน เกเลม นั้นรู้ดีว่าเขากำลังจะทำอะไร จึงปลดพันธนาการดินเหนียวในส่วนเฉพาะหัวของ เอมมอนส์ ให้กับเขา

“ชั้นไม่รู้หรอกนะ ว่าอะไรที่ทำให้เธอ กลายเป็นแบบนี้ แต่ว่า… ชั้นเป็นผู้ให้กำเนิดเธอ เพราะฉะนั้น! ชั้นก็มอบความตายให้กับเธอได้เช่นกัน!!!”

เอลลิค ง้างฝ่ามือที่ส้วม เอเลเกียร์ เอาไว้อย่างเต็มที่ ก่อนจะยื่นฝ่ามือนั้นไปกุมหัวของ เอมมอนส์ เอาไว้ แต่ทว่า เอมมอนส์ ยังมีอาวุธยิงลำแสงที่ซ่อนอยู่ในปากอีกกระบอก เธออ้าปากออกกว้างทันใดนั้นลำแสงสีน้ำเงินเข้มที่ดูร้ายกาจกว่าลำแสงจากฝ่ามือของเธอเป็นไหนๆก็ยิงใส่ที่แขนซ้ายของเขาแต่ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้ ในเมื่อแขนเขายังคงอยู่กับตัว เขาก็ยังมีโอกาสอยู่ถึงมันจะหมอดไหม้ไปก็ตามที เขาฝืนดันลำแสงนั่นกลับไปและเอามืออุดปากของ เอมมอนส์ เอาไว้

“ลาก่อน… ลูกสาวผู้ทรยศ…”

ทันใดนั้นถุงมือก็เปล่งแสงสีส้มสว่างจ้าขึ้นมาและเมื่อแสงสว่างนั้นหายไป เอมมอนส์ แน่นิ่งไปในที่สุด หัวของเธอมีควันออกมาเล็กน้อยคงจะเป็นเพราะ เอเลเกียร์ ไปทำลายสมองกลของเธอเข้า เอลลิค จับหัวของเธอและมองเข้าไปภายในรูเบ้าตาลึกโบ๋นั่น ปรากฎว่ามีผลึกแสงสีเขียวขนาดเท่าเหรียญ 5 บาทอยู่ภายใน

“นะ… นั่นมัน ซิกนัส! ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้…”

เขาได้แต่ตั้งข้อสงสัยแต่ไม่ได้บอกใคร หลังจากนั้นหน่วยกู้ภัยที่รออยู่ด้านล่างก็ขึ้นมาเคลียร์พื้นที่ และพา ดร.ไอแซค และ เอลลิค ออกไปจากที่เกิดเหตุ 3 วันหลังจากนั้นหลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางของมันศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแผนกเครื่องจักรรูปของมนุษย์ก็ถูกปิดลงช่วงคราว ดร.ไอแซค ถูกปลดออกจากตำแหน่งหัวหน้านักวิจัยและถูกย้ายไปอยู่แผนกอื่น ส่วน เอลลิค ซึ่งถูกทางการสอบสวนด้วยเหตุผลที่ว่า ทำไมอยู่ดีๆ Android ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้และที่สำคัญ ซิกนัส ที่มีแต่บนเกาะอสูรเท่านั้น ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้มิหนำซ้ำยังอยู่ในตัวของ Android อีกด้วย

กลับมาสู่ปัจจุบัน นีน่า ที่ตั้งใจฟังสิ่งที่ ดร.ไอแซค เล่ามาจนเกือบจะถึงฉากสุดท้าย แต่อยู่ๆเขาก็ตัดจบการเล่าไปเสียดื่อๆ พลางตีสีหน้าลำบากอกลำบากใจ

 

“แล้วเรื่องมันเป็นยังไงต่อล่ะคะ ดร. คุณพ่อบอกกับทางการว่ายังไง?”

“ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกัน… เพราะหลังจากนั้นไม่นานไอ้เจ้าบ้านั่น มันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเอาไว้แต่ เฟรย่า และข้อมูลสมองกลที่รวบรวมข้อมูลจาก Android ทั้ง 5 ตัวเอาไว้เท่านั้น ส่วนเรื่องที่เธอคิดว่าเขาโดนเนรเทศน่ะ มันเป็นเรื่องที่โกหกทั้งเพล”

นีน่า แสดงสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียน ความคิดในหัวมันตีกันจนสับสนไปหมด มือไม้เริ่มสั่นหัวใจเต้นรัวราวกับจะระเบิดออกมา สิ่งที่เธอเข้าใจว่าพ่อของเธอโดนเนรเทศนั้น มันผิดมาโดยตลอดเลยอย่างงั้นเหรอ? เธอทรุดฮวบลงกับพื้นเหงื่อแตกพลั่กๆตัวสั่นเทิ้ม สายตาเลื่อนลอยหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม วิกเตอร์ เมื่อเห็นอาการของเธอก็รีบเขามาดูทันที

“เป็นอะไรรึเปล่า?”

“มะ… ไม่เป็นอะไร ถ้าอย่างนั้นชั้นขอตัวก่อนนะ จะไปดูอาการของ เลน่า กับ คุณอัคคามิฬ สักหน่อย… ขอตัวก่อนนะคะ ดร.”

เธอรีบเดินออกจากห้องทดลองเฉพาะกิจไป ส่วน ดร.ไอแซค ก็ได้แต่หัวเราะในลำคอเบาๆ เพราะเขารู้สึกว่า นีน่า นั่นเหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จักในสมัยก่อน

“หึหึ… ปากแข็งเหมือนแม่ตัวเองไม่มีผิดเลยนะ เด็กคนนั้น”

“ดร.ครับ เราเล่าเรื่องนี้ให้ยัยนั่นฟัง มันจะดีเหรอครับ?…”

“ยังไงเธอก็ต้องรู้อยู่วันยังค่ำ ยิ่งรู้เรื่องนี้เร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีกับตัวเธอเองเท่านั้นแหละนะ”

“จริงด้วยสินะครับ…”

ว่าแล้วทั้งคู่ก็หันไปทำงานที่ค้างเอาไว้ของตนเองต่อ ส่วนทาง นีน่า หลังจากที่เธอออกมาจากห้องทดลองและกำลังเดินไปตามทางเดินอยู่นั้น ด้วยความที่เหม่อลอยหรืออะไรไม่ทราบ ทำให้เธอชนเข้ากับ หญิงสาวผู้หนึ่งเข้าจนเธอล้มก้นกระแทกพื้นดัง พลั่ก! แต่หญิงสาวคนนั้นกลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดเดียว เมื่อ นีน่า เงยหน้ามองเธอ เธอก็ยื่นมือให้เธอจับก่อนจะดึงตัว นีน่า ให้ลุกขึ้นอย่างง่ายดาย

“ขอโทษนะคะ ดิชั้นไม่ระวังเอง”

หญิงสาวกล่าวขอโทษพร้อมกับส่งยิ้มให้ เธอคนนั้นมีรูปร่างสมส่วน และมีส่วนสูงพอๆกับนีน่าหรืออาจจะสูงกว่า ผมสีขาวราวกับสีของปุยนุ่นที่แสนจะบริสุทธิ์และยาวถึงข้อเท้า พร้อมกับโบว์สีดำขนาดใหญ่ที่ผูกเอาไว้กลางศรีษะ และยังมีโบว์เล็กๆสีเดียวกับประดับไว้ที่ปลายผม ดวงตาที่กลมโตและดูเป็นมิตรสีแดงทับทิมนั่นช่างเข้ากับกันใบหน้าเรียวๆของเธอได้เป็นอย่างดี ส่วนการแต่งตัวของเธอนั้นไม่เหมือนกับทหารทั่วๆไป ไม่สิต้องบอกว่ามันไม่ใช่ชุดทหารแต่มันคือ กิโมโนสีแดงประดับด้วยลวดลายของดอกซากุระสีทองดูงดงาม ซึ่งมาพร้อมผ้าโอบิสีขาวและเกี๊ยะไม้

“ไม่เป็นไรค่ะ ชั้นต่างหากที่ต้องขอโทษ คุณ…”

“ฟูจิวาระค่ะ ฟูจิวาระ โนะ โมวโคว หรือเรียกว่า โมวโคว เฉยๆก็ได้”

“เอ๊ะ!? ทำไมอยู่ๆ ก็…”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ดิชั้นรู้สึกว่า เร็วๆนี้ น่าจะได้พบกับคุณอีก… ถ้าอย่างนั้น… ดิชั้นขอตัวก่อนนะคะ”

หญิงสาวในชุดกิโมโนก้มหัวให้เล็กน้อย พร้อมกับเดินจากไป

 

“แต่งตัวและท่าทีแบบนั้น... ใช่ผู้ติดตามขององค์หญิงรุชุนะหรือเปล่านะ?”

 

นีน่ารู้สึกสงสัยในตัวหญิงสาวเมื่อครู่เล็กน้อย แค่เธอเองนั้นก็จะมามัวแต่เสียเวลาอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เธอต้องรีบไปดูอาการน้องสาวของเธอ ซึ่งทางที่จะไปแผนกพยาบาลนั้นจะต้องผ่านแผนกเครื่องยนต์หลักซะก่อน และในระหว่างที่เธอกำลังจะเดินผ่านแผนกเครื่องยนต์หลักไปนั้น อยู่ๆก็มีร่างเปลือยเรืองแสงสีเหลืองโปร่งใสของหญิงสาวผมยาวเป็นลอนคนหนึ่งกำลังกวักมือเรียกเธอจากในนั้น นีน่า ขยี้ตาและพยายามเพ่งมองร่างนั่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทันใดนั้นเธอก็เลือนรางหายวับไป แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงเดินตามเข้าไปในนั้น

ซึ่งในห้องแผนกเครื่องยนตร์หลักนั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากห้องเครื่องของเรือขนาดใหญ่ทั่วๆไป ซึ่งมีทั้งฟันเฟืองขนาดใหญ่หลายต่อหลายอันที่กำลังทำงานอยู่ เสียงไอน้ำที่ดังขึ้นอยู่เป็นระยะๆ และเพลาขับเคลื่อนขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนอย่างช้าๆแต่ต่อเนื่อง สุดที่ด้านในจะเป็นแท่นที่มีสายไฟระโยงระยางและมีหลอดแก้วขนาดเท่าตัวคนตั้งอยู่ซึ่งข้างในนั่นบรรจุของเหลวใสสีเหลืองอำพันอยู่เต็ม แต่สิ่งที่ทำให้ นีน่า ถึงกับตาเหลือกได้นั้นมันคือ ร่างเปลือยของหญิงสาวคนที่ยืนกวักมือเรียกเธอนั่นเอง นีน่า สังเกตเห็นป้ายโลหะที่ติดอยู่ตรงแท่นด้านล่างที่สลักตัวอักษรเอาไว้ว่า [Main Energy Core A-0005 Alicia] ซึ่งนั่นถึงกับทำให้เธอต้องผงะถอยออกมาตั้งหลักทันที…

 

-= Lesson 11 End =-

-= To Be Continue Lesson 12 =-

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา