~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age]

8.3

เขียนโดย Daimaou_no_Sora

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.46 น.

  12 Lesson
  28 วิจารณ์
  21.68K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) หัวใจของเครื่องจักร และ ปริศนาของ F.R.E.Y.A [1]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

-= ~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age] - The Chronicle of Zodas =-

 

http://www.keedkean.com

 

-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-

 

-= Lesson 10 : หัวใจของเครื่องจักร และ ปริศนาของ F.R.E.Y.A [ตอนแรก] =-

 

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!”

นีน่าถึงกับอุทานออกมาเมื่อเห็นวิกเตอร์ทำอะไรแผลงๆกับ Android ทั้ง 3 ซึ่งดูท่าทางครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นวิกเตอร์ทำแบบนี้ หนำซ้ำเขายังทำกับ Android ตัวสำคัญของเธออีกด้วย นีน่ายืนนิ่งพลางจ้องเขม็งไปที่วิกเตอร์ จนเขาจับสัมผัสถึงภัยคุกคามจากเธอได้จนเสียวสันหลังวาบ

“จะ… ใจเย็นน่า~~ อย่าทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นสิ ชั้นแค่กำลังจะทดลองอะไรนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง~~”

“ทดลอง!! นี่เรียกว่าการทดลองเหรอ!? จับ Android ถลกหนังแบบนี้เรียกว่าการทดลองของนายอย่างงั้นเหรอ!?”

นีน่าวีนแตกเพราะเธอรับไม่ได้กับการทดลองของวิกเตอร์ แต่วิกเตอร์เองไม่ได้ทำท่าทางหรือคิดว่าการทดลองของเขาผิดศีลธรรมตรงไหนเพราะโครงร่างโลหะทั้ง 3 ที่กำลังนอนรอให้เขาทำการทดลองอยู่นั่นคือ Android ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตสักหน่อย

“ยัยบ้า!! ถ้าหากชั้นทำแบบนี้กับสิ่งมีชีวิตจริงๆ เธอจะไม่วีนแตกจนเรือล่มเลยรึไงกัน!?”

วิกเตอร์ตะเบ็งเสียงใส่เธอดังลั่น จน ดร.ไอแซค ที่กำลังง่วนอยู่กับโครงร่างโลหะของ ฟรีน่า อยู่นั้นต้องหันมาตัดบทของทั้งคู่ ด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย

“ทั้ง 2 คนพอกันได้แล้ว! วิกต์!! เธอช่วยปรับค่าความดันของพลังเวทขึ้นอีก 4.076% สิ แล้วก็… ลดอัตตราทดของตัวขับเคลื่อนลงอีก 0.024%”

“ได้ครับ ดร. … นีน่า เธอก็มาช่วยชั้นหน่อยสิ”

“จะให้ชั้นช่วยอะไรล่ะ? ชั้นไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้หรอกนะ”

นีน่าเดินเข้ามาหาวิกเตอร์ด้วยท่าทางไม่พอใจ และมายืนเท้าสะเอวอยู่ข้างๆเขา ตาจ้องมองโครงร่างโลหะสีเงินมันวาวที่กำลังโดน ดร.ไอแซค ปรับแต่งตรงโน้นทีตรงนี้ทีอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นโครงร่างของ ฟรีน่า ไม่ผิดแน่ เพราะเธอเห็นเลขรหัส A-0144 ที่สลักเอาไว้บนแผงเนินอกโลหะของมัน และส่วนหัวก็มีดวงตาครบทั้ง 2 ข้าง นั่นยิ่งทำให้เธอมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า ไม่จำโคลงร่างโลหะสลับกันกับ เอมมอนส์ อย่างแน่นอน และก็ไม่น่าจะใช่ เฟรย่า Android ของเธอด้วยเพราะเธอจำได้ว่า เฟรย่า เคยเอ่ยถึงชื่อรหัสนี้ ตอนที่อยู่บนเกาะอสูร

“ช่วยปลดล็อกระบบป้องกันขั้นสูงของ เฟรย่า ให้ชั้นหน่อยสิ”

วิกเตอร์ว่าพลางหันมามองเธอ แต่เธอก็ได้แต่ยืนนิ่ง พลางเหลือกตาให้วิกเตอร์ เหมือนกับจะบอกเป็นนัยๆว่า เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…

“นะ… นี่เธอไม่รู้รหัสที่ใช้ปลดล็อกระบบป้องกันขั้นสูงของ เฟรย่า งั้นเหรอ!?”

“กะ… ก็ใช่น่ะสิ เรื่องนั้นชั้นจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ นายแค่สร้าง เฟรย่า ให้มาเป็นแม่บ้านให้กับชั้นเท่านั้นเองนี่นา ส่วนรายละเอียดต่างๆ นายก็ไม่เคยบอกชั้นเลยสักนิด…”

“ชั้นไม่ได้เป็นคนสร้างเฟรย่าขึ้นมาสักหน่อย พ่อของเธอต่างหากที่สร้างเฟรย่าขึ้นมาน่ะ”

 

“พ่อของฉันงั้นเหรอ?”

 

“ใช่... พ่อของเธอเป็นคนสร้างเฟรย่าขึ้นมา เขาเป็นคนลงมือทำเองทุกอย่างทั้งโครงสร้างและระบบป้องกันทั้งหมด ที่ชั้นสามารถทำกับเฟรย่าได้ก็เพียงแค่ ปรับปรุงโครงสร้างภายนอก กับเสริมอุปกรณ์เข้าไปก็เท่านั้นเอง”

 

“แล้วชั้นจะไปรู้รหัสที่ว่านั่นได้ไง ในเมื่อพ่อของฉันโดนเนรเทศออกจากไลลารินตั้งแต่ชั้นเพิ่งอายุ 4 ขวบ นายลืมเรื่องนี้ไปแล้วงั้นเหรอ?”

 

“อืม... แบบนี้ก็แย่น่ะสิ ถ้าไม่มีรหัสปลดล็อก ก็ย้ายวงจร A.I. ของ เฟรย่า เข้าสู่โครงร่างใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาไม่ได้น่ะสิ”

วิกเตอร์บ่นกับเธอก่อนจะหันไปมองโครงร่างโลหะอีกร่างที่นอนอยู่บนแท่นถัดออกไปอีก ซึ่งโครงร่างนั้นมันดูแตกต่างกับโครงร่างโลหะทั้ง 3 เป็นอย่างมาก ทั้งสีของผิวโลหะที่เป็นสีเงินวาววับสะท้องกับแสงไฟสว่างแยงลูกตาแทนที่จะเป็นสีเงินหม่นๆดูโทรมๆแบบโลหะทั่วๆไป และข้อต่อตามส่วนต่างที่ของเดิมที่เป็นข้อต่อแบบบิด ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นข้อต่ออิสระที่ดูคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยผลึกแก้วทรงข้าวหลามตัดเม็ดใหญ่เท่ากำปั้นที่มีประกายรุ้ง 7 สี ที่ติดอยู่กลางอกของมัน นีน่ามองดูโครงร่างโลหะสีเงินวาววับที่นอนอยู่บนแท่นนั่นก่อนจะเอ่ยถามลอยๆขึ้นมา

“โครงร่างใหม่… นั่นน่ะเหรอ? ว่าแต่ว่า... นายเอาเวลาไหนมาสร้างเจ้าโครงร่างนี้น่ะ?”

“ชั้นก็ถึงได้บอกว่ามีงานยุ่งทั้งคืนไงเล่า... เมื่อคืนชั้นลองทำการคัดลอกองค์ประกอบของตัวอย่างแร่ที่ได้มาจากเกาะนั่น แล้วเอามาลองสร้างเป็นโครงร่างต้นแบบในฉบับเร่งด่วนขึ้นมาน่ะ แต่มันยังไม่สมบูรณ์แบบ 100% หรอกนะ เพราะชั้นต้องการวงจร A.I. ของ เฟรย่า เพื่อทำให้มันสามารถทำงานได้ แล้วค่อยทำการทดสอบในขั้นต่อๆไป”

“แล้วทำไมถึงไม่ใช้วงจร A.I. ของ ฟรีน่า หรือไม่ก็ของ เอมมอนส์ แทนที่จะเป็นของ เฟรย่า ล่ะ?”

วิกเตอร์หันมามองเธอพลางทำหน้าซีเรียส พร้อมกับถอดแว่นตาหนาๆของเขาออก ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อย

“ชั้นรู้… แต่ถึงจะใช้วงจรของทั้งคู่ ก็ไม่สามารถทำให้โครงร่างนั่นทำงานได้เต็มที่ 100% หรอกนะ เพราะในวงจร A.I. ของ เฟรย่า นั้น มีข้อมูลที่เป็นวงจรต้นแบบของกลุ่ม Android รุ่นแรกที่ถูกบันทึกเอาไว้ ซึ่งเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน พวกมันเคยถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมา ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 ตัว โดยที่แต่ละตัวนั้นจะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน ซึ่งนั่นก็ไม่ได้แตกต่างกับ Android ในยุคสมัยนี้เท่าไหร่นัก…”

“แล้วไง? ชั้นว่าพวกมันก็ไม่เห็นจะวิเศษวิโสอะไรเลยนี่~”

“หึหึ… เธอคิดอย่างงั้นเหรอ? แต่ถ้าชั้นบอกว่าพวกมันสามารถใช้เวทมนตร์ได้ โดยที่ Android ในยุคสมัยนี้ทุกตัวทำไม่ได้ มันยังจะธรรมดาในความคิดของเธออยู่อีกไหม?”

เมื่อนีน่าได้ยินที่วิกเตอร์พูด เธอถึงกับทำหน้าตาตื่นพลางมองไปที่โครงร่างโลหะสีเงินวาววับนั่นอีกครั้ง เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอเองก็ยังไม่เคยเห็นหรือแม้แต่ได้ยินว่า Android จะสามารถใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับสิ่งมีชีวิตทั่วๆไป ยกเว้นแต่ได้รับการสนับสนุนจากเวทมนตร์ของ Doll Master เหมือนกับคู่ของ ฟรีน่า และ วิกเตอร์

“งั้นนายก็หมายความว่า ถ้าหากเอาวงจรของ เฟรย่า ไปใส่ในโครงร่างนั่น เฟรย่า ก็จะกลายเป็น Android ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับกลุ่ม Android รุ่นแรกพวกนั้น อย่างนั้นล่ะสินะ?”

“ชั้นก็ยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้มากนักหรอกนะ… เพราะชั้นบอกแล้วว่ามันยังไม่สมบูรณ์แบบ เผลอๆบางทีอาจจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง มันอาจจะเป็นแค่ Android เหมือนกับทั่วๆไป แต่มีประสิทธิภาพมากกว่าหลายเท่าก็เป็นไปได้…”

“งั้นเหรอ?… เออใช่! แล้วตอนนี้ Android ที่เป็นรุ่นแรกพวกนั้น… ไปอยู่ที่ไหนซะล่ะ?”

วิกเตอร์ที่กำลังทาบฝ่ามือของเขาและส่งพลังเวทลงบนตัวแปรผันพลังงานที่เป็นแผ่นทำจากแร่เงินผสมโคบอลเงาวับรูป 8 เหลี่ยมขนาดเท่าเหรียญ 10 บาท ที่อยู่ตรงช่วงกลางหลังโครงร่างโลหะของ ฟรีน่า พอดี และเมื่อเขาได้ยินคำถามของนีน่านั้นก็ทำให้เขาถึงกับชะงักเล็กน้อย จนกระแสพลังเวทที่กำลังส่งเข้าสู่ร่างของ ฟรีน่า อย่างต่อเนื่องอยู่นั้นต้องขาดตอนไปชั่วขณะ ทำให้โครงร่างโลหะนั้นเกิดอาการชักกระตุกเล็กน้อย

“4 ใน 5 ของพวกมัน… ถูกทำลายหมดน่ะ…”

“อ้าว! ไหงงั้นล่ะ?”

“วิกต์ ให้ชั้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดเองก็แล้วกัน…”

ดร.ไอแซค ที่ฟังอยู่นานแล้วหลังจากที่ประกอบผิวเรซิ่นสังเคราะห์ที่เอาออกมาจากหลอดแก้วเข้ากับโครงร่างของ แอมมอนส์ เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็พูดขัดขึ้น ก่อนจะจุดบุหรี่ขนาดพอๆกับตัวเอง พลางตีสีหน้าซีเรียสไม่แพ้วิกเตอร์เลยสักนิดเดียว

“Android พวกนั้นน่ะ ชั้นและพ่อของเธอเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมา… เฮ้อ~~ พูดแล้วมันก็ชวนให้นึกถึงเรื่องเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว… ตอนที่ชั้นยังเป็นหัวหน้านักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแผนกเครื่องจักรรูปของมนุษย์ ในวันนั้น...”

ย้อนไปเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ณ ห้องทดลองแห่งหนึ่งในฐานทัพ มีชาย 2 คนที่คาดว่าน่าจะเป็นนักวิจัยของที่นี่ ที่กำลังพากันนั่งง่วนอยู่ตรงแท่นที่มีโครงร่างโลหะที่กำลังนอนอยู่ตรงหน้าของตน นักวิจัยคนหนึ่งนั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 60 ปลายๆ ผู้มาพร้อมทรงผมยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรงโดยที่ผมบางส่วนเริ่มกลายเป็นสีขาวกับแว่นตาหนาเตอะ ส่งผลให้บุคลิกภายนอกของเขาดูเหมือนเป็นคนที่มีไอคิวไม่ต่ำกว่า 500 แน่นอน ริ้วรอยบนใบหน้าเริ่มเกิดขึ้นตามวัยและความตึงเครียดของการคิดคำนวนในการแก้โจทย์สมการและหลักตรรกะนานานับประการที่เขานั้นคิดค้นขึ้น ส่วนนักวิจัยอีกคนนั้นเป็นชายหนุ่มไว้ผมสีดำยาวและรวบเป็นหางม้าเอาไว้อายุประมาณ 24-25 ปี ผู้มีหน้าตาหล่อเหลาไม่เข้ากับบุคลิกของนักวิจัยเลยแม้แต่น้อย

“ดร.ไอแซค ครับ ผมคิดว่าเราน่าจะปรับปรุงระบบของการแปรผันพลังงานตรงจุดนี้ให้ลดลงสักหน่อยนะครับ”

“ไม่ต้อง ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นน่ะดีแล้ว อย่าไปปรับอะไรมั่วซั่ว เธอคอยทำตามที่ชั้นบอกก็พอแล้ว เอลลิค”

“แต่ว่า… เครื่องวัดแรงดันพลังเวทมันพุ่งขึ้นสูงมากจนเข้าขั้นอันตรายเลยนะครับ!”

 

ดร.ไอแซค สบตากับ เอลลิค ด้วยสายตาและสีหน้าไม่พอใจอย่างแรง และก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป แต่ด้วยสายตาที่ไม่พอใจนั้น มันกลับทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งและกลับไปก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเองต่อ

“ได้เวลาพักทานอาหารกลางวันแล้วนะคะ ทั้ง 2 คน”

ประตูห้องทดลองถูกเปิดออก หญิงสาวผมทองหน้าตาสะสวยหุ่นราวกับนางแบบ และรอยยิ้มกับดวงตาสีฟ้าครามที่ดูอ่อนโยนราวกับนางฟ้า เธอมาพร้อมกับเด็กน้อยอายุประมาณ 3-4 ขวบอีก 3 คน ซึ่งไม่บอกก็รู้ว่านั่นคือ นีน่า เลน่า และ เซโร่ ในวัยเยาว์นั่นเอง เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกันถาดสแตนเลสที่ลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งบนถาดนั้นมีชุดอาหารชุดใหญ่วางเรียงรายกันเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ

“โอ้!~~ กำลังหิวอยู่พอดีเลย ต้องลำบากให้เธอเอาอาหารมาส่งให้ตลอด ขอบใจมากนะ”

“ชั้นเป็นภรรยาของคุณนะคะ เรื่องแค่นี้ถือว่าเป็นหน้าที่ของภรรยาอยู่แล้วล่ะค่ะ จุ๊จุ๊… ทั้ง 3 คน อย่าซนกันนะจ๊ะ ไปนั่งรอคุณพ่อตรงนั้นกับแม่ก่อนนะ”

“ค่าาาา/คร๊าบบบ”

ทั้ง 3 ตอบกลับด้วยความไร้เดียงสาก่อนที่วิ่งไปยังมุมห้องที่จัดขึ้นมาเป็นชุดโต๊ะพร้อมกับเก้าอี้เอาไว้ แต่ไม่ทันที่เด็กน้อยทั้ง 3 จะวิ่งถึงโต๊ะ ก็ต้องเบี่ยงตัวออกไปและตรงไปยังหลอดแก้วขนาดเท่าตัวคน 5 หลอดที่ตั้งอยู่บนแท่นที่มีสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด และตั้งเรียงรายกันเป็นแถวหน้ากระดานเรียง 1 และมีน้ำสีเขียวใสบรรจุอยู่เต็มซึ่ง 4 ใน 5 หลอดนั้นมีร่างของ Android ทั้งเพศหญิงและชายที่ตามจุดต่างๆบนร่างกายมีสายไฟระโยงระยางเชื่อมต่อเข้ากับร่างของพวกมันเอาไว้ เด็กน้อยทั้ง 3 ต่างพากันเกาะกระจกของหลอดแก้วพวกนั่น และพากันจ้องมอง Android เหล่านั้นอย่างสนอกสนใจ

“แม่คะ? ทำไมพวกเขาถึงยังไม่ตื่นอีกล่ะ”

เลน่าตัวน้อย เอ่ยปากถามอย่างใคร่รู้ ส่วนผู้เป็นแม่นั้นเธอเองก็อยากจะตอบคำถามของลูกสาวของตน แต่ด้วยความที่ไม่ถนัดเรื่องเทคโนโลยีในด้านนี้ เธอเลยไม่รู้ว่าจะให้คำตอบแก่ลูกสาวของตนเช่นไร แต่ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นแม่ จะทำให้ลูกๆของตัวเองผิดหวังไม่ได้ จึงตอบไปแบบส่งๆโดยอ้างเหคุผลแอบแฝงนิดๆ

“พวกเขาคิดว่า… การนอนนั้นเป็นสิ่งสำคัญไงล่ะจ๊ะ การนอนจะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตเร็ว พวกลูกๆเองก็เหมือนกัน ถ้าอยากโตเร็วๆก็ต้องนอนเยอะๆเข้าไว้นะจ๊ะ”

“อย่างนั้นเหรอคะ? ถ้าอย่างงั้นพวกหนูจะนอนเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ ดีไหมคะคุณแม่”

กาเฮ็นน่า ลูบหัว เลน่า อย่างเอ็นดูพลางเหลือบไปมองชุดอาหารที่ตนจัดเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันมาพูดกับลูกๆของเธอ

“ดีสิจ๊ะ… แต่การนอนก็ไม่ได้ช่วยให้โตเร็วได้เพียงอย่างเดียวนะจ๊ะ การกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อก็เหมือนกัน ถ้ากินอาหารครบทั้ง 3 มื้อ ก็จะทำให้ร่ายกายโตเร็วขึ้นด้วยนะจ๊ะ”

เด็กน้อยทั้ง 3 ไม่รอช้ารีบวิ่งไปที่โต๊ะทันที และปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ของตน พลางถือช้อนส้อมเตรียมพร้อมเอาไว้ในมือ กาเฮ็นน่า ถอนหายใจที่หลอกลูกสาวของตัวเองได้สำเร็จ และเดินตามไปที่โต๊ะ เอลลิค และ ดร.ไอแซค เองก็ตามเข้ามาเช่นกัน ทั้งคู่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการอาหารของตัวเองไปด้วย พร้อมกับพูดคุยเรื่อง Android ที่พวกเขาทำค้างเอาไว้ไปด้วย จน กาเฮ็นน่า ต้องทำเสียงกระแอ้มกระไอเล็กน้อยเพื่อเป็นการขัดจังหวะ ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วย เพราะทั้งคู่ไม่เปิดปากพูดคุยเรื่อง Android กันอีกเลย

“ไม่ได้นะจ๊ะ เซโร่ ลูกจะเหลือแต่พริกหยวกเอาไว้ ไม่ได้นะจ๊ะ ดูพี่นีน่ากับเลน่าเป็นตัวอย่างสิจ๊ะ”

“ก็มันเหม็นนี่…”

เซโร่น้อยที่ตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนโตเลยสักนิด ผมยุ่งกระเซอะกระเซิงก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของเขาอยู่ บวกกับหน้าตาที่ดูงัวเงียเหมือนกับคนง่วงนอนอยู่ตลอดเวลานั่นก็อีก เขากินอาหารของเขาหมดก่อนเพื่อน แต่ทว่าเขาก็เหมือนกับเด็กทั่วๆไปที่เกลียดพริกหยวกเข้าไส้ กาเฮ็นน่า จึงหยิบชามของเขามาและร่ายเวทมนตร์ใส่ พริกหยวกและเศษขนมปังที่เหลือนั่น ทันใดนั้นแสงสีเขียวอ่อนก็สว่างขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับกลิ่นหอมยั่วน้ำลายลอยเตะจมูกทุกคน เมื่อแสงสีเขียวนั่นจางลง ภาพที่อยู่ตรงหน้าทุกคนนั้นคือ ซุปสีเขียวอ่อนควันฉุ่ยที่ข้นเหมือนกับครีม พร้อมกับขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆที่ลอยหน้าอยู่บนซุปนั่น เธอยกชามกลับคืนให้กับลูกชาย แต่ว่าเขาก็ยังคงทำหน้าตาแหยงๆอยู่ เพราะถึงหน้าตามันจะเปลี่ยนไปแต่ยังไงมันก็คืออาหารที่ทำมาจากพริกหยวกอยู่ดี

“ลองชิมดูก่อนสิจ๊ะ รับรองว่าอร่อย~~”

กาเฮ็นน่าหยิบช้อนของเธอมาตักซุปนั่น ก่อนจะเอาไปจ่อเอาที่ปากลูกชายผู้ที่แสนจะรังเกียจพริกหยวก เซโร่ หลับตาปี๋ก่อนะจะค่อยๆเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับลองเอาริมฝีปากเล็กๆของเขาแตะชิมซุปนั่นดู

“ไงจ๊ะ? อร่อยไหม?”

“อร่อย…ครับ…”

คราวนี้ ซีโร่ ไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจพริกหยวกเลยแม้แต่น้อย เขารับการป้อนซุปจากผู้เป็นแม่อย่างเต็มใจ ส่วนผู้เป็นพ่อเองก็ได้แต่ยิ้มที่ภรรยาของตนมีความสามารถในรับมือกับเด็กได้ทุกรูปแบบเช่นนี้ ซีโร่ เองก็ทานซุปพริกหยวกหมดอย่างรวดเร็ว ในที่สุดมื้อเที่ยงก็ผ่านพ้นไป 2 นักวิจัยกลับมาทำงานของตนเองต่อ ส่วน กาเฮ็นน่า พร้อมกับเด็กน้อยทั้ง 3 นั้นก็ขอตัวกลับบ้านไปก่อน

“เรียบร้อยแล้วครับ ดร.ไอแซค พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนดำเนินการในขั้นสุดท้าย”

“อืม… ขอให้การทำงานของผลึกแก้วที่เราใส่เข้าไปในตัว Android พวกนั้นได้ผลด้วยเถอะนะ… เอลลิค เธอไปทำการ Stanby Android หมายเลข 1-4 ได้แล้ว”

“ได้ครับ”

เอลลิค สัมผัสปุ่มสีส้มที่อยู่บนแผงควบคุมที่อยู่ถัดจากตัวเขา ทันใดนั้นน้ำสีเขียวใสที่อยู่ในหลอดแก้วทั้งหมดก็ค่อยๆลดลง ร่างเปลือยของ Android ค่อยๆลดระดับลงจนเท้าของพวกมันสามารถเตะพื้นของหลอดแก้วและยืนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนที่สายไฟที่เชื่อมต่อตามจุดต่างๆของร่างกายพวกมันจะค่อยๆถูกปลดออก พร้อมๆกับกระจกหลอดแก้วมีเส้นตัดเกิดขึ้นมาเป็นรูปซุ้มและโค้งพอดีกับความสูงของพวกมันแต่ละตัว กระจกถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เสียง “ฟู่ๆ” เหมือนกับสูญญากาศถูกปล่อยออกมาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เอลลิค เดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าของพวกมัน ในมือขวาถือแผ่นโฮโลบอร์ดเอาไว้แน่น (เหมือนกับคลิบบอร์ดทั่วๆไปนั่นแหละ แต่เปลี่ยนจากแผ่นพลาสติกและใช้กระดาษในการจดบันทึก เป็นจอภาพโฮโลแกรมและใช้ปากกาพิเศษในการจดบันทึกลงไปแทน)

“A-0001 ฟอลเรนเซียร์ รายงานสถานะปัจจุบันของเธอมาสิ?”

“ระบบประมวลผลส่วนกลางไม่มีปัญหา ระบบบีบอัดและแปรผันพลังเวทไม่มีปัญหา การเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานปรกติ ระบบแปรสภาพสสารปรกติ สภาพผลึกแกนนำพลังเวทและโครงสร้างภายนอกสมบูรณ์ 100% ค่ะ”

Android ตัวแรกนั้นเป็นเพศหญิง ผมยาวถึงสะโพกสีเขียวอ่อนแลเป็นประกาย ดวงตาคมสีทับทิมเข้ากับจมูกที่โด่งนิดๆเหมือนกับหญิงสาวที่ดูภูมิฐานและสูงส่ง ริมฝีปากบางๆนั่นเผยอขึ้นเล็กน้อยทำให้โครงหน้าเธอดูสวยเริ่ดแต่ไม่เหย่อหยิ่ง รูปร่างนั้นทำออกมาได้ดูดีทีเดียว หน้าอกหน้าใจขนาดคัพ C แน่นเปรี๊ยะ เอวคอดบางรับกับช่วงบนของเธอเป็นอย่างดี สะโพกกลมกลึงและกระดกขึ้นเล็กน้อยเหมือนหญิงสาวชาวอังกฤษ

“ดีมาก… ต่อไป A-0002 ราเนส รายงานสถานะปัจจุบันของนายมาสิ?”

“ระบบประมวลผลส่วนกลางไม่มีปัญหา ระบบบีบอัดและแปรผันพลังเวทไม่มีปัญหา การเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานปรกติ อุปกรณ์สำหรับเคลื่อนที่บนอากาศปรกติ สภาพผลึกแกนนำพลังเวทและโครงสร้างภายนอกสมบูรณ์ 100% ครับ”

Android ตัวที่ 2 เป็นเพศชาย ผมสีบลอน์เงินด้านบนซอยสั้นให้ชี้ตั้งได้และไล่ระดับลงมาจนถึงคอ มีจอนทั้ง 2 ข้างยาวเลยปลายคางนิดหน่อย ดวงตาคมสีเหลืองอำพันดูดุดันราวกับสัตว์ป่า จมูกโด่งเรียวพองาม ริมฝีปากบางแบบชายหนุ่มทั่วๆไป รูปร่างสมส่วนดูล้ำสัน มีกล้ามและซิกแพ็กพองามยั่วยวนใจสาวๆ

“อืม… ต่อไป A-0003 เอมมอนส์ รายงานสถานะปัจจุบันของเธอมาสิ?”

“ระบบประมวลผลส่วนกลางไม่มีปัญหา ระบบบีบอัดและแปรผันพลังเวทไม่มีปัญหา การเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานปรกติ อุปกรณ์สำหรับยิงลำแสงระยะไกลปรกติ สภาพผลึกแกนนำพลังเวทและโครงสร้างภายนอกสมบูรณ์ 100% ค่ะ”

Android ตัวที่ 3 นั้นคือ เอมมอนส์ นั่นเองแต่ทว่ารูปร่างภายนอกของเธอในอดีตแตกต่างกับรูปร่างในปัจจุบันอย่างลิบลับ ดวงตาทั้ง 2 ข้างยังคงอยู่ครบ ผิวภายนอกก็เป็นผิวหนังสังเคราะห์เหมือนกับ Android ทั่วๆไป ไม่ผิดเพี้ยน แต่สีหน้าเย็นชาราวกับเจ้าหญิงหิมะนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน

 

“ต่อไป… A-0004 โยดริว รายงานสถานะปัจจุบันของนายมาสิ?”

“ระบบประมวลผลส่วนกลางไม่มีปัญหา ระบบบีบอัดและแปรผันพลังเวทไม่มีปัญหา การเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานปรกติ อุปกรณ์สร้างเกราะมนตราปรกติ สภาพผลึกแกนนำพลังเวทและโครงสร้างภายนอกสมบูรณ์ 100% ครับ”

Android ตัวที่ 4 นั้นเป็นเพศชาย ผมม่วงยาวเงางามถึงกลางหลัง ดวงตาคมสีน้ำตาลอ่อนหางตาเชิดขึ้นเล็กน้อยราวกับคุณชายผู้เย่อหยิ่ง จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากบางเฉียบและเผยอขึ้นเล็กน้อยดูเย็นชา รูปร่างสมส่วนไม่มีกล้ามล้ำสันเหมือนกับ ราเนส แต่ก็พอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง

“โอเค การเช็คสภาพทุกอย่างเรียบร้อยดี เอาล่ะทุกคน… ไปสวมเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้ให้ตรงนั้นซะ”

เอลลิค ชี้นิ้วไปยังกองเสื้อผ้า 4-5 ชุด ที่อยู่บนโต๊ะที่เขาได้เตรียมเอาไว้ ซึ่งชุดของ Android หญิงจะเป็นชุดเมดหรือไม่ก็ชุดตุ๊กตาที่ออกแนวน่ารักๆ ส่วนชุดของ Android ผู้ชายจะเป็นชุดเสื้อเชิตแขนสั้นสีขาวและมีเสื้อกั๊กหนังแขนกุดสีน้ำตาลอ่อน ส่วนกางเกงจะเป็นกางเกงขายาวผ้าสเลคยีนสีกรมท่า รองเท้าหนังหุ้มส้นสำน้ำตาล และมีเครื่องประดับอีกเล็กน้อย ซึ่งแนวการแต่งกายของ Android แต่ล่ะตัวนั้น จะถูกกำหนดโดยโปรแกรมบุคลิก ที่ถูกใส่เอาไว้ในตอนสร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินคำสั่งจาก เอลลิค กลุ่ม Android ทำตามคำสั่งทันทีพวกมันค่อยๆเดินออกมาจากหลอดแก้ว และตรงไปยังโต๊ะก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เอลลิค ก็สั่งให้ Android ทั้ง 4 มารวมตัวกันที่กลางห้อง

“ดร.ไอแซค ครับทางผมเรียบร้อยแล้วครับ”

“อืม… ทางนี้ก็พร้อมแล้วล่ะ”

ดร.ไอแซค หลังจากที่เอาหนังสังเคราะห์มาหุ้มให้กับโครงร่างโลหะที่พวกเขาทั้ง 2 คนช่วยกันสร้างขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย สาว Android ตัวที่ 5 ผู้มีผมยาวสีแดงเป็นลอนสวยงามก็ปรากฎตรงหน้าพวกเขา เธอมีใบหน้ารูปใข่ จมูกเรียวเล็กพองาม ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูอ่อน รูปร่างเซ็กซี่เหมือนนางแบบก็มิปาน หน้าอกหน้าใจใหญ่โตจนทำให้ เอลลิค ถึงกับตะลึงจ้องมันตาไม่กระพริบ เอวเพรียวและเข้ารูปดุจดั่งงานประติมากรรมชั้นเลิศ สะโพกกลมกลึงตึงแน่นฟิตเปรี๊ยะ ไม่ทันที่ เอลลิค จะได้ยลโฉม Android สาวหุ่มสะบึ้มได้มากนัก ดร.ไอแซค ก็เอื้อมมือไปทาบบนหน้าท้องของเธอ แสงสีขาวสว่างว๊าบขึ้นมาและหายไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเปลือกตาของ Android สาวก็ค่อยๆเปิดขึ้นมา จนเผยให้เห็นดวงตากลมโตสีส้มเป็นประกายสดใส ก่อนจะค่อยๆปรับโฟกัสให้เข้าที่ และกรอกตาไปทางโน่นทีทางนี้ที ก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ดร.ไอแซค ไม่รอช้าเขาหยิบแผ่นโฮโลบอร์ดเหมือนกับ เอลลิค ขึ้นมา

“A-0005 อลิเซียร์ รายงานสถานะปัจจุบันของเธอมาสิ?”

“ระบบประมวลผลส่วนกลางไม่มีปัญหา ระบบบีบอัดและแปรผันพลังเวทไม่มีปัญหา การเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานปรกติ อุปกรณ์กางอนาเขตต่อต้านอาวุธและมนตราทำงานปรกติ สภาพผลึกแกนนำพลังเวทและโครงสร้างภายนอกสมบูรณ์ 100% พร้อมปฏิบัติภารกิจ เจ้าค่ะ!”

“จะ… จะ… เจ้าค่ะ งั้นเหรอ!? แล้วไอ้ท่าทีกระดี้กระด๊านั่นมันอะไรกัน!?”

อลิเซียร์ Android สาวรายงานสถานะของตนด้วยท่าทางกระดี๊กระด๊าสุดขีด ซึ่งนั่นมันแปลกประหลาดเอามากๆ จนทำให้ทั้ง ดร.ไอแซค และ เอลลิค ต่างพากันงงเต็กพลางจ้องมอง Android สาวอย่างอึ้งๆ อลิเซียร์ Android สาวผู้ร่าเริงยังคงแสดงท่าทางกระดี๊กระด๊าของเธอต่อไป และกระโดดลงจากแท่นก่อนจะวิ่งไปรอบห้องราวกับเด็กๆ แต่มันติดตรงที่ว่าเธอไม่ใช่เด็กนี่สิ

“A-0005 อลิเซียร์ หยุดการทำงาน!!”

ดร.ไอแซค ตะคอกขึ้นมาเสียงดัง ทันใดนั้น อลิเซียร์ ก็หยุดชะงักเอาดื้อๆ เอลลิค ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเอามือเคาะกระหม่อมตัวเองเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะช่วยกันหอบเธอกลับมานอนบนแท่นอีกครั้ง

“น่าแปลก? ระบบต่างๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำไมถึงแสดงท่าทางแบบนี้ได้นะ หรือว่าระบบบุคลิกจะมีปัญหา? แต่เมื่อกี้ตอนตรวจสอบขั้นสุดท้ายก็ปรกติดีนี่นา”

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีครับ?”

“อืม… ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปก่อนอาจจะเป็นเพราะกระแสพลังเวทยังไม่เสถียรก็ได้ เอลลิค ภายใน 1 สัปดาห์นี้ ชั้นอยากจะให้เธอคอยเฝ้าสังเกต อลิเซียร์ ถ้าหากเธอไม่ทำอะไรแปลกๆหรือออกนอกหลู่นอกทางจากกฎ 3 ข้อเลยล่ะก็… เราจะทำการทดลองในขั้นตอนต่อไปในทันที”

“ครับ แต่ถ้าหาก อลิเซียร์ เธอเลือกที่จะละเมิดกฎ 3 ข้อล่ะครับ?”

“ถึงเวลานั้นก็ให้ทำลายเธอซะ… เอานี่ไป”

ดร.ไอแซค หยิบถุงมือหนังสีน้ำตาลข้างหนึ่งออกมาให้เขา ลักษณะของมันก็เหมือนกับถุงมือหนังทั่วๆไปแต่ทว่า บริเวณหลังมือจะมีอัญมณีสีส้มเม็ดใหญ่ติดอยู่ และมีสายไฟเป็นข้อๆจากแท่นที่ติดอัญมณีไล่ไปตามหลังนิ้วมือทั้ง 5 ไปจนสุดปลายนิ้ว เมื่อ เอลลิค เห็นมันก็ถึงกับตาโต พลางมอง ดร.ไอแซค สลับกับถุงมือนั่น

“นะ… นี่มัน! เอเลเกียร์!”

ดร.ไอแซค พยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องทดลองไป และแล้วการเฝ้าสังเกตุ อลิเซียร์ ก็เริ่มต้นขึ้น โดยที่เขาพา อลิเซียร์ มาอยู่ที่บ้านด้วยเพื่อจะได้ทำการเฝ้าสังเกตุได้สะดวก ในวันแรกที่ อลิเซียร์ มาอยู่ที่บ้านนั้น ทุกคนในบ้านต่างพากันตื่นเต้นกันยกใหญ่ โดยเฉพาะเด็กๆที่ชวน อลิเซียร์ เล่นด้วยทั้งวันซึ่งเธอก็เข้ากับเด็กๆได้เป็นอย่างดี และยังคอยช่วย กาเฮ็นน่า ทำงานบ้านอีกด้วย แถมยังออกไปจ่ายตลาดแทน กาเฮ็นน่า อีก ซึ่งช่วยผ่อนแรงเธอไปได้เยอะ ส่วนวันอื่นๆนั้นก็ไม่มีอะไรให้ผิดสังเกตุ และหลายๆวันเข้า เขาก็รู้สึกเกิดความผูกพันกับ อลิเซียร์ มากยิ่งขึ้นจนเหมือนกับคนในครอบครัวเดียวกัน จนกระทั่งวันสุดท้ายซึ่งมีการติดต่อด่วนมาจาก ดร.ไอแซค เข้ามาว่า Android ที่ชื่อ เอมมอนส์ หายตัวไปจากห้องทดลองแต่ไม่ทันไรสายก็ขาดไป เอลลิค เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบไปยังศูนย์วิจัยทันที โดยพา อลิเซียร์ ไปด้วย

“นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”

เมื่อเขามาถึงก็ปรากฏว่าภายในศูนย์วิจัยนั้นถูกทำลายจนเละไปหมด กองไฟลุกท่วมดั่งทะเลเพลิง สปริงเกอร์ก็ทำงานของมันไปแต่ไฟก็ไม่มีทีท่าว่าจะดับ ประตูกันไฟทุกบานก็ปิดลงมาเพื่อกันไม่ให้ไฟลามไปยังจุดอื่นๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาไปไหนไม่ได้เหมือนกัน

“อันตรายค่ะ!”

ลำแสงสีน้ำเงินเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร ที่ฝ่าประตูกันไฟเข้ามาได้อย่างง่ายดายมันพุ่งเข้ามาหาทั้งคู่ แต่ทว่า อลิเซียร์ พลักตัวเขาออกจากวิถีของลำแสงนั่นได้ทัน เอลลิค พยายามมองฝ่าละอองน้ำจากสปริงเกอร์ผ่านรูโบ๋บนประตูกันไฟนั่น ก็ต้องพบกับร่างต้นตอของลำแสงที่อยู่ถัดไปอีก 15-20 แถวของประตูกันไฟ มันคือ เอมมอนส์ สาว Android ในชุดตุ๊กตาสุดแสนจะน่ารัก ซึ่งต่างจากใบหน้าที่ดูเย็นชาของเธอราวฟ้ากับเหว แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะทำอะไร เอมมอนส์ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อลิเซียร์ ไม่รอช้าเธอรีบวิ่งตาม เอมมอนส์ ไปทันที

“อลิเซียร์ กลับมา!”

ไม่มีการตอบกลับจาก อลิเซียร์ แต่เขาไม่มีเวลามาห่วง Android เขาต้องตามหา ดร.ไอแซค ให้เจอก่อน เขาวิ่งตรงไปยังห้องทดลองแต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงา แต่ดีที่ Android ตัวอื่นๆก็ยังคงอยู่ในหลอดแก้วของพวกมัน เขาจึงตัดสินใจทำการ Stanby Android ทั้ง 3 ตัวขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเขา

“ฟอลเรนเซียร์ กับ ราเนส ตามหาและช่วยเหลือ ดร.ไอแซค ซานดาลฟอน กับผู้รอดชีวิต เมื่อเสร็จภารกิจให้มาสมทบกับชั้น”

“รับทราบค่ะ/ครับ”

Android ทั้ง 2 ตัวตอบรับและรีบวิ่งออกไปจากห้องทดลองทันที

“โยดริว หาตำแหน่งของ อลิเซียร์ และ เอมมอนส์ สิ”

เมื่อได้รับคำสั่งแววตาของ โยดริว ก็เปลี่ยนเป็นสีทึบ พร้อมกับเสียง “ปิ๊บๆ” ที่ดังออกมาจากหัว Android หนุ่ม ก่อนที่เขาจะหันมาบอกตำแหน่งของ อลิเซียร์ กับ เอมมอนส์ ให้ เอลลิค ทราบ

“สัญญาณของทั้งคู่มาจากชั้นดาดฟ้าของอาคารครับ”

“ดีมาก! นายมากับชั้น เราจะไปช่วย อลิเซียร์ กัน”

“รับทราบครับ”

เอลลิค ควักถุงมือ เอเลเกียร์ ที่ ดร.ไอแซค ให้ไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อและสวมมันเอาไว้ที่มือซ้าย อัญมณีสีส้มนั่นเรืองแสงสว่างขึ้น เขากัดฟันกรอดๆเพราะสัมผัสได้ถึงพลังและการสั่นสะเทือนที่รุนแรงราวกับมันจะทำให้มือของเขาหลุดออกจากร่าง แต่ถึงมันจะกระชากมือของเขาขาดเขาก็ต้องช่วย อลิเซียร์ และ ดร.ไอแซค ให้ได้ก่อนที่มันจะเป็นแบบนั้น เอลลิค และ โยดริว รีบวิ่งออกจากห้องทดลองและมุ่งหน้าไปยังชั้นดาดฟ้าทันที…

 

-= Lesson 10 =-

-= To Be Continue Lesson 11 =-

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา