~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age]
เขียนโดย Daimaou_no_Sora
วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.46 น.
12) หัวใจของเครื่องจักร และ ปริศนาของ F.R.E.Y.A [จบ]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ-= ~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age] - The Chronicle of Zodas =-
-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-
-= Lesson 12 : หัวใจของเครื่องจักร และ ปริศนาของ F.R.E.Y.A [ตอนจบ] =-
หลังจากเรียกสติกลับคืนมาได้ เธอเดินเข้าไปใกล้หลอดแก้วสีอำพันนั่นให้มากยิ่งขึ้น ก่อนเอามือสัมผัสผิวแก้วอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกอบอุ่นและคิดถึงค่อยๆผุดขึ้นมาในอก เธอรู้จัก Android ตัวนี้เป็นอย่างดี ดียิ่งกว่า เฟรย่า ของเธอซะอีก หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะระเบิดออกมา หยาดน้ำตาเริ่มไหลออกมาเล็กน้อย มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าโศก แต่เป็นน้ำตาแห่งความโหยหาคิดถึง แม้มันจะเป็นความรู้สึกที่เธออาจจะหลงลืมไปแล้วในเมื่อครั้งที่เธอยังเด็ก ในระหว่างที่เธอกำลังหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อสมัยก่อนนั้น ในวันที่เธอมี อลิเซียร์ คอยดูแลและเป็นเพื่อนเคียงข้างกาย และยังเป็นคนที่พาพวกเธอเข้านอนและอ่านนิทานให้ฟัง แต่อยู่มาวันหนึ่งเธอก็หายตัวไปโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลา 20 ปี ทั้งคู่ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในสถานที่แห่งนี้
อ้อมกอดอันนุ่มนวลของร่างเปลือยโปร่งแสง เข้ามาโอบเธอเอาไว้จากด้านหลังอย่างทะนุถนอม นีน่าสังเกตุเห็นว่า อลิเซียร์ เองก็มีสีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนกัน เธอเอื้อมมือไปสัมผัสที่แก้มของร่างโปร่งแสง แต่ทว่ามันก็ทะลุผ่านใบหน้าของเธอไปราวกับอากาศธาตุ เธอไม่สามารถสัมผัสหรือจับต้อง อลิเซียร์ ที่เธอโหยหาได้เลย ใบหน้าของร่างโปร่งแสงส่ายให้เธอเล็กน้อย เหมือนกับจะสื่อให้เธอรับรู้ว่าการกระทำนั่นคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“อะ… อลิเซียร์…”
อลิเซียร์ ถอนกอดออกจากเธอพร้อมกับยื่นมือโปร่งแสงทั้ง 2 ออกมาในระดับเอว นีน่าเหมือนจะรับรู้สิ่งที่ อลิเซียร์ ทำอยู่ จึงเอื้อมมือไปสัมผัสสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้นั่น ทันใดนั้นรอบๆตัวของทั้งคู่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยฉากสีดำ ก่อนจะค่อยๆปรากฎห้องๆหนึ่งขึ้นมา นีน่า จำได้ทันทีเพราะมันคือห้องรับแขกของบ้านที่เธอเคยอาศัยอยู่ในตอนเด็กๆ เธอกวาดสายตาไปรอบๆห้อง มันมืดสนิทมีแต่แสงจันทร์เท่านั้นที่สาดส่องเล็ดลอดกระจกหน้าต่างเข้ามา และมีร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างซึ่งกำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรี เจ้าของร่างนั้นก็คือ อลิเซียร์ นั่นเอง ในระหว่างนั้น เอลลิค ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถ้วยกาแฟในมือ เขาซึ่งเหมือนกับมองไม่เห็นทั้งคู่ที่กำลังยืนขวางทางเขาอยู่
“พ่อคะ!!”
เสียงเรียกของ นีน่า ไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับเขาเลยสักนิดเดียว เขาเดินทะลุร่างของเธอไปอย่างหน้าตาเฉยราวกับเธอไม่มีตัวตนอยู่ใน ณ ที่แห่งนี้
“นี่ก็วันที่ 3 แล้วที่เธอเอาแต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างนั่น มันมีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นรึไง?”
“สิ่งนั้นเรียกว่าพระจันทร์มันจะเผยโฉมก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์ล่วงลับเส้นขอบฟ้า และเมื่อพระจันทร์ล่วงลับเส้นขอบฟ้า พระอาทิตย์ยามรุ่งอรุนก็จะหวนกลับมาใหม่อีกครั้ง มันบ่งบอกถึงจุดเริ่มต้นและจุดจบ”
“อืม… มันก็เหมือนกับวงจรของสิ่งมีชีวิตนั่นแหละ ทุกสรรพสิ่งมีเกิดก็ย่อมมีตาย และก็จะเกิดขึ้นมาใหม่หมุนเวียนไปเรื่อยๆ มันเป็นวัฏจักรของธรรมชาติน่ะ”
อลิเซียร์ ใช้มือสัมผัสที่อกของตัวเองเบาๆ พลางหลับตาลงเหมือนกับจะรับฟังสิ่งที่อยู่ในอกนั้น
“สิ่งนี้ที่อยู่ในตัวชั้น มันอาจจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่า ‘หัวใจ’ ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่มันก็ทำให้ชั้นสามารถเคลื่อนไหวได้ ร่ายกายของชั้นไม่อาจจะล่วงรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน และไม่อาจมีความรู้สึกนึกคิดเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่สิ่งที่กำลังรบกวนวงจรของชั้นอยู่ในขณะนี้ มันกำลังบ่งบอกว่าชั้นเองก็สามารถมีสิ่งเหล่านั้นได้เช่นกัน”
“สิ่งนั้นเรียกว่า ‘ความหวัง’ ยังไงล่ะ สิ่งมีชีวิตย่อมมีความหวังด้วยกันทั้งนั้น และความหวังนั้นแหละคือแรงผลักดันที่ทำให้สิ่งมีชีวิตก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อที่จะทำให้ความหวังของตนเองเป็นจริง”
เอคลิค ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
“ความหวัง… ชั้นเองก็สามารถที่จะมีสิ่งที่ว่านั่นได้เหมือนกันสินะคะ?”
“อืม… ถ้าหากว่าเป็นเธอล่ะก็นะ…”
จากนั้นห้องทั้งห้องก็กลายเป็นฉากสีดำอีกครั้ง และทันใดนั้นภาพสนามหญ้าสีเขียวขจีก็ปรากฏขึ้น บรรดาเด็กน้อยทั้งหลายต่างพากันวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน โดยมี เซโร่ เป็นฝ่ายไล่จับ ส่วนพี่น้องฝาแฝดและเด็กคนอื่นๆต่างพากันวิ่งหนีเขากันยกใหญ่เพื่อไม่ให้ตนถูกจับได้ และที่หน้าประตูบ้านหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มดุจเทพธิดาในชุดกันเปื้อนสีขาวปรากฏกายขึ้น เธอปรบมือ 2-3 ครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กๆให้หันมามองเธอ
“เอาล่ะจ๊ะ เด็กๆ ได้เวลาอาหารแล้วนะจ๊ะ”
“ค่า~~/คร๊าบ~~”
เด็กน้อยทั้งหลายทำตามที่หญิงสาวคนนั้นบอกทันที ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปในบ้านและไม่ลืมที่จะสลัดรองเท้าที่เปื้อนโคลนของตนออกโดยที่ไม่สนใจว่ามันจะถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบหรือไม่ตามประสาเด็กที่ไร้เดียงสา หญิงสาวส่ายหน้าเล็กน้อยพลางตวัดนิ้วไปมา 2-3 ครั้ง ทันใดนั้นรองเท้าที่กระจัดกระจายไปคนละทิศละทางก็ค่อยๆลอยขึ้นและจับคู่กันก่อนจะร่อนลงกับพื้นอย่างเป็นระเบียบ รอยยิ้มเทพธิดาปรากฏขึ้นอีกครั้งก่อนเธอจะเดินเข้าบ้านไป
“วันนี้มีสตูเนื้อ *สโนว์เรนี่เดย์ กับ *ขนมปังเทมเทม นะจ๊ะ”
*สโนว์เรนี่เดย์ : สัตฺว์ที่มีรูปร่างลักษณะและขนาดตัวเหมือนกวางเรนเดียร์ แต่มีตัวเป็นสีขาว และมีเขาเป็นผลึกน้ำแข็งที่แตกกิ่งก้านออกไปเหมือนกับกิ่งไม้ ลมหายใจเป็นไอเย็นเฉียบ ซึ่งว่ากันว่าถ้าเอาสิ่งใดไปอังกับลมหายใจของมันสิ่งนั้นจะกลายเป็นน้ำแข็งทันที มีแหล่งอาศัยอยู่ในเทือกเขาสูงที่มีหิมะปรกคลุมตลอดปี มีเนื้อที่อร่อยเป็นที่สุดและนุ่มมากแต่ก็ทำให้ราคาของเนื้อแพงตามไปด้วย ซึ่งหาทานได้แต่ในภัตคารระดับสูงเท่านั้น
*ขนมปังเทมเทม : ขนมปังก้อนยาว 1 ฟุต ลักษณะเหมือนกับขนมปังฝรั่งเศษที่มีเนื้อหยาบและแข็งกระด้าง ทานเปล่าๆจะมีรสชาติที่ไม่อร่อยเป็นที่สุด เนื่องจากความแข็งและหยาบของมัน แต่เมื่อเอามาทานกับฟองดูหรืออาหารประเภทซุปหรือสตูจะทำให้รสชาติของมันเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว หรือจะเอามาอบกับกระเทียมและชีสทำเป็นขนมปังกระเทียมอบชีสก็ย่อมได้ แต่จะไม่อร่อยเท่ากับนำมาทานกับซุปหรือสตู
ที่โต๊ะอาหารภายในบ้าน เด็กๆที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงที่เตรียมเอาไว้ก็ต่างพากันดีใจกันยกใหญ่เมื่อจะได้กินเมนูสุดอร่อยจากเนื้อที่มีราคาแพงลิบลิ่ว หญิงสาวค่อยๆตักสตูควันฉุ่ยจากหม้อโลหะสีเงินวาววับอย่างบรรจงและเทใส่ลงในชามก้นลึกสีขาวสะอาดก่อนจะส่งให้ อลิเซียร์ ที่ยืนรออยู่ข้างๆเพื่อนำไปเสริฟให้กับเด็กๆ
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณผู้หญิงกาเฮ็นน่า”
“ขอบใจมากนะจ๊ะ เอาล่ะเด็กๆ พร้อมที่จะทานอาหารกันรึยังจ๊ะ?”
“พร้อมแล้วค่า~~/คร๊าบ~~”
กาเฮ็นน่า นั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเองที่อยู่ตรงหัวโต๊ะพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมเอาไว้ที่กลางอก เด็กๆก็ทำตามเธอเช่นกัน ยกเว้นแต่ อลิเซียร์ ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่ทุกคนทำเท่าไหร่นัก เธอจึงได้แต่ยืนดูอยู่เฉยๆ
“ข้าแต่เทพี “เฟรย่า” เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ขอขอบคุณที่ท่านประทานอาหารในมื้อนี้ให้กับพวกเรา…”
“ขอบคุณค่า~~/คร๊าบ~~”
หลังจาก กาเฮ็นน่า กล่าวขอบคุณต่อเทพีเสร็จสิ้น เด็กๆทุกคนต่างรีบลงมือจัดการกับอาหารในชามของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย แต่มีเด็กชายแว่นหนาเตอะคนหนึ่งที่สังเกตเห็นว่า อลิเซียร์ ไม่เข้ามาร่วงวง จึงเอ่ยปากถามออกไป
“พี่ อลิเซียร์ ไม่มากินด้วยกันเหรอครับ… ไอ้นี่อร่อยนา…”
“ไม่ต้องเป็นห่วงดิชั้นหรอกนะคะ คุณหนูวิกเตอร์ เชิญทานได้ตามสบายเลยค่ะ”
อลิเซียร์ ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว
กรุ๊งกริ๊งๆ~~ เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ที่หน้าประตูบ้านดังขึ้น ก่อนที่บานประตูจะเปิดออกเผยให้เห็นร่างของผู้มาเยือน ซึ่งเป็นผู้ชาย 2 คนในชุดไปรเวทเสื้อเชิตสีโทนอ่อนแขนสั้น กางเกงขาสามส่วนสีตัดกับเสื้อ รองเท้าเตะแบบสวมสบายๆ ที่มีเหงื่อไคลไหลย้อยตามใบหน้า ท่าทางของทั้งคู่ดูเหน็ดเหนื่อยเป็นที่สุด ในมือมีของพะรุงพะรังเต็มไปหมด
“กลับมาแล้วจ้า~~ เฮ้อ~~ ร้อนเป็นบ้าเลยนะครับ ดร.ไอแซค นี่ก็ปลายเดือน จูปิเทล (เดือนมิถุนายน) แล้วฝนยังไม่ตกเลยนะครับ
ดร.ไอแซค และ เอลลิค เดินพลางหอบ แฮ่กๆ เข้ามาในห้องรับแขกพร้อมกับหิ้วกล่องของขวัญใบโต 5-6 กล่องมาด้วย ทั้งคู่นั่งลงที่โซฟาที่ทำมาจากหนังสีน้ำตาลขัดเงาตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง
“ตอนนี้สภาพอากาศมันแปรปรวน คงต้องทำใจหน่อยล่ะนะ เขาว่ากันว่ากว่าจะหมดช่วงฤดูร้อนก็คงจะประมาณกลางเดือน เซบาสซัล (กันยายน) โน่นล่ะ”
“แบบนี้ชาวเมืองโลฮานน่า คงจะแย่กันหน่อยละครับ หน้าร้อนยาวแบบนี้”
“นั่นสินะ…”
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณ… ของขวัญของลูกล่ะคะ?”
เอลลิค เอานิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปากเหมือนกับจะบอกว่า “อย่าส่งเสียงดัง” พลางชี้ไปทางกล่องของขวัญที่วางแหมะอยู่บนโต๊ะกระจกที่อยู่ตรงหน้าให้ศรีภรรยาดู
“อืม… เดี๋ยวทางนี้ชั้นจัดการต่อเองนะคะ พวกคุณรีบไปทานอาหารกับพวกเด็กๆก่อนเถอะค่ะ”
ทั้งคู่รีบทำตามอย่างว่าง่าย เพราะการเดินช๊อปปิ้งท่ามกลางอากาศที่ร้อนตับแตกแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่จะทำให้ทั้งคู่หิวโซ ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องอาหารที่มีเด็กๆรอพวกเขาอยู่ แต่เมื่อพวกเขากำลังจะย่างก้าวข้ามธรณีประตู ก้อนขนมปังชุ่มสตูสูตรเด็ดก็ลอยเข้าสู่ใบหน้าของ เอลลิค อย่างจัง ซึ่งผู้ที่ทำ Head Shot ที่อันแสนงดงาม Shot นี้คือ นีน่า นั่นเอง เนื่องจากไม่มีคนคอยคุมทำให้เด็กๆแบ่งฝ่ายเป็น 2 ฝ่าย โดยใช้โต๊ะเป็นที่กั้นกลาง และเริ่มก่อสงครามเล็กๆขึ้น โดยมีก้อนขนมปังที่ชุ่มไปด้วยสตูเป็นเหมือนลูกปืนใหญ่ และเศษแครอทกับผักเหลือๆเป็นเหมือนดั่งอาวุธที่ใช้ขว้างปาใส่กัน
อลิเซียร์ ที่กำลังจะเอาของหวานมาเสริฟเมื่อเห็นภาพสงครามที่เกิดขึ้นก็ต้องรีบเข้ามาห้ามปราม แต่ทว่า นีน่า และ เลน่า กลับไม่ยอมฟังและรีบมุดเข้าไปใต้กระโปรงชุดเมดสีดำผ้ากันเปื้อนสีขาวของ อลิเซียร์ ทันที พลางใช้กระโปรงเป็นเหมือนกับที่กำบัง เด็กๆฝ่ายตรงข้ามไม่สนใจว่าเจ้าของกระโปรงนั่นเป็นผู้ใด พวกเขายังคงขวางปาก้อนขนมปังนั่นใส่เด็กสาวทั้ง 2 ที่แอบอยู่ใต้กระโปรงนั่นเพื่อทำแต้มให้ได้มากที่สุด
“มัวยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะ เอลลิค รีบเข้าไปห้ามสิ!!”
“ไม่ไหวมั้งครับ”
“ตายจริงๆ~~”
ในที่สุดซาตานในคราบเทพธิดาก็เผยโฉมขึ้น เธอยืนอยู่หลังทั้งคู่ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ สีหน้าของเธอนิ่งเฉยมีแต่รอยยิ้มดุจเทพธิดาเท่านั้นที่ผุดขึ้นมา เธอย่างกรายเข้ามาให้ห้อง เด็กๆยังไม่ทันสังเกตเห็นว่า กาเฮ็นน่า เดินเข้ามา แต่ทั้ง 2 รู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ออร่า สีน้ำเงินแผ่ออกมาและห่อหุ้มร่างของเธอเอาไว้ ทั้ง 2 กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่พลางเขยิบถอยออกมา และทันใดนั้น…
เกร้ง!! เสียงเหมือนโลหะกระทบกันดังขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่หยุดลง ก้อนขนมปังลอยแน่นิ่งอยู่กลางอากาศเหมือนกับถูกสตาฟเอาไว้ เด็กๆถูกสะกดนิ่งราวกับรูปปั้น แม้แต่ อลิเซียร์ เองก็โดนลูกหลงไปด้วยเช่นกัน กาเฮ็นน่า เดินเข้าไปหารูปปั้น Android สาวและถลกกระโปรงเมดขึ้นมา ฝาแฝดถูกสะกดแน่นิ่งในท่าทางที่ดูตลกๆ
เธอยกรูปปั้นฝาแฝดให้พ้นชายกระโปรงนั่น ก่อนจะคว้าก้อนขนมปังที่ลอยอยู่กลางอากาศมา 2 ชิ้น และเอาไปจ่อใกล้ๆกับใบหน้าของทั้งคู่ เด็กคนอื่นๆก็ใช่ว่าจะรอด เธอจัดแจงท่าทางและองค์ประกอบของพวกเขาให้เหมือนกับกำลังจะปาขนมปังอัดใส่กัน และเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางของมัน เธอก็ถอยออกมาตั้งหลักเล็กน้อย
เป๊าะ!!! เธอดีดนิ้ว 1 ครั้ง ทุกอย่างกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้งและเป็นไปตามแปลนที่เธอวางเอาไว้ทุกอย่าง ก้อนขนมปังที่อยู่ตรงหน้าพี่น้องฝาแฝดปะทะเข้าใบหน้าของทั้งคู่อย่างจังดัง แผล๊ะ!! เด็กคนอื่นๆก็เช่นกันทุกคนโดนก้อนขนมปังเขวี้ยงอัดใส่หน้าตัวเองกันหมดไม่มีใครรอดได้เลยสักคน
“ไงจ๊ะ… ขนมปังอร่อยไหม… หืม?”
เด็กๆต่างทำสีหน้างงงวยกันยกใหญ่ เธอส่งสายตาดุๆมาที่ อลิเซียร์ ที่ตอนนี้ทั้งตัวของ Android สาวเองก็เลอะคราบสตูเต็มไปหมดเช่นกัน
“ฝากพาเด็กๆไปล้างเนื้อล้างตัวด้วยนะจ๊ะ…”
“รับทราบค่ะ…”
อิลิเซียร์ ตอบกลับพร้อมกับพาเด็กๆออกไปจากห้องอาหาร กาเฮ็นน่า ตวัดนิ้วไปมา 2-3 ครั้ง และดีดนิ้ว 1 ครั้ง ทันใดนั้นห้องอาหารที่เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสตูก็กลับมาสะอาดสดใสอีกครั้ง เอลลิค กับ ดร.ไอแซค เข้ามาในห้องเพื่อหวังว่าจะหาอะไรกินแต่ทว่าสิ่งที่ กาเฮ็นน่า เตรียมไว้ให้พวกเขาทั้งคู่นั้นคือ ขนมปังปิ้ง ให้คนละ 4 แผ่น กับ แยมผลไม้ เท่านั้น เพื่อเป็นการลงโทษที่พวกเขาไม่ห้ามปรามเด็กๆแต่กลับยืนดูอยู่เฉยๆ
นีน่า ในร่างโตยืนขำให้กับภาพที่อยู่ตรงหน้านั้น ทันใดนั้นภาพก็ตัดมาที่สวนหลังบ้านของวันเดียวกัน แต่เป็นตอนเย็นพระอาทิตย์ยามอัสดงช่างงดงามจับใจ โต๊ะสีขาวขนาดเล็กและใหญ่ถูกวางเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ลูกโป่งหลากสีถูกประดับประดาตามกิ่งของต้นไม้ หลอดไฟเล็กๆถูกพ่วงและร้อยจากมุมเสา 2 ต้นที่เคยเป็นราวตากผ้ามาก่อนไปยังต้นไม้โดยรอบ และตรงกลางของสวนมีเวทีขนาดย่อมเพื่อให้เด็กๆหรือผู้ใหญ่ขึ้นไปโชว์การแสดงของตัวเองกัน
“อันนั้นของชั้นนะ เอาคืนมา!!”
“ชั้นเจอมันก่อน มันก็ต้องเป็นของชั้นสิ!!”
ฝาแฝดทะเลาะกันยกใหญ่ เนื่องจากต้องการสิ่งของที่อยู่ในมือของ เลน่า มันคือแท่งผลึกสีเขียวอ่อนที่มีประกายเป็นสีรุ้งยามต้องแสงอาทิตย์ยามอัสดง วิกเตอร์ ที่อยู่ใกล้ๆก็เกิดความสนอกสนใจขึ้นมาจึงถือวิสาสะเข้าไปแย่งแท่งผลึกนั่นมาจากมือของ เลน่า ทันที
“อะ… เอามานะ เจ้าแว่นจืดจาง…”
“วิกเตอร์ เอามาให้ชั้นเดี๋ยวนี้!! นี่เป็นคำสั่งนะ”
วิกเตอร์ ไม่ฟังคำพูดของทั้งคู่ ไม่สิ… เขาไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ำไป เขาใช้นิ้วกลางดันแว่นขึ้นเล็กน้อย และมองแท่งผลึกที่อยู่ในมือราวกับกำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่าง ท่าทางของเขาตอนนี้ดูไม่เหมือนเด็ก 4 ขวบเลยสักนิด เขาดูราวกับว่ากลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ชอบการค้นคว้าและวิจัยไปแล้วยังไงยังงั้น แต่จู่ๆหญิงสาวผิวซีดขาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของฝาแฝด เธอมีเรือนผมสีดำเป็นลอน ผู้มีดวงตากลมโตสีเทาอ่อน หน้าตาถือว่าสะสวยในระดับหนึ่ง มาในชุดเดรสกระโปรงสีขาวอมเขียวยาวเสมอเข่า วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเขา
“วิกเตอร์!!! รีบวางมันลงเดี๋ยวนี้เลยนะ แม่บอกลูกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าหยิบอะไรมั่วซั่ว!!”
เจ้าหล่อนดึงผลึกที่ว่านั่นออกจากมือของเขาทันที ก่อนจะตีที่หลังมือของเขาดัง เพี๊ยะ!! พลางต่อว่าเขาสารพัดสารเพ วิกเตอร์ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ก่อนจะปล่อยโฮออกมาดังลั่น ทำให้บรรดาพ่อแม่ของเด็กๆที่อยู่แถวๆนั้นหันมามองเธอเป็นตาเดียว แต่เธอหาได้กลับสนใจสายตาจากคนรอบข้างไม่ เธอยังคงดุด่า วิกเตอร์ ต่อไปเรื่อยๆ จน กาเฮ็นน่า ต้องเข้ามาห้ามปรามการกระทำของเธอ
“พอได้แล้วค่ะ คุณมาริแอน เด็กๆก็มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นอย่าไปต่อว่าเขาเลยนะคะ”
“เชอะ!! ชั้นจะสั่งสอนลูกของชั้น เธอมีปัญหาอะไรงั้นเรอะ!? ชั้นว่า… แทนที่จะมาคอยนั่งเป็นห่วงลูกหลานของชาวบ้านชาวช่อง เธอหัดไปห่วงลูกๆของเธอก่อนจะดีกว่าไหม?”
“นั่นสินะคะ… จริงอยู่ที่ชั้นเอาแต่เป็นห่วงเป็นใยลูกหลานของชาวบ้าน แต่ชั้นก็สามารถทำหน้าที่ของคนที่เรียกตัวเองว่า “แม่” ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่เหมือนใครบางคนที่วันๆเอาแต่สร้างหน้าสร้างตาให้กับวงตระกูล โดยไม่หันมาสนใจลูกชายแท้ๆของตัวเองเลยสักนิด ไม่เคยคิดจะชื่นชมเวลาที่เขาเป็นเด็กดีหรือทำความดีอะไรให้กับสังคม แต่พอเขาทำผิดนิดๆหน่อยๆ ก็กลับมายืนดุด่าเขาต่อหน้าฝูงชน ให้เขาต้องละอายใจต่อสายตาของคนอื่นๆรอบข้าง และชั้นคิดว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ใช่การสั่งสอนที่ดีจากคนที่เป็นแม่หรอกนะคะ”
มาริแอน โดน กาเฮ็นน่า สวนกลับหน้าหงายด้วยคำพูดเมื่อครู่ เธอได้แต่ยืนกัดฟันกรอดๆ หน้าแดงก่ำ และโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็โต้เถียงกลับไม่ได้ ถึงจะได้แต่ก็ไม่เต็มปากเพราะสิ่งที่ กาเฮ็นน่า พูดออกมานั้นเป็นความจริงแทบทั้งสิ้น ที่วันๆเธอเอาแต่เข้าร่วมงานสังคมเพื่อเสริมสร้างฐานะและหน้าตาให้กับวงตระกูล “โนว่า” ของเธอ โดยไม่เคยใส่ใจในตัว วิกเตอร์ เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งพาเขาไปโรงเรียน หรือ นั่งกินข้าวร่วมกัน แม้กระทั่งไปเที่ยว หรือเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น เล่านิทานก่อนนอนให้เขาฟังก็ยังไม่เคยมีสักครั้ง มาริแอน ตีตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ วิกเตอร์ ยืนร้องไห้โฮอยู่กับ กาเฮ็นน่า ส่วนฝาแฝดนั้นก็ตีสีหน้าสงสัยในท่าทีของ วิกเตอร์ แต่ กาเฮ็นน่า กลับส่ายหน้าให้กับทั้งคู่เล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนทั้งคู่จะรู้ความหมายที่เธอต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี จึงรีบวิ่งออกไปและไปรวมกลุ่มกับเด็กคนอื่นๆ
กาเฮ็นน่า เอามือลูบหัว วิกเตอร์ ไปมาอย่างเอ็นดูจนเขาหยุดร้อง ก่อนจะควักขนมแท่งสีขาวที่ทำมาจากน้ำตาลเคี้ยวออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้เขา วิกเตอร์ เอากำปั้นน้อยๆปาดน้ำตาของตัวเองแต่ก็ยื่นมือออกมารับขนมจากเธอ รอยยิ้มเริ่มกลับมาแต้มบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง และกลับไปวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่นๆ เพื่อรอให้พวกผู้ใหญ่ทำการจัดตกแต่งประดับประดาข้าวของเครื่องใช้ภายในสวนแห่งนี้ให้เสร็จเป็นที่เรียบร้อย
เวลา 19.00 น. งานปาร์ตี้ในสวนหลังบ้านก็เริ่มขึ้น โดยปาร์ตี้ที่ว่านี้คือ งานวันเกิดของ 2 พี่น้องฝาแฝด นั่นเอง เค้กก้อนใหญ่ที่เต็มไปด้วยวิปครีมนุ่มๆสีขาวบริสุทธิ์พร้อมประดับด้วยสตรอเบอรี่เคลือบน้ำเชื่อมสีแดงสดใสพร้อมเทียนวันเกิด 4 เล่ม ที่ตั้งตระง่านอยู่บนโต๊ะข้างๆกับเวทีกลางสวนนั้น ซึ่งบนเวทีนั้นการแสดงของทั้งผู้ใหญ่และเด็กก็ถูกจัดขึ้นสลับกันไปเรื่อยๆ แต่ที่สร้างความฉงนใจและขบขันให้กับทุกคนนั่นก็คือการแสดงของเด็กสาวอายุ 4 ขวบผมจุกม่วงคนหนึ่ง การแสดงของเธอนั้นมีการเกริ่นนำที่น่าสนใจคือ…
“สิ่งที่หนูจะให้ทุกคนดูนั้น มันคือสิ่งที่ทุกคนไม่เคยได้เห็น และกำลังจะได้เห็น และเมื่อเห็นแล้วก็จะไม่มีวันได้เห็นมันอีกตลอดกาล”
ว่าแล้วเธอก็เปิดชุดกระโปรงลายสก๊อตของเธอขึ้นมาเผยให้เห็น กกน. สีขาวลายหมีน้อยสีน้ำตาลน่ารัก นั่นคือ “สิ่งที่ทุกคนไม่เคยได้เห็นและกำลังจะได้เห็น” ในความหมายของเธอ จากนั้นเธอก็ถอด กกน. นั่นออกและโยนมันเข้าไปในคบไฟที่อยู่แถวๆนั้น และนั่นคือความหมายของคำว่า “เมื่อเห็นแล้วก็จะไม่มีวันได้เห็นมันอีกตลอดกาล” นั่นเอง ทุกคนนิ่งเงียบกับการแสดงของเธอ และมีส่วนหนึ่งที่หัวเราะเบาๆในลำคอ เด็กน้อยส่งจุ๊บให้กับคนดูด้วยท่าทางยั่วยวนของเด็กวัย 4 ขวบ จนพ่อแม่ของเธอทนดูไม่ไหวจึงต้องขึ้นมาพาเธอลงจากเวทีไป
“เอาล่ะค่ะ ได้เวลาเป่าเทียนและมอบของขวัญแล้วนะคะ ทุกคน…”
และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ทุกคนควักกล่องของขวัญที่ตนเตรียมเอาไว้ออกมา และพากันเอาไปวางกองเอาไว้บนโต๊ะข้างๆโต๊ะเค้กนั่น ก่อนจะมายืนล้อมโต๊ะเค้กเอาไว้ พี่น้องฝาแฝดยืนอยู่บนกล่องไม้ที่ต่อเอาไว้เพื่อจะได้เป่าเค้กได้ถนัดๆ
“ทั้ง 2 คน อถิษฐาน ก่อนนะจ๊ะแล้วค่อยเป่า”
ทั้ง 2 หลับตาพริ้มพลางอถิษฐานในใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นและสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและพร้อมใจกันเป่าเทียนทั้ง 4 เล่มให้ดับลง ทุกคนต่างปรบมือและส่งเสียงโห่ร้องด้วยความปิติยินดี และเข้ามาอวยพรให้ทั้งคู่มีความสุข เมื่อเวลาล่วงเลยไปพอประมาณ กาเฮ็นน่า ก็พาลูกๆของตนเข้านอน ส่วนเด็กคนอื่นๆนั้นก็กลับบ้านของตัวเอง ยกเว้น ดร.ไอแซค กับ เอลลิค และผู้ชายบางคนที่ยังคงนั่งติดลมตั้งวงดื่มเหล้าและพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆของตัวเองกันอย่างออกรส ส่วนในห้องครัวนั้น กาเฮ็นน่า ก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดจานชามกองโตอยู่กับ อลิเซียร์ แต่เธอสังเกตเห็นท่าทีแปลกๆของ อลิเซียร์ จึงเอ่ยปากถามขึ้น
“มีอะไรอย่างงั้นหรือจ๊ะ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ… เพียงแต่…”
“หืม?...”
“เมื่อเห็นทุกๆคนต่างแสดงความยินดีกับ คุณหนูนีน่า และ คุณหนูเลน่า วงจรของชั้นมันเลยเกิดอาการแปลกๆน่ะค่ะ”
อลิเซียร์ เอามือทาบบนหน้าอกของตัวเองเบาๆ
“ชั้นรู้สึกถึงความอบอุ่น รู้สึกถึงความผ่อนคลาย เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจากทุกๆคน และไม่อยากให้มันจางหายไป อยากจะให้มันถูกจดบันทึกอยู่ในหน่วยความจำของชั้นไปตลอดกาล”
“นั่นเขาเรียกว่า “ความสุข” ยังไงล่ะจ๊ะ ความสุขคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและรื่นรมย์ไปกับมัน เป็นความรู้สึกที่ไม่เป็นผิดเป็นภัย เป็นความรู้สึกที่งดงาม สิ่งที่อยู่ในอกของเธอมันคงต้องการจะสื่อให้เธอได้รับรู้ว่า ตอนนี้เธอกำลังมีความสุขอยู่ยังไงล่ะจ๊ะ”
“ความหวัง และ ความสุข 2 สิ่งที่ว่านี้ชั้นได้มันมาแล้วสินะคะ?”
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละจ๊ะ…”
ทันใดนั้นฉากสีดำก็ค่อยๆปรากฏขึ้นและค่อยๆกลืนห้องครัวไป และพื้นที่บริเวณดาดฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังก็ปรากฏขึ้นมา สายฝนโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงและมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่กลางลานดาดฟ้ามีร่างของชายหนุ่มที่แขนซ้ายโชกไปด้วยเลือดที่กำลังประคองร่างของหญิงสาวผมทองคนหนึ่งอยู่ แต่นีน่ามองเห็นแค่ลางๆเท่านั้น เธอเดินเข้าไปให้ใกล้ทั้งคู่มากขึ้นไปอีก เมื่อโฟกัสภาพได้ชัดเจนแล้วเธอก็ต้องพบว่าเธอมาอยู่ในเหตุการณ์ในวันที่ เอมมอนส์ อาละวาตนั่นเองแต่เป็นเหตุการณ์หลังจากที่พ่อของเธอได้โค่น เอมมอนส์ ลงได้สำเร็จและกำลังรอหน่วยกู้ภัยขึ้นมาทำการช่วยเหลือ เอลลิคใช้เสื้อคลุมของเขาคลุมร่างของ อลิเซียร์ เอาไว้
“ชั้นจะพาเธอกลับมาให้ได้ อลิเซียร์”
แต่จู่ๆภาพที่ นีน่า เห็นอยู่นั้นก็เบลอขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เธอกลับมาอยู่ในห้องเครื่องอีกครั้ง
“ทำไมล่ะ!? อลิเซียร์ ทำไมไม่ให้ชั้นดูต่อ…”
ร่างโปร่งแสงของ อลิเซียร์ ส่ายหัวให้เธอ ก่อนที่ริมฝีปากของ อลิเซียร์ จะขยับเหมือนกับกำลังจะบอกอะไรบางอย่างให้กับ นีน่า แต่ทว่ามีแค่ริมฝีปากเท่านั้นที่ขยับส่วนเสียงนั้นไม่มีเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย นีน่า พยายามจับใจความจากการอ่านริมฝีปากของ อลิเซียร์ ให้มากที่สุด
“รหัส… ผ่าน… คือ… ลูก… แกะ… ห้า… ตัว...”
”สาม… ความ… รู้… สึก… คือ… กุญแจ… สู่… การ… ปลด… ปล่อย…”
นีน่า เบิกตาโพลง เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่ อลิเซียร์ ต้องการจะบอกกับเธอ
“รหัสผ่านงั้นเหรอ? แล้วมันคือรหัสของอะไรล่ะ? หรือว่า!”
เธอคิดในใจ แต่ทันใดนั้นร่างโปร่งแสงของ อลิเซียร์ ก็หายไป นีน่า ดูเหมือนจะคิดอะไรได้ขึ้นมา เธอรีบวิ่งออกจากห้องเครื่อง และรีบตรงดิ่งไปยังห้องทดลองชั่วคราวทันที และเมื่อเธอเปิดประตูห้องทดลองเข้าไปด้วยท่าทางร้อนรน วิกเตอร์ และ ดร.ไอแซค ก็กำลังทำการเจาะรหัสวงจรสมองกลของ เฟรย่า อยู่พอดี โดยใช่การเชื่อมต่อของ เอมมอนส์ และ ฟรีน่า ช่วยในการเจาะระบบป้องกันอีกแรง ทั้ง 2 หันมามองนีน่าอย่างงงๆ
“ดูอาการของ เลน่า เสร็จแล้วเหรอ?”
วิกเตอร์ ถามก่อนจะหันไปทำการเจาะรหัสต่อแต่ไม่ว่าจะทำยังไงหน้าจอก็ขึ้น “รหัสผ่านผิดพลาด” ทุกครั้งไป เขาเริ่มหงุดหงิดจึงเผลอทุบคอมอย่างแรง ดร.ไอแซค ก็คาบบุหรี่มวนโตไว้ในปากพลางจ้องมองหน้าจอคอมเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่
“รหัสผ่านคือลูกแกะห้าตัว…”
“เธอว่าอะไรนะ!?”
วิกเตอร์หันมาถามด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย นีน่าเดินเข้ามาใกล้ๆทั้งคู่ ก่อนจะย้ำคำเมื่อครู่กับเขา
“รหัสผ่านคือลูกแกะห้าตัว”
“ลูกแกะห้าตัว? เธอพูดอะไรของเธอเนี่ย?”
“เอาน่า! ลองใส่ดูก่อนเถอะ!”
วิกเตอร์ ถอนหายใจก่อนจะพิมพ์คำว่า “ลูกแกะห้าตัว” ลงไป ปรากฎว่าหน้าจอขึ้น “รหัสผ่านผิดพลาด” ตามเดิม
“เห็นไหม!? นี่ก็ไม่ใช่! ลูกแกะลูกเกอะ อะไรของเธอ...”
“อ้าว! ชั้นจะไปรู้เหรอ? ใครใช้ให้นายใส่คำว่า ‘ลูกแกะห้าตัว’ ลงไปดื้อๆล่ะ…”
“ก็เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่า ‘รหัสผ่านคือลูกแกะห้าตัว’ น่ะห๊า!?
ทั้งคู่กัดฟันกรอดๆต่างฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน แต่ ดร.ไอแซค ที่ตอนนี้เริ่มมีกิริยาขึ้นมาแล้ว เขาพุ่งแท่นลอยตัวเข้าไปข้างๆวิกเตอร์ทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า…
“ใครเป็นคนบอกรหัสกับเธอมาอย่างงั้นรึ?”
“อะ… อลิเซียร์ ค่ะ”
“เธอไปเจอ อลิเซียร์ มาอย่างนั้นรึ!?”
“ค่ะ”
“ที่ไหน?”
“ที่ห้องเครื่องยนตร์หลักค่ะ”
“อืม… ที่ว่ากันว่ามีการนำร่างของ อลิเซียร์ มาเป็นแกนพลังงานหลักให้กับ Leviathan ก็เป็นเรื่องจริงสินะ?
ดร.ไอแซค บินร่อนไปร่อนมาพลางทำท่าทางครุ่นคิดอยู่สักพัก พร้อมกับบ่นพึมพำไปด้วย
“ถ้าเป็นรหัสที่ อลิเซียร์ บอกมา ‘ลูกแกะห้าตัว’ น่าจะไม่ใช่รหัสผ่าน แต่มันอาจจะเป็นคำใบ้ มันคือปริศนาในปริศนาอีกที เราต้องแก้ตรงนี้ให้ออกก่อน ลองคิดดูดีๆ ลูกแกะห้าตัวในที่นี้ถ้าหมายถึง Android รุ่นแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ตัวพอดี แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นใน 5 ตัวนี้มันมีรหัสอยู่จริงๆอย่างงั้นเหรอ?”
วิกเตอร์ และ นีน่า เองก็คิดตามไปด้วยเช่นกัน
“อืม… ไหนนายลองไล่ชื่อและรหัสของ Android แต่ละตัวให้ชั้นฟังอีกทีสิ วิกเตอร์”
“A-0001 ฟอลเรนเซียร์ ภาษาอังการุส (อังกฤษ) เขียนว่า Fallenzier A-0002 ราเนส เขียนว่า Raness A-0003 เอมมอนส์ เขียนว่า Emmons A-0004 โยดริว เขียนว่า Yodryo และสุดท้าย A-0005 อลิเซียร์ เขียนว่า Alicia เธอจะถามทำไม?”
“นายสังเกตว่ามันแปลกๆรึเปล่าล่ะ?”
“แปลกๆ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกนี่ ทำไมเหรอ?”
นีน่า หัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา และฉกปากกาที่เหน็บอยู่ที่ใบหูของ วิกเตอร์ และบรรจงเขียนอะไรบางอย่างลงไปในนั้น
“ลองคิดตามชั้นนะถ้าหากว่า รหัสเครื่องของ Android คือ A-0001 ถึง A-0005 ไอฺ้ 0001 ถึง 0005 ถ้ามันเป็นตัวที่บ่งบอกให้เราเรียงอักษรตามลำดับล่ะ เรียงลำดับจาก 1 ถึง 5 น่ะ และ A ที่นำอยู่หน้ารหัสนั้นในภาษาอังการุสตัว A เป็นอักษรตัวแรกและตามด้วย B C D เป็นต้นไปจนถึง Z นั่นก็อาจจะหมายถึงให้เราใช้อักษรตัวแรกมาเรียงตามลำดับ 1 ถึง 5 ซึ่งอักษรตัวแรกนั้นถ้าลองเอาอักษรตัวแรกในชื่อของ Android ทั้ง 5 ตัวมาเรียงตามลำดับเป็นแนวตรงก็จะได้คำว่า ‘FREYA’ ซึ่งเป็นชื่อของ Android ของชั้นที่เป็นปัญหาอยู่ในตอนนี้ถูกไหม?”
“จริงด้วย! งั้นลองดูไหมล่ะ”
วิกเตอร์ ไม่ต้องการคำตอบของ นีน่า อยู่แล้ว เขารีบพิมพ์รหัสที่เพิ่งแก้ได้ลงในคอมทันที ปรากฏว่า…
“รหัสผ่านไม่ถูกต้อง”
“ถะ… โถ่เว้ย!!”
ตึง!!! วิกเตอร์ ทุบโต๊ะดังลั่นจนทำให้ปากกาที่ นีน่า วางเอาไว้อยู่บนกระดาษลอยขึ้นและจังหวะบังเอิญหรืออะไรก็ไม่ทราบ ทำให้ปลายปากกาไปจิ้มที่ระหว่างตัวอักษร F และ R ของคำว่า FREYA บนกระดาษเข้าให้จนกลายเป็น F.REYA
“หือ?”
วิกเตอร์ มองคำที่ถูกจุดใส่นั้นและหันมามอง นีน่า และ ดร.ไอแซค ซึ่งทั้งคู่ก็ได้แต่พยักหน้าเป็นการบ่งบอกว่า ”ลองดูสิ” และทันใดนั้นวิกเตอร์ก็พิมพ์คำว่า F.R.E.Y.A ลงไปในคอมพ์ ปรากฎว่า…
“รหัสผ่านถูกต้อง!! ยืนยันการเข้าสู้ระบบวงจรหลัก กรุณาใส่ ___ ‘KEY CODE’ ___”
“ยะ… ยังมีรหัสป้องกันอีกชั้นอย่างงั้นเรอะ!?”
“ยังมีปริศนาอีกอันที่ อลิเซียร์ บอกเอาไว้กับชั้น เธอบอกว่า ‘สามความรู้สึกคือกุญแจสู่การปลดปล่อย’ ชั้นรู้มาแค่ 2 คือ ความหวัง กับ ความสุข แต่อันสุดท้ายนั้นชั้นไม่รู้…”
“เฮ้อ~~ อุตส่าห์มาได้ถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมานั่งคิดให้ปวดหัวอีกเหรอเนี่ย?…”
วิกเตอร์ เอนตัวไปด้านหลังพลางบิดขี้เกียจ และลุกไปหยิบโหลกาแฟดำที่อยู่ตรงมุมห้องก่อนจะเถใส่ถ้วย และกลับมานั่งประจำที่ของตัวเอง แต่อยู่ๆ ดร.ไอแซค ที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็เอ่ยปากขึ้น
“ความรัก…”
“เมื่อกี้ ดร. พูดว่า ความรัก อย่างนั้นเหรอครับ?”
“พอดีชั้นลองมาคิดถึงการกระทำของ ’ไอ้เจ้าบ้า’ นั่น ที่มีต่อ อลิเซียร์ น่ะ ชั้นว่าสิ่งนั้นคือ ‘ความรัก’ ไม่ผิดแน่! เจ้านั่นมีความรักของผู้ที่ให้กำเนิดกับ อลิเซียร์ ส่วน อลิเซียร์ เองก็มีความรักของผู้ที่เป็นเหมือนลูกสาวให้กับเจ้านั่นด้วยเช่นกัน… วิกต์ เธอลองใส่เข้าไปดูสิ”
“คะ… ครับ!”
วิกเตอร์ ใส่ KEY CODE คำว่า ‘ความหวัง ความสุข และ ความรัก’ เข้าไป ทันใดนั้น…
ฟู่~~! ครึก! เกร็กๆๆ วืด~~! เสียงแผ่นโลหะบริเวณส่วนหันด้านหลังของ เฟรย่า ก็เปิดออกมาและมีแผ่นวงจรที่เหมือนกับไมโครชิพสีดำซึ่งมีกระแสพลังงานสีเขียวไหลวนเวียนอยู่ ซึ่งมันค่อยๆเลื่อนออกมา วิกเตอร์ ดึงแผ่นไมโครชิพนั่นออกมาอย่างระมัดระวัง
“ฮะๆๆ สำเร็จแล้ว!! นี่น่ะเหรอ? ระบบสมองกลที่รวบรวม Android รุ่นแรกทั้ง 5 ตัวเอาไว้ด้วยกัน สะ... สุดยอด!!”
“มรดกที่เหลืออยู่ของคุณพ่อสินะ?”
และเมื่อวิกเตอร์กำลังจะนำมันไปใส่ในส่วนหัวของโครงร่างใหม่อยู่นั้น…
วืด~~ วืด~~ เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นพร้อมกับสัญญาณไฟสีแดงก็สว่างขึ้นเช่นกัน ที่สะพานเดินเรือนั้นบรรดาลูกเรือต่างพากันแตกตื่นซึ่งไม่ใช่ความตกใจแต่เป็นประหลาดใจที่มีให้กับรอยแยกของมิติที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า รอยแยกนั้นค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่สมควรจะอยู่บนท้องฟ้านั่นก็คือ “เรือ” ขนาดใหญ่ก็ค่อยๆโผล่ออกมาจากช่องว่างระหว่างมิตินั้น เรือนั่นมีรูปร่างคล้ายกับเรือโจรสลัด แต่ต่างที่ว่ามันมีท่อส่งแรงขับของเครื่องยนต์เหมือนกับกระสวยอวกาศติดอยู่ที่ด้านหลัง 3 เครื่อง ซึ่งมาพร้อมกับปืนลำแสงที่ติดตั้งอยู่รอบตัวเรือ เสากระโดงเรือของมันสูงตระง่านและบดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมายังกองเรือเบื้องล่าง กระบอกปืนเกือบทั้งหมดของมันค่อยๆหันมายังเรือลำใหญ่ยักษ์ที่อยู่ตรงกลางทีละกระบอกและเล็งค้างเอาไว้อยู่อย่างนั้นเหมือนเป็นการขู่
“นะ… นั่นมัน! เรือโจรสลัดเวหา ‘สตาร์แวนการ์ด’ เห็นเขาว่ามันหลุดเข้าไปในช่องมิติของกาลเวลาแล้วนี่นา ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้!”
พร.อ กอโดเรส ถึงกับอุทานออกมา เขาแทบไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง ว่าจะได้พบกับ “เรือเวหา” ที่ได้ชื่อว่า ร้ายกาจที่สุดที่โลกนี้ที่เคยมีมา ถ้า Leviathan คือ “อสูรยักษ์แห่งปราการทะเลตะวันออก” แล้วล่ะก็ เรือโจรสลัดเวหาสตาร์แวนการ์ด ก็คือ “อสูรแห่งท้องนภาและดวงดาว” เช่นกัน…
-= Lesson 12 End =-
-= To Be Continue Lesson 13
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ