What is under the moonlight
6.8
เขียนโดย kang
วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.09 น.
11 ตอน
49 วิจารณ์
19.86K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 13.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ปฐมบท
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ มนุษย์มักหลงเชื่อต่อสิ่งที่คิด จดจำแต่สิ่งที่พบเจอ บางเรื่องกลายเป็นประวัติศาสตร์ บางเรื่องได้กลายเป็นตำนานหรือไม่ก็จะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่พวกเขาไม่เคยได้ตระหนักคิดเลยว่า บางตำนานที่พวกเขาได้ลืมเลือนไป ได้ถือกำเนิดมาจากเรื่องจริง และพวกมันก็อยู่ใกล้ตัวพวกเขามากกว่าที่คาด
สายลมหนาวยามดึกในป่าสนพัดผ่านไป เสียงของมันช่างฟังดูน่าสยองขวัญเสียเหลือเกิน คืนนี้ก็คงอาจจะเหมือนอย่างทุกๆคืนที่ผ่านมาตลอดระยะสามเดือนเศษ ทหารสามสิบนายจากกองร้อย ไทเกอร์ ยังคงนอนนิ่งอยู่ในสนามเพลาะโดยที่สายตาของพวกเขายังคงเบิกกว้าง จ้องมองไปเบื้องหน้าเพื่อคอยระวังทหารเยอรมันที่พร้อมจะบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ และใน ความมืดอันเงียบสงบของคืนนั้นเอง พลทหาร แดนนี่ เกรสสัน เดินย่ำเท้าอย่างเร่งรีบเพื่อไปปลดทุกข์หลังจากที่เขาแอบหนีออกมาจากแนวป้องกันฝั่งปีกซ้าย*โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น เขาเดินมายังต้นสนใหญ่ที่ที่พอจะกำบังตัวเขาให้พ้นสายตาผู้อื่นได้ แล้วจัดการทำธุระส่วนตัว
ผ่านไปเพียงชั่วขณะ ความเงียบสงัดรอบตัวแดนนี่ได้ถูกทำลายลงด้วยเสียงสั่นไหวของกิ่งไม้ ใกล้ๆกับจุดที่เขายืนอยู่ ซึ่งจากการฟังเสียง ก็สามารถจะคาดเดาได้แล้วว่า มันไม่ใช่การสั่นที่เกิดลมพัดอย่างแน่นอน แดนนี่รีบหยิบปืนไรเฟิลคู่กายขึ้นมาประทับแล้วส่องไปรอบๆกาย แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับมีเพียงแค่ความว่างเปล่า แดนนี่ทำท่าจะลดปืนลง แต่ทันใดนั้นได้มีน้ำเหนียวๆบางอย่างตกลงมายังไหล่ซ้ายของเขาอย่างช้าๆ คล้ายกับการไหลของน้ำลายของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง แดนนี่เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ ร่างกายเริ่มสั่นทีละน้อยๆในขณะที่น้ำลายของบางอย่างนั้นเริ่มไหลลงมาเรื่อยๆ เพียงชั่ววินาทีต่อมาแดนนี่รีบรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่ยังหลงเหลือชี้ปืนขึ้นไปด้านบนต้นไม้
“ปัง” เสียงลั่นไกปืนไรเฟิล ดังสนั่นขึ้นมาทำลายความเงียบที่ปกคลุมป่ามานานนับชั่วโมงเสียสนิท แต่ทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว เพราะหลังจากที่แดนนี่ลั่นไกปืน เจ้าของเสียงปริศนาที่อยู่ด้านบน มันได้ทิ้งตัวลงมากระแทกแดนนี่จน เขาตัวลอยละลิ่วด้วยแรงกระแทกอันมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ แดนนี่รู้สึกได้ว่าตัวของเขากำลังลอยคว้างยู่บนอากาศ ทุกสิ่งผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพียงไม่กี่วินาทีราวกับผ่านไปนานนับปี และสุดท้ายร่างของเขาก็ตกลงมาสู่พื้นอย่างแรง พร้อมกับที่ปืนไรเฟิลหลุดจากมือและกระเด็นหายไป
แม้จะยังไม่รู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร แต่สัญชาตญาณเอาตัวชีวิตรอดของแดนนี่ยังสามารถช่วยให้เขาลุกขึ้นยืนมาพร้อมกับชักปืนขึ้นมาเล็ง แต่ทันทีที่เขาเห็นกลับไปภาพที่เขาเห็นคือ ใบหน้าเรียวยาวซึ่งถูกขนสีดำปกคลุมอยู่เต็มไปหมดกับคมเขี้ยวสีขาวโง้งยาวเต็มปากกำลังพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว และยังไม่ทันที่แดนนี่จะได้ตั้งตั้งตัวทัน
“ฉวบ” เสียงเหมือนของมีคมกรีดบนเนื้อดังแว่วขึ้นมา แดนนี่ยืนนิ่งด้วยความงงงวยในขณะที่เขาเริ่มรู้สึกว่า บริเวณเอวด้านซ้ายของเขาไล่ยาวขึ้นมาตามแนวเฉียงถึงบริเบณเหนือเอวด้านขวาเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวบางอย่าง ซึ่งไม่กี่วินาทีจากนั้นความรู้สึกที่ตามมาคือ ความเจ็บปวดอย่างสาหัส ปืนพกที่ถืออยู่หลุดมือตกลงพื้น แดนนี่ค่อยๆก้มหน้าลงมองที่เอวของเขา และสิ่งที่เขาเห็นก็คือ บาดแผลสามรอยเหมือนรอยกรงเล็บลากยาวขึ้นมาตั้งแต่เอวซ้ายมาจนถึงเอวด้านขวา เลือดสดๆไหลทะลักออกมาจนชุดเครื่องแบบของเขาเปียกชุ่ม ทันใดนั้นแดนนี่เริ่มรู้สึกว่าขาของเขาหมดเรี่ยวแรงลง ไม่ช้าเขาก็สามารถจะยืนทรงตัวได้อีกต่อไป แล้วล้มลงนั่งคุกเข่าบนพื้น ราวกับคนที่กำลังจะสิ้นใจ
“ครื่ออออ” เสียงครางในลำคอของเจ้าสิ่งนั้นเริ่มดังขึ้นมา เป็นสัญญาณบ่งบอกได้แดนนี่ได้รู้ตัวว่า ตอนนี้มันกำลังจะกลับมาเก็บกวาดผลงานสุดหฤโหดของมัน เจ้าสิ่งนั้นค่อยๆเดินสี่ขามาตรงมาเบื้องหน้าของแดนนี่ราวกับว่า มันต้องการจะดูให้แน่ใจว่า อาการของเหยื่อมันเป็นยังไง ซึ่งในตอนนั้นเองที่แดนนี่พอจะมีโอกาสได้เห็นรูปร่างของมันอย่างเต็มตัว แต่เนื่องจากความมืดมิดกับอาการตกใจ ทำให้เขาพอจะสังเกตรูปร่างของมันได้เพียงเล็กน้อยว่า มันมีใบหน้ายาวเรียว มีหูชี้ขึ้นด้านบน ตามร่างกายอันกำยำของมันปกคลุมด้วยขนยาวรุงรังอยู่ทั่วทุกแห่ง เมื่อเจ้าสิ่งนั้นแน่ใจแล้วว่าเหยื่อของมันได้หมดหนทางหนีหรือต่อสู้ไปแล้วในตอนนี้ มันจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยสองขาหลังของมัน ซึ่งทำให้มันดูเหมือนกับมนุษย์ที่มีร่างกายใหญ่ยักษืเสียเหลือเกิน แดนนี่ทำได้เพียงแค่หลับตาและภาวนาให้ทุกอย่างจบลงเสียโดยเร็ว แต่โชคชะตากลับไม่ยอมเลิกเล่นสนุก
‘ปัง’ เสียงปืนไรเฟิลดังสนั่นขึ้นมาทำลายความเงียบในยามราตรีราวกับป่าจะแตกออก เจ้าสิ่งนั้นทรุดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่กระสุนขนาด .30-06 จาก M1 Garand* เจาะทะลวงหลังจนทะลุออกมาบริเวณหน้าอก เลือดของมันสาดกระเซ็นออกมาเป็นทางพร้อมกับที่ร่างอันกำยำของล้มลงอย่างแรง
“จอห์นสัน อย่ายิง เดี๋ยวโดนไอ้แดนนี่” สิบโท มาร์คัส ตะโกนห้ามคู่หูที่มาด้วยกัน แล้วลั่นไกปืนนัดต่อไป เพื่อป้องกันไม่ใช่เจ้าสิ่งนั้นหนีรอดไปได้ แต่มันกลับสามารถทำสิ่งไม่น่าเชื่อให้เกิดขึ้นได้ แม้กรสุนนัดนั้นจะเจาะหลังทะลุหน้าอกของมันออกมา แจ่เพียงชั่ววินาที มันกลับสามารถกลับลุกขึ้นมายืน แล้วกระโจนขึ้นต้นไม้ หนีหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“จอห์นสัน คุ้มกันที ฉันพยุงมันไปเอง” สิบโทมาร์คัส ชายผิวดำผู้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำออกคำสั่งแก่พลทหารเพื่อนสนิทของเขา ขณะที่เขายกแดนนี่ขึ้นบ่าแล้วเดินฝ่าความมืดกลับไปยังที่มั่น โดยมีสายตาของทหารนับสิบคนที่ประจำอยู่ในสนามเพลาะจับจ้องมองตามมา มาร์คัสพยุงแดนนี่ผ่านแนวป้องกันปีกซ้ายมาจนถึงแนวป้องกันหลักที่เป็นสนามเพลาะแบบเชื่อมถึงกันเพื่อนำตัวแดนนี่ไปส่งยังเต๊นท์พยาบาล
“วิลเลี่ยม รีบดูอาการเจ้านี้ที เร็วเข้า” จอห์นสันตะโกนเรียกแพทย์สนามในขณะที่มาร์คัสกำลังวางร่างอันหมดสติของแดนนี่ลงบนเตียงที่ยังว่างอยู่
“ให้ตายสิวะ มนไปโดนอะไรเนี่ย” วิลเลี่ยมหันมาถามทหารหนุ่มทั้งสองที่นำตัวแดนนี่มาส่งด้วยอาการตกใจไม่น้อย
จอห์นสันหันไปมองหน้ามาร์คัสเพื่อหวังว่า จะตอบในสิ่งที่เขาเองก็กำลังอยากรู้เหมือนกัน แต่ท่าทีของมาร์คัส กลับยังดูสงบนิ่ง แล้วตอบกลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันไม่รู้หรอก มันมืดและฉันเองก็ไม่มีเวลาสังเกตด้วยสิ” เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่อาจสรุปอะไรได้ วิลเลี่ยมจึงไม่คิดที่จะถามอะไรมากกไปกว่านั้น แล้วหันไปทำหน้าที่ของตนต่อไป พร้อมกับที่จอห์นสันเดินตามหลังมาร์คัสออกมาพร้อมกับความสงสัยในท่าทีที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่เจอเลยแม้แต่น้อย
“จอห์นสัน มาร์คัส” เสียงเรียกอันดุดันของร้อยตรี เจมส์ รอส ผู้บัญชาการกองร้อยไทเกอร์ดังขึ้นจากทางด้านหลังของทหารทั้งสอง
“มันเกิดอะไรขึ้น แดนนี่มันไปโดนใครทำร้ายมา” เมื่อสิ้นคำถาม มาร์คัสก็รีบตอบขึ้นมาด้วยท่าทางสุขุมตามเดิม
“แดนนี่มันแอบหนีออกไปทำธุระส่วนตัวครับ ส่วนอะไรที่ทำร้ายมันนั้น พวกผมให้คำตอบไม่ได้ เพราะที่นั่นมืดจนเกินไปอีกครั้ง ผมไม่มีเวลาไม่มากพอจะเพ่งมองด้วย”
ผู้หมวดรอสผู้เคร่งครัดไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นอกจากมองหน้าลูกน้องทั้งสองอย่างพินิจพิจารณา แล้วพยักหน้าเล็กน้อย แทนคำตอบ
หลังจากที่เหตุการณ์ไม่คาดคิดจบลงไปได้สักพักใหญ่ ความเงียบก็กลับมาปกคลุมป่าสนแห่งนี้อีกครั้ง ซึ่งมันเงียบเสียจนทหารแต่ละคนสามารถได้ยินเสยงลมหายใจของเพื่อนทหารคนอื่นๆได้อย่างชัดเจน และมากพอที่จะทำให้ทหารบางคนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ สิบโท มาร์คัส ผู้เยือกเย็น แต่สำหรับพลทหารจอห์นสันความเงียบไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกง่วงหรือสงบลงเลย ซ้ำยังทำให้เขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเจอ และพยายามจะหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ตตลอดเวลาว่า เจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร จนเขาลืมไปเสียด้วยซ้ำว่า เขายืนนิ่งอยู่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว
“ไม่” เสียงละเมอเบาของมาร์คัสดังขึ้น พร้อมกับที่ช่วยสติของจอห์นสันที่กำลังฟุ้งซ่านให้กลับมา และในตอนนั้นเองที่จอห์นสันเริ่มจะสังเกตได้ว่า มีเสียงเบาๆเล็ดลอดออกมาจากปากของมาร์คัสอยู่ตลอดเวลา แต่เบามากเสียจนเขาฟังไม่ได้ศัพท์ จอห์นสันค่อยๆก้มลงไปเอาหูใกล้กับปากของมาร์คัสเพื่อฟังให้แน่ใจว่ามาร์คัสกำลังพูดอะไร
“ไม่ มันกลับมาอีกแล้ว… ปล่อยไม่ได้… ต้องฆ่ามันทิ้ง…”
เสียงละเมอของมารัสหยุดลง พร้อมที่ความสงสัยของจอห์นสันเพิ่มมากยิ่งขึ้น
*M1 Garand เป็นอาวุธปืนเล็กยาวประจำกายขนาด 0.30 นิ้ว ที่เข้าประจำการในกองทัพสหรัฐฯในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเกาหลี ออกแบบโดยจอห์น ซี กาแรนด์ (John C. Garand) ชาวแคนาดา เชื้อสายฝรั่งเศส ตามโครงการจัดหาปืนเล็กยาวขนาด 0.30 นิ้วรุ่นใหม่ทดแทนปืนเล็กยาว M1903 Springfield ที่ทยอยปลดประจำการไปให้กองกำลังท้องถิ่น
ปืน M1 Garand มีคุณสมบัติในการยิงแบบกึ่งอัตโนมัติ ความแม่นยำสูง สามารถเล็งยิงซ้ำได้อย่างรวดเร็ว ใช้กระสุน .30-06 บรรจุได้ครั้งละ 8 นัด ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯได้ปลดประจำการปืน M1 Garand ทั้งหมดและประจำการด้วยปืนเอ็ม 16 แทน
สายลมหนาวยามดึกในป่าสนพัดผ่านไป เสียงของมันช่างฟังดูน่าสยองขวัญเสียเหลือเกิน คืนนี้ก็คงอาจจะเหมือนอย่างทุกๆคืนที่ผ่านมาตลอดระยะสามเดือนเศษ ทหารสามสิบนายจากกองร้อย ไทเกอร์ ยังคงนอนนิ่งอยู่ในสนามเพลาะโดยที่สายตาของพวกเขายังคงเบิกกว้าง จ้องมองไปเบื้องหน้าเพื่อคอยระวังทหารเยอรมันที่พร้อมจะบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ และใน ความมืดอันเงียบสงบของคืนนั้นเอง พลทหาร แดนนี่ เกรสสัน เดินย่ำเท้าอย่างเร่งรีบเพื่อไปปลดทุกข์หลังจากที่เขาแอบหนีออกมาจากแนวป้องกันฝั่งปีกซ้าย*โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น เขาเดินมายังต้นสนใหญ่ที่ที่พอจะกำบังตัวเขาให้พ้นสายตาผู้อื่นได้ แล้วจัดการทำธุระส่วนตัว
ผ่านไปเพียงชั่วขณะ ความเงียบสงัดรอบตัวแดนนี่ได้ถูกทำลายลงด้วยเสียงสั่นไหวของกิ่งไม้ ใกล้ๆกับจุดที่เขายืนอยู่ ซึ่งจากการฟังเสียง ก็สามารถจะคาดเดาได้แล้วว่า มันไม่ใช่การสั่นที่เกิดลมพัดอย่างแน่นอน แดนนี่รีบหยิบปืนไรเฟิลคู่กายขึ้นมาประทับแล้วส่องไปรอบๆกาย แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับมีเพียงแค่ความว่างเปล่า แดนนี่ทำท่าจะลดปืนลง แต่ทันใดนั้นได้มีน้ำเหนียวๆบางอย่างตกลงมายังไหล่ซ้ายของเขาอย่างช้าๆ คล้ายกับการไหลของน้ำลายของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง แดนนี่เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ ร่างกายเริ่มสั่นทีละน้อยๆในขณะที่น้ำลายของบางอย่างนั้นเริ่มไหลลงมาเรื่อยๆ เพียงชั่ววินาทีต่อมาแดนนี่รีบรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่ยังหลงเหลือชี้ปืนขึ้นไปด้านบนต้นไม้
“ปัง” เสียงลั่นไกปืนไรเฟิล ดังสนั่นขึ้นมาทำลายความเงียบที่ปกคลุมป่ามานานนับชั่วโมงเสียสนิท แต่ทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว เพราะหลังจากที่แดนนี่ลั่นไกปืน เจ้าของเสียงปริศนาที่อยู่ด้านบน มันได้ทิ้งตัวลงมากระแทกแดนนี่จน เขาตัวลอยละลิ่วด้วยแรงกระแทกอันมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ แดนนี่รู้สึกได้ว่าตัวของเขากำลังลอยคว้างยู่บนอากาศ ทุกสิ่งผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพียงไม่กี่วินาทีราวกับผ่านไปนานนับปี และสุดท้ายร่างของเขาก็ตกลงมาสู่พื้นอย่างแรง พร้อมกับที่ปืนไรเฟิลหลุดจากมือและกระเด็นหายไป
แม้จะยังไม่รู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร แต่สัญชาตญาณเอาตัวชีวิตรอดของแดนนี่ยังสามารถช่วยให้เขาลุกขึ้นยืนมาพร้อมกับชักปืนขึ้นมาเล็ง แต่ทันทีที่เขาเห็นกลับไปภาพที่เขาเห็นคือ ใบหน้าเรียวยาวซึ่งถูกขนสีดำปกคลุมอยู่เต็มไปหมดกับคมเขี้ยวสีขาวโง้งยาวเต็มปากกำลังพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว และยังไม่ทันที่แดนนี่จะได้ตั้งตั้งตัวทัน
“ฉวบ” เสียงเหมือนของมีคมกรีดบนเนื้อดังแว่วขึ้นมา แดนนี่ยืนนิ่งด้วยความงงงวยในขณะที่เขาเริ่มรู้สึกว่า บริเวณเอวด้านซ้ายของเขาไล่ยาวขึ้นมาตามแนวเฉียงถึงบริเบณเหนือเอวด้านขวาเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวบางอย่าง ซึ่งไม่กี่วินาทีจากนั้นความรู้สึกที่ตามมาคือ ความเจ็บปวดอย่างสาหัส ปืนพกที่ถืออยู่หลุดมือตกลงพื้น แดนนี่ค่อยๆก้มหน้าลงมองที่เอวของเขา และสิ่งที่เขาเห็นก็คือ บาดแผลสามรอยเหมือนรอยกรงเล็บลากยาวขึ้นมาตั้งแต่เอวซ้ายมาจนถึงเอวด้านขวา เลือดสดๆไหลทะลักออกมาจนชุดเครื่องแบบของเขาเปียกชุ่ม ทันใดนั้นแดนนี่เริ่มรู้สึกว่าขาของเขาหมดเรี่ยวแรงลง ไม่ช้าเขาก็สามารถจะยืนทรงตัวได้อีกต่อไป แล้วล้มลงนั่งคุกเข่าบนพื้น ราวกับคนที่กำลังจะสิ้นใจ
“ครื่ออออ” เสียงครางในลำคอของเจ้าสิ่งนั้นเริ่มดังขึ้นมา เป็นสัญญาณบ่งบอกได้แดนนี่ได้รู้ตัวว่า ตอนนี้มันกำลังจะกลับมาเก็บกวาดผลงานสุดหฤโหดของมัน เจ้าสิ่งนั้นค่อยๆเดินสี่ขามาตรงมาเบื้องหน้าของแดนนี่ราวกับว่า มันต้องการจะดูให้แน่ใจว่า อาการของเหยื่อมันเป็นยังไง ซึ่งในตอนนั้นเองที่แดนนี่พอจะมีโอกาสได้เห็นรูปร่างของมันอย่างเต็มตัว แต่เนื่องจากความมืดมิดกับอาการตกใจ ทำให้เขาพอจะสังเกตรูปร่างของมันได้เพียงเล็กน้อยว่า มันมีใบหน้ายาวเรียว มีหูชี้ขึ้นด้านบน ตามร่างกายอันกำยำของมันปกคลุมด้วยขนยาวรุงรังอยู่ทั่วทุกแห่ง เมื่อเจ้าสิ่งนั้นแน่ใจแล้วว่าเหยื่อของมันได้หมดหนทางหนีหรือต่อสู้ไปแล้วในตอนนี้ มันจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยสองขาหลังของมัน ซึ่งทำให้มันดูเหมือนกับมนุษย์ที่มีร่างกายใหญ่ยักษืเสียเหลือเกิน แดนนี่ทำได้เพียงแค่หลับตาและภาวนาให้ทุกอย่างจบลงเสียโดยเร็ว แต่โชคชะตากลับไม่ยอมเลิกเล่นสนุก
‘ปัง’ เสียงปืนไรเฟิลดังสนั่นขึ้นมาทำลายความเงียบในยามราตรีราวกับป่าจะแตกออก เจ้าสิ่งนั้นทรุดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่กระสุนขนาด .30-06 จาก M1 Garand* เจาะทะลวงหลังจนทะลุออกมาบริเวณหน้าอก เลือดของมันสาดกระเซ็นออกมาเป็นทางพร้อมกับที่ร่างอันกำยำของล้มลงอย่างแรง
“จอห์นสัน อย่ายิง เดี๋ยวโดนไอ้แดนนี่” สิบโท มาร์คัส ตะโกนห้ามคู่หูที่มาด้วยกัน แล้วลั่นไกปืนนัดต่อไป เพื่อป้องกันไม่ใช่เจ้าสิ่งนั้นหนีรอดไปได้ แต่มันกลับสามารถทำสิ่งไม่น่าเชื่อให้เกิดขึ้นได้ แม้กรสุนนัดนั้นจะเจาะหลังทะลุหน้าอกของมันออกมา แจ่เพียงชั่ววินาที มันกลับสามารถกลับลุกขึ้นมายืน แล้วกระโจนขึ้นต้นไม้ หนีหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“จอห์นสัน คุ้มกันที ฉันพยุงมันไปเอง” สิบโทมาร์คัส ชายผิวดำผู้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำออกคำสั่งแก่พลทหารเพื่อนสนิทของเขา ขณะที่เขายกแดนนี่ขึ้นบ่าแล้วเดินฝ่าความมืดกลับไปยังที่มั่น โดยมีสายตาของทหารนับสิบคนที่ประจำอยู่ในสนามเพลาะจับจ้องมองตามมา มาร์คัสพยุงแดนนี่ผ่านแนวป้องกันปีกซ้ายมาจนถึงแนวป้องกันหลักที่เป็นสนามเพลาะแบบเชื่อมถึงกันเพื่อนำตัวแดนนี่ไปส่งยังเต๊นท์พยาบาล
“วิลเลี่ยม รีบดูอาการเจ้านี้ที เร็วเข้า” จอห์นสันตะโกนเรียกแพทย์สนามในขณะที่มาร์คัสกำลังวางร่างอันหมดสติของแดนนี่ลงบนเตียงที่ยังว่างอยู่
“ให้ตายสิวะ มนไปโดนอะไรเนี่ย” วิลเลี่ยมหันมาถามทหารหนุ่มทั้งสองที่นำตัวแดนนี่มาส่งด้วยอาการตกใจไม่น้อย
จอห์นสันหันไปมองหน้ามาร์คัสเพื่อหวังว่า จะตอบในสิ่งที่เขาเองก็กำลังอยากรู้เหมือนกัน แต่ท่าทีของมาร์คัส กลับยังดูสงบนิ่ง แล้วตอบกลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันไม่รู้หรอก มันมืดและฉันเองก็ไม่มีเวลาสังเกตด้วยสิ” เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่อาจสรุปอะไรได้ วิลเลี่ยมจึงไม่คิดที่จะถามอะไรมากกไปกว่านั้น แล้วหันไปทำหน้าที่ของตนต่อไป พร้อมกับที่จอห์นสันเดินตามหลังมาร์คัสออกมาพร้อมกับความสงสัยในท่าทีที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่เจอเลยแม้แต่น้อย
“จอห์นสัน มาร์คัส” เสียงเรียกอันดุดันของร้อยตรี เจมส์ รอส ผู้บัญชาการกองร้อยไทเกอร์ดังขึ้นจากทางด้านหลังของทหารทั้งสอง
“มันเกิดอะไรขึ้น แดนนี่มันไปโดนใครทำร้ายมา” เมื่อสิ้นคำถาม มาร์คัสก็รีบตอบขึ้นมาด้วยท่าทางสุขุมตามเดิม
“แดนนี่มันแอบหนีออกไปทำธุระส่วนตัวครับ ส่วนอะไรที่ทำร้ายมันนั้น พวกผมให้คำตอบไม่ได้ เพราะที่นั่นมืดจนเกินไปอีกครั้ง ผมไม่มีเวลาไม่มากพอจะเพ่งมองด้วย”
ผู้หมวดรอสผู้เคร่งครัดไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นอกจากมองหน้าลูกน้องทั้งสองอย่างพินิจพิจารณา แล้วพยักหน้าเล็กน้อย แทนคำตอบ
หลังจากที่เหตุการณ์ไม่คาดคิดจบลงไปได้สักพักใหญ่ ความเงียบก็กลับมาปกคลุมป่าสนแห่งนี้อีกครั้ง ซึ่งมันเงียบเสียจนทหารแต่ละคนสามารถได้ยินเสยงลมหายใจของเพื่อนทหารคนอื่นๆได้อย่างชัดเจน และมากพอที่จะทำให้ทหารบางคนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ สิบโท มาร์คัส ผู้เยือกเย็น แต่สำหรับพลทหารจอห์นสันความเงียบไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกง่วงหรือสงบลงเลย ซ้ำยังทำให้เขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเจอ และพยายามจะหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ตตลอดเวลาว่า เจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร จนเขาลืมไปเสียด้วยซ้ำว่า เขายืนนิ่งอยู่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว
“ไม่” เสียงละเมอเบาของมาร์คัสดังขึ้น พร้อมกับที่ช่วยสติของจอห์นสันที่กำลังฟุ้งซ่านให้กลับมา และในตอนนั้นเองที่จอห์นสันเริ่มจะสังเกตได้ว่า มีเสียงเบาๆเล็ดลอดออกมาจากปากของมาร์คัสอยู่ตลอดเวลา แต่เบามากเสียจนเขาฟังไม่ได้ศัพท์ จอห์นสันค่อยๆก้มลงไปเอาหูใกล้กับปากของมาร์คัสเพื่อฟังให้แน่ใจว่ามาร์คัสกำลังพูดอะไร
“ไม่ มันกลับมาอีกแล้ว… ปล่อยไม่ได้… ต้องฆ่ามันทิ้ง…”
เสียงละเมอของมารัสหยุดลง พร้อมที่ความสงสัยของจอห์นสันเพิ่มมากยิ่งขึ้น
*M1 Garand เป็นอาวุธปืนเล็กยาวประจำกายขนาด 0.30 นิ้ว ที่เข้าประจำการในกองทัพสหรัฐฯในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเกาหลี ออกแบบโดยจอห์น ซี กาแรนด์ (John C. Garand) ชาวแคนาดา เชื้อสายฝรั่งเศส ตามโครงการจัดหาปืนเล็กยาวขนาด 0.30 นิ้วรุ่นใหม่ทดแทนปืนเล็กยาว M1903 Springfield ที่ทยอยปลดประจำการไปให้กองกำลังท้องถิ่น
ปืน M1 Garand มีคุณสมบัติในการยิงแบบกึ่งอัตโนมัติ ความแม่นยำสูง สามารถเล็งยิงซ้ำได้อย่างรวดเร็ว ใช้กระสุน .30-06 บรรจุได้ครั้งละ 8 นัด ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯได้ปลดประจำการปืน M1 Garand ทั้งหมดและประจำการด้วยปืนเอ็ม 16 แทน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4.4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ