เจ้าหญิงแสงจันทร์ กับ เจ้าชายสุริยะคราส
8.3
10) บทที่ 9 ผจญตำนานนครแห่งนักปราชญ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 9
ผจญตำนานนครแห่งนักปราชญ์
ณ ดินแดนแห่งม่านหมอก
จากบันทึกคำพยากรณ์ของเหล่าแม่มดบทแรก....
ดินแดนโบราณที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกเป็นดังกำแพงขนาดใหญ่...ม่านหมอกมีลักษณะเป็นเหมือนเช่นพระอาทิตย์ทรงกลด...ลอมรอบ ปกคลุม ดินแดนสุดประหลาด จากการมองเห็นของผู้คนจากโลกภายนอก...ดินแดนในม่านหมอกอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ชาวบ้านอยู่กันอย่างมีความสุข สบายบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมาช้านานหลายยุคหลายสมัย จวบจนกาลเวลาผ่านมาจนถึงยุดของกษัตริย์อินทุ...ผู้ครองนครแห่งนักปราชญ์...พระองค์มีพระชายา และพระธิดา ร่วมใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข...จวบจนเวลาความสุขที่ได้รับจืดจางลงพระชายาของกษัตริย์เกิดความเบื่อหน่ายพระนางชอบการศึกษาเรียนรู้ในศาสตร์หลายแขนง...ศาสตร์ที่พระนางหลงใหล คลั่งไคล้คือศาสตร์แห่งปริศนามนต์ดำ...สายโลหิตต้นตระกูลของพระนางสืบต่อทายาทแห่งแม่มด...จากรุ่นสู่รุ่นมานับร้อยๆ ปี...ทรงเบื่อหน่ายความหนาวเย็นในยามเช้า และยามค่ำคืน ทรงมองออกไปยังมหาพระราชวังอันใหญ่โตมโหราฬ ด้านนอกราชวังเต็มไปด้วยหมอกที่หนาและหนาวเย็นสุดลูกหูลูกตา....พระนางมีความ โกรธ แค้นอยู่ในดวงหทัย...ทรงเกลียดชัง หมอกหนาและหนาวด้านนอกราชวัง...
“ข้าเกลียดมัน....ข้าแค้นมัน....ความหนาวเย็น ของม่านหมอกบ้าด้านนอกนั้น....มันคือคุกกักขังข้า...ทำให้ข้าทรมานอยู่ในคุกแห่งนี้...ข้าจะต้องทำลายคุกนี้ให้ได้... และม่านหมอกที่หนาวเย็นด้านนอกนั้นให้จงได้....ด้วยกฤษณามนต์ดำ..ของข้า”
พระนางทั้งทรงคิดและตระโกนด้วยสุรเสียง อันดังหากทรงอยู่แค่พระองค์เดียว...ในวันหนึ่งสิ่งที่พระนางได้ทำลงไปไม่ใช้แค่ความคิดหรือการตระโกนเสียงดัง ณ วันที่ลงมือร่ายเวทย์มืดมนต์ดำมันส่งผลให้ พระสวามี และพระธิดา ต้องเป็นทุกข์ เจ็บปวด ร่วมถึงทุกคนในดินแดนแห่งนักปราชญ์นั้นด้วย สิ่งที่พระนางได้ทำมันลงไปคือสิ่งใดกันแน่...ทำไมบ้านเมืองเกิดไฟลุกไหม้จนไม่สามารถดับได้ด้วยน้ำ สายลม หรือหยาดพิรุณ...กฤษณามนต์ดำ...ของพระนางมันได้ทำให้...กาลเวลาในมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงอย่างน่ากลัว...หลายร้อยหลายพันปีต่อมา...ใช้หรือไม่..ไม่มีใครสามารถตอบคำถามได้แม้แต่พระนางผู่ร่ายพระเวทย์เอง
“ท่านพี่ข้าไม่ได้ทำ...ได้โปรดเชื่อข้า... ข้าแค่ทำลายม่านหมอกนั้น...แต่เรื่องอื่นข้าไม่ได้ทำ...ท่านพี่ต้องเชื่อข้า...นครแห่งนี้มีเหล่าแม่มดพ่อมดอยู่ตั้งมากมายแล้วยังพวกนักปราชญ์ผู้มีวิชาเก่งกาจ...อีกเล่า...พวกเขาต้องเป็นคนทำแน่...ท่านพี่ได้โปรดเชื่อข้า...”
“เจ้าปลุกสัตว์ร้ายจากนรกขึ้นมาด้วยใช้หรือไม่...ชายาของข้า”
“ข้าเปล่าท่านพี่...ข้าไม่ได้ปลุกสิ่งใดขึ้นมา...”
“แล้วใครทำ...ใครเป็นคนปลุกปีศาจพวกนั้นขึ้นมา...”
“ข้าไม่รู้...โปรดเชื่อข้า”
“ข้าไม่ขอเชื่อใครอีกแล้ว....ข้าจะปิดผนึกนครแห่งนี้ด้วยศาสตร์มืด มนต์ดำเช่นเดียวกับเจ้าชายาของข้า...จะไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกไปจาก...นครของข้าได้...แม้แต่เจ้าชายาข้า”
จบบทแรก...บันทึกคำพยากรณ์ของเหล่าแม่มด
................................................................
ณ ดาดฟ้าเรือเจ้าชายอัคนี
มันคือเสียงการสนทนาของเจ้าชายสุริยะ และสหายคู่หทัยขององค์อัคนี...ท่านอนุ...เป็นนักผจญภัยกำลังเล่าเรื่องอันแปลกพิสดาร ให้แก่เจ้าชายสุริยะได้ฟัง และรู้สึกว่าองค์สุริยะจะทรงชอบฟังอยู่ไม่น้อย...เธอและท่านพี่อัสรันนั่งทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย... แต่ประสาทหูยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา...ตั้งใจฟังเรื่องที่ทั้งสองบุรุษพูดคุยกันไปด้วย...ส่วนองค์อัคนีพระองค์มีเรื่องสงสัยในตัวเธอแต่ยังไม่มีโอกาสสอบถาม...ซึ่งมันอาจจะทำให้พระอนุชาหมดสนุก ในเล่าเรื่องของสหายพระองค์...จึงยังไม่ต้องการพูดแทรกบทสนทนาของพระอนุชา…องค์อัคนีจึงนั่งฟังไปด้วยเช่นกัน
“ข้าจะขอเริ่มเล่าเรื่องของข้าเลยแล้วกันองค์สุริยะ...ท่านจงตั้งใจฟังให้ดีองค์สุริยะ...ตามที่ข้าได้เล่าให้ท่านได้ฟังไปแล้วเบื้องต้นของประวัติต้นตระกูลของข้า...บรรพบุรุษทุกคนในตระกูลข้าต่างเป็นนักผจญภัยในท้องทะเล...ตระกูลของข้าได้เขียนบันทึกเป็นเสมือน...พินัยกรรมสืบต่อกันมา...รุ่นแล้วรุ่นเล่า...ข้อความในพินัยกรรมต่างก็บันทึกไว้เหมือนกันหมดทุกรุ่น...อันมีข้อความว่า...”
“ข้าจะรอคอยลูกหลานของข้า ณ วัน...สุริยะคราส ปรากฏ กฤษณามนต์ดำ จะอ่อนแรง ประตูแห่งกาลเวลาจะเปิดอีกครั้ง ได้โปรดมาค่อยรับข้าลูกชายและลูกสาวของข้า...ข้าจะคืนกลับมาอีกครั้ง...”
“ท่านหมายว่าอย่างไร...ท่านอนุ...ข้าไม่เข้าใจ”
ท่านอนุหัวเราะ...ไม่ดังมากแล้วจ้องมองดวงเนตรเจ้าชายสุริยะ...แล้วเล่าเรื่องต่อไป
“ข้าลืมเล่าเรื่องหนึ่งให้ท่านได้ฟังก่อนเจ้าชายสุริยะ...”
“มันเรื่องอะไรกันเล่า...ท่านอนุ”
“อย่างที่ข้าเล่าให้ท่านได้ฟัง...เมื่อเกิดปรากฏการณ์สุริยะคราส...หากเรือลำใดแล่นผ่านเข้าสู่ม่านกระจกบางใสที่เป็นเสมือนประตูที่ไม่มีกุญแจชนิดใดไขเปิดประตูเข้าและออกได้...เรือทุกลำที่หลงเข้าไปจะถูกกักขังอยู่ด้านในไม่มีใครรู้ว่าพวกเขายังเป็นหรือตายแล้ว...และหนึ่งในเรือหลายลำที่หลงเข้าไปในม่านกระจกก็คือหนึ่งในบรรพบุรุษของข้านั้นเอง...ดังนั้นตระกูลของข้ารุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างก็เขียนบันทึกเป็นพินัยกรรมให้ลูกหลานไปรอพวกเขาอยู่ยังจุดที่ม่านประตูกระจกปรากฏขึ้น...จนมาถึงรุ่นของข้า...ข้าเฝ้ารอคอยบรรพบุรุษของข้าตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็กจนกระทั้ง ณ บัดนี้ ข้ายังไม่พบสัญญาณสิ่งใดปรากฏออกมาจากม่านกระจกนั้นข้าพบแต่เพียงเหตุการณ์ประหลาดที่ดูดกลืนผู้คนหรือลำเรือหายเข้าไปในม่านกระจกขนาดใหญ่เท่าน้น...ณ เวลานี้ผู้คนในตระกูลของข้าได้หายไปยังม่านกระจกนั้นนับสิบกาวคนแล้ว...ท่านเชื่อหรือไม่...องค์สุริยะ...”
ท่านอนุ..มองพระพักตร์องค์สุริยะผู้กำลังมีความสงสัยใคร่รู้...ท่านอนุต้องการจะรู้...เจ้าชายสุริยะจะตอบคำถามตนเช่นไร...แต่เมื่อได้เห็นความลังเล ไม่แน่ใจขององค์สุริยะ...ท่านอนุหัวเราะชอบใจ...และส่ายหน้า
“องค์สุริยะท่านไม่ต้องตอบคำถามข้าหรอก...ข้าถามล้อท่านเล่นไปอย่างนั้นเอง...”
“ท่านอนุเรื่องที่ท่านเล่า...มันแปลงพิสดารเกินไปท่านน่าจะรู้...แต่อย่างไรข้าก็ต้องการฟังเรื่องที่ท่านเล่าต่อไปอีก...ท่านจะเล่าต่อไปได้หรือไม่”
ท่านอนุหัวเราะเสียงเบานุ่มนวล....และพยักหน้าตอบตกลง
“แน่นอนองค์สุริยะ...ข้ามีเรื่องเล่ามากมายเล่าสามคืนเจ็ดวันก็ยังไม่จบ...หากท่านต้องการฟังข้ายินดีเล่าให้ฟังแบบไม่ซ้ำเรื่องกันเลยองค์สุริยะ...”
“อย่างนั้นท่านเล่าเรื่องของท่านต่อเถอะท่านอนุ...ข้าต้องการรู้เหตุการณ์หลังจากท่านได้รู้ข้อความในพินัยกรรมตระกูลของท่าน...ท่านใช้ชีวิตเช่นไร...ถึงได้มาอยู่เป็นสหายคู่หทัยกับพระเชษฐาของข้าได้...”
ท่านอนุหัวเราะเสียงเบาน่าฟังอีกครั้ง...ตลกในความขี้สงสัยขององค์สุริยะที่ต้องการรู้ประวัติความเป็นมาของตนเอง...
“ข้าก็เหมือนคนในตระกูลของข้า...ข้าก็ได้ลงมือเขียนและบันทึกพินัยกรรมไว้แล้วเช่นกันองค์สุริยะข้อความในพินัยกรรมของข้า...ก็เหมือนกับที่บรรพบุรุษของข้าเคยเขียนกันไว้จากรุ่นสู่รุ่น...ก่อนที่จะออกสู่พื้นมหาสมุทร...มันจะทำให้ลูกชายข้า ลูกสาวของข้าได้อ่านบันทึก...ได้ตามหาข้าหากข้าได้เดินทางผ่านม่านกระจกนั้นแล้วหายไปอีกคน...เหมือนที่ข้าได้ตามหาสมาชิกครอบครัวของข้าคนอื่นๆ...”
“สิ่งที่ท่านทำ....ท่านไม่คิดหรือว่า...มันเป็นเรื่องบ้าและไม่คุ้มค่าต่อชีวิตของท่าน... ส่วนความคิดของข้ามันเป็นเรื่องบ้าและเสียสติชัดๆ...ท่านอนุ”
“อาจจะเป็นอย่างที่ท่านทรงคิดองค์สุริยะ...แต่สำหรับข้านอกจากข้าต้องทำตามพินัยกรรมบรรพบุรุษแล้ว...ข้ายังมีใจรักในการผจญภัยอันเป็นสายเลือดของข้า...มันจะเรียกร้องข้าดังข้าได้เสพติดมันเข้าสู่สายเลือดแล้วนั้นเอง...ความลี้ลับอันสุดประหลาดและมหัศจรรย์ มันทำให้ข้ารู้สึกต้องการจะค้นหาไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด....แม้ชีวิตข้าจะต้องสิ้นสูญไปก็ตาม...องค์สุริยะ...”
“ข้าเข้าใจความคิดของท่านแล้วท่านอนุ...อย่างนั้นเล่าเรื่องของท่านต่อเถอะ...ข้าต้องการฟังต่อแล้ว...”
ท่านอนุหัวเราะน่าฟังอีกครั้ง...และพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจยิ่งนัก...
“ชีวิตข้าในช่วงต้นอายุ 30 ของข้ามันไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก ข้ามีเรือสำเภาอันเป็นของตระกูลตกทอดกันมาช้านาน มันทั้งเก่า โทรม ใกล้พัง จนไม่สามารถที่จะทนทานต่อแสงแดด คลื่นลมและคลื่นทะเลได้…แต่ข้าจำต้องใช้เพราะสำหรับพวกเรา ต่างมีสิ่งยึดถือคือการทำหน้าที่อันเป็นเรื่องสำคัญ และเรือก็เช่นเดียวกัน หากมันจะต้องพังพินาศ... ข้าก็ต้องการให้มันได้ทำหน้าที่ของมันจนวาระสุดท้ายในท้องทะเล...เช่นเดียวกับที่ข้าพยายามทำหน้าที่ของข้าต่อบรรพบุรุษของข้าเช่นกัน...”
“ข้าออกเรือสำเภาค้าขาย และผจญภัยไปด้วยทั่วพื้นทะเล จากเหนือจรดใต้ จากตะวันตกไปตะวันออก ผ่านเมืองแล้วเมืองเล่า แต่มีอยู่สามเมืองเท่านั้นที่ข้าไปบ่อยจนคุ้นเคยได้แก่ แห่งเมืองอุดรพายัพ... เมืองปัจฉิมเนรดี... ทักษิณเนรดี...จนกระทั้ง...สามเมืองต่างก่อสงครามสู่รบกัน...ข้าจึงหยุดเดินเรือเป็นเวลา 10 ปี...ข้ามีครอบครัวมีลูกชายและลูกสาวน่ารัก...ในช่วงเวลาที่ข้าหยุดเดินเรือเป็นเวลาสิบปีลูกน้องนักผจญภัยของข้าต่างก็ยังทำหน้าที่แทนข้า...ออกค้าขายในเขตท้องทะเลอันปลอดจากภัยสงคราม...จนเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้น...คลื่นลมและคลื่นพายุพัดพาเรือสำเภาลำน้อยของข้า...ผ่านเข้าสู่ม่านทะเลหมอกที่หนาวเย็นหาทางออกมาไม่ได้...ทุกคนติดอยู่ในม่านหมอกอยู่สิบคืนสิบวัน...จนหมดสติ และเรี่ยวแรง...”
“ในวันที่สิบสาม บางคนที่ทนความเหน็บหนาวไม่ได้ต่างก็สิ้นลมหายใจตายไปร่างกายคืนสู่ท้องทะเล...สหายของข้าเป็นชายอายุเท่ากันกับข้า...เป็นนักผจญภัยผู้มีจิตใจดีงาม...เข้มแข็งและชอบความสนุกสนานแต่ในยามนั้น เขาเศร้าใจ และเสียใจ จนไม่สามารถยิ้มออกได้เลย เมื่อทั้งลำเรือ เหลือเพียงเขาที่รอดตายอยู่เพียงลำพังผู้เดียว...และอีกไม่นานเขาก็จะจากไปเช่นกัน...เขาร้องไห้ ร้องขอความเมตตาต่อเทพเจ้าบนสวรรค์ได้โปรดช่วยเหลือเขาด้วย...ในยามนั้นเขาคิดว่าเขาได้ตายไปแล้วเพราะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นและเขาได้ยินเสียงอันดังนั้น...มันมีข้อความว่า...”
“เจ้าดูนั้นชายาของข้า...เจ้าได้ทำสิ่งใดลงไป เจ้าใช้มนต์มืดของเจ้า...เปลี่ยนแปลงหวงกาลเวลา เปลี่ยนหวงน้ำ หวงทะเล จนสับสนวุ่นวาย...เจ้าจะแก้ไขเช่นไร...นครแห่งนักปราชญ์ ของข้า...เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ผีป่า ซาตาน ล้วนแต่เป็นฝีมือของเจ้าใช้หรือไม่....เจ้าจงมอบ...บันทึกคำพยากรณ์...มาให้แก่ข้า....ข้าจะปิดผนึกเมืองแห่งนี้...เสียเดียวนี้ก่อนที่จะมีเรือจากยุคอื่นสมัยอื่นหลงเข้ามาได้อีก...”
ท่านอนุหยุดเล่าเรื่องชั่วคราวแล้วมองพระพักตร์องค์สุริยะ...แล้วยิ้มรอคำถามจากองค์สุริยะหากเกิดความสงสัยใคร่จะรู้ในรายละเอียดเพิ่มขึ้น แต่องค์สุริยะส่ายหน้า....ท่านอนุยิ้มพิมพ์ใจอีกครั้ง...แล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วเล่าเรื่องต่อไป...
“มาถึงตอนนี้ท่านคงต้องการจะรู้ว่าสหายข้ายังเป็นหรือตายแล้วใช่หรือไม่องค์สุริยะ...ท่านไม่ต้องตอบคำถามของข้าก็ได้...ท่านคงรู้คำตอบอยู่แล้ว หากเขาได้ตายไปแล้ว...ข้าหรือจะสามารถรู้เรื่องที่เล่าอยู่ได้...เป็นอย่างนั้นจริงๆ เขารอดตายออกมาจากม่านหมอกนั้น...พร้อมคำพูดที่เขาจำได้ไม่เคยลืม...มันมีข้อความว่า...”
“ข้ากษัตริย์แห่งนครแห่งนักปราชญ์...มีนามว่าอินทุ...ข้าขอส่งผู้หลงทางจงกลับคืนสู่หวงเวลาที่พวกเจ้าได้จากมา...และจงจำไว้หากปรากฏการสุริยะคราส...ปรากฏยามใดอย่าได้เข้าใกล้หวงมหาสมุทรแห่งนี้เป็นอันขาด..”
“ในวันที่สิบสี่ของการหลงทางในม่านหมอกปริศนา...สหายของข้าก็ได้หลุดออกมาสู่ยุคอันเป็นปัจจุบัน...และในเวลาต่อมาได้เล่าเรื่องอันสุดแสนประหลาดให้ข้าได้รับฟัง...และในยามนี้สหายของข้าก็หยุดเดินเรือมีครอบครัวที่อบอุ่น...ไม่คิดออกเรืออีกเลยตั้งแต่วันนั้น...แต่สำหรับข้ามันคือจุดเริ่มต้นอีกครั้ง...ในวัยอายุ 40 ปี...เพื่อตามหาคำตอบ ของคำถามมากมาย...อันได้แก่”
“อะไรคือนครแห่งนักปราชญ์ อะไรคือบันทึกคำพยากรณ์ กริชแห่งกุญแจ คือสิ่งใดกันแน่...แล้วตำนานเจ้าหญิงแสงจันทร์เกิดขึ้นมาจริงๆ หรือ...แล้วจะทำอย่างไรถึงจะไปให้ถึงนครสุดประหลาดแห่งนั้นได้...ซึ่งผู้ปกครองนครมีพระนามว่ากษัตริย์อินทุ...ท่านคิดเช่นไรองค์สุริยะ...”
ท่านอนุมองจ้องดวงเนตร...เจ้าชายสุริยะอีกครั้ง...พร้อมหัวเราะและยิ้มพิมพ์ใจอีกครั้ง...
“ท่านอย่าทรงตอบคำถามของข้าเลยองค์สุริยะ...ข้าถามท่านไปเช่นนั้นเอง...ไม่ได้ต้องการคำตอบจากท่านจริงๆหรอกนะ...ส่วนที่ท่านถามข้าว่ารู้จักกับพระเชษฐาของท่านได้อย่างไร...เรื่องนี้ถ้าเล่าแล้วรับรองว่ายาวแน่นอน...ข้าขอเล่าแบบสรุปแล้วกันส่วนรายละเอียดท่านไปถามเอาจากพระเชษฐาท่านเอาเอง...”
“เพราะจริงๆ แล้วท่านจะได้รายละเอียดมากกว่า หากถามเอาจากพระเชษฐาของท่าน...เพราะเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปข้องเกี่ยวกับเจ้าชายไวยาวิณ... ท่านจะได้รู้สาเหตุที่พระเชษฐาของท่านสามารถจมเรือรบเจ้าชายไวยาวิณได้อย่างง่ายดายมีสาเหตุมาจากสิ่งใด....และเรื่องที่พระเชษฐา...จะเล่าให้ฟังมันก็จะมาเชื่อมโยงกับเรื่องอันสุดแสนประหลาดที่ข้าที่ได้เล่าให้ท่านได้ฟังไปแล้วด้วยเช่นกัน...”
“ท่านอนุข้ามีอีกหนึ่งคำถาม...”
“มันคืออะไรเล่า...องค์สุริยะ...คำถามของท่าน”
“ข้าต้องการจะรู้จุดที่ทำให้เกิดเรื่องอันสุดแสนประหลาด มันอยู่ยังที่แห่งใดกันแน่...”
ท่านอนุ...หัวเราะเสียงดัง....แล้วตอบคำถามองค์สุริยะ
“ข้าคิดว่าท่านจะไม่ถามข้าเสียแล้ว...แต่สุดท้ายท่านก็ถามข้า...อย่างนั้นข้าจะบอกแก่ท่าน...จุดที่เกิดปรากฏการณ์สุดประหลาดแห่งนั้น...มันอยู่ในดินแดนของเจ้าชายไวยาวิณ...ที่พวกท่านไม่สามารถล่วงล่ำเข้าไปได้อย่างไรกันเล่า...องค์สุริยะ...”
“โอ้...พระเจ้า...นี้ข้าต้องทำเช่นไรถึงจะหนีจากเจ้าชายไวยาวิณได้...”
สิ่งที่เจ้าชายสุริยะทรงตรัสออกมา...มันทำให้เธอรู้สึกใจหาย...หากองค์สุริยะทรงต้องการจะหนีให้ห่างจากพระเชษฐาเธอ...พวกเขาก็ต้องการจะหนีให้ห่างจากเธอด้วยเช่นกัน...ทำไมสวรรค์ช่างลิขิตชีวิตเธอให้มาเกี่ยวข้องกับทั้งสองเจ้าชายนี้ด้วย...สงคราม การแย้งชิง และอำนาจ เมื่อไรมันถึงจะจบสิ้นกัน...จากสิ่งที่ท่านอนุ...เล่ามาทำให้เธอนึกถึงบันทึกเล่มเก่าในกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่ท่านยายทำมันให้เธอไว้สำหรับใส่เถ้ากระดูกพระมารดา...ในกล่องไม้นอกจากเถ้ากระดูกพระมารดาแล้วยังมีบันทึกหนึ่งเล่มมันคือบันทึกคำพยากรณ์ใช่หรือไม่ เธอไม่สามารถหาคำตอบได้...แต่ ณ เวลานี้มันยังอยู่บนเรือของเจ้าชายสุริยะ...ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้ไปจอดเทียบท่าอยู่ ณ ที่แห่งใด...ในเวลานี้เธอก็จำต้องติดอยู่กับทั้งสองเจ้าชายต่อไป...ถึงแม้ต้องการจะเดินจากไปตามลำพังก็ทำไม่ได้...เธอหยุดคิดและทานอาหารต่อไป...ในช่วงที่เธอปล่อยความคิดหลุดลอย...เจ้าชายอัคนีทรงถามคำถามเธออย่างไม่ได้ให้เธอตั้งตัว
“บุหลันเจ้ารู้จัก...บันทึกคำพยากรณ์หรือไม่”
“แน่นอนข้ารู้จัก...ไม่ข้าไม่รู้จัก...”
“รู้หรือไม่รู้กันแน่...บุหลัน”
จบบทที่ 9 ต่อบทที่ 10 การเผชิญอันตรายจากม่านหมอก
ผจญตำนานนครแห่งนักปราชญ์
ณ ดินแดนแห่งม่านหมอก
จากบันทึกคำพยากรณ์ของเหล่าแม่มดบทแรก....
ดินแดนโบราณที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกเป็นดังกำแพงขนาดใหญ่...ม่านหมอกมีลักษณะเป็นเหมือนเช่นพระอาทิตย์ทรงกลด...ลอมรอบ ปกคลุม ดินแดนสุดประหลาด จากการมองเห็นของผู้คนจากโลกภายนอก...ดินแดนในม่านหมอกอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ชาวบ้านอยู่กันอย่างมีความสุข สบายบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมาช้านานหลายยุคหลายสมัย จวบจนกาลเวลาผ่านมาจนถึงยุดของกษัตริย์อินทุ...ผู้ครองนครแห่งนักปราชญ์...พระองค์มีพระชายา และพระธิดา ร่วมใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข...จวบจนเวลาความสุขที่ได้รับจืดจางลงพระชายาของกษัตริย์เกิดความเบื่อหน่ายพระนางชอบการศึกษาเรียนรู้ในศาสตร์หลายแขนง...ศาสตร์ที่พระนางหลงใหล คลั่งไคล้คือศาสตร์แห่งปริศนามนต์ดำ...สายโลหิตต้นตระกูลของพระนางสืบต่อทายาทแห่งแม่มด...จากรุ่นสู่รุ่นมานับร้อยๆ ปี...ทรงเบื่อหน่ายความหนาวเย็นในยามเช้า และยามค่ำคืน ทรงมองออกไปยังมหาพระราชวังอันใหญ่โตมโหราฬ ด้านนอกราชวังเต็มไปด้วยหมอกที่หนาและหนาวเย็นสุดลูกหูลูกตา....พระนางมีความ โกรธ แค้นอยู่ในดวงหทัย...ทรงเกลียดชัง หมอกหนาและหนาวด้านนอกราชวัง...
“ข้าเกลียดมัน....ข้าแค้นมัน....ความหนาวเย็น ของม่านหมอกบ้าด้านนอกนั้น....มันคือคุกกักขังข้า...ทำให้ข้าทรมานอยู่ในคุกแห่งนี้...ข้าจะต้องทำลายคุกนี้ให้ได้... และม่านหมอกที่หนาวเย็นด้านนอกนั้นให้จงได้....ด้วยกฤษณามนต์ดำ..ของข้า”
พระนางทั้งทรงคิดและตระโกนด้วยสุรเสียง อันดังหากทรงอยู่แค่พระองค์เดียว...ในวันหนึ่งสิ่งที่พระนางได้ทำลงไปไม่ใช้แค่ความคิดหรือการตระโกนเสียงดัง ณ วันที่ลงมือร่ายเวทย์มืดมนต์ดำมันส่งผลให้ พระสวามี และพระธิดา ต้องเป็นทุกข์ เจ็บปวด ร่วมถึงทุกคนในดินแดนแห่งนักปราชญ์นั้นด้วย สิ่งที่พระนางได้ทำมันลงไปคือสิ่งใดกันแน่...ทำไมบ้านเมืองเกิดไฟลุกไหม้จนไม่สามารถดับได้ด้วยน้ำ สายลม หรือหยาดพิรุณ...กฤษณามนต์ดำ...ของพระนางมันได้ทำให้...กาลเวลาในมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงอย่างน่ากลัว...หลายร้อยหลายพันปีต่อมา...ใช้หรือไม่..ไม่มีใครสามารถตอบคำถามได้แม้แต่พระนางผู่ร่ายพระเวทย์เอง
“ท่านพี่ข้าไม่ได้ทำ...ได้โปรดเชื่อข้า... ข้าแค่ทำลายม่านหมอกนั้น...แต่เรื่องอื่นข้าไม่ได้ทำ...ท่านพี่ต้องเชื่อข้า...นครแห่งนี้มีเหล่าแม่มดพ่อมดอยู่ตั้งมากมายแล้วยังพวกนักปราชญ์ผู้มีวิชาเก่งกาจ...อีกเล่า...พวกเขาต้องเป็นคนทำแน่...ท่านพี่ได้โปรดเชื่อข้า...”
“เจ้าปลุกสัตว์ร้ายจากนรกขึ้นมาด้วยใช้หรือไม่...ชายาของข้า”
“ข้าเปล่าท่านพี่...ข้าไม่ได้ปลุกสิ่งใดขึ้นมา...”
“แล้วใครทำ...ใครเป็นคนปลุกปีศาจพวกนั้นขึ้นมา...”
“ข้าไม่รู้...โปรดเชื่อข้า”
“ข้าไม่ขอเชื่อใครอีกแล้ว....ข้าจะปิดผนึกนครแห่งนี้ด้วยศาสตร์มืด มนต์ดำเช่นเดียวกับเจ้าชายาของข้า...จะไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกไปจาก...นครของข้าได้...แม้แต่เจ้าชายาข้า”
จบบทแรก...บันทึกคำพยากรณ์ของเหล่าแม่มด
................................................................
ณ ดาดฟ้าเรือเจ้าชายอัคนี
มันคือเสียงการสนทนาของเจ้าชายสุริยะ และสหายคู่หทัยขององค์อัคนี...ท่านอนุ...เป็นนักผจญภัยกำลังเล่าเรื่องอันแปลกพิสดาร ให้แก่เจ้าชายสุริยะได้ฟัง และรู้สึกว่าองค์สุริยะจะทรงชอบฟังอยู่ไม่น้อย...เธอและท่านพี่อัสรันนั่งทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย... แต่ประสาทหูยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา...ตั้งใจฟังเรื่องที่ทั้งสองบุรุษพูดคุยกันไปด้วย...ส่วนองค์อัคนีพระองค์มีเรื่องสงสัยในตัวเธอแต่ยังไม่มีโอกาสสอบถาม...ซึ่งมันอาจจะทำให้พระอนุชาหมดสนุก ในเล่าเรื่องของสหายพระองค์...จึงยังไม่ต้องการพูดแทรกบทสนทนาของพระอนุชา…องค์อัคนีจึงนั่งฟังไปด้วยเช่นกัน
“ข้าจะขอเริ่มเล่าเรื่องของข้าเลยแล้วกันองค์สุริยะ...ท่านจงตั้งใจฟังให้ดีองค์สุริยะ...ตามที่ข้าได้เล่าให้ท่านได้ฟังไปแล้วเบื้องต้นของประวัติต้นตระกูลของข้า...บรรพบุรุษทุกคนในตระกูลข้าต่างเป็นนักผจญภัยในท้องทะเล...ตระกูลของข้าได้เขียนบันทึกเป็นเสมือน...พินัยกรรมสืบต่อกันมา...รุ่นแล้วรุ่นเล่า...ข้อความในพินัยกรรมต่างก็บันทึกไว้เหมือนกันหมดทุกรุ่น...อันมีข้อความว่า...”
“ข้าจะรอคอยลูกหลานของข้า ณ วัน...สุริยะคราส ปรากฏ กฤษณามนต์ดำ จะอ่อนแรง ประตูแห่งกาลเวลาจะเปิดอีกครั้ง ได้โปรดมาค่อยรับข้าลูกชายและลูกสาวของข้า...ข้าจะคืนกลับมาอีกครั้ง...”
“ท่านหมายว่าอย่างไร...ท่านอนุ...ข้าไม่เข้าใจ”
ท่านอนุหัวเราะ...ไม่ดังมากแล้วจ้องมองดวงเนตรเจ้าชายสุริยะ...แล้วเล่าเรื่องต่อไป
“ข้าลืมเล่าเรื่องหนึ่งให้ท่านได้ฟังก่อนเจ้าชายสุริยะ...”
“มันเรื่องอะไรกันเล่า...ท่านอนุ”
“อย่างที่ข้าเล่าให้ท่านได้ฟัง...เมื่อเกิดปรากฏการณ์สุริยะคราส...หากเรือลำใดแล่นผ่านเข้าสู่ม่านกระจกบางใสที่เป็นเสมือนประตูที่ไม่มีกุญแจชนิดใดไขเปิดประตูเข้าและออกได้...เรือทุกลำที่หลงเข้าไปจะถูกกักขังอยู่ด้านในไม่มีใครรู้ว่าพวกเขายังเป็นหรือตายแล้ว...และหนึ่งในเรือหลายลำที่หลงเข้าไปในม่านกระจกก็คือหนึ่งในบรรพบุรุษของข้านั้นเอง...ดังนั้นตระกูลของข้ารุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างก็เขียนบันทึกเป็นพินัยกรรมให้ลูกหลานไปรอพวกเขาอยู่ยังจุดที่ม่านประตูกระจกปรากฏขึ้น...จนมาถึงรุ่นของข้า...ข้าเฝ้ารอคอยบรรพบุรุษของข้าตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็กจนกระทั้ง ณ บัดนี้ ข้ายังไม่พบสัญญาณสิ่งใดปรากฏออกมาจากม่านกระจกนั้นข้าพบแต่เพียงเหตุการณ์ประหลาดที่ดูดกลืนผู้คนหรือลำเรือหายเข้าไปในม่านกระจกขนาดใหญ่เท่าน้น...ณ เวลานี้ผู้คนในตระกูลของข้าได้หายไปยังม่านกระจกนั้นนับสิบกาวคนแล้ว...ท่านเชื่อหรือไม่...องค์สุริยะ...”
ท่านอนุ..มองพระพักตร์องค์สุริยะผู้กำลังมีความสงสัยใคร่รู้...ท่านอนุต้องการจะรู้...เจ้าชายสุริยะจะตอบคำถามตนเช่นไร...แต่เมื่อได้เห็นความลังเล ไม่แน่ใจขององค์สุริยะ...ท่านอนุหัวเราะชอบใจ...และส่ายหน้า
“องค์สุริยะท่านไม่ต้องตอบคำถามข้าหรอก...ข้าถามล้อท่านเล่นไปอย่างนั้นเอง...”
“ท่านอนุเรื่องที่ท่านเล่า...มันแปลงพิสดารเกินไปท่านน่าจะรู้...แต่อย่างไรข้าก็ต้องการฟังเรื่องที่ท่านเล่าต่อไปอีก...ท่านจะเล่าต่อไปได้หรือไม่”
ท่านอนุหัวเราะเสียงเบานุ่มนวล....และพยักหน้าตอบตกลง
“แน่นอนองค์สุริยะ...ข้ามีเรื่องเล่ามากมายเล่าสามคืนเจ็ดวันก็ยังไม่จบ...หากท่านต้องการฟังข้ายินดีเล่าให้ฟังแบบไม่ซ้ำเรื่องกันเลยองค์สุริยะ...”
“อย่างนั้นท่านเล่าเรื่องของท่านต่อเถอะท่านอนุ...ข้าต้องการรู้เหตุการณ์หลังจากท่านได้รู้ข้อความในพินัยกรรมตระกูลของท่าน...ท่านใช้ชีวิตเช่นไร...ถึงได้มาอยู่เป็นสหายคู่หทัยกับพระเชษฐาของข้าได้...”
ท่านอนุหัวเราะเสียงเบาน่าฟังอีกครั้ง...ตลกในความขี้สงสัยขององค์สุริยะที่ต้องการรู้ประวัติความเป็นมาของตนเอง...
“ข้าก็เหมือนคนในตระกูลของข้า...ข้าก็ได้ลงมือเขียนและบันทึกพินัยกรรมไว้แล้วเช่นกันองค์สุริยะข้อความในพินัยกรรมของข้า...ก็เหมือนกับที่บรรพบุรุษของข้าเคยเขียนกันไว้จากรุ่นสู่รุ่น...ก่อนที่จะออกสู่พื้นมหาสมุทร...มันจะทำให้ลูกชายข้า ลูกสาวของข้าได้อ่านบันทึก...ได้ตามหาข้าหากข้าได้เดินทางผ่านม่านกระจกนั้นแล้วหายไปอีกคน...เหมือนที่ข้าได้ตามหาสมาชิกครอบครัวของข้าคนอื่นๆ...”
“สิ่งที่ท่านทำ....ท่านไม่คิดหรือว่า...มันเป็นเรื่องบ้าและไม่คุ้มค่าต่อชีวิตของท่าน... ส่วนความคิดของข้ามันเป็นเรื่องบ้าและเสียสติชัดๆ...ท่านอนุ”
“อาจจะเป็นอย่างที่ท่านทรงคิดองค์สุริยะ...แต่สำหรับข้านอกจากข้าต้องทำตามพินัยกรรมบรรพบุรุษแล้ว...ข้ายังมีใจรักในการผจญภัยอันเป็นสายเลือดของข้า...มันจะเรียกร้องข้าดังข้าได้เสพติดมันเข้าสู่สายเลือดแล้วนั้นเอง...ความลี้ลับอันสุดประหลาดและมหัศจรรย์ มันทำให้ข้ารู้สึกต้องการจะค้นหาไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด....แม้ชีวิตข้าจะต้องสิ้นสูญไปก็ตาม...องค์สุริยะ...”
“ข้าเข้าใจความคิดของท่านแล้วท่านอนุ...อย่างนั้นเล่าเรื่องของท่านต่อเถอะ...ข้าต้องการฟังต่อแล้ว...”
ท่านอนุหัวเราะน่าฟังอีกครั้ง...และพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจยิ่งนัก...
“ชีวิตข้าในช่วงต้นอายุ 30 ของข้ามันไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก ข้ามีเรือสำเภาอันเป็นของตระกูลตกทอดกันมาช้านาน มันทั้งเก่า โทรม ใกล้พัง จนไม่สามารถที่จะทนทานต่อแสงแดด คลื่นลมและคลื่นทะเลได้…แต่ข้าจำต้องใช้เพราะสำหรับพวกเรา ต่างมีสิ่งยึดถือคือการทำหน้าที่อันเป็นเรื่องสำคัญ และเรือก็เช่นเดียวกัน หากมันจะต้องพังพินาศ... ข้าก็ต้องการให้มันได้ทำหน้าที่ของมันจนวาระสุดท้ายในท้องทะเล...เช่นเดียวกับที่ข้าพยายามทำหน้าที่ของข้าต่อบรรพบุรุษของข้าเช่นกัน...”
“ข้าออกเรือสำเภาค้าขาย และผจญภัยไปด้วยทั่วพื้นทะเล จากเหนือจรดใต้ จากตะวันตกไปตะวันออก ผ่านเมืองแล้วเมืองเล่า แต่มีอยู่สามเมืองเท่านั้นที่ข้าไปบ่อยจนคุ้นเคยได้แก่ แห่งเมืองอุดรพายัพ... เมืองปัจฉิมเนรดี... ทักษิณเนรดี...จนกระทั้ง...สามเมืองต่างก่อสงครามสู่รบกัน...ข้าจึงหยุดเดินเรือเป็นเวลา 10 ปี...ข้ามีครอบครัวมีลูกชายและลูกสาวน่ารัก...ในช่วงเวลาที่ข้าหยุดเดินเรือเป็นเวลาสิบปีลูกน้องนักผจญภัยของข้าต่างก็ยังทำหน้าที่แทนข้า...ออกค้าขายในเขตท้องทะเลอันปลอดจากภัยสงคราม...จนเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้น...คลื่นลมและคลื่นพายุพัดพาเรือสำเภาลำน้อยของข้า...ผ่านเข้าสู่ม่านทะเลหมอกที่หนาวเย็นหาทางออกมาไม่ได้...ทุกคนติดอยู่ในม่านหมอกอยู่สิบคืนสิบวัน...จนหมดสติ และเรี่ยวแรง...”
“ในวันที่สิบสาม บางคนที่ทนความเหน็บหนาวไม่ได้ต่างก็สิ้นลมหายใจตายไปร่างกายคืนสู่ท้องทะเล...สหายของข้าเป็นชายอายุเท่ากันกับข้า...เป็นนักผจญภัยผู้มีจิตใจดีงาม...เข้มแข็งและชอบความสนุกสนานแต่ในยามนั้น เขาเศร้าใจ และเสียใจ จนไม่สามารถยิ้มออกได้เลย เมื่อทั้งลำเรือ เหลือเพียงเขาที่รอดตายอยู่เพียงลำพังผู้เดียว...และอีกไม่นานเขาก็จะจากไปเช่นกัน...เขาร้องไห้ ร้องขอความเมตตาต่อเทพเจ้าบนสวรรค์ได้โปรดช่วยเหลือเขาด้วย...ในยามนั้นเขาคิดว่าเขาได้ตายไปแล้วเพราะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นและเขาได้ยินเสียงอันดังนั้น...มันมีข้อความว่า...”
“เจ้าดูนั้นชายาของข้า...เจ้าได้ทำสิ่งใดลงไป เจ้าใช้มนต์มืดของเจ้า...เปลี่ยนแปลงหวงกาลเวลา เปลี่ยนหวงน้ำ หวงทะเล จนสับสนวุ่นวาย...เจ้าจะแก้ไขเช่นไร...นครแห่งนักปราชญ์ ของข้า...เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ผีป่า ซาตาน ล้วนแต่เป็นฝีมือของเจ้าใช้หรือไม่....เจ้าจงมอบ...บันทึกคำพยากรณ์...มาให้แก่ข้า....ข้าจะปิดผนึกเมืองแห่งนี้...เสียเดียวนี้ก่อนที่จะมีเรือจากยุคอื่นสมัยอื่นหลงเข้ามาได้อีก...”
ท่านอนุหยุดเล่าเรื่องชั่วคราวแล้วมองพระพักตร์องค์สุริยะ...แล้วยิ้มรอคำถามจากองค์สุริยะหากเกิดความสงสัยใคร่จะรู้ในรายละเอียดเพิ่มขึ้น แต่องค์สุริยะส่ายหน้า....ท่านอนุยิ้มพิมพ์ใจอีกครั้ง...แล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วเล่าเรื่องต่อไป...
“มาถึงตอนนี้ท่านคงต้องการจะรู้ว่าสหายข้ายังเป็นหรือตายแล้วใช่หรือไม่องค์สุริยะ...ท่านไม่ต้องตอบคำถามของข้าก็ได้...ท่านคงรู้คำตอบอยู่แล้ว หากเขาได้ตายไปแล้ว...ข้าหรือจะสามารถรู้เรื่องที่เล่าอยู่ได้...เป็นอย่างนั้นจริงๆ เขารอดตายออกมาจากม่านหมอกนั้น...พร้อมคำพูดที่เขาจำได้ไม่เคยลืม...มันมีข้อความว่า...”
“ข้ากษัตริย์แห่งนครแห่งนักปราชญ์...มีนามว่าอินทุ...ข้าขอส่งผู้หลงทางจงกลับคืนสู่หวงเวลาที่พวกเจ้าได้จากมา...และจงจำไว้หากปรากฏการสุริยะคราส...ปรากฏยามใดอย่าได้เข้าใกล้หวงมหาสมุทรแห่งนี้เป็นอันขาด..”
“ในวันที่สิบสี่ของการหลงทางในม่านหมอกปริศนา...สหายของข้าก็ได้หลุดออกมาสู่ยุคอันเป็นปัจจุบัน...และในเวลาต่อมาได้เล่าเรื่องอันสุดแสนประหลาดให้ข้าได้รับฟัง...และในยามนี้สหายของข้าก็หยุดเดินเรือมีครอบครัวที่อบอุ่น...ไม่คิดออกเรืออีกเลยตั้งแต่วันนั้น...แต่สำหรับข้ามันคือจุดเริ่มต้นอีกครั้ง...ในวัยอายุ 40 ปี...เพื่อตามหาคำตอบ ของคำถามมากมาย...อันได้แก่”
“อะไรคือนครแห่งนักปราชญ์ อะไรคือบันทึกคำพยากรณ์ กริชแห่งกุญแจ คือสิ่งใดกันแน่...แล้วตำนานเจ้าหญิงแสงจันทร์เกิดขึ้นมาจริงๆ หรือ...แล้วจะทำอย่างไรถึงจะไปให้ถึงนครสุดประหลาดแห่งนั้นได้...ซึ่งผู้ปกครองนครมีพระนามว่ากษัตริย์อินทุ...ท่านคิดเช่นไรองค์สุริยะ...”
ท่านอนุมองจ้องดวงเนตร...เจ้าชายสุริยะอีกครั้ง...พร้อมหัวเราะและยิ้มพิมพ์ใจอีกครั้ง...
“ท่านอย่าทรงตอบคำถามของข้าเลยองค์สุริยะ...ข้าถามท่านไปเช่นนั้นเอง...ไม่ได้ต้องการคำตอบจากท่านจริงๆหรอกนะ...ส่วนที่ท่านถามข้าว่ารู้จักกับพระเชษฐาของท่านได้อย่างไร...เรื่องนี้ถ้าเล่าแล้วรับรองว่ายาวแน่นอน...ข้าขอเล่าแบบสรุปแล้วกันส่วนรายละเอียดท่านไปถามเอาจากพระเชษฐาท่านเอาเอง...”
“เพราะจริงๆ แล้วท่านจะได้รายละเอียดมากกว่า หากถามเอาจากพระเชษฐาของท่าน...เพราะเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปข้องเกี่ยวกับเจ้าชายไวยาวิณ... ท่านจะได้รู้สาเหตุที่พระเชษฐาของท่านสามารถจมเรือรบเจ้าชายไวยาวิณได้อย่างง่ายดายมีสาเหตุมาจากสิ่งใด....และเรื่องที่พระเชษฐา...จะเล่าให้ฟังมันก็จะมาเชื่อมโยงกับเรื่องอันสุดแสนประหลาดที่ข้าที่ได้เล่าให้ท่านได้ฟังไปแล้วด้วยเช่นกัน...”
“ท่านอนุข้ามีอีกหนึ่งคำถาม...”
“มันคืออะไรเล่า...องค์สุริยะ...คำถามของท่าน”
“ข้าต้องการจะรู้จุดที่ทำให้เกิดเรื่องอันสุดแสนประหลาด มันอยู่ยังที่แห่งใดกันแน่...”
ท่านอนุ...หัวเราะเสียงดัง....แล้วตอบคำถามองค์สุริยะ
“ข้าคิดว่าท่านจะไม่ถามข้าเสียแล้ว...แต่สุดท้ายท่านก็ถามข้า...อย่างนั้นข้าจะบอกแก่ท่าน...จุดที่เกิดปรากฏการณ์สุดประหลาดแห่งนั้น...มันอยู่ในดินแดนของเจ้าชายไวยาวิณ...ที่พวกท่านไม่สามารถล่วงล่ำเข้าไปได้อย่างไรกันเล่า...องค์สุริยะ...”
“โอ้...พระเจ้า...นี้ข้าต้องทำเช่นไรถึงจะหนีจากเจ้าชายไวยาวิณได้...”
สิ่งที่เจ้าชายสุริยะทรงตรัสออกมา...มันทำให้เธอรู้สึกใจหาย...หากองค์สุริยะทรงต้องการจะหนีให้ห่างจากพระเชษฐาเธอ...พวกเขาก็ต้องการจะหนีให้ห่างจากเธอด้วยเช่นกัน...ทำไมสวรรค์ช่างลิขิตชีวิตเธอให้มาเกี่ยวข้องกับทั้งสองเจ้าชายนี้ด้วย...สงคราม การแย้งชิง และอำนาจ เมื่อไรมันถึงจะจบสิ้นกัน...จากสิ่งที่ท่านอนุ...เล่ามาทำให้เธอนึกถึงบันทึกเล่มเก่าในกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่ท่านยายทำมันให้เธอไว้สำหรับใส่เถ้ากระดูกพระมารดา...ในกล่องไม้นอกจากเถ้ากระดูกพระมารดาแล้วยังมีบันทึกหนึ่งเล่มมันคือบันทึกคำพยากรณ์ใช่หรือไม่ เธอไม่สามารถหาคำตอบได้...แต่ ณ เวลานี้มันยังอยู่บนเรือของเจ้าชายสุริยะ...ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้ไปจอดเทียบท่าอยู่ ณ ที่แห่งใด...ในเวลานี้เธอก็จำต้องติดอยู่กับทั้งสองเจ้าชายต่อไป...ถึงแม้ต้องการจะเดินจากไปตามลำพังก็ทำไม่ได้...เธอหยุดคิดและทานอาหารต่อไป...ในช่วงที่เธอปล่อยความคิดหลุดลอย...เจ้าชายอัคนีทรงถามคำถามเธออย่างไม่ได้ให้เธอตั้งตัว
“บุหลันเจ้ารู้จัก...บันทึกคำพยากรณ์หรือไม่”
“แน่นอนข้ารู้จัก...ไม่ข้าไม่รู้จัก...”
“รู้หรือไม่รู้กันแน่...บุหลัน”
จบบทที่ 9 ต่อบทที่ 10 การเผชิญอันตรายจากม่านหมอก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ