เจ้าหญิงแสงจันทร์ กับ เจ้าชายสุริยะคราส
9) บทที่ 8 ผจญตำนานเจ้าชายสุริยะคราส
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ 8
ผจญตำนานเจ้าชายสุริยะคราส
ณ ดาดฟ้าเรือ
หลังจากเธอเล่นลำนำบทเพลงตำนานกริชแห่งกุญแจจบลง...ได้ไม่นาน สามบุรุษรูปงามบนเรือนามว่าเจ้าชายอัคนี เจ้าชายสุริยะ และองครักษ์นามว่าอัสรัน...เดินตามเธอขึ้นมายังดาดฟ้าเรือเพื่อทานอาหาร...เจ้าชายอัคนีสั่งให้กะลาสีเรือจัดโต๊ะ เก้าอี้ สำหรับคนห้าคน...บุรุษคนที่ห้าที่ร่วมทานอาหารด้วยคือสหายคู่หทัยเจ้าชายอัคนีผู้มีนามว่าท่านอนุ...ผู้มอบชุดสวยของลูกสาวให้แก่เธอได้สวมใส่...อาหารบนโต๊ะนอกจากเห็ดที่เธอปรุงด้วยสมุนไพรแล้ว ยังมีอาหารน่าทานอีกหลายอย่างหลายชนิด....ที่ได้รับการปรุงเพิ่มจากพ่อครัวในเรือ ทุกอย่างล้วนน่าทานทั้งสิ้น...แต่วันนี้ความสนใจของบุรุษทั้งสี่...คืออาหารป่าปรุงจากเห็ดฝีมือสาวน้อยผู้เป็นแม่มด หรือนางฟ้า...ที่กำลังอยู่ในความคิดของทุกคนในลำเรือ...
บุรุษทั้งสี่อยู่ในชุดเสื้อผ้าที่สะอาด..ใบหน้าแจ่มใส แม้แต่ท่านพี่อัสรันผู้มีใบหน้าเหน็ดเหนื่อยและเหงื่อชุ่มกายจากการประลองดาบ ณ ขณะนี้ได้ทำการล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เหมือนท่านพี่อัสรันที่ได้พบเจอทั้งแรกเมื่อเริ่มออกเดินทาง... อาการเหน็ดเหนื่อยหายไปจากใบหน้า...มีรอยยิ้มที่สดใสเข้ามาแทนที่...แม้แต่สองเจ้าชายพี่น้องยังมองอย่างแปลกใจในอาการของท่านพี่อัสรัน ทั้งสองเจ้าชายต่างมองท่านพี่อัสรัน ด้วยสายตาแอบแฝงความใน...เดาความหมายไม่ได้...ทุกคนขึ้นมาพร้อมกันบนดาดฟ้าเรือ...วันนี้เธอได้นั่งคู่กับท่านพี่อัสรัน ...ส่วนฝั่งตรงข้ามเก้าอี้ของเธอคือคู่ของท่านอนุและองค์สุริยะ เจ้าชายอัคนีนั่งอยู่หัวโต๊ะมองสมาชิกร่วมรับประทานอาหารด้วยรอยยิ้ม...มีความสุข...สนุก...เหมือนนิสัยที่เคยทำเป็นประจำ...
“ทุกคนได้โปรด...ลงมือทานกันได้แล้ว....”
องค์อัคนีออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงปนรอยยิ้มอ่อนโยน...ให้สมาชิกบนโต๊ะอาหารลงมือรับประทานอาหารแสนอร่อย...สิ่งแรกที่ทุกคนลงมือทานคือเห็ดที่เธอปรุงไว้...องค์อัคนีตักน้ำต้มร้อนแตะริบฝีปากกลืนลงลำคอ...แล้วมองเธอด้วยรอยยิ้มเตรียมพร้อมจะแกล้งเธอ...ล้อเล่นกับเธออีกครั้ง...และครั้งนี้เธอเตรียมใจหาทางหลีกเลี่ยงไว้แล้ว....
“เจ้าปรุงน้ำต้มซุปเห็ดสมุนไพรของเจ้าได้อร่อยดี...บุหลัน พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้กะลาสีเรือไปเก็บมาให้เจ้าปรุงหม้อใหญ่...เป็นอาหารของกะลาสีทั้งลำเรือ...เจ้าจะปรุงให้ได้หรือไม่...บุหลัน”
“หม่อมฉันยินดีปรุงให้เพคะ...องค์อัคนี”
จากคำพูดที่มีสาระในครั้งแรก...คำถามต่อมาขององค์อัคนีมันคือคำพูดที่เธอกำลังรออยู่..และคิดว่าจะไม่มีวันหนีพ้น...แกล้งตรัสล้อเธอเล่นอีกแล้ว...กลุ้มใจจริง...
“เจ้าไม่คิดจะทำงานเป็นแม่ครัวในวังของข้าบ้างหรือ...บุหลัน...เมื่อข้ากลับถึงบ้านเมืองแล้ว...ข้าต้องการแม่ครัวเช่นเจ้าปรุงอาหารให้ข้าได้ทาน”
สุดท้ายเจ้าชายอัคนีก็ทรงแกล้งเธอเล่นอีกครั้ง...ท่านคงไม่ทรงคิดจะได้รับฟังคำตอบ...ตกลงจากเธอหรอกนะ เพราะรู้อยู่ก่อนแล้ว...ก่อนที่จะทรงถามคำถามเธอ...ว่าเธอต้องตอบปฏิเสธแน่... แต่ก็ยังจะหยอกล้อเธอเล่น...ขณะนี้เธออยู่บนเรือองค์อัคนีเธอจะพูดเล่นเช่นไรก็ได้...แต่หากเธอเป็นอิสระจากเรือลำนี้...ไม่จำเป็นที่เธอจะรักษาคำพูดล้อเล่นขององค์อัคนีเช่นกัน...เมื่อพระองค์ทรงถามเธอแบบไม่จริงจัง เธอก็จะตอบแบบไม่จริงจัง...ล้อเล่นเช่นกัน...
“ค่าตัวแม่ครัวเช่นหม่อมฉันพระองค์...คงต้องจ่ายแพงแน่...เพคะองค์อัคนี”
เจ้าชายอัคนีหัวเราะอันเป็นนิสัยประจำตัว...ก่อนจะทรงตรัสตอบคำพูดของเธอ...ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างมองเธอและองค์อัคนีสนทนากันอย่างสนใจและทานอาหารกันไปด้วย...
“บุหลัน...ข้าคิดว่าเจ้าจะตอบคำถามข้าว่า... ไม่เพคะ...หม่อมฉันไม่คิดไปเป็นแม่ครัวให้แก่องค์อัคนีหรอกเพคะ...เจ้าชายอัคนี...”
องค์อัคนีทรงบีบเสียงเล็กเหมือนเสียงนกแก้ว...เป็นเสียงเลียนแบบเสียงของเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแสนสนุกสนาน...และหัวเราะไม่ด้วย...แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสต่อไป…
“แต่เจ้า...คิดจะเป็นแม่ค้าหน้าเลือด...ดูดทรัพย์สินเงินทองของข้าแทนเสียนี้...เจ้าฉลาดดีมากบุหลัน...แต่เจ้าคิดผิด...ข้ายอมจ่ายตามที่เจ้าร้องขอ...หากเจ้ายอมที่จะเป็นแม่ครัวให้ข้าจริงๆ หากเจ้าไม่คิดแค่พูดล้อเล่นกับข้า....บุหลัน”
แล้วองค์อัคนีก็ทรงหัวเราะเสียงดัง...เมื่อมองหน้าเธอ..ที่จนคำพูดจะพูดล้อเล่นแก่พระองค์อีก...แต่พระองค์ไม่ทรงยอมหยุดยังคงตรัสต่อไป…
“เจ้าต้องการค่าจ้างสักเท่าไร...บุหลัน”
องค์อัคนีทรงยิ้มเจ้าเล่ห์...เมื่อถามถึงค่าตัวแม่ครัวเช่นเธอ...แต่มีหรือเธอจะยอมจนมุม...เธอนึกถึงคำพูดของท่านพี่อัสรัน เรื่องกริชแห่งกุญแจที่เจ้าชายอัคนีทรงมีติดตัวไว้หนึ่งเล่ม...ถึงแม้ท่านพี่อัสรันจะพูดล้อเธอเล่นก็ตาม...แต่หากมันไม่มีค่าเพียงพอเจ้าชายอัคนีก็ทรงไม่เก็บมันไว้เช่นกัน แม้มันจะเป็นของปลอมแต่มันต้องมีค่าทางจิตใจต่อองค์อัคนีแน่...และเธอไม่คิดว่าเจ้าชายอัคนีจะยอมยกมันให้แก่เธอ...แต่การพูดล้อกันเล่นมันก็ไม่ได้เป็นการผิดอะไร....และเธอจะลองพูดขอเป็นค่าจ้างดู...เธอยิ้มตอบรับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์องค์อัคนีแล้วตอบคำถาม...
“พระองค์ยอมที่จะจ่ายมันด้วย..กริชแห่งกุญแจ...ที่ท่านมีให้แก่ข้าหรือไม่...องค์อัคนี”
และมันได้ผล..พระพักตร์เจ้าชายอัคนีเปลี่ยนไปทันที..ด้วยความตกพระหทัย และเธอก็รู้สึกดีใจ..ที่ครั้งนี้ทำให้เจ้าชายจอมยโสเงียบลงได้...ทุกคนที่ร่วมทานอาหารต่างเห็นอาการของเจ้าชายอัคนีเปลี่ยนไปด้วยกันทั้งสิ้น...แต่คนที่แปลกใจที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าชายสุริยะ...ผู้ไม่เคยรู้เรื่องกริชแห่งกุญแจมาก่อน...ถึงเคยได้ยินได้ฟังก็ไม่ทรงเคยสนใจอย่างจริงจังมาก่อน...เพียงฟังแบบผ่านๆ เช่นกะลาสีในลำเรือทุกคนในท้องมหาสมุทรรับรู้เท่านั้น...แต่ในครั้งนี้พระองค์เกิดความสนใจมากขึ้นเป็นพิเศษสาเหตุมาจากบทเพลงที่เธอได้ร้องลำนำคลอเสียงพิณให้ได้ฟัง...และในยามนี้เธอก็ได้พูดสิ่งหนึ่งออกมาให้ได้ฟังอีกมันคือ...กริชแห่งกุญแจ....ในช่วงที่เจ้าชายอัคนีตกหทัย...ในคำตอบของเธอ....เจ้าชายสุริยะได้โอกาสถามเธอทันที....แต่คนที่ให้คำตอบแก่เจ้าชายสุริยะคือท่านอนุ...สหายเจ้าชายอัคนี....
“บุหลัน...เจ้าขอกริชแห่งกุญแจ..เป็นค่าจ้างของเจ้า...มันมีคุณค่ามากพอสำหรับเจ้าหรือ.....”
เธอยิ้มรับ...ไม่ตอบรับถึงคุณค่าสิ่งตอบแทนที่องค์สุริยะถามถึง...แต่ท่านอนุพูดตอบคำถามแทนเธอให้แก่องค์สุริยะ....
“เจ้าชายสุริยะ...หากกริชของพระเชษฐาท่านคือ กริชแห่งกุญแจ ของแท้ มันก็จะมีคุณค่าคู่ควร...เป็นค่าจ้างให้แก่สาวน้อยบุหลันแน่นอน พะยะคะ...องค์สุริยะ...หากไม่ใช่สาวน้อยของเราก็คงขาดทุนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน...”
เจ้าชายสุริยะยังคงมีความสงสัยในดวงเนตร....ท่านอนุ...จึงอธิบายความหมายต่อไป...
“หากองค์สุริยะเคยได้รับฟัง...นิทานในตำนานเจ้าหญิงแสงจันทร์มาบ้าง...พระองค์ก็ทรงจะพอรู้มาบ้างแล้ว ถึงโศกนาฏกรรมความรักของเจ้าหญิงแสงจันทร์และเจ้าชายวราทิตย์ ทั้งสาม....พระองค์...โดยมีกริชสองเล่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของความรัก...ที่ไม่สมหวัง...และยังคงเป็นปริศนาให้เล่าขานสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้...ว่ามันคือเรื่องจริง...หรือแค่เรื่องเล่าที่แต่งขึ้นมาสำหรับผู้ที่สิ้นหวังเท่านั้น....”
“ข้าก็พอรู้มาบางท่านอนุ...แต่ข้าไม่ใคร่จะเชื่อแม้แต่น้อย...และที่ข้าสงสัยมันเกี่ยวข้องอะไรเกี่ยวกับกริช...ของพระเชษฐาข้าด้วย...ข้าจึงถามสาวน้อยของเราว่ามันมีคุณค่าพอหรือสำหรับค่าจ้าง...เพราะมันก็แค่กริชธรรมดาเล่มเดียวเท่านั้น”
“องค์สุริยะ...ท่านจงรู้ไว้ไม่มีกริชเล่มไหนที่พระเชษฐาท่านครอบครองไว้จะเป็นได้แค่กริชธรรมดาไปได้หรอก...คุณค่าแห่งกริช...มันจึงเป็นคุณค่าของจิตใจด้วย...มันมีความหมายเช่นเดียวกับความรักที่องค์สุริยะ...ทรงมอบให้แก่หญิงที่ท่านทรงรักนั้นแล....เจ้าชายสุริยะ”
“ท่านอนุ...ท่านเปรียบเทียบความรักของข้ากับกริชเลยหรือ...และข้าคิดว่าพระเชษฐาข้าคงจะไม่ยอมอภิเษกกับกริชด้วยหรอกนะ”
ท่านอนุ...หัวเราะไม่ดังมากนัก..ยิ้มรับคำพูดขององค์สุริยะเท่านั้น
“ข้าให้คำตอบท่านไม่ได้หรอก...องค์สุริยะ...ท่านต้องถามพระเชษฐาท่านดูแล้วละ...จะยอมอภิเษกกับกริชหรือไม่...”
เจ้าชายอัคนีผู้ถูกสหายคู่หทัยเอาพระนามไปล้อเล่น...ได้รับฟังการสนทนาของพระอนุชาและสหายคู่ใจนามว่าอนุ...พระองค์ไม่สนใจที่สหายคู่หทัยเอาความรักของพระองค์ ไปเกี่ยวโยงกับกริช...สำหรับพระองค์ผู้รักความสนุก...ก็คิดแค่เป็นการหยอกล้อกันเล่นเท่านั้นจะมีใครบ้าพอจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับกริชได้บ้าง...คนที่พระองค์สนใจและทรงจ้องมองอยู่ต่างหาก...สาวน้อยผู้ซึ่งทำให้ตกพระหทัย...ไปเล็กน้อย....กำลังคิดจะหาคำตอบให้แก่สาวน้อย...ระหว่างกริชแห่งกุญแจ...กับแม่ครัวสาวสวย...ทั้งสองสิ่งล้วนแต่น่าสนใจ...ถ้าหากคำพูดระหว่างพระองค์กับสาวน้อยมันไม่ใช่เรื่องพูดล้อกันเล่น...พระองค์ก็จะยอมเสียกริชเก่าๆ เล่มนี้ให้แก่สาวน้อย...แต่เรื่องนี้มันแค่พูดคุยกันเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น...ในช่วงที่พระอนุชาและท่านอนุ...หยุดสนทนาพูดคุยกันเพื่อทานอาหารต่อ...พระองค์จึงคิดหาคำตอบแก่สาวน้อย...แต่ก่อนอื่นต้องถามเสียก่อนสาวน้อยรู้เรื่องกริชของพระองค์มาจากผู้ใด...
“บุหลันเจ้าร้ายมาก...คิดที่จะเอาของรักของห่วงไปจากข้า...เจ้ารู้ได้เช่นไร...ว่ากริชเล่มนี้มีความสำคัญแก่ข้ามาก”
คำถามนี้พระองค์พูดด้วยน้ำเสียงใสชวนรับฟัง...เพื่อจะให้สาวน้อยตอบคำถามอย่างจริงจัง...ไม่ออกนอกเรื่องล้อพระองค์เล่น...และสาวน้อยก็เข้าใจความหมาย...ฉลาดจริงนะแม่มดน้อย....พระองค์ทรงคิด
“องค์อัคนี...เรื่องนี้ท่านคงต้องถามเอาจากท่านพี่อัสรันแล้วละ...เพคะ...เพราะท่านพี่อัสรัน...พูดล้อเล่นกับหม่อมฉัน....ที่น้ำตก...หม่อมฉันก็แค่จำมาล้อเล่น...อีกต่อเท่านั้นเอง”
ตามที่คาดการไว้ในหทัยไม่มีผิด...ไม่มีผู้ใดสามารถจะรู้เรื่องพระองค์ได้มากเท่ากับ...อัสรันสหายพระอนุชาได้อีกแล้ว...องครักษ์เล่าเรื่องของพระองค์ไปมากเท่าไรให้แก่สาวน้อยได้ฟัง...พระองค์จ้องมองไปยังอัสรัน...ผู้พยายามเป็นเสือสุ่มซ้อนเขี้ยวเล็บเงียบ...ไม่เข้าร่วมสนทนากับผู้ใดทานอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ...แต่มีหรือพระองค์จะไม่รู้เหลี่ยมคู ...อัสรันผู้ชั่วร้าย...พระองค์เผลอเมื่อไร ...อัสรันเตรียมตัวกระโดดกัดคอพระองค์เมื่อนั้นแน่...อัสรันคงรู้พระองค์จ้องมองอยู่....หยุดทานอาหารแล้วจ้องพระพักตร์ตอบรับพระองค์...
“องค์อัคนี...หม่อมฉันไม่ได้เล่าสิ่งใดที่เป็นเรื่องส่วนพระองค์แก่ใคร...ด้วยคำสัตย์สาบาน...พระองค์ทรงเบาพระหทัยได้....”
แม้พระองค์ไม่เอ่ยปากถาม...อัสรันก็ตอบคำถามที่ต้องการรู้ได้...จะมีใครร้ายอย่าง...อัสรันอีกไม่มีแน่...
“แต่เจ้าก็เล่าเรื่องกริชแห่งกุญแจ...ให้แก่สาวน้อยได้รับฟัง...อัสรัน”
“ขออภัยองค์อัคนี...มันก็แค่เรื่องเหลวไหลเล่าสู่กันฟังเพื่อความสนุกเท่านั้น...หม่อมฉันและบุหลันเองก็แค่...ล้อกันเล่น...อย่าได้ทรงคิดจริงจังเลยพะยะคะ...หลังจากล้อกันเล่น...ก็ไม่ได้สนใจอีก...”
“ข้าเข้าใจแล้วอัสรัน...ตอนนี้ข้าก็ได้รู้แล้วว่า...บุหลันรู้เรื่องกริชของข้ามาจากใคร...นางมีความลับมากมายนัก...จนข้าจับต้นชนปลายไม่ถูก...แต่ตอนนี้ข้าสามารถจับต้นชนปลายได้บ้างแล้ว...อัสรัน”
องครักษ์เพียงแต่ยิ้มรับสั่งเจ้าชายอัคนีเท่านั้น...ไม่ตอบรับสิ่งใด...รับประทานอาหารต่อไป..ส่วนสาวน้อยผู้ถูกเจ้าชายอัคนีกล่าวพาดพิงถึง..ไม่ได้คิดจะสนใจองค์อัคนีเช่นกัน...ทานอาหารต่อไปเช่นเดียวกับท่านพี่อัสรัน...แต่เจ้าชายอัคนียังไม่ลดละเลิกจะต่อแย ...
“บุหลันหากข้าตอบตกลงมอบกริชให้แก่เจ้าเป็นค่าจ้าง....เจ้ายินดีเป็นแม่ครัวให้แก่ข้าจริงหรือ....”
“ท่านดีแต่ทรงตรัสเล่นองค์อัคนี...เอาเข้าจริงท่านก็ไม่กล้ามอบกริชให้กับใคร...จริงหรือไม่...”
“เจ้าก็เช่นกันบุหลัน...เอาเข้าจริงเจ้าก็ไม่คิดจะเป็นแม่ครัวให้แก่ผู้ใดเหมือนกัน”
เธอไม่ตอบรับสิ่งใดทานอาหารของเธอต่อไป...แต่มีเสียงเจ้าชายสุริยะดังขึ้นจากโต๊ะตรงข้าม...เป็นคำถามเกี่ยวกับบทเพลงที่เธอร้องคลอให้ท่านพี่อัสรันฟังก่อนจะขึ้นมาทานอาหารกัน...
“บุหลันบทเพลงลำนำแสนไพเราะ...ที่เจ้าร้องคลอเสียงพิณ เจ้ารู้หรือไม่ใครเป็นผู้แต่ง...”
เธอยิ้มรับคำถามจากเจ้าชายสุริยะแต่ยังไม่ได้ตอบคำถาม...เธอมองไปยังเจ้าชายอัคนีเพื่อจะตรวจสอบสีพระพักตร์พระองค์ ทรงทราบคำตอบที่พระอนุชาถามเธอหรือไม่...เธอไม่สามารถเดาคำตอบจากสีพระพักตร์ได้...เธอมองต่อไปยังท่านอนุ...ผู้มีความรู้มากมาย...เธอสังเกตตั้งแต่เริ่มสนทนากันท่านอนุ...จะมีความสนใจในนิทานตำนานกริชแห่งกุญแจอยู่ไม่น้อย...และเธอเดาว่าท่านอนุ...น่าจะตอบคำถามให้แก่เจ้าชายสุริยะได้...ท่านอนุยิ้มให้แก่เธอและส่ายหน้า...ความหมายคือ ไม่รู้ หรือรู้คำตอบแต่ไม่ต้องการจะตอบกันแน่...เธอเดาไม่ได้เช่นกัน...เธอมองต่อไปยังท่านพี่อัสรัน...แต่ท่านพี่อัสรันรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไม่สนใจใคร...ถึงท่านพี่อัสรันจะรู้ก็คงตอบแทนเธอไม่ได้เช่นกัน...เหมือนทุกคนกำลังบีบบังคับให้เธอเป็นฝ่ายตอบคำถามอยู่ฝ่ายเดียว...เธอถอนลมหายใจ...และยิ้มรับพระพักตร์องค์สุริยะอีกครั้ง...แล้วตอบคำถาม..
“องค์สุริยะ...ข้าคิดว่าคำถามนี้ข้าจะได้รับ...การถามจากพระเชษฐาของท่านเสียอีก...แต่ไม่เป็นไรหากท่านต้องการจะรู้ข้าจะตอบให้ทรงทราบ...ในตำนานที่ชาวทะเลทั่วไปรับรู้กัน...บทเพลงนี้ถูกแต่งโดยเจ้าชายวราทิตย์..ทั้งสามพระองค์...ที่ทรงมีความรักมอบให้แก่หญิงอันเป็นที่รัก...และข้าก็ระบุไม่ได้ใครในสามพระองค์...ใครเป็นผู้แต่งบทเพลงนี้ไว้....แต่ในตำนานอีกหนึ่งตำนาน...เราเรียกตำนานนี้ว่า...ตำนานนครแห่งนักปราชญ์…มันคือคำพยากรณ์...ของเหล่าแม่มด...บันทึกเรื่องราวในอีกหนึ่งตำนานของนครแห่งนักปราชญ์..ที่เป็นบ้านเมืองของเจ้าหญิงแสงจันทร์...ก่อนจะเสด็จออกมาสู่โลกภายนอก...และได้พบเจ้าชายทั้งสามแห่งวราทิตย์..”
เมื่อเธอตอบคำถามของเจ้าชายสุริยะเสร็จสิ้นลง...เธอมองสำรวจสมาชิกบนโต๊ะอาหารอีกครั้ง...ทุกคนต่างเงียบหยุดทานอาหารกันหมดแม้แต่ท่านพี่อัสรันผู้กำลังเอร็ดอร่อยจากอาหารนานาชนิดก็วางมือหันหน้า....จ้องมองเธอ...เช่นเดียวกับเจ้าชายอัคนี ท่านอนุ...สหายคู่ใจ...ส่วนเจ้าชายสุริยะเธอมองข้ามสีพระพักตร์ไปเพราะทรงทำตัวเป็นปกติแต่ก็ทรงสนใจคนรอบข้างอยู่บ้าง....เธอมองเห็นความสงสัยมากมายจากสีหน้าของทุกคน...และเธอก็คิดถูกเจ้าชายอัคนีคือคนแรกที่หยุดความสงสัยไว้ไม่ได้เริ่มถามคำถามเธอต่อ...
“บุหลัน..หนอ...บุหลัน...มีสิ่งใดบ้างที่เจ้าไม่รู้....แม้แต่ตำนานนครแห่งนักปราชญ์...เจ้ายังสามารถรู้ได้...ข้าและท่านอนุ...สหายข้าผจญทั่วท้องมหาสมุทรมายาวนาน...ก็ยังหาความหมายนครแห่งนักปราชญ์ ไม่ได้ว่ามันคือสิ่งใด...จนข้าหมดความอดทนที่จะตามสืบหาต่อไป...แต่วันนี้เจ้าพูดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย...เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่บุหลัน”
เธอได้ฟังคำถามเจ้าชายอัคนีมาหลายครั้งแล้ว...พระองค์สงสัยในตัวเธอเป็นผู้ใดมากจากไหน...เธอไม่สามารถตอบได้...พระเชษฐาเธอคือเจ้าชายไวยาวิณ...กำลังทำศึกสงครามอยู่กับสองเจ้าชาย...สงครามได้แบ่งแยกตัวเธอและสองเจ้าชายออกจากกัน...ความลับของเธอหากถูกเปิดเผยออกไป...เธอก็จะตกอยู่ระหว่างกลางของการต่อสู่ของทั้งสามเจ้าชาย...เธอขอแยกตัวออกมาจากสนามการต่อสู่...ของพระเชษฐา ...เจ้าชายอัคนี เจ้าชายสุริยะ...จะเป็นผลดีมากกว่า...เธอยิ้มรับคำถามเจ้าชายอัคนี...และไม่คิดจะตอบคำถามต่อไป..เธอลงมือทานอาหารต่อไปโดยไม่สนใจทุกคนบนโต๊ะอาหารจะคิดเช่นไรกับเธอ...แต่เสียงเจ้าชายสุริยะที่มีความติดใจสงสัยอยู่ได้ถามท่านอนุ...ผู้นั่งอยู่ข้างๆ ขึ้น เธอนั่งฟังและทานอาหารต่อไปด้วย....
“ท่านอนุ...อะไรคือนครแห่งนักปราชญ์...”
“องค์สุริยะ...นครแห่งนักปราชญ์...คือจุดเริ่มต้น และจุดจบ...ของตำนานแห่งกริชแห่งกุญแจ...ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดมากมายนัก...แต่หากใครสามารถเดินทางไปถึง...ผู้นั้นคือผู้ได้ครอบครองสมบัติมากมายเหลือ คณา...”
“ท่านรู้ได้เช่นไร...ท่านอนุ...”
“ถ้าท่านต้องการรู้ข้าก็จะขอเริ่มเล่าชีวิตการผจญภัยของข้าให้ท่านได้รับฟัง...ท่านจะฟังหรือไม่เจ้าชายสุริยะ...”
“แน่นอน...ท่านอนุ...ข้าต้องการจะฟังเรื่องของท่าน...”
“อย่างนั้นต้องเริ่มจากสมัยข้ายังเป็นเด็กเลยแล้วกัน...องค์สุริยะ...บิดา ของข้าเป็นนักผจญภัย จะพูดให้ถูกตระกูลของข้าหลายชั่วอายุคนเป็นนักผจญภัย...เรื่องราวของตระกูลข้าเริ่มขึ้นมาจากต้นตระกูลของข้า....ผู้เริ่มออกผจญภัยในท้องทะเล...ท่านค้นหาสมบัติตามตำนานต่างๆ ไปทั่วพื้นมหาสมุทร..ตำนานแล้วตำนานเล่า...สุดท้ายตระกูลของข้าก็ได้ค้นพบตำนานอันเป็นเรื่องประหลาด มหัศจรรย์...และได้เล่าสืบต่อกันมาจนถึงรุ่นของข้า...เรื่องเล่ามีอยู่ว่าได้เกิดปรากฏการ...สุริยะคราส...เหนือท้องมหาสมุทร...ทุกอย่างที่เคยสว่างด้วยแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน...เปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นเวลากลางคืนอันมืดมิด...ฝูงนกน้อยที่เพิ่งออกหาอาหารก็ต้องรีบบินกลับรัง...เรือทุกลำบนพื้นมหาสมุทรต้องหยุดเดินเรือรอแสงสว่างกลับคืนมาอีกครั้ง...”
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้นตระกูลของข้าได้บันทึกไว้...ท่านได้เล่า ณ วันที่เกิดปรากฏการณ์สุริยะคราส...ท่านมองเห็นกระจกใสบางเหมือนสายน้ำตกเป็นกำแพงทอดสูงสุดพื้นขอบฟ้าไม่มีจุดสิ้นสุด...ในม่านกระจกใสท่านมองเห็นเปลวไฟลุกไหม้ส่งแสงสว่างทั่วพื้นมหาสมุทร...ท่านเห็นดินแดนสุดประหลาดขนาดใหญ่ที่ไม่น่าจะปรากฏต่อหน้าท่านได้...ท่านคิดได้ในเวลาต่อมา...สิ่งที่ท่านมองเห็นขณะนั้นคือตำนานที่มีการเล่าขานสืบต่อกันมา...ท่านจึงพยายามแล่นเรือเข้าไปสู่ม่านกระจกบางใสนั้น...แต่ยังไปไม่ถึงท้องฟ้ากลับสว่างดังเดิมเสียก่อน...มีเรือบางลำได้ผ่านเข้าไปสู่ม่านกระจกบางใสก่อนที่ท่านจะไปถึง...ได้ไม่นาน...เมื่อสุริยะคราส...กลับคืนมาสว่างยามเที่ยงวันอีกครั้ง...ปรากฏว่าเรือทุกลำที่ได้ผ่านเข้าไปสู่ม่านกระจกบางใสนั้นไม่สามารถแล่นเรือคืนกลับมาอีกได้เลยแม้แต่ลำเดียว...”
“ข้าเล่าได้เป็นอย่างไรบ้าง...เจ้าชายสุริยะ....”
“มันก็...ออกจะสนุก...แปลกพิสดารดี...ท่านอนุ...ท่านยังเล่าไม่จบใช่หรือไม่...ท่านอนุ...”
ท่านอนุหัวเราะ...และส่ายหน้า...
“ยังหรอกเจ้าชาย...ท่านยังไม่ได้ฟังเรื่องราวของข้าเลย...”
“อย่างนั้นท่านเล่าให้ข้าฟังต่อ...เถอะท่านอนุ...”
จบบทที่ 8 ต่อบทที่ 9 ผจญตำนานนครแห่งนักปราชญ์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ