THE RED EYE

5.8

เขียนโดย RATH

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16.37 น.

  8 chapter
  16 วิจารณ์
  16.65K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 2 บทจบ การสอบสวน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 2

  

บทจบ  การสอบสวน

  

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ    

   

               “ฝ่ายสอบสวนกำลัง  เริ่มสอบสวนผู้ที่มีส่วนรู้เห็น ในการก่อการร้ายที่ ท่าอากาศยานสุวรรณฯ”

 

               การรายงานความคืบหน้า  ให้เจ้าหน้าที่อาวุโสได้ทราบสถานการณ์ จากเจ้าหน้าที่   ที่รับผิดชอบในการณ์ก่อการร้าย 

 

              “เรามั่นใจว่าบุคคลที่คุมตัวไว้ เป็นสมาชิกของกลุ่มผู้ก่อการร้ายแน่นอน  เรามีหลักฐานแน่ชัด  โดยทีมสอบสวนของเราพบอาวุธปืนในที่เกิดเหตุ เรากำลังสอบสวนสมาชิกคนนั้น อยู่ในขณะนี้  รายละเอียดอื่น เรากำลังหาข้อมูล  คาดว่าจะได้ข้อมูลทั้งหมดเร็วๆนี้ ครับ ”  

 

 ผู้ชายที่มีดวงตาสีแดงชาด หน้ากลัว เขาอาจจะอดนอน เธอคิด

 

“อยากได้กาแฟ มั้ย”

 

           ภาษาอังกฤษของเธอดีมากศัพท์แสลง ศัพท์เด็กสะลำ ศัพท์เด็กกุย เธออาจจะไม่เก่งมากนัก แต่เธอก็ยังมีมา  ใช่ด่าฝรั่งชั่ว ได้บ้าง การได้พูดกับนายดวงตาสีแดงชาดคนนี้ เธอก็ได้ขุดศัพท์แรง ออกมาใช้เกือบหมดภูมิ ความรู้ของเธอแล้วเธอยังจำประโยคกระซิบข้างหูของเขาได้ 

 

           “แก่มันไอ้คนเฮงซวย ไอ้ชั่ว แก่มันโจร ฉันจะเอาแก่เข้าไปนอนในคุก กับแว่นตาเฮงซวย ของแก่ ไอ้ชั่ว”  

 

         แต่ตอนนี้เธอถามเขาว่าอยากได้กาแฟมั้ย เหตุการณ์แบบนี้มันเพิ่งเกิดขึ้นกับเธอ  เธอให้สัญญาณมือผ่านกระจกบานหนา ที่หมายถึงขอกาแฟด้วย ไม่นานกาแฟก็มาอยู่บนโต๊ะผูชายตรงหน้าเธอยกขึ้นดื่มที่เดียวหมด

 

“เอาเพิ่มอีก มั้ย”

 

            เธอถามเมื่อเห็นอาการง่วงนอนของเขาไม่ดีขึ้น แล้วกาแฟถ้วยที่สองก็ตามเข้ามา และเขาก็ยกขึ้นดื่มในครั้งเดียวหมดถ้วย  สำหรับเธอปัญหาผู้ถูกสอบสวนจะนอนหลับก็หมดไป

 

“คุณพร้อมจะตอบคำถามหรือยัง”

 

เขาพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด เธออยากจะรู้ชื่อจริงของเขา

 

“ คุณชื่ออะไร”

 

             เธอมองหน้าเขาเหมือนจะบอกว่าอย่าโกหก ถ้าคุณโกหกฉันรู้ ที่นี้คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ      การตรวจสอบรายชื่อจึงไม่ใช้เรื่องยาก 

 

“ผมชื่อ แวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา

 

            ชื่อนี้สำหรับผมมันก็เป็นชื่อจริงเหมือนกับชื่อ นาย มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ สำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สำหรับคนอื่นมันแปลกแน่นอน

 

“คุณเขียนได้ไหม  ชื่อคุณฟังยากมาก” 

 

ผู้ชายตรงหน้าเธอรับปากกาไปและเขียนชื่อเขาให้เธออีกครั้งเธออ่านได้ว่า

 

           นายแวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา เป็นชื่อที่แปลก และเหมาะกับคนที่มีลักษณะแปลก อย่างคนตรงหน้าเธอ เธอยื่นกระดาษให้เจ้าหน้าที่เพื่อหาประวัติ และมันจะใช่เวลาไม่นานในการสืบค้น โดยเฉพาะชาวต่างชาติ 

 

          ในช่วงการรอประวัติของนาย แวมาฮาดี เธอมีคำถามต้องถามผู้ชายคนนี้ เพิ่มเติมอีก โดยเธอจะเริ่มจากคำถามง่ายก่อน

 

“คุณแวมาฮาดี  คุณมี หนังสือเดินทาง ( passport) มั้ย”

 

“มี  แต่ ตอนนี้ไม่มี” 

 

“คุณแวมาฮาดี  คุณมี บัตรประจำตัวประชาชน มั้ย” 

 

“มี  แต่ ตอนนี้ไม่มี” 

 

“คุณแวมาฮาดี  คุณมี กระเป๋าเดินทาง มั้ย” 

 

“มี  แต่ ตอนนี้ไม่มี” 

 

“คุณแวมาฮาดี  คุณเป็นผู้การการร้ายใช่ มั้ย” 

 

NOOOOO”

 

“คุณแวมาฮาดี  นี้โทรศัพท์ของคุณใช่ มั้ย” 

 

YES”

 

 

             คำถามสั้นๆ คำตอบสั้นๆ  สุดท้ายก็มีคำตอบว่าใช่ จากนายแวมาฮาดี แต่  โทรศัพท์ หรือเศษเหล็ก  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า  เกิดอะไรขึ้นกับมัน มันมีรูกระสุน และจากการตรวจสอบมันเป็นกระสุนที่ยิงจากปืนตำรวจ โทรศัพท์เครื่องนี้ จึงไม่มีข้อมูลอะไรเหลืออยู่เลย ทุกอย่างพังหมด หน่วยความจำของเครื่องก็เช็คไม่ได้ เบอร์โทรในเครื่องก็ไม่มี ดังนั้นทุกคนจึงลงความเห็นว่ามันคือเศษเหล็ก 

 

“คุณแวมาฮาดี  อธิบายถึงโทรศัพท์ของคุณให้ฟังหน่อย” 

 

          หลังการผมต้องตอบคำถามสั้นๆ ใช่ หรือไม่ใช่ มา ห้า คำตอบ สุดท้ายผมก็มีโอกาสได้ตอบคำถามยาวๆ เสียที แต่ผมอยากตอบคำถามสั้นๆ มากกว่าผมไม่ชอบอธิบาย ข้อมูลยาวๆ แต่เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ผมก็จำใจอธิบายถึงสภาพของโทรศัพท์เครื่องนี้ 

 

            “ผมชื้อมันมาก่อนขึ้นเครื่อง คุณคงดูออกมันเป็นเครื่องที่ยังไม่มีขายในประเทศไทย มันเป็นรุ่นใหม่ล้าสุด ผมคิดว่าเมื่อลงเครื่องบิน ผมจะชื้อเบอร์ใส่โทรศัพท์ แต่อย่างที่คุณเห็น มันถูกยิงจนพัง”  

 

               การอธิบายโดยสรุปของผมมันไม่ใช้เรื่องโกหก แต่มันก็ไม่ใช้เรื่องจริงทั้งหมด โทรศัพท์ของผมใช้ได้เป็นปกติ ไม่มีอะไรเสียหายทั้งก่อนขึ้นเครื่องและหลังลงเครื่อง จนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ผมพยายามหนีออกมาจะเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างตำรวจและผู้ก่อการร้าย ผมได้บันทึกเหตุการณ์ระหว่างการปะทะกันไว้เท่าที่สามารถทำได้ ผมคิดว่าได้บันทึกกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ทั้งหมด จำนวนคน  อาวุธที่ ใช้ และอาจจะบทสนทนาโต้ตอบกันระหว่างกลุ่มด้วย  ภาษาในการ สนทนา มันคือภาษาอาหรับ และภาษาไทย ในประเทศไทยผู้คนที่ยังใช้กันส่วนใหญ่ ก็คือคนทางภาคใต้ของไทย หรือกลุ่มคนไทยมุสลิม การสนทนาของพวกเขามันขาดๆ หายๆ  เขาสามารถนำมาประกอบจนเป็นประโยคได้ไม่ยาก นี้คือประโยคที่ผมสามารถจดจำ  ใจความได้ 

 

              “สายเราในสำนักงานตำรวจ แจ้งให้เรารีบถอนกำลัง การทำงานของเราเสร็จแล้ว”

 

         ผมนำคำพูดของผู้ก่อการร้ายมาวิเคราะห์ มันแยกได้เป็นประโยค คือ

 

 “สายเราในสำนักงานตำรวจ”

“ให้เรารีบถอนกำลัง”

“ทำงานของเราเสร็จแล้ว” 

 

            ผู้ก่อการร้ายไม่ใช้แค่กลุ่มคนที่ผมได้บันทึกภาพไว้ แต่มันคือกลุ่มคนที่ใหญ่กว่า  ไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง แน่นอนว่าต้องมีตำรวจเข้าร่วมด้วยแน่นอน และผมมั่นใจว่า ต้องเป็นใคร คน ใดคนหนึ่งหลัง กระจกบานใหญ่ข้างนอกนั้น มีการวางแผนเป็นอย่างดี มีการเตรียมการในการหลบหนี มีคนข้างในคอยให้ข้อมูล  การที่ผมต้องถูกสอบสวนมันคือ อันตรายสำหรับเขาโดยแท้   ในเรื่องนี้  การโกหกเพื่อเอาตัวรอดมันก็ไม่ใช้เรื่องผิด ผมจะตอบคำถามเท่าที่ตอบได้ โดยไม่เป็นอันตรายสำหรับตัวเอง และหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา ผมเองก็เป็นแค่คนเดินทางผ่านมาผมไม่ขอยุ่งปัญหาภายในของใครทั้งนั้น เมื่อเรื่องจบเร็วเท่าไหร่ ผมก็จะได้ไปตามทางของผมเร็วเท่านั้น 

                    

              เธอไม่คอยพอใจในคำตอบของนายแวมาฮาดี  คนนี้มากนักมันขาดรายละเอียดของเหตุการณ์ไป จากสภาพโทรศัพท์เครื่องนี้รอยกระสุนนับสิบลูก โทรศัพท์ผังยับเยิน เหมือนเขาพยายามทำลายหลักฐานจ่อยิงในระยะประชิดจนไม่เหลือซาก รูปทรง ของโทรศัพท์  มาก่อน เลย  

 

              “ฉันอยากให้คุณเจาะจงอธิบาย ตอนที่โทรศัพท์นี้ถูกยิง เพราะฉันดูแล้วเหมือนคุณจงใจทำลายหลักฐาน ยิงให้ เสียหายยับเยินขนาดนี้” 

 

           “ก็ได้ ผมจะเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้ฟัง  ผมวิ่งหนีกลุ่มผู้ก่อการร้ายไปที่ประตูหน้า เพื่อจะรีบหนีออกไปแต่มันหนีออกไปไม่ได้ มีเสียงปืน  มีควันสีขาวเข้าตาจนแสบไปหมด ผมวิ่งหันหลังกลับมาทางประตูหลัง แต่ไปยังไม่ถึง และประตูหลังก็คงไม่สามารถออกไปได้   มันคงมีคนคุมประตูอยู่เหมือนกับประตูข้างหน้า ผมจึงวิ่งไปหลบอยู่ที่ศูนย์อาหาร ห่างจากประตูหลัง  เพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง เมื่อผมหายเหนื่อยแล้วผมก็พยายามไปให้ถึงประตูหลัง   แต่ระหว่างทางผมก็เจอกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายพวกมันดักค่อยอยู่ก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้พวกมันเห็นผม  จึงหลบอยู่หลัง เคาร์เตอร์ ประชาสัมพันธ์ ห่างจากประตูไม่มากนัก  และหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงปืนยิงปะทะกัน ระหว่างการยิงกันควันสีขาวก็กระจายเต็มไปหมด ผมจึงอาสัยโอกาสช่วงนั้นวิ่งหนีออกมาจาก  การปะทะกัน   จนโทรศัพท์ของผม  หายระหว่างทางการหลบหนี และหลังจากนั้นผม ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโทรศัพท์ของผม จนคุณเอามาให้ผมดูนี้ละ” 

 

              ผมอธิบายรายละเอียดโดยสรุปเหมือนครั้งที่แล้ว แต่แน่นอนมันไม่ใช้ความจริงทั้งหมด ความจริงก็คือผมทำโทรศัพท์หายจริง แต่ผมก็เห็นว่าใครเป็นคน  ยิงมันจนผังยับเยินแบบนี้  และเอาข้อมูลในโทรศัพท์ของเขาออกไป และที่หน้าเจ็บใจที่สุดไอ้ชั่วนั้น  มันทิ้งปืนไม่มีลูกไว้ให้เขาอีก  แล้วหนีหายไป เพียงไม่กี่อึดใจผมก็ถูกพวกตำรวจจับ พร้อมอาวุธครบมือ

 

              เธอเสียเวลากับผู้ชายคนนี้มามาก แต่ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลย เขาก็แค่ผู้เคราะห์ร้ายอีกคนที่พยายามหนีออกมาจากสนามบินเท่านั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ ทำไมเธอถึงมีอะไรค้างอยู่ในใจแบบนี้ เธอคิด 

 

          “ฉันมีคำถามจะถามอีกสองคำถาม  ขอให้คุณตอบ ความจริงด้วย”  

 

เขาพยักหน้า แสดงว่าเข้าใจและพร้อมจะตอบ 

 

 

           “คุณเห็นลักษณะ  ท่าทาง  หน้าตา ใครที่สามารถ จะนำเราไป จับกุม ได้บ้างมั้ย คุณอยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด คุณหน้าจะเห็นอะไรบ้าง”  

 

 

           แน่นอนว่าผมสามารถระบุ รายละเอียดได้เกือบทุกคน แม้จะไม่รู้ชื่อแต่หน้าตาผมจำได้แน่นอน  รวมถึงไอ้ชั่วที่มันยิงโทรศัพท์ของผมด้วย แต่อย่างที่บอก  ผมยังไม่พร้อมจะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหายุ่งยาก   ผมผ่านมาก็ผ่านไป  ไม่ขอยุ่งดีกว่า ผมคิด

 

 

     “NOOO  พวกนั้นใสหน้ากาก และชุดที่ปกปิดมิดชิด เหมือนชุดทหาร”

 

          แน่นอนคำตอบนี้ใครๆก็ตอบได้ มีคนเห็นตั้งหลายร้อยคน  มันก็ต้องตอบเหมือนกันอยู่แล้ว ง่ายมากที่จะโกหก   ผมคิด 

 

 

“คำถามสุดท้าย”  

 

 

           เธอเน้นเสียงดัง แน่นอนผมอยากได้ยินคำนี้  คำถามสุดท้าย พระเจ้าช่วยวันนี้ของผมมันก็จบลงแล้ว  ผมจะได้พักผ่อน นอนหลับสักที พรุ่งนี้ผมก็จะไปหา พ่อ แม่ กับ พี่ชาย  อย่างน้อยก็ขอให้ได้แค่พบหน้าก็พอ

 

“คำถามสุดท้าย คุณได้แว่นตา เฉยๆ มาจากที่ไหน” 

 

             เธอยิ้มเล็กน้อยเมื่อถามคำถามนี้ ผมรู้ว่าเธอไม่จริงจังกับคำตอบสุดท้ายนี้ และสำหรับผม คำถามนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องโกหกอะไร ผมก็แค่หยิบมาจากร้านขายแว่นตาระหว่างหลบหนี แน่นอนผม ยังไม่ได้จ่ายเงิน ก็ไม่เห็นมีใครเฝ้าร้าน ผมเลยคิดว่าวันหลังถึงจะแวะไปจ่าย คำตอบที่ผมบอกเธอไปคือ 

 

 

          “ผมแสบตาจากควันพิษ  อย่างที่คุณเห็น  ตาผมแดง  ผมเพียงไม่อยากให้ใครจ้องตาผม  ผมหยิบมัน จากร้านขายแว่นตาในสนามบิน” เธอยิ้ม เมื่อผมพูดจบ  

 

 

“คุณหยิบมันมาสองอัน” 

 

 

“ใช่ผมหยิบมันมาสองอัน”  

 

 

           “เราเช็คประวัติ ของคุณเรียบร้อยความคุณแวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา เราเช็คไปทางสนามบิน เราเช็ครายชื่อทางต้นทางและปลายทาง และคุณพูดความจริง คุณมีตัวตนอยู่บนเครื่องที่เพิ่งลงเมื่อเช้านี้  และสุดท้ายนี้เราขอให้คุณให้ข้อมูลแก่เรา  หากคุณคิดอะไรที่เป็นประโยชน์ ให้ข้อมูลเพิ่มกับเราจะขอบคุณมาก” 

 

 

          ผมพยักหน้าเป็นการ เข้าใจในสิ่งที่เธอรายงานไป โดยผมไม่ได้แสดงสีหน้าเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรเลย ผู้ชายใจหิน เธอคิดในใจ เสียงเรียกจากข้างนอกเข้ามา

 

“ให้เขาไปพักห้องรับรองของเราก่อน  มีบางอย่างที่คุณต้องรู้”

 

 ข้างนอกบอกให้ผู้ชายคนนี้ไปพักในห้องรับรองโดยความหมายจริงๆ ของมันก็คือ การกักตัวไว้ก่อนนั้นเอง แต่อย่างแขกมีระดับ  แต่ก็ยังมีคนคอยคุ้มกัน

 

 

             “คุณแวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา เดินตามฉันมาค่ะ  ฉันมีเรื่องต้องแจ้งให้คุณทราบเพิ่มเติม เราเปิดห้องรับรองให้คุณในคืนนี้  และพรุ่งนี้เช้า คุณก็ไปได้”

 

การเปลี่ยนแผนอย่างรวดเร็วของเธอทำให้เขาหยุดเดิน  นั้นหมายความว่าเขาต้องการคำอธิบาย เธอไม่ต้องให้เขาต้องถามอะไรต่ออีก เธอก็เลยนึกเหตุผลใช่เป็นประจำ อย่างหนึ่งออกมาและมันก็จะได้ผลเสมอ  

 

 

          “มันเป็นระเบียบ ของที่นี้ เพื่อให้แน่ใจว่า เรายังพลาดข้อมูลอะไรอีกหรือเปล่า ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจเราจึงไม่อยากพลาดข้อมูลนั้น อย่างนั้นเราจึงขอให้คุณอยู่กับเราต่ออีกสักหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าเมื่อเราตรวจสอบแล้วว่าเราไม่ได้พลาดจากข้อมูลอะไร เราจะปล่อยคุณไป และฉันก็ขอร้องให้คุณให้ความร่วมมือกับเราด้วย”

 

 

             ผมเจอไม้นี้ เข้าไปแล้วยังจะทำอะไรได้อีก ผมเหนื่อย ต่อให้ต้องนอนตามฟุตบาท ผมก็จะทำ แต่คืนนี้มีห้องให้นอน มีคนคุ้มกัน ตลอดทั้งคืนก็ช่างหัวมัน  ต่อให้ไอ้พวกคุ้มกันไปนั่งเฝ้าหน้าเตียงผมก็ไม่ว่า ผมอยากจะบอกเธอว่าขอบคุณด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้พูด แค่พยักหน้าและเดินตามเธอไป 

 

 

“นี้ห้องของคุณ  นอนหลับตามสบายนะ”

 

ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องไป ในห้องมีเตียง แค่นี้ก็พอแล้ว ผมคิด  แต่ความจริงแล้วมันมีเตียง ตู้  โต๊ะ เก้าอี้ ห้องน้ำ  อย่างหลังนี้ทำให้ผมพอใจที่สุดการได้อาบน้ำ ล้างสิ่งสกปรก ตามตัว และเส้นผม มันจะทำให้ผมนอนสบายมากยิ่งขั้น  และราตรีนี้ของผมก็ฝันถึงครอบครัวที่ผม ตามหาอย่างมีความสุข ลาก่อนวันสุดเฮงซวย ผมคิด

 

 

            เธอมาส่งแขกถึงห้องรับรองเรียบร้อยแล้ว แต่งานของเธอมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าไม่มีเรื่องอะไร  นาย เฮนรี ฟอร์ค เจ้าหน้าที่ประสานงานของท่านทูตอเมริกาประจำประเทศไทย  คงไม่ให้เธอกักตัวเขาไว้ในห้องรับรองแน่นอน 

 

            เขาบอกว่ามีเรื่องบางอย่างที่เธอต้องรู้    มันคืออะไร  และมันต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากแน่นอน ข้างหน้าคือห้องที่เธอมุ่งหน้าไป  มันคือห้องสอบสวนอีกห้อง คนสอบสวนเป็นเพื่อนรวมงานของเธอ เขาเป็นคนมีความสามารถ อีกคนหนึ่ง เธอเดินไปถึงหน้าห้องเปิดประตูห้องเข้าไป    

 

             ในห้องมีคนยืนอยู่สองคน คนแรกคือนายเฮนรี ฟอร์ค เจ้าหน้าที่หนุ่มจากกงสุลอเมริกาสุดหล่อ  และผู้ชายอีกคนคือหัวหน้าของเธอ หัวหน้าเป็นคนดูแลเธอ และเจ้าหน้าที่คนอื่น ในทีมสอบสวนวันนี้และ  ตอนนี้ หัวหน้าก็เป็นหัวหน้าทีมตรวจสอบการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นวันนี้ด้วย  และเธอรู้ว่าผลการสอบสวนในวันนี้ ไม่เป็นที่หน้ายินดีสำหรับหัวหน้าเลย   

 

             จนตอนนี้เธอถึงได้เห็นว่า สีหน้าของหัวหน้าดีมาก   ทีมงานคงทำให้หัวหน้าสบายใจมากขึ้น   ดูได้จากที่หัวหน้ายิ้มให้เธอแล้วเรียกชื่อเธอแบบเต็ม เธอชื่อวรนุช  หากหัวหน้าพอใจในงานของเธอหัวหน้าจะเรียกเธอว่าคุณวรนุช แต่หากเธอทำงานพลาด หัวหน้าจะเรียกเธอว่า คุณนุช แบบสั้น และได้ใจความ  

 

             “คุณวรนุช คุณมาแล้ว พวกเรารอคุณอยู่  อยากให้คุณได้ดูการสอบสวนข้างในนั้น”   

 

 

             เฮนรี เป็นคนทักทายเธอ   เฮนรี เป็นคนยิ้มได้ตลอดและพูดเก่ง จนบางครั้งเธอคิดว่าเขากำลังจีบเธอ แต่ด้วยรอยยิ้มเขายิ้มให้กับทุกคนที่รู้จัก ไม่มีใครเป็นพิเศษแม้แต่เธอ แม้แต่ตอนนี้ รอยยิ้ม และสายตา มันช่างเหมือนกับ ปลาทองจริง ปากใหญ่และตาโต แต่เธอก็ไม่อยากสนใจเขาอีก

 

            เธอหันไปให้ความสนใจ คนที่อยู่หลังกระจกบานใหญ่ในห้องสอบสอนมากกว่า คนข้างในคือเด็กสาว หน้าจะอายุประมาณ 19 หรือ 20 ปี  ผมยาว สีดำตอนนี้เส้นผมรวบเก็บไว้อย่างมิดชิด ด้วยกิ๊ป หรืออะไรสักอย่าง ทำให้เห็นใบหู และต่างหูเล็ก  น่ารัก  หน้าเธอขาวเหมือนกระดาษ จมูกเธอรับกับใบหน้าอย่างพอเหมาะ คิ้วดกหนา ไม่ได้กันให้เรียว เป็นปีกกาเหมือนสาวสวยในวัยเดียวกัน  หากจับแม่สาวน้อยคนนี้มาแต่หน้าทำผม เธอก็จะเป็นสาวสวยเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใครเลย   คำถามแรกของเธอโดยเธอไม่ได้เจอะจงให้ใครตอบ แต่เธอก็รอว่าคนที่จะตอบหน้าจะเป็นเฮนรี และมันก็เป็นความจริง 

 

 

“เธอเป็นใคร” 

 

 

            “เธอเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อเช้านี้ เธอบอกว่าอยากเจอกับผู้ชายคนหนึ่ง เธอมั่นใจว่าเขาอยู่ที่นี้  ผู้ชายคนนั้นชื่อนาย มาร์ติน วัลด์ เธอเอากระเป๋าเดินทางมาคืนให้กับเขา  คุณเห็นนั้นไหม  กระเป๋านั้นแหละ ป้ายชื่อที่ติดกระเป๋ามันหายไปตอนที่เธอพยายามหนีออกมาจากสนามบิน เธอบอกผู้ชายคนนั้นชื่อยาวกว่านี้ แต่เธอจำได้แค่ มาร์ติน วัลด์...   เป็นคนอเมริกันพูดไทยได้ สูงประมาณ 186 หน้าตาดีอย่างนายแบบเสื้อผ้า เป็นคนฉลาด  กล้าหาญ   ผมรู้สึกว่าที่เด็กสาวนั้น พูดมามันใกล้เคียงผมนะ   แต่บังเอิญว่าผมพูดไทย ได้ไม่ดีมากนัก” 

 

“เธอเห็นเหตุการณ์เมื่อเช้าทั้งหมดเลยใช่มั้ย” 

 

             “เธอบอกว่าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจน  ผู้ก่อการร้ายหนีไป แต่เธอยังไม่ให้รายละเอียดอะไรจนกว่าเราจะตามหา ผู้ชายคนนั้นให้กับเธอก่อน”

 

        “แล้วทำไม ไม่ลองเปิดกระเป๋าเดินทางดูเพื่อมีหลักฐานอะไรพอที่จะตามหาผู้ชายคนนั้น” 

 

          “ในกระเป๋าเดินทางมีเสื้อผ้าอยู่ไม่มาก และของใช้ส่วนตัวอยู่ด้วยไม่กี่ชิ้น    ส่วนในกระเป๋าถือใบเล็กสีขาว    มันเปิดโดยใช้รหัส เราเอากระเป๋าไปสแกนดูแล้ว  อย่างที่รู้มันมีหลักฐานอยู่จริงๆ แต่การละเมิดสิทธิของคนอื่นมันก็สำคัญเช่น กัน   แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงที่จะเปิดกระเป๋าใบเล็กนั้น  ไม่ได้จริง ก็คงต้องเปิดมัน  ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเด็กสาวนั้น    เธอจะยอมให้ข้อมูลอะไรเพิ่มหรือเปล่า  หากเธอยังคงยืนยัน คำเดิมคือให้เราหาคนให้ก่อนแล้วจะบอกข้อมูล ก็คงต้องลองหากันดูก่อน  วันนี้ทั้งวันจากการสอบสวนคนต่างชาติไม่มีใครชื่อ มาร์ติน วัลด์....เลยสักคน” 

 

 

        “ฉันอยากคุยกับเธอดู  แบบผู้หญิงกับผู้หญิงหน้าจะได้ข้อมูลจากเธอเพิ่มมากขึ้น” 

 

 

“ตกลง  คุณเข้าไปได้” หัวหน้า เธออนุญาต 

 

 

           ในห้องสอบสวนการเดินเข้ามาร่วมด้วยของเธอทำให้เด็กสาวสนใจอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับเพื่อนร่วมงานของเธอคำว่าสนใจมันคงน้อยไป หน้าจะเรียกว่าดีใจเสียมากกว่า

            วันนี้เธอยังไม่ได้เจอกับเขาเลยเธอมีงานสอบสวน  เหมือนกับเขา ทุกคนในที่ทำงานรู้ดีว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้แอบชอบเธอ ทุกคนต่างก็ช่วยกันปิดให้แซด  จนรู้กันไปหมดตั้งแต่ ยามเฝ้าประตู  แม่บ้านทำความสะอาด  ทุกคนก็เลยช่วยกันปิดข่าวให้แซด   แต่ดูตัวต้นเรื่องจะไม่คิดแก้ข่าวให้กับเธอเลย ผู้ชายคนนี้เป็นชายไทยแท้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ติดก็แต่มีเชื้อ ฮองเต้ราชวงค์ถัง ก็คือเชื้อจีนนั้นเอง  ชื่อจริงของผู้ชายไทยเชื้อจีนคนนี้ก็คือ อนุชา  แต่คนในที่ทำงานไม่มีใครจำมาเรียกสักคน นอกจากเธอ จะเรียกเขาคุณอนุชา เป็นประจำ ทุกคนเรียกเขาว่า ฮองเต้  หรือไอ้เต้ 

              เธอเดินเข้าไปหาเขา เขายืนขึ้นและจะยกเก้าอี้ให้เธอ    แต่เธอไว้กว่า จับเก้าอี้มานั่งเองโดยไว้  เขาก็นั่งลงตาม ตอนนี้เธออยากรู้จักกับผู้หญิงตรงหน้ามากกว่า   เธอสวยกว่ามองจากข้างนอกเล็กน้อย ดวงตากล้าๆ กลัวๆ เธอดูออกเด็กผู้หญิง กำลังฝืนความรู้สึก  เด็กผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้รับการตามใจจากพ่อแม่มากนัก การอยู่ในกรอบที่พ่อแม่สร้างขึ้นก็ทำให้เด็กมีความกล้าที่จะต่อสู้ไม่เท่ากับเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้สร้างกรอบปิดกันไว้

             วันนี้ความคิดนี้ของเธออาจผิดก็ได้ เด็กผู้หญิงคนนี้ดูเธอกลัวก็จริง  หากหลีกเลี่ยงไม่ได้เธอก็อาจจะยอมสู้ตายเลยทีเดียว มันคงไม่เป็นอย่างที่เธอคิดที่จะรองเจรจาอย่างผู้หญิงถึงผู้หญิง เหมือนที่คุยเล่นกับเฮนรีก่อนเข้ามา เธอไม่ยอมให้ความร่วมมือแน่ หากไม่หานายมาร์ติน ให้   เธอรู้ว่าเด็กสาวกำลังรอคำถามจากเธอ  เธอเดินเข้ามาก็ต้องมีอะไรที่จะพูดกับฉันแน่นอน   เธอพูดในใจ ตกลงว่าเธอคงต้องถามประโยคแรกเสียแล้วเอาให้ได้ทั้งน้ำและเนื้อเลยแล้วกัน 

 

           “เราได้ข้อมูลน้อยมาก เราหาคนจากชื่อที่เธอให้มาไม่ได้ เพราะเราไม่ได้สอบสวนใครที่ชื่อมาร์ตินเลย” 

 

 “ฉันอยากดูรูปทั้งหมด ที่พวกคุณสอบสวนวันนี้”

 

เสียงเด็กสาวสั่นๆ และกลัว  แต่สิ่งที่เด็กสาวพูดมันทำให้เธอคิดอีกอย่างว่าเด็กคนนี้ไม่มีความกลัวแน่ เธอฉลาด  คนที่สร้างกรอบครอบเด็กคนนี้ไว้ มันคงเป็นกรอบที่ไม่แข็งแรงนัก สักวันเธอคิดว่า เด็กนี้จะต้องทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้  การนำรูปคนที่สอบสวนวันนี้ให้เด็กคนนี้ดู มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร 

 

“ตกลงเราจะให้เธอดูรูปผู้ชายทั้งหมดที่เราสอบสวนวันนี้”  

 

 

             เจ้าหน้าที่ข้างนอกนำแล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ เข้ามาแล้วให้เธอดูหน้าแต่ละคนเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนในที่สุด ก็ไปหยุดอยู่ที่รูปผู้ชายคนหนึ่ง แน่นอนเธอรู้จักดี ไอ้ชั่ว จอมโกหกนั้น เหมือนว่ามีอยู่คนหนึ่งข้างนอกห้องนั้นจะไม่แปลกใจเลยเขาอาจจะรู้อยู่แล้วแต่ไม่มั่นใจ 

 

“พาเขาไปพักห้องรับรองก่อน”

 

          ที่จริงนายเฮนรี นี้ก็เหลี่ยม คม พอฟัดพอเหวี่ยง กับไอ้ชั่วจอมโกหกนั้น แล้วนี้เธอจะทำอย่างไรดี คนในห้องรับรองอาบน้ำนอนอยู่ในห้องสบายไปแล้ว  จะต้องปลุกเขามาสอบสวนอีกไหม แน่นอนว่าแม้แต่เด็กสาวยังสามารถระบุ กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ นายจอมโกหกนั้นก็ระบุได้เหมือนกัน ที่เธอสอบสวนไปวันนี้ไม่มีอะไรจริงเลยโกหกทุกเรื่องเลย  มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เธอคิด

 

 

“คุณนุช มีอะไรมั้ย คับ” อนุชาถามขึ้น 

 

           “ฉันรู้จักผู้ชายคนนี้  ฉันเป็นคนสอบสวนเขาเอง  และเขาไม่ได้ชื่อ นาย มาร์ติน วัลด์  มันอาจจะเป็นแค่ชื่อเรียกของคนใกล้ชิดในครอบครัว หรือ ชื่อที่มีความหมายพิเศษที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ชื่อจริงของเขาคือ นายแวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา  และเขาถือสัญชาติอเมริกัน และเท่าที่รู้นายนี้พูดไทยไม่ได้” 

 

             “คุณมาติน วัลด์  พูดไทยได้ ชัดเจนเหมือนคนไทยทั่วไปค่ะ” เสียงเด็กสาวพูดขึ้น  เธอหันมาสนใจเด็กสาวอีกครั้ง 

 

 

           “เธอช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังได้ มั้ย”  เด็กสาวพยักหน้าแล้วเริ่มเล่า เวลาผ่านไปไม่นานเด็กสาวก็เล่าจบ 

 

 

“ฉันอยากเจอเขา”  เธอรู้เขาในทีนี้คือใคร 

 

 

“ฉันจะพาไป” 

 

 

 

              เธอให้เด็กสาวเดินตาม เสียงลากกระเป๋าตามเธออย่างสม่ำเสมอ  โดยมีเจ้าหน้าที่สองคนตามมาด้วย

 

“ถึงแล้วห้องนี้ละ” 

 

เมื่อเสียงประตูเปิด คนบนเตียงลุกขึ้น เขาดูดีกว่าเมื่อสองชั่วโมง ที่แล้วมากหลังจากนอนอยู่บนเตียงเกือบสองชั่วโมง  รู้สึกเขาจะแปลกใจเล็กน้อย ที่เห็นแขกอีกคน เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขาแค่มองหน้า สีหน้าและแววตาของเธอมันพูดให้เขารู้เรื่องอยู่แล้วว่า

 

 “คุณมันคนโกหก”

 

แล้วเธอก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้แขกสองคนได้คุยกัน เด็กสาวเป็นคนเริ่มพูดขึ้นก่อน คำพูดของเธอมาพร้อมกับสีหน้าเครียดๆ 

 

 

             “ฉันเล่าให้พวกเข้าฟังหมดแล้ว  ฉันไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อนเลย ฉันกลัวมากคิดว่าคุณตายไปแล้ว ฉันรอคุณอยู่หน้าประตูจนไม่มีใครอีก ฉันจึงมาทีนี้  ฉันขอโทษฉันไม่รู้ฉันกำลังทำอะไรอยู่ ฉันเอากระเป๋ามาคืนให้คุณ”

 

             ผมมองไปที่กระเป๋าเดินทางใบเล็กของผมที่เธอลากมาด้วย  และกระเป๋าเอกสารใบสี่เหลี่ยมสีขาวที่บรรจุเอกสารทั้งหมดของผมมันถูกปิดด้วยรหัสและเปิดด้วยรหัส มันเป็นกระเป๋าที่สามารถตามหาด้วยสัญญาณติดตามถ้ากระเป๋าใบนี้ไปตกหายในทะเลทรายผมก็ยังค้นหาเจอได้ไม่ยาก

             กระเป๋าใบเล็กเข้าใส่ไว้ในกระเป๋า เดินทางที่เธอลากมาด้วย แต่ตอนนี้เธออุ้มมันไว้ในอ้อมแขนทั้งสองข้าง ผมยื่นมือออกไป แสดงให้เห็นว่าผมต้องการกระเป๋าที่เธออุ้มไว้ในวงแขนทั้งสองข้าง เธอยื่นมันส่งให้กับผม 

            ผมคงต้องพูดอะไรสักอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของเธอ และความกล้าหาญในสิ่งที่เธอทำ ถึงแม้จะไม่ต้องการเลย พรุ่งนี้ผมก็จะได้ออกไปจากที่นี้แล้ว แต่ความหวังในวันพรุ่งนี้คงต้องรอก่อน   

             ในวันพรุ่งนี้ชีวิตผมคงต้องผูกติดอยู่กับเด็กสาวคนนี้ หรือทั้งชีวิตของผมจะต้องผูกติดกับเธอตลอดไป ก็ยังหาคำตอบในตอนนี้ไม่ได้   แต่เขาหวังว่าเรื่องของผมกับเธอจะจบโดยไว้ เพราะที่นี้ ไม่ใช้ชีวิตจริง ของผม ผมคิด

 

 

          “ขอบคุณสำหรับกระเป๋า เธอเป็นคนใจดีมาก  แล้วเด็กที่อยู่ด้วยตอนนี้สบายดี มั้ย” 

 

           ผมพูดทุกคำเป็นภาษาไทย ความเครียดเมื่อสักครู่ของเธอรู้สึกว่าจะหายไปแล้ว ดวงตา สีหน้า  ดูมีรอยยิ้มมากขึ้น และผมรู้ว่าเธออยากพูดกับผมเช่นกัน

           อย่างที่รู้ผู้หญิงมักไม่ค่อยปกปิดความอยากรู้อยากเห็น และเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมและเธอมันก็ไม่ใช่  อะไรที่เกิดขึ้นได้ปล่อยๆ การหนีเอาชีวิตรอดสำหรับเขามันคือเรื่องปกติ แต่สำหรับสาวน้อยคนนี้ มันคือความตื่นเต้นครั้งหนึ่งในชีวิต และอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยในชีวิตที่เหลือของเธอ ผมหวังอย่างนั้น 

 

             “ผู้หญิงข้างนอกบอกคุณพูด ภาษาไทยไม่ได้  แต่คุณพูดได้" 

"เด็กผู้หญิงที่อยู่กับฉันเธอชื่อ น้องนุ่น เป็นหลานสาวของฉันเอง  พี่สาวฉันฝากไว้ก่อนจะขึ้นเครื่องไปเที่ยวในวันครบรอบแต่งงาน ในช่วงวันหยุดนี้"

" ฉันต้องดูแลเธอ จนกว่าพี่สาวจะกลับมา หลังจากรอคุณอยู่นาน ฉันก็โทรให้คนขับรถมารับเธอกลับบ้านไปก่อน แล้วฉันก็มาพบคุณ ที่นี้"

" ฉันตามหาคุณทั้งวันถามใครก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร ฉันเข้าใจว่าคุณชื่อ มาติน วัลด์..ส่วนที่เหลือฉันจำไม่ได้  ป้ายชื่อที่กระเป๋ามันหายระหว่างที่ฉันกับหลานหนีออกมาจากสนามบินนั้น"

" ฉันรออยู่ข้างนอกนานทั้งวัน  มีคนเข้าๆ ออกๆ หลายร้อยคน ฉันมองหาคุณทีละคน  จนสุดท้ายฉันเจอกับเจ้าหน้าทีเป็นชาวอเมริกันเหมือนคุณเขาแนะนำตัวว่าเขาชื่อเฮนรี ฟอร์ค เขายินดีจะช่วยฉันหาคุณ เขาเป็นคนเปิดกระเป๋าเดินทางของคุณ และเอากระเป๋าของคุณเข้าเครื่องสแกน คงจะหาอาวุธ หรือระเบิด  แต่เขาไม่พบอะไรเลย  เขาแสดงความเสียใจที่ช่วยเหลือฉันไม่ได้ แต่ก่อนเขาจะเดินจากไป ฉันถามเขาว่าคนที่เดินเข้าออก พวกนั้นมาทำไหมกัน  เขาบอกฉันว่าคนพวกนี้เป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก่อความวุ่นวายในสนามบิน และเขากำลับสืบสวนหาเบาะแส  คนที่ก่อความวุ่นวาย  แต่ยังไม่พบอะไร"

"ฉันบอกกับเขาไปว่าฉันก็อยู่ที่นั้นด้วย  และเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เห็นแม้แต่หน้าผู้ก่อการร้ายด้วย  ฉันรู้ว่าเขาไม่เชื่อฉันแน่  ฉันจึงบอกเขาว่าฉันยินดี จะเขารับการสอบสวน แต่มีข้อแม้ให้  เขาหาคุณให้กับฉันให้เจอ  สุดท้ายการหาคุณมาหลายชั่วโมงของฉันก็พบคุณจนได้"

"วันนี้ฉันเหนื่อยมากฉันยังไม่ได้ กินอะไรเลยนอกจากน้ำ ตั้งแต่ฉันแยกจากคุณ ในศูนย์อาหารสนามบินนั้น   ฉันกินไปนิดเดียวเอง   คุณดูเสื้อผ้าฉัน   คุณดูผมฉัน มันสกปรกไปหมด  ถ้าพ่อฉันเจอฉันตอนนี้ท่านคงบอกฉันไม่ใช่ลูกสาวท่านแน่   คงจำฉันในสภาพนี้ไม่ได้"   

"ถ้าเวลานี้ของฉันทีบ้าน ฉันจะใส่เสื้อผ้าด้วยเนื้อผ้าอย่างดี  เส้นผมของฉันจะต้องสะอาดเป็นเงา และตอนนี้ฉันจะต้องนอนอยู่บนเตียงสีขาวนุ่มสบาย  แต่ตอนนี้ฉันอยู่กับผู้ชายที่ไม่รู้จริง คือใคร กับห้องสี่เหลี่ยม ที่มีแต่โต๊ะ เก้าอี้ และเตียงนอนแค่อันเดียว ตกลงว่าคุณคือใครคะ”  

 

          ดูเธอพูดเก่งกว่าครั้งแรกที่พบ  ตอนนั้นเธอตกใจมากเลยพูดอะไรไม่ได้มากกว่า  เธอเล่ารายละเอียดเหตุการณ์ของเธอหลังจากแยกจากผม  ส่วนสิ่งที่ยังติดใจเธอคือชื่อของผม และความเป็นตัวตนจริง ของผมเป็นคนดี หรือคนเลว เรื่องผมเป็นคนอย่างไรเธอคงรู้อยู่แล้ว  แต่มีเรื่องที่ผมต้องอธิบายให้เธอเข้าใจคือ ชื่อของผม

           ผมกับเธอยังไม่เคยแนะนำตัวเองให้ฝ่ายตรงข้ามได้รู้จักเลย และผมเองก็ยังไม่รู้จักชื่อของเธอเช่นกัน การแนะนำตัวครั้งนี้ผมคงแนะนำตัวด้วยชื่อเดิมที่เธอรู้อยู่แล้ว

           ส่วนชื่อผมที่เธอไม่รู้จักผมคงต้องอธิบาย ให้เธอเข้าใจอีกครั้ง ผมยิ้มและบอกกับเธอว่าผมชื่ออะไร พร้อมยืนขึ้นส่งมือให้เธอจับแสดงความ สุภาพ อย่างสุภาพบุรุษ และผมแนะนำตัวเป็นภาษาไทย 

 

 

         “สวัสดีคับ ผมชื่อนาย มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์   แล้วคุณสุภาพสตรี ชื่ออะไรครับ”  

 

 

       “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อนางสาว ณฐพร พันเลิศวงศ์   เรียกฉัน นัด นะค่ะ” 

 

 

         “สวัสดีคับ ผมชื่อนาย นายแวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา แล้วคุณสุภาพสตรี ชื่ออะไรครับ”  

 

 

           ผมแนะนำชื่ออีกครั้ง และมันคือชื่อที่เธอไม่รู้จัก สำหรับเธอ นายมาติน คือด้านที่สว่างของผม  ส่วนนายแวมาฮาดี คือด้านมืด ของเธอ   มันคงเป็นอย่างที่เธอคิด นายแวมาฮาดี มันถูกสร้างขึ้นจากคนที่ผม ไม่ต้องการจะพูดถึง แม้แต่ตัวผมเอง   คนที่ชื่อแวมาฮาดี เป็นคนแบบไหนกัน เป็นคนดี หรือคนเลวกันนะ    แล้วระหว่างตัวตนจริงของผมกับ อีกคนที่ถูกสร้างขึ้นมา คนไหนจะเป็นคนดีหรือคนเลว ผมเองก็ตอบไม่ได้ 

           ผมอยากเป็นแค่ นายมาติน แต่ ชีวิตของผม ผมคือนายแวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสสา ตลอดไป  และผมจึงอธิบายให้เธอเข้าใจ ว่าทำไหมผมถึงมีสองชื่อและด้วยเหตุผลใดจึงไม่ควรพูดถึงอีกชื่อ ผมหวังว่าเธอจะเข้าใจเธอเริ่มแนะนำชื่อตัวเองเป็นครั้งที่สองและครั้งนี้ผมก็ต้องมีคำอธิบายให้กับเธอ ผมรู้ว่าเธอกำลังรอฟังอยู่เช่นกัน 

 

 

        “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อนางสาว ณฐพร พันเลิศวงศ์   เรียกฉันว่า นัด นะค่ะ” 

 

 

         “สวัสดีคับ ผมชื่อนายแวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา เรียกผมว่า ราชีฟ ครับ  ชื่อแรกที่คุณรู้จักเป็นชื่อคนตายครับ และเขาไม่มีวันฟื้นจากความตายได้อีก ผมไม่สามารถบอกรายละเอียดให้คุณเข้าใจได้ตอนนี้ ผมคิดว่าคุณคงจะเข้าใจ” 

 

 

              แน่นอนเธอเข้าใจในสิ่งที่เขาบอกเธอ ชื่อแรกที่เธอรู้จักคือชื่อของคนที่ตายจากไปแล้ว แต่อะไรคือสาเหตุที่เขายังใช้ชื่อนั้นอยู่ และเธอมั่นใจว่าชีวิตของเขาไม่สามารถหนีไปจากคนที่ชื่อนาย มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์  ได้แน่นอน  

 

“ราชีฟ”

 

คือชื่อใหม่ที่เธอจะต้องจำไว้ และจะไม่มีวันลืม พอๆ กับชื่อ

 

“มาร์ติน”

 

คนที่ตายไปแล้วเธอก็จะไม่ลืมเช่นกัน เธอไม่ต้องการคำอธิบายอะไรจากเขาอีกแล้ว เธอไม่มีสิทธิที่จะให้เขาอธิบายอะไรให้ฟังด้วยซ้ำ เขากับเธอเพิ่งพบกัน โลกของเขา ชีวิตส่วนตัวของเขา มันคือสิทธิของเขา เธอไม่ใช้ตำรวจ และเขาไม่ใช้ผู้ร้าย ดังนั้นทั้งเธอและเขาเราไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรต่อกันอีก แต่ทำไหมเธอถึงได้รู้สึกสูญเสียอะไรไปละ ทำไหมเธอถึงอยากจะรู้ เรื่องของผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้น ทำไหม เธอถึงอยากจะรู้จักกับคนที่ชื่อ

 

“ราชีฟ”พอๆ กับคนที่ชื่อ “มาร์ติน”

 

เธอเก็บความอยากรู้นี้ไว้ในใจ และสักวันเธอจะต้องรู้ให้ได้  ตอนนี้ เธอจะรอ แม้จะนานเธอก็จะ รอ  ในชีวิตของเธอไม่เคยอยากจะรออะไรแบบนี้มาก่อน   เป็นครั้งแรก ที่เธอจะรอคอย ใครสักคน หรืออะไรสักอย่าง  และเธอมั่นใจว่าการรอคอยของเธอจะไม่สูญเปล่า  ผลรับจะเป็นอย่างไรในอนาคต  จะดีใจหรือเสียใจ เธอก็จะยอมรับมัน

 

 

“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ คุณราชีฟ”  

 

 

             เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกเขาด้วยชื่อใหม่  เธอรู้ว่านี้คือจุดเริ่มต้น หรือจุดออกตัว และ จุด START ของชีวิตเธอ 

             เธอใช้ชีวิตโดยไม่เคยมีจุดหมายมาตลอด เธอเดินตามกรอบ ที่ พ่อ แม่ กำหนดไว้ให้มานานมากแล้ว ชีวิตวัยรุ่นของเธอ ต้องเสียไปจากการศึกษาเล่าเรียน  ความสนุกแบบวัยรุ่นของเธอไม่มีเลย เธอต้องเรียนหนักกว่าคนอื่นในวัยเดียวกันถึงสองเท่า อายุ 19 เธอ ได้รับใบประกาศจากมหาวิทยาลัยสองแห่ง แห่งละหนึ่งใบ เร็วๆ นี้เธอก็จะถูกส่งตัวไปเรียนต่อต่างประเทศเธอหนักใจมากที่ต้องเรียน และต้องเรียน   

              แต่ตอนนี้การต้องจากที่นี้ไปไม่ใช้ปัญหาของเธออีกแล้วเธออยากไปวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ  หากต้องไปอยู่กับคนที่เธอพอใจ เธอรู้ว่าความกลัวของเธอเกิดจากความที่เธอไม่รู้  แต่หากเธอรู้เธอก็จะไม่กลัวมันอีกต่อไป ผู้ก่อการร้ายเมื่อเช้าคือความไม่รู้ทำให้เธอกลัว  แต่หากมันเกิดขึ้นอีกครั้งเธอมั่นใจว่าเธอจะรับมือกับมันได้และเธอก็รู้ว่าการเดินเข้ามาที่นี้ก็อันตรายเช่นเดียวกัน   

               การเป็นพยานชี้หน้าคนร้าย ถึงจะมีอันตราย แต่ก็ยังจำตัวคนร้ายได้แล้ว  แต่นี้เธอเดินเข้ามาบอกว่าเห็นหน้าคนร้าย  แต่ยังจับไม่ได้เลยสักคน มันคือ การตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง 

               หากคนร้ายคิดฆ่าเธอก่อนเธอชี้ตัวขึ้นมาเธอจะทำอย่างไร แต่อย่างน้อยตอนนี้เธออยู่กับเขา เธอเคยเห็นแล้วว่าเขาเป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้ ในเวลาที่เกิดเหตุอันตราย เขามีชื่อว่า “ราชีฟ”

              เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าจนถึงเดี่ยวนี้เขาสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว พรุ่งนี้เช้าเขาก็อาจจะได้ออกไปแล้วหากเธอไม่เข้ามาตามหาเขา และหากเธอรอเขาอยู่ข้างนอกก็จะไม่ต้องมาเป็นพยานคอยชี้ตัวผู้ก่อการร้าย  มันต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าที่ทางตำรวจจะหาคนมาให้เธอชี้ตัวได้ 1 วัน 1 ปี 10 ปี ถ้านานขนาด 10 ปี 

              เธอแย่แน่นอนเธอคงต้องแก่ตายในสถานีตำรวจนี้แน่  เรื่องนี้เธอคงต้องขอพึ่งเพื่อนรวมชะตากรรมเดียวกับเธอแล้วเพราะเขาสามารถแก้ปัญหายากๆ มาได้โดยตลอด และต่อไปเธอคิดว่า เขาก็หน้าจะแก้ปัญหาที่กำลังจะเกิดได้แน่นอน  เขาคนนั้นคือคนที่มีชื่อว่า “ราชีฟ” เธอคิด

 

“เราจะต้องทำอย่างไรต่อไปคะ คุณราชีฟ”  

 

 

           นี้คือคำถามแรกของเธอที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของผมอีกแล้ว แต่มันคือคำถามถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น  ต่อไประหว่าง ผม และ เธอ ผู้นี้

            คำถามของเธอที่ถามเขาหากเปลี่ยนจากคำว่า  “เรา” เป็น คำว่า “ฉัน” ก็จะได้ประโยคใหม่ว่า

 

“ฉันจะต้องทำอย่างไรต่อไปคะ คุณราชีฟ”  

 

          สถานการณ์ตอนนี้ของเธอมันหนักกว่าของผมแน่นอน เริ่มตั้งแต่  เธอยังเป็นเด็ก  เธอยังเป็นเด็กผู้หญิงอีกด้วย เธออ่อนแอ เธอไม่สามารถป้องกันตัวเองได้จาก หมาสักตัวที่กำลังจะกัดเธอเลยด้วยซ้ำ แต่หากเธอเข้ามายุ่งกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เธอต้องเข้มแข็ง ที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ 

           จากมนุษย์ ด้วยกันเอง ซึ้งอาจจะเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และก็เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถมากเสียด้วย  ถ้าผมเป็นเธอในตอนนี้มีทางเดียวคือหนีไปให้ไกลจากสถานการณ์นี้

           แม้แต่ผมเองผ่านเรื่องราวอันตรายมาก็มากมายยังไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เลย ผมเพียงอยากเป็นคนที่เดินผ่านมาเท่านั้น และอีกไม่นาน  ผมก็จะเดินจากไปยังที่ของผม และไกลจากที่นี้แน่นอนมันคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา

            ผมไม่จำเป็นต้องใช้คำว่าหนีไปให้ไกล แต่ผมใช้เพียงคำว่าเดินทางกลับบ้าน ปัญหาทุกอย่างก็เป็นอันจบ แต่สำหรับเธอที่ผมจะพอแนะนำได้คือ หนี ไปให้ไกล จะหนีอย่างไรก็แล้วแต่

            ผมคงต้องพูดคุยกับเธอให้มากกว่านี้อีก สำหรับผมเองไม่มีปัญหาอะไรต้องกังวลอีกแล้วปัญหาก็มีแต่ของเธอเท่านั้นที่จำเป็นต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ผมคงต้องตอบคำถามเธอเพื่อให้เธอได้รู้ถึงสถานการณ์ระหว่าง ผมและเธอมากยิ่งขึ้นว่ามันแตกต่างกันมากเพียงใด และเธอคงจะเข้าใจ เขาคิด 

 

 

           “ผมคงต้องบอกถึงสถานการณ์ของผมก่อนนะคับ วันนี้ผมโดนสอบสวนและข้อมูลเกือบทั้งหมด ผมโกหกเป็นส่วนใหญ่ เพียงเพราะผมไม่ต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้"

"เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช้เป็นเพียงแค่เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันธรรมดา พอเสียค่าปรับแล้วก็ปล่อยตัวผู้ต้องหาไปได้  แต่ที่ผมและคุณเจอกันอยู่นี้"

" มันคือปัญหาระดับประเทศ มีกลุ่มคน ไม่ทราบจำนวน  มีกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ไม่ทราบจำนวน  มีกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์ไม่ทราบจำนวน คุณ ต้องเข้าใจถึงคำว่า กลุ่มคนก่อน  นะครับ มันเป็นไปได้ทั้ง ตำรวจ ทหาร พ่อค้า และนักการเมือง ข้าราชการทุกระดับ  รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย"

 "คุณคงเห็นเหตุการณ์ที่สนามบินวันนี้แล้วว่ามันหน้ากลัวแค่ไหน  การที่พวกเราเข้ามาให้ข้อมูลในครั้งนี้มันไม่ใช้ความลับอะไรเลย พวกเราถูกติดตามตลอดเวลาจากหลายกลุ่มคนที่ผมเล่าให้ฟัง กลุ่มแรกคือกลุ่มตำรวจเอง ถ้าคุณเห็นอย่างผมเห็นเมื่อเช้าคุณก็จะรู้ว่าในกลุ่มผู้ก่อการร้ายมีตำรวจเข้าร่วมด้วยทั้งจากข้างในสนามบินและข้างนอกสนามบิน"

"คุณก็เห็นว่าผมอยู่ใกล้พวกเขาขนาดไหน ดังนั้นสิ่งที่ผมจะแนะนำคุณต่อไปนี้คือ ถอนตัวจากเหตุการณ์นี้ คุณให้ข้อมูลพวกเขามามากพอแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเป้านิ่งอีกต่อไป สำหรับผมเอง ก็ต้อง ออกเดินทางเหมือนกัน คุณรู้ใช่ไหมว่าผมต้องกลับบ้านของผมและมันไกลจากที่นี้มาก หากผมออกจากประเทศนี้ปัญหาของผมก็จบลง  ที่เหลือก็แต่ปัญหาของคุณ  ดังนั้นคุณต้องหนีไปให้ไกล ให้ไกลได้เท่าไรยิ่งดี” 

 

          “ฉันไปบ้านคุณด้วยได้มั้ย ฉันต้องไปเรียนต่อ ความจริงฉันต้องออกเดินทางตั้งแต่ ฉันเรียนจบ แต่ฉันยังไม่อยากเดินทางเพราะฉันอยากอยู่ กับครอบครัว ฉันอีกหน่อย หากฉันรีบ ไปฉันกลัวฉันจะเหงา ฉันขอพ่อให้ฉันอยู่บ้านต่ออีกสักพัก หากฉันเชื่อพ่อของฉันตั้งแต่ฉันเรียนจบรีบออกเดินทาง ก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องนี้เข้าแน่ และฉันก็ไม่ต้องมาเจอคุณ” 

 

 

         เป็นคำตอบที่ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยิน สุดท้าย ทางของผม กับ ทางของเธอ มันคือ เส้นทางเดียวกัน    แน่นอนว่าผมไม่มีปัญหาอะไรที่จะให้เธอร่วมทางไปด้วย  ดังนั้นคำตอบของเขาก็คือ  

 

“ตกลงครับ ผมจะพาคุณไปบ้านของผมด้วย” 

 

           บ้านในที่นี้มีสองความหมายคือ บ้านที่ใช้อยู่อาศัยจริง กับบ้านที่หมายถึงประเทศบ้านเกิด และผมคิดว่าจะพาเธอไปรู้จักบ้านทั้งสองความหมายนั้นเลย ผมคิด 

 

 

         “ขอบคุณที่คุณไม่ปฏิเสธ และฉันสัญญาว่าฉันจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของคุณ” 

 

          ผมกับเธอเราต่างหัวเราะและยิ้มให้กัน อย่างมีความสุข วันพรุ่งนี้คงไม่มีอะไรต้องกังวลอีก  ผมหวังว่าอย่าได้มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย ตอนนี้เวลาก็จะเริ่มเข้าวันใหม่แล้ว และผมก็อยากจะพักผ่อนเพิ่มอีกสักนิด และสาวน้อยของผม เธอก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน ผมเลยแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ เอ่ยปากเสียสละเตียงนอนให้กับเธอพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ของผม เธอเขินนิดหน่อยแต่ก็รับมันไป 

 

            “คืนนี้ผมขอยกเตียงให้กับคุณ ผมจะเอาผ้าปูนอนที่พื้นเอง นี้เป็นเสื้อของผมยังไม่ได้ใช้เลย คุณเอาไปใส่ได้มันอาจใหญ่ไปหน่อย แต่ใส่นอนแล้วสบายแน่นอน และนี้เป็นกางเกงมันอาจจะตัวใหญ่ไปสักนิดแต่หากคุณพับขากางเกงขึ้นอีกสักหน่อยก็จะใส่ได้ ส่วนเอวกางเกงที่ใหญ่มาก คุณก็เอาเข็มขัดจากกางเกงของคุณมาใช้รัดไว้ก็สามารถใช้ได้ไม่หลุดแน่นอน”  

 

           เธอยิ้มน่ารัก ตอนผมพูดให้เธอฟัง เธอแสดงความขอบคุณแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมเสื้อผ้า ไม่นานนักเธอก็ออกมาพร้อมเสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมกับเธอเลย  แต่สำหรับผมมันดูสวยดี 

 

 

“ขอบคุณ   ราชีฟ  นอนหลับฝันดีนะคะ” 

 

 

“นอนหลับฝันดีเช่นกัน คุณนัด” 

 

ในวันที่แย่ แต่ก็ไม่แย่ไปเสียทุกเรื่อง ราชีฟ  เรียกเธอว่า คุณนัด เธอรู้สึกพอใจ เธอกลัวเขาจะเรียกเธอว่า น้องนัด เหมือนที่ แม่ พ่อ และพี่สาวเธอเรียก น้องนัดกินข้าว  น้องนัดไปโรงเรียน วันนี้ผู้ชายคนที่เธอพอใจเรียกเธอว่าคุณนัด ตั้งแต่เธอแนะนำตัวกับเขามันคือครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อเธอให้ได้ยิน  ราชีฟ  เรียกชื่อเธอจริงๆ เธอนอนยิ้มอย่างมีความสุขโดยที่ไม่มีใครรู้เห็น แม้แต่ผู้ชายที่ชื่อว่า ราชีฟ  และราตรีนี้ ก็สิ้นสุดลงสำหรับเธอ ..หลับฝันดี ราชีฟ  หลับฝันดีคุณนัด..

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา