THE RED EYE

5.8

เขียนโดย RATH

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16.37 น.

  8 chapter
  16 วิจารณ์
  16.69K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) จุดเริ่มต้น การสอบสวน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

++ต่อจากบทที่ 1++

 

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือ สนามบินสุวรรณภูมิ

  

              ผมกลับบ้านแล้วหลังจาก 20 ปี ผมจากบ้านไปเมื่ออายุแค่ 8 ปี  ประเทศ นี้  มันคือบ้านเกิดของผม เป็นประเทศที่ ผมเกิด การได้กลับมาหลัง 20 ปี เพื่อตามหาความทรงจำที่ลืมไม่ลง พ่อ แม่ พี่ชาย ผมจะหาเจอหรือเปล่า  และพวกเขา ได้พยายามตามหา ลูกชายที่หายไปอีกคน หรือ น้องชาย ของพี่ชาย ที่ตาย ในกองไฟเมื่อยี่สิบปีที่แล้วหรือเปล่า  ผมอาจจะมีชื่อติดหน้าหลุมศพ  พร้อมภาพถ่ายสักใบ ที่ไหนสักแห่งก็ได้ และผมจะหาให้เจอ ตอนนี้ผมเองมีชื่อใหม่ สัญชาติใหม่ และด้วยร่างกาย ที่มีส่วนสูงมากกว่า 180  ตอนผมจากไปผมเป็นเพียงเด็กเล็ก ที่พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ ผม อายุ 7 ปี หมอบอกว่าผมจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 20 ปี แต่ตอนนี้ผมอายุ 28 มีสุขภาพแข็งแรง  ผมสามารถวิ่งได้มากกว่า 20 กิโลเมตร  ของทุกเช้า  ผมสามรถปีนเขา โดดร่ม  และขับเครื่องบินได้ โดยไม่รู้สึกกลัวเลย  เมื่อยังเป็นเด็กเล็กสิ่งที่ผมได้ยิน เป็นประจำคือ อย่าวิ่ง อย่ายกของหนัก  อย่าไปไหนไกล  อย่าว่ายน้ำ และอย่าไม่สบาย  แต่ตอนนี้ผมทำได้ทุกอย่างที่อยากจะทำ ที่นี้คือบ้านเกิด  แต่ ไม่ใช้ชีวิตของผม ชีวิตของผมอยู่อีกฝากหนึ่ง ของประเทศนี้ ประเทศที่ผมใช้ชีวิต 20 อยู่ที่นั้น ผมยังมีคนต้องห่วงอยู่อีกฝากหนึ่งของประเทศนี้ แม้ประเทศนี้เป็นบ้าน แต่ผมก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ตลอดไป

 

  

                 การนั่งเครื่องนานๆ ทำให้ร่างกายปรับสภาพกลางวัน  กลางคืนยังไม่ได้ แม้บนเครื่องผมจะได้นอนมาบ้าง แต่หลังจากผมตื่นนอน   ผมก็นอนไม่หลับอีกเลย  จนเครื่องลงจอด ผมก็เริ่มอยากจะนอนอีกครั้ง แต่ประเทศนี้ มันเป็นตอนเช้า   ผมคงต้องหาโรงแรมสักที่ ใกล้สนามบินนอนหลับ  แต่กระเป๋าเดินทางผมมันอยู่ที่ไหนกัน ทำไม มันช้าอย่างนี้ ง่วงก็ง่วง  ยืนหลับจะมีคนว่า หรือเปล่านะ กระเป๋าๆ อยู่ไหน ผมคิดอยู่ในใจ

 

              อย่างน้อยก็เป็นมนต์ จดจ่อกับกระเป๋าจะได้ไม่รู้สึกง่วงนอน นั้นผมเจอกระเป๋าแล้ว  มันกำลังวิ่งมาตามลางผมจำป้ายชื่อกระเป๋า  เขียนว่า มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์  ชื่อของเขาแน่นอน ผมรับกระเป๋าแล้ว ไปหาโรงแรม นอนได้แล้ว ผมคิด 

 

                 อะไรนั้น พวกเขาทำอะไรกัน รับกระเป๋ากันแล้ว ก็รีบเดินออกไปกันสิ  จะยังยืนขวางทางกันอยู่อีกทำไม  ผมพูดคนเดียวในใจ 

 

                 เสียงอะไรนั้น พวกเขากำลังซ่อมหนีภัยในสนามบินหรือเปล่า  แต่รู้สึก พวกเขาจะทำสมจริงมาก   มีคนร้อง ตะโกน อยู่หลายคน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเด็กเล็ก  มีควันสีขาว กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้เห็นอะไรไม่ถนัด โดยเฉพาะประตูทางออก มองไม่เห็นเลย   “ปัง ปัง ปัง”  3 นัดติดกัน

 

                 ผมรู้ทันทีมันคือเสียงปืน แม้ผม จะมองไม่เห็นคนยิงปืน  แต่จากประสบการณ์ ผมสามารถ ระบุอาวุธได้ว่ามันคืออาวุธปืนชนิดไหน  แต่ใครจะสน ปืนแบบไหนก็ฆ่าคนได้ เหมือนกัน  และผมหวังว่า เสียงดัง 3 นัดนั้น จะไม่ทำให้ใครต้องตาย แต่ถึงไม่มีคนโดนยิงตาย คนอีกหลายคนอาจตายได้ หากยังวิ่งเหยียบกันไปมาอยู่อย่างนี้ 

  

“ทางนี้”

 

                ผมตะโกนเรียก เมื่อเห็นผู้หญิง กับเด็กกำลังเดินเข้าไปยังจุดอันตราย และอาจโดนเหยียบจนตายได้ ได้ผลเธอกับเด็กผู้หญิงน่ารัก วิ่งมาหาผม ดูจากสีหน้าและแววตา มันคือความกลัว เสียงเธอสั่นๆ และเด็กผู้หญิงกำลังจะร้องไห้ ผมจับมือเด็กน้อยไว้ และอุ้มเธอไว้ในวงแขน และพูดปลอบใจเธอ

 

เด็กน้อย หนูปลอดภัยแล้วนะ”

 

            มันคือคำพูดที่ผมฝันถึง และรู้สึกดีขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้  ผมรู้เด็กเชื่อในคำพูดของผม ผมหันไปจับมือของผู้หญิงที่มากับเด็กน้อย ผมรู้เธอกำลังกลัวมือเธอเย็น ปากเธอสั่น เหมือนจะร้องไห้ ผมอยากจะบอกเธอถ้ากลัวมากก็ร้องไห้ได้ การร้องไห้ในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่ใช้ความอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้พูด

 

               ผมให้เธอลากกระเป๋าเดินทางของผม โดยผมยังจับมืออีกข้างของเธอไว้

 

“วิ่ง”

 

                มันคือคำพูดสั้นๆ หมายความว่าให้วิ่งตามผมมา 

 

 “ ปัง ปัง ปัง”  

 

  "หมอบ"

 

              ผมดึงมือเธอให้หมอบลงกับพื้น เมื่อได้ยินเสียงปืนดังเข้ามาใกล้กว่าครั้งที่แล้ว อีกสามนัดติดกัน  เป็นอาวุธปืนแบบเดิม แน่นอนฟังจากเสียง ผมต้องรู้แน่ว่ามันคืออาวุธปืนชนิดไหน แต่หน้าตาคนยิง ยังมองไม่เห็นคงเกิดจากควันที่หนาขึ้นเรื่อยๆ   ผม เด็ก และผู้หญิง  พวกเราต้องการหน้ากากกันควันพิษ   ถ้าผมเดาไม่ผิดไอ้ควัน นั้นมันคือ แก๊สน้ำตา (เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาและแก้วตาดำ ทำให้มีน้ำตาไหลออกมาก เยื่อบุตาจะแดงและแก้วตาดำ)

 

              ประตูที่จะออกจากสนามบินถูกปิด ไม่สามารถวิ่งไปต่อข้างหน้าได้  มีกลุ่มคนไม่ทราบจำนวนมีอาวุธครบมือ และยังมีแก๊สน้ำตา  คอยอยู่ในทางที่กำลังจะวิ่งไป ผมหันหลังกลับ อุ้มเด็กผู้หญิง และดึงมือผู้หญิงอีกคนให้ลุกขึ้น โดยไม่ต้องบอกให้วิ่งเหมือนครั้งที่แล้วเธอก็ตามมาอย่างอัตโนมัติ จุดหมายคือต้องหาเจ้าหน้าที่สนามบินให้เจอสักคน  การจะออกจากที่นี้ มันไม่ง่ายอีกต่อไป ประตูทุกทีคงถูกปิด หรือมีผู้ก่อการร้ายคุมอยู่ทั้งหมด 

 

              ผมเองตอนนี้ต้องการน้ำ อาหาร และที่พัก ที่ปลอดภัย การหาเจ้าหน้าที่สนามบินมันคงจะไม่ยาก แต่ตอนนี้เหนื่อยมาก น้ำ และอาหารสำคัญกว่า  ผู้หญิงที่ผมพามาด้วยก็คงจะหมดแรงแล้วเช่นกัน

 

  

 “ไปข้างหน้าอีกนิด ข้างหน้ามีน้ำ อาหาร และที่หลบ  รอจนกว่าจะมีใครมาช่วย”

 

            ผมหันหน้าไปพูดกับเธอ เพื่อให้เธอมีกำลังใจจะวิ่งต่อไป น้ำ อาหาร ที่หลบ มีแน่  แต่คนที่จะมาช่วยนี้ ผมคิดว่าอาจจะแค่ 1 ชั่วโมง 1 วัน หรือมากกว่านั้น  ก็ยังไม่แน่นอน   ว่าจะมีใครมาช่วย ผมคิด

 

ถึงแล้ว น้ำ อาหาร และที่หลบ”

 

              ผมกระซิบข้างหูเด็กผู้หญิงที่อุ้มมาด้วย มันคือศูนย์อาหารของสนามบิน วันนี้ไม่ต้องจ่ายเงินเพราะไม่มีใครอยู่  กินเท่าที่หิว ดื่มเท่าที่อยากดื่ม และหลังจากนั้นก็นอนพักเอาแรงสักชั่วโมง  โดยไม่ต้องบอกหรือพูดอะไรผมปล่อยเด็กลงข้างกับผู้หญิงที่มากับผมด้วย ตอนนี้สีหน้าเธอไม่ซีด ปากก็ไม่สั่นเหมือนที่เจอในครั้งแรกอีกแล้ว หน้าเธอดูปกติดี นอกจากอาการเหนื่อยเท่านั้น

 

ฉันเหนื่อย  ฉันเจ็บขา ฉันเจ็บมือ”

 

            ทุกคำพูดของเธอยังคงการหอบ แต่มันก็ฟังรู้เรื่องทุกคำ  ฉัน-เหนื่อย  ฉัน-เจ็บ-ขา  ฉัน-เจ็บ-มือ   เธอจะพูดหนึ่งคำหอบหนึ่งคำเสมอ 

 

ผมเหนื่อยเหมือนกัน และง่วงนอนมากด้วย”

 

                 เธอมองหน้าผมเหมือนจะถามว่าทำไม คุณถึงง่วงนอน  ผมยิ้มและตอบไปโดยที่เธอยังไม่ต้องถาม

 

ผมเพิ่งลงจากเครื่อง บนเครื่อง ผมไม่ได้นอนเลย เครื่องลงจอด ผมรับกระเป๋า และกำลังจะไปหาที่นอน ต่อจากนั้น คุณก็คงเดาได้

 

               ดูเธอจะตั้งใจฟังที่ผมพูดมาก เหมือนเธออยากจะถามว่าผมมาจากไหน  และจะไปไหนต่อ หากเธอถามผมก็คงตอบได้แค่มาจากไหน  ส่วนที่จะไปไหนต่อ ตอนนี้ ผมก็ยังคงตอบไม่ได้ พ่อ แม่ พี่ชาย ผมยังคง มีพวกเขาอยู่มั้ย ผมคืออดีต ที่พวกเขายังต้องการอีกหรือเปล่านะ  

 

              ความคิดกลับมาที่เหตุการณ์ตรงหน้า ผู้หญิง กับเด็ก พวกเธอหิว เหนื่อย ตอนนี้ก็หมดปัญหาแล้ว ทุกคนอิ่ม และมีกำลังเป็นปกติ การทำธุระส่วนตัว ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงเพราะที่นี้ มีทุกอย่าง น้ำ  อาหาร ที่พัก  ห้องน้ำ มันคือโรงแรมห้าดาวเลยที่เดียว  ผมหลับตาลง ขอพักสายตาสักครู่ แล้วถึงหาทางออกไปจากที่นี้

 

  

              วันนี้ เธอกลัวมาก ไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้ มาก่อนเลย  การก่อการร้าย มันคือ เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเธอ มันมีแต่ในหนัง ในละคร ในชีวิตจริงมันไม่มีอยู่แน่ มันเป็นไปไม่ได้ 

 

              เธออยากให้เหตุการณ์วันนี้เป็นแค่เรื่องเหลวไหล  เรื่องจริงอย่างเดียวที่เธออยากให้มีอยู่ คือผู้ชายคนนั้น คนที่ช่วยเธอไว้ เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีมาก  เธอเคยเห็นคนหน้าตาดีแบบนี้ก็จากในหนัง  หรือนายแบบ ที่เดินแบบเสื้อผ้า แต่ผู้ชายคนนี้หล่อหน้าตาดี  มากกว่าพระเอกหนังและนายแบบพวกนั้นมาก  และที่แปลกใจที่สุดก็คงจะภาษาที่ใช้ เขาพูดภาษาไทยได้ดีมาก เขาเป็นชาวต่างชาติแน่นอน ชื่อเขาเขียนเป็นภาษาอังกฤษ แม้จะลายมือหวัด แต่ก็พออ่านได้ว่า  มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ 

 

               ผู้ชายต่างชาติ พูดภาษาไทยได้ ฉลาด กล้าหาญ  เขาไม่สวมแหวนแต่งงาน แสดงว่ายังโสด  วันนี้คงไม่มีอะไรจริงเป็นไปไม่ได้ที่วันนี้เธอ เจอกับผู้ก่อการร้าย  และพระเอกหนุ่มสุดหล่อ  ส่วนเธอก็คงจะเป็นนางเอกของเรื่อง  สุดท้ายตอนจบของเรื่อง  ผู้ก่อการร้ายก็โดนยิงตาย จากมือของพระเอกสุดหล่อ และพระเอกก็พานางเอกไปแต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  เรื่องนี้มันคือความฝันมันเป็นไปไม่ได้  เธอคิด

 

“มันไม่จริง เรื่องโกหก”

“มันไม่จริง  มันเป็นความฝัน”

 “ปัง  ปัง ปัง”

 

              เสียงปืนดังขึ้นอีกสามนัด เธอตกใจมาก

 

“มันคือเรื่องจริงไม่ใช้เรื่อง โกหก และไม่ใช้ความฝัน”

 

             เธอคิด  หลังจากเธอหายตกใจเธอนึกถึงผู้ชายชื่อแปลกคนนั้น   มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์  เขาอยู่ไหน ตรงนั้น ทำไมเขาถึงไปอยู่ใกล้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายแบบนั้นเขากำลังจะทำอะไร กับผู้ก่อการร้ายกันแน่ 

 

               เขาถืออะไรอยู่ในมือ มันคือโทรศัพท์มือถือใช่ไหม เขากำลังแอบถ่ายกลุ่มผู้ก่อการร้ายด้วยโทรศัพท์มือถือ มันอันตรายมาก หากพวกนั้น เห็นนาย มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ นาย นั้น คงเหลือแต่ชื่อแน่  มันเกิดอะไรขึ้น กลุ่มผู้ก่อการร้ายถอดหน้ากากออก  มันคือหน้ากากกัน แก๊สน้ำตา จริงสิตรงนี้ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเพราะพวกมันไม่ได้ยิงแก๊สน้ำตา มาถึงตรงนี้ นาย มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ โชคเข้าข้างเขาจริงๆ เขาถ่ายได้กลุ่มผู้ก่อการร้าย ยกกลุ่มเลย พวกนั้นใส่หน้ากากกลับเข้าไปเหมือนเดิมแล้ว พวกเข้ากำลังจะทำอะไรอีก

 

“ยิง  ยิง  ยิง”

 

 เสียงออกคำสั่งจากอีกฝาก คงเป็นพวกตำรวจ

 

“โอ้แย่แล้ว นาย มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ ติดอยู่ระหว่างการยิงกันของผู้ก่อการร้ายกับตำรวจ”  เธอคิด

 

              ตอนนี้ข้างนอก แก๊สน้ำตา ลอยตัวหนาแน่นมาก นาย มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ ไม่ได้ใส่หน้ากาก คงแสบตาแย่แล้ว เวลาผ่านไป 20 นาทีเหตุการณ์สงบลง  เสียงยิงปืนโต้ตอบกันก็เงียบลง ผู้ก่อการร้ายหายตัวไป ไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว

 

“เคลียร์พื้นที่ “

 

              เสียงตะโกนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ   แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพูดจบ  ฝูงผู้คนหลายร้อย ทะลักกันหาทางออก เธอเข้าใจว่า ฝูงคนพวกนี้คือกลุ่มคนที่ถูกกักตัวจากทางประตูด้านหน้าโดยกลุ่มผู้ก่อการร้าย และตอนนี้ก็คงจะถูกกักโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกต่อ  การหาทางออกก็คือประตูหลังประตูอันเดียวกับผู้ก่อการร้ายหนีออกไป

  

“ปิดประตู อย่าให้ใครออกไป”

 

              เสียงสั่งการจากคนเดียวกับที่บอกให้เคลียร์พื้นที่ แต่มันก็สายไปเสียแล้วฝูงคนเป็นร้อยกับตำรวจไม่กี่คน ตำรวจเอาไม่อาอยู่แน่ เธอก็เห็นโอกาสแล้วเหมือนกันออกไปจากที่นี้ก่อนแล้วกัน  เธอจูงมือหลานสาว ลากกระเป๋าของ นาย  มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ ออกมาพร้อมกับฝูงผู้คนที่ทะลักพากันออกมา

 

               เธอจะรอเจอเขาข้างนอกและคืนกระเป๋าให้กับเขา แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด  เขาไม่ได้ออกมาทางเดียวกับที่เธอออก และเธอก็ไม่รู้ว่าเข้าอยู่ที่ไหน 

จบบทที่ 1 ติดตาม ได้ในบทที่ 2

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา