นาฏ...รัก

10.0

เขียนโดย พิศา

วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 17.10 น.

  3 ตอน
  12 วิจารณ์
  8,917 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เหตุ...เพราะรถตู้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
 
          “ดูอะไรกันจ้ะ ขอดูมั่งซี” รสิกาโถมตัวเข้าไปกอดไหล่เพื่อน ๆ ที่กำลังจด ๆ จ้อง ๆ อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดตรงหน้า โดยมีนิลวดีเดินตามอยู่ไม่ห่าง
          “ก็พ่อเทพบุตรสุดสวาทของแม่นางนุชนารถเขาน่ะซี ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะหลงใหลได้ปลื้มยังกับพระอภัยมณีหลงรูปนางละเวงซะงั้น” หนึ่งในกลุ่มเพื่อน ๆ บอก
          “จะไม่ให้เราหลงได้ไงล่ะ ดูสิคนอะไรก็ไม่รู้สมบูรณ์แบบไปหมด เน๊อะยายกาว่ามั้ย” เจ้าของนามนุชนารถส่งนิตยสารในมือให้ เพื่อหาเพื่อนช่วยสนับสนุนความคิดของตน
          ‘นายฉัตรชนก โรจนากาญจน์ ทายาทโทนของนักธุรกิจชื่อดัง นายแบบกิตติมศักดิ์ของเราฉบับนี้...’ ว่าแล้วรสิกาก็อ่านต่อไปจนข้อความที่บรรยายถึงประวัติความเป็นมาคร่าว ๆ ของบุคคลภาพ
          “ไง! อึ้งกิมกี่เลยสิยายกา แต่เสียด๊าย...เสียดายไม่น่าจะเอาแม่ผีเสื้อสมุทรมายืนแนบข้างเลยเน๊าะ”
          “บ้า! ยายนุช พูดเกินไปรึเปล่าเพื่อน”นิลวดีอดหัวเราะในคำเปรียบเปรยของนุชนารถอย่างเสียไม่ได้
          “ก็ดูสิ...ตัวไม่ยักกะโตเท่าไหร่ แต่ไอ้พระสองพี่น้องนั่นน่ะ ไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอมกันแน่” พอจบคำพูดของนุชนารถ เพื่อน ๆ ก็ฮากันครื้นเครงในการเปรียบเทียบของหญิงสาว
          ‘โฉมเฉลา...นางแบบสาวพราวเสน่ห์...ฮื่อ! จริงอย่างยายนุชมันว่าแฮะ...ดูผู้ชายออกหล่อคลาสสิก แต่ฝ่ายผู้หญิงนี่ดูเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด คนละขั้วกันเลยว่ามั้ยนิล” หล่อนหันมาถามนิลวดีบ้าง
          “อือม์! เห็นด้วยอย่างแรง ถ้าจะให้ลงตัวนะเขาน่าจะหานางแบบที่ดูบุคลิกสวยอ่อนหวานถึงจะดูเหมาะสมกัน เอ!เหมือนใครล่ะ” หล่อนกวาดสายตาไปตามกลุ่มเพื่อน ๆ ที่นั่งห้อมล้อมกันอยู่แล้วเบะปากอย่างไม่ถูกใจสักคน ขณะเดียวกันที่กังสดาลกำลังเดินเข้ามาแล้วโบกมือให้เพื่อน ๆ นิลวดีรีบลุกเดินไปกิ่งลากกึ่งจูงแขนของหญิงสาวให้เข้ามาที่กลุ่ม พร้อมกับดีดนิ้วเปาะอย่างถึงบางอ้อ
          “นี่ไง...เจอแล้ว” หล่อนว่าแถมท้ายด้วยการแย่งนิตยสารจากรสิกาไปแนบกับใบหน้าของกังสดาล ซึ่งยังคงงง ๆ กับพฤติกรรมของเพื่อน
          “เป็นไง...เหมาะมั้ยล่ะ”
          “เออ! เข้าท่ากว่าเยอะเลย” หลายเสียงออกความเห็น กังสดาลคว้านิตยสารเล่มเจ้าปัญหานั่นมาดู เพราะเห็นกลุ่มเพื่อน ๆ ส่งสายตามาที่หล่อนเป็นจุดเดียว สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอาการแปลกใจให้เห็น
          “เลิกเพ้อเจ้อกันได้แล้ว คนนี้นี่แหละตัวจริงของ ‘พระเอก’ เธอจ้ะนุช” กังสดาลทิ้งปริศนาให้ทุกคนงงงวยเล่น ก่อนตัวเองจะก้าวผละจากไป
          “เดี๋ยว! แก้วตัวรู้ได้ยังไง” ใครคนหนึ่งตะโกนถาม หากแต่ร่างบางเดินลิ่วไปไกลแล้ว
 
          กังสดาลเคาะประตูเบา ๆ เมื่อถึงที่หมาย ก่อนจะเปิดประตูก้าวเข้าไปด้านใน
          “ครูรสเรียกหาแก้ว มีเรื่องอะไรหรือคะ” หล่อนยกมือไหว้รสสุคนธ์อาจารย์ประจำห้องพร้อมเอ่ยถาม
          “ยายพิมเพิ่งวางหูไปเมื่อสักครู่นี่เอง เขาโทรมาบอกว่าทางโรงแรมอนุมัติโครงการที่เขาเสนอไปแล้วเป็นอาทิตย์ละ 2 วัน สำหรับวันศุกร์และวันเสาร์ ครูรสยังไม่กล้ารับปาก ต้องให้แก้วเป็นคนตัดสินใจด้วยตนเอง”
          “แก้วตกลงค่ะ”
          “แต่ครูเกรงว่าจะเหนื่อยมากนะนี่” ไหนจะต้องมาเรียน พอตกเย็นก็ต้องไปรำพิเศษอีก หนักอยู่นะหนูแก้ว”
          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...แก้วไม่เหนื่อยเลย อีกอย่างก็ใกล้จะจบแล้ว แก้วจึงอยากมีงานพิเศษทำไปพลาง ๆ ก่อนน่ะค่ะ”
          “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเถอะจ้ะ ครูจะได้กำชับยายพิมอีกครั้งว่าต้องให้รถของทางโรงแรมไปส่งบ้านทุกครั้ง จะได้ปลอดภัย
          “แก้วกราบของพระคุณครูรสมากค่ะ”
          “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ว่าแต่แม่ของแก้วว่ายังไงบ้างล่ะ ครูเองเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ดีนะว่าต้องอดห่วงไม่ได้
          “แก้วรู้ว่าแม่ห่วงค่ะ แต่ท่านก็เคารพการตัดสินใจของแก้วเสมอ”
          “ถ้ายังไงจะให้ครูไปคุยกับแม่ของแก้วอีกทีก็ได้นะ ครูเต็มใจ”
          “เท่าที่ผ่านมาแก้วรบกวนครูรสมากแล้วเรื่องการหางานพิเศษให้ ก็เลยไม่กล้ารบกวนเพิ่มหรอกค่ะ เอาเป็นว่าแก้วจะปฏิบัติตัวเองให้แม่หมดห่วงก็แล้วกันนะคะ”
          “ครูปลื้มใจแทนแม่ของแก้วจริง ๆ นะนี่ ที่มีลูกสาวแสนน่ารักอย่างหนู่น่ะ”
          “โธ่! ครูรสคะ แก้วยังมีอะไรที่ไม่น่ารักตั้งเยอะ ครูรสอาจจะยังไม่เห็นก็ได้นะคะ”
          “อย่ามาสั่นคลอนความคิดของครูเลยจ้ะ ไม่สำเร็จหรอก” หล่อนกล่าวอย่างเชื่อมั่นในตัวลูกศิษย์คนนี้ กังสดาลน้ำตาซึมเมื่อคิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่มีอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งคอยให้คำปรึกษาด้วยความเข้าใจและรับฟังปัญหาของลูกศิษย์ทุกคน สมกับคำว่า ‘แม่พิม’ เสียเหลือเกิน...
 
          ค่ำคืนนี้เป็นอีกหนึ่งคืนที่ฉัตรชนกแฝงเร้นกายอยู่ท่ามกลางแขกต่างชาติ ต่างภาษา รวมทั้งคนไทยซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน แทบจะทุกคนต่างมีจุดหมายเดียวกันนั่นคือ มุมเวทีที่ไม่ใหญ่มากนักซึ่งอยู่ติดกับส่วนรับประทานของโรงแรม เวลาสองทุ่มโดยประมาณช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม หลังจากอิ่มเอมกับ ‘อาหารปาก’ แล้วจึงมาเสพ ‘อาหารตา’ ก่อนจะแยกย้ายไปพักผ่อนกันตามอัธยาศํย
          ณ มุมหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากเวที หากใครช่างสังเกตจะเห็นร่างสูงของฉัตรชนกนั่งปะปนอยู่กับผู้คนรอบข้าง แสงสลัวรางทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน การโชว์นาฏศิลป์ไทยเหมือนเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาพักมากขึ้น คงเป็นเรื่องบอกเล่าจากปากต่อปากนั่นละกระมัง...ใช่แต่ต่างชาติเท่านั้น คนไทยบางส่วนที่ยังคงหลงใหลในศิลปะการแสดง ต่างก็ทยอยมามิได้ขาด ฉัตรชนกชอบมานั่งซุ่มเงียบ ๆ คอยชมการร่ายรำของใครคนนั้น คนที่มีรูปร่างกลมกลึงสลักเสลาเหมือนนางในวรรณคดี
          เสียงดนตรีประโคมขึ้นเมื่อพิธีกรประกาศสิ้นสุดลง ‘ระบำลพบุรี’ แน่นอนถ้าหากเขาจะฟังไม่ผิด ไม่นานร่างสองร่างก็กรีดกรายออกมาจากด้านหลังของเวทีตามจังหวะของดนตรี ชุดที่สวมใส่ตลอดท่ารำดูแปลกตา ทว่ายังคงไว้ซึ่งความงดงามอย่างมีเอกลักษณ์ สายตาคมคู่นั้นไหววูบอย่างผิดหวัง เมื่อไม่เห็นคนที่เขาเฝ้าคอยอย่างใจจดใจจ่อ
          เพียงไม่นานร่างสลักเสลาเหมือนประติมากรรมชั้นดีก็กรีดกรายออกมาอีกคน หญิงสาวดูโดดเด่นท่ามกลางเพื่อนทั้งสองคน ท่ารำของการแสดงชุดนี้ยิ่งส่งให้ร่างของคนบนเวทีดูงามระเหิดระหงยิ่งขึ้น...
          เสียงปรบมือดังกึกก้องเหมือนทุก ๆ ครั้งหลังการแสดงจบลงพร้อม ๆ กันที่ทั้งสามสาวต่างกรีดกรายเข้าไปหลังเวที ชายหนุ่มถอนใจยาวอย่างเสียดาย เขาอยากหยุดเวลาเอาไว้ที่ระยะชั่วสิบนาทีซึ่งใช้ในการแสดง วันนี้เขาขับรถมาเอง มิไยลูกน้องคนสนิทเช่นเจ้าพร้อมจะบ่นอย่างกระปอดกระแปด
          “โธ่! คุณหนูให้ไอ้พร้อมไปด้วยเถอะ เผื่อคุณหนูเผลอหลับในไปจะว่ายังไง พร้อมขี้เกียจไปตอบคำถาม ‘คุณหญิง’ ท่านในฝันอีก” เจ้าพร้อมยกคุณหญิงฉัตรฑริกามารดาของเจ้านายขึ้นมาอ้าง
          “อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นเด็ก ๆ ไปหน่อยเลยเจ้าพร้อม”
          “แล้วถ้าเผื่อคุณหนูง่วงเหงาหาวนอน ขับรถเองมันจะอันตรายเอานะครับ”
          “เอาเถอะ ๆ ฉันรับปากว่าจะไม่ดื่มของมึนเมา พอใจรึยัง เฮ้อ! นับวันนี่ดูแกจะเป็นแม่ฉันเข้าไปทุกทีสิน่า...”
          บนถนนยวดยานต่าง ๆ เริ่มบางตาลง ฉัตรชนกยกข้อมือเพื่อดูเวลา เพิ่งสี่ทุ่มกว่า ๆ ป่านนี้เจ้าพร้อมคงเดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่นละกระมัง...รถตู้สีขาวคุ้นตาจอดแนบไหล่ทาง ทำให้ชายหนุ่มต้องชะลอรถเข้าไปใกล้ ๆ ตัวอักษรบ่งบอกชื่อโรงแรมติดหราอยู่ข้างรถนั้น ทำให้ความสงสัยหายไปโดยปริยาย เขาเลื่อนรถไปจอดข้างหน้ารถตู้พอประมาณ ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวลงมาจากรถคันหรู พลางสืบเท้าไปหาลุงคนขับที่กำลังง่วนอยู่กับล้อรถด้านหลังข้างซ้าย
          “รถเป็นอะไรลุง” เขาถามพลางกวาดสายตาไปยังเด็กสาวทั้งสามคน แสงเรื่อ ๆ ของดวงไฟบนถนนยามนี้สาดกระทบดวงตาโตดำขลับของคนที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องกลับดึกดูวาววาม
        “อ้อ! คุณฉัตรน่ะเอง รถยางแตกครับ เลยทำให้พวกหนู ๆ ต้องถึงบ้านผิดเวลา แถมฝนฟ้าก็ทำท่าจะตกเสียอีก”
        “ช่างเถอะลุง มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่ ใครจะอยากให้มันเกิดล่ะคะ” รสิกาบอกเพื่อให้ผู้สูงวัยคลายความกังวล
          “เอายังงี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมไปส่งแทนลุงเอง ส่วนลุงรออยู่นี่ก่อนรอให้คุณพิมส่งคนมาช่วยอีกแรก ตงลงตามนี้นะ” เขาสั่งการรวดเร็ว พลางกดโทรศัพท์ไปยังพิมพิกาพร้อมบอกสถานที่
          “เชิญครับ” เขากล่าวกับเด็กสาวทังสามพร้อมกับผายมือไปยังรถคันหรู พวกหล่อนต่างก็ยกมือไหว้ผู้สูงอายุพร้อม ๆ กัน ก่อนจะก้าวตามร่างสูงออกไป
          นิลวดีรุนหลังกังสดาลให้ไปนั่งข้างหน้า เมื่อเห็นเขาคลายล็อครถแล้ว ส่วนตัวเองกับรสิการีบก้าวขึ้นไปนั่งด้านหลัง
          “อยู่ที่ไหนกันบ้างครับ” เขาถามหลังจากออกรถแล้ว นิลวดีสะกิดให้รสิกาตอบ หล่อนจึงบอกเส้นทางไปยังบ้านของตัวเอง ตามด้วยของนิลวดี และรั้งท้ายของกังสดาล...ฉัตรชนกจึงขับไปส่งนิลวดีและรสิกาก่อน เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้ที่สุด
          “ฝากแก้วด้วยนะคะ” รสิกาบอกหลังจากลงจารถเรียบร้อยแล้ว
          “ขอรับรองด้วยเกียรติครับ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวล...ภายในรถยังเงียบ กังสดาลนั่งหลังตรงตามองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่
          “กลับดึกอย่างนี้ที่บ้านว่ายังไงบ้าง”
          “ก็คงเป็นห่วง แต่แม่ก็เข้าใจว่าการทำงานนอกเวลาบางครั้งก็มีกลับผิดเวลาบ้าง”
          “ดีนะที่ท่านเข้าใจ แล้วเรื่องการเรียนไม่กระทบบ้างหรือ”
          “ไม่ค่ะ” หล่อนตอบสั้นๆ ลักษณะเหมือนถามคำตอบคำ เหมือนจะหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ ชายหนุ่มอมยิ้มในสีหน้า ท่ามกลางความสลัวภายในรถกับสำเนียงที่ไม่เต็มใจจะคุยด้วยของคนข้าง ๆ เออ! หนอ ทำเหมือนโกรธกันมาเป็นแรมปี อยากจะแกล้งเสียนัก แต่ก็อดสงสารคนที่นั่งกระสับกระส่ายเสียมิได้
          เพียงไม่นานรถก็มาจอดตรงริมรั้วรกครึ้ม ซึ่งโอบล้อมบ้านหลังเล็กเอาไว้ แสงไฟจากตัวบ้านขับไล่ความมืดได้ไม่มากนัก ฉัตรชนกจึงเดินมาส่งจนถึงประตูรั้ว ขณะที่กังสดาลกำลังไขกุญแจที่ประตู
          “ถ้าไม่เกรงใจว่าดึก ผมคงขอเข้าไปคุยกับคุณแม่ของคุณสักหน่อย”
          “ขอโทษค่ะ...บ้านหลังเล็ก ๆ ของเราคงไม่เหมาะสมกับเกียรติของคุณหรอกนะคะ...ขอบคุณค่ะที่มาส่ง” หล่อนปฏิเสธแบบนิ่ม ๆ พร้อมยกมือไหว้ ก่อนจะผลุบหายเข้าไปโดยไม่ลืมปิดประตู
          “เด็กบ้า! โกรธอะไรกันนักกันหนา” เขาบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจในคนที่เพิ่งผละจากไปเมื่อครู่...
 
          ฉัตรชนกนำรถเข้าไปจอดยังโรงรถเงียบ ๆ ขณะที่ก้าวลงมาเขาเห็นเจ้าพร้อมยังนั่งสัปหงกตรงบันไดทางขึ้นเทอเรสอย่างน่าสงสาร คงรอเขาจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว กระทั่งชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนใกล้ ๆ จึงรู้สึกตัว
          “ทำไมไม่เข้านอนไปซะ มานั่งรอทรมานตัวเองอยู่ได้”
          “ก็...ห่วงคุณหนูน่ะสิครับ เผื่อกลับมาแล้วต้องการเครื่องดื่มอะไรเย็น ๆ”
          “เอาเถอะ...ขอบใจ ไปนอนเถอะไป๊! ถ้าฉันต้องการเดี๋ยวช่วยตัวเองได้” เจ้าพร้อมจึงเลี่ยงไปทันทีอย่างไม่มีอิดออด คงง่วงเสียงเต็มประดา ฉัตรชนกก้าวตรงไปยังห้องโถงซึ่งเปิดไฟตามไว้บางจุด ก่อนจะเดินทะลุไปยังห้องครัวอีกด้าน บ้านทั้งบ้านเงียบเชียบ คุณชนม์ชนกก็คงจะเข้านอนเรียบร้อยแล้ว เขาเปิดตู้เย็นพลางหยิบเครื่องดื่มเบา ๆ ติดมือมา ทว่าแสงไฟที่สาดจ้าออกมาจากห้องหนังสือ จึงเบี่ยงเบนความสนใจของชายหนุ่มซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบน
          “อ้าว! คุณพ่อ ผมนึกว่าเข้านอนไปแล้วซะอีก”
          “ยังไม่ง่วง เพิ่งกลับล่ะสิตานก” ท่านขยับขาแว่นพลางเงยหน้าจากหนังสือบนโต๊ะเหลือบมองบุตรชายคนเดียวพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ
          “คุณพ่อถอนใจทำไมฮะ” เขาถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นสายตาเหมือนจับผิดของท่าน
          “ก็แปลกใจน่ะสิ นึกว่าแกจะค้างที่โรงแรมกับแม่อะไรนะ...ที่แต่งหน้าจัดเป็นงิ้วน่ะ” ฉัตรชนกหัวเราะก๊ากกับคำเปรียบเทียบของผู้เป็นพ่อ
          “โฉมเฉลาครับ...นี่ถ้าเขาได้ยินคงกรี๊ดน่าดู”
          “เออ! จะโฉมศรี โฉมเฉลาเยาวมาลย์อะไรก็ช่าง แค่ควงเล่น ๆ น่ะยังพอทนได้ แต่อย่าให้ถึงขั้นเอามาเป็นสะใภ้พ่อก็แล้วกัน”
          “ทำไมล่ะครับ” เขาลองหยั่งเชิงผู้เป็นบิดายิ้ม ๆ
          “พ่อก็ไม่รู้ว่าทำไม รู้แต่ว่าเขาไม่เหมาะกับแก”
          “คุณพ่อไม่ให้เครดิตผมเลยนี่ฮะ” เขาหัวเราะเหมือนไม่ได้จริงจังกับเรื่องที่พูด
          “จะไปรู้เร๊อะ...ก็เห็นแกควงเขาจนเป็นข่าวร่อนไปทั่ว”
          “ก็...ดอกไม้มาจ่อรอที่จมูก คุณพ่อจะไม่ให้ผมดมบ้างเลยเหรอครับ” เขาแหย่บิดาเล่น
          “ระวังจะเจอดอกอุตพิษเข้าละกัน ไม่งั้นพ่อคงขอตามแม่แกไปอีกคน” ท่านว่าพลางเก็บหนังสือเข้าที่เตรียมจะเข้านอน
          “คุณพ่อครับ!” สำเนียงเคร่งขรึมไร้แววขี้เล่น ตรึงเท้าทั้งคู่ของคุณชนม์ชนกให้ต้องหยุดฟัง
          “ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อผิดหวัง”                           
          “ถือว่าแก...รับปากกับพ่อแล้วนะเจ้านก”
          “ครับ” เขารับคำผู้เป็นบิดาอย่างหนักแน่น พลางเดินแยกขึ้นไปยังชั้นบน
 
          เมื่อกังสดาลก้าวเข้าไปในตัวเรือน เสียงรัวของฝีจักรจึงเงียบลง ช่อแก้วละสายตาจากงานตรงหน้าขึ้นมองลูกสาว พลางถอนหายใจอย่างโล่อก
          “ใครมาส่งน่ะลูก เสียงรถไม่เหมือนเก่านี่ แม่เห็นผิดเวลาก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
          “รถ เอ้อ! เพื่อนของคุณพิมน่ะแม่ บังเอิญรถตู้ที่เคยมาส่งคราวก่อนยางแตก เพื่อนพี่พิมเขาผ่านมาทางนั้นพอดี ก็เลยมาส่งจ้ะ” เนื่องจากไม่อยากเอ่ยถึงฐานะของเขา ‘คนนั้น’ ก็เลยเหมาให้เป็นเพื่อนพิมพิกาไปเสียเลย
          “อ้าว! แล้วเป็นอะไรกันรึเปล่าลูก” สำเนียงตกใจ พลางพินิจแขนขาของลูกสาวไปด้วย
          “ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกจ้ะ...ทุกคนปลอดภัยดี” กังสดาลหัวเราะ พลางก้าวไปกอดช่อแก้วอย่างปลอบโยน เมื่อเห็นสีหน้าที่ยังไม่คลายความกังวลของหล่อน
          “นี่ถ้าไม่เห็นแก่ครูรสนะ...แม่จะไม่ยอมให้แก้วไปทำงานพิเศษนี่เด็ดขาด ยังไงแม่ก็เลี้ยงลูกของแม่ได้”
          “แก้วรู้จ้ะ แต่แก้วไม่อยากให้แม่เหนื่อยคนเดียว แก้วโตแล้วทางไหนที่จะช่วยผ่อนแรงแม่ได้บ้าง แก้วก็อยากจะทำ อีกอย่างครูรสท่านมีเมตตา อุตส่าห์หางานให้ แก้วเองก็รักงานตรงนี้ด้วย น้อยคนนะแม่ที่จะได้ใช้วิชาที่ตัวเองเรียนมาตรงกับการทำงาน พี่พิมเขาก็ดูแลแก้วกับเพื่อน ๆ ดีมาก แต่ว่าวันนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ยังไงแก้วก็กลับมาบ้านอย่างปลอดภัยแล้วนี่จ้ะ” หล่อนโยกร่างผู้เป็นแม่ไปมาอย่างหยอกเย้า ผู้สูงวัยกว่าได้แต่ถอนหายใจ พลางปลดแขนเรียวของบุตรสาว
          “ถ้างั้นรีบไปอาบน้ำเลยแล้วก็เข้านอนซะ ดึกมากนักเดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนไม่ไหว” พลางจิ้มนิ้วไปบนหน้าผากโค้งมนสวยด้วยความเอ็นดู
          “จ้ะ! แม่เองก็ด้วยนะ...” หล่อนว่าพร้อมกับหอมแก้มช่อแก้วฟอดใหญ่ ผู้เป็นแม่อดยิ้มไปกับกิริยาของบุตรสาวเสียมิได้ แม้จะเริ่มสาวสะพรั่ง แต่กังสดาลก็มิวายเคล้าคลอเคลียเหมือนที่เคยกระทำในวัยเด็ก...
          บ้านหลังน้อยตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง ท่ามกลางราตรีที่เงียบสงบ จะมีก็แต่เสียงกรีดปีกของแมลงกลางคืน กับสายลมระเรื่อยที่โชยเข้ามาทางหน้าต่าง จนผ้าม่านบางเบาไหวพะเยิบพะยาบไปมา กลิ่นดอกราตรีท้ายสวนหลังบ้านส่งกลิ่นหอมแรงยามค่ำคืน แสงดาวอันไกลโพ้นในคืนข้างแรมดูวะวิบวับจับตา เสียงฝีจักรเงียบไปนานแล้ว หญิงสาวเหลียวมองนาฬิกาบนหัวเตียง เหลือเพียงไม่กี่นาทีก็จะก้าวสู่วันใหม่ ร่างบางพลิกตัวอีกครั้งอย่างผ่อนพัก
          ท่ามกลางภวังค์อันรางเลือน หล่อนมองเห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้แต่ไกล แต่ไฉนม่านหมอกถึงมัวหม่นจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ใครกันหนอ...
 
        
 
ขอขอบพระคุณรูปภาพประกอบเรื่อง จาก google.com มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา