นักสืบชิดชัยกับคดีฆาตกรรมปริศนา
7) กำเนิดนักสืบคิด ตอนที่ 7 ความจริงปรากฎ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บนโลกใบ เล็กนี้จะมีสักกี่คนที่เกิดมาเพียบพร้อมไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง บางคนมีเงินทองล้นฟ้าแต่ขาดความอบอุ่น บางคนมีทุกสิ่งทุกอย่างมีความสุขตลอดทั้งชีวิตขาดเพียงแต่ความรักที่สวยหรู เพียงอย่างเดียว บางคนเลือกเกิดไม่ได้ก็ต้องใช้กำลังแย่งชิงสิ่งที่ตนต้องการมา ผมครุ่นคิดสิ่งเหล่านี้ขณะรอหนุ่ย และคิดไปถึงฆาตกรว่าจะมาจากครอบครัวแบบไหนกันนะ ทำไมถึงสามารถทำเรื่องที่โหดร้ายเช่นนี้กับมนุษย์ร่วมโลกแบบเดียวกับเขาได้
สักพักหนุ่ยก็มาถึง ผมขึ้นรถไปกับหนุ่ย ระหว่างเส้นทางที่กำลังไปบ้านของหนุ่ย เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรกันเลย ภายในรถจึงเงียบสงัด ผมทนไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้นก่อนว่า
“นายคงไม่คิดว่าเราจะเป็นฆาตกรโรคจิตนั่นใช่ไหม วะหนุ่ย ถึงเราจะไม่ได้เป็นคนที่เด่นดังอะไร แต่เราก็ไม่ใช่คนที่จะไปทำร้ายใครโดยที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้”
“เราเชื่อนาย เรารู้ว่าคนอย่างนายไม่มีวันไปทำกับใครแบบนี้ได้หรอก บางครั้งเรากลับคิดไปว่านายอ่อนแอเกินไปด้วยซ้ำ คนอ่อนแออย่างนี้จะไปทำอะไรใครได้ ถ้าเป็นเราก็ว่าไปอย่าง” หนุ่ยตอบอย่างใจเย็นและสงบ
“ขอบคุณนะที่ยัง เชื่อใจคนอย่างเรา และเราให้สัญญาว่าเราจะต้องลากตัวไอ้ฆาตกรนั่นออกมาให้ได้” ผมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วนายจะลากไอ้ ฆาตกรนั่นออกมาได้ยังไง มีอะไรที่เราพอจะช่วยได้บ้างไหม”
“มีน่ะ มีแน่ แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่นายต้องช่วย เพราะหลักฐานที่เรามีตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่สามารถบ่งบอกหรือชี้ตัวคนร้ายได้ เลย” ผมไม่ได้บอกหนุ่ยถึงเรื่องข้อความที่ทั้งสองคนเมย์และก้อยทิ้งไว้ให้ผม เพราะนักสืบที่ดีนั้นไม่ควรจะไว้ใจใคร หรือเอาหลักฐานที่มีอยู่ไปบอกกล่าว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง และเพื่อไม่ให้เสียรูปคดี
และแล้วก็มาถึง บ้านของหนุ่ย บ้านของหนุ่ยอยู่ในละแวกไม่ไกลจากที่ที่ผมอยู่นัก แต่หนทางที่จะมานั้นไม่ง่ายเลย เพราะบ้านของหนุ่ยนั้นตั้งอยู่บนยอดของภูเขาไม่มีรถเมล์สายไหนผ่านต้องใช้รถ ส่วนตัวหรือนั่งแท๊กซี่เข้ามาเท่านั้น ผมเคยมาครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ บ้านของหนุ่ยมีขนาดประมาณหนึ่งไร่ บ้านที่หนุ่ยอยู่เป็นบ้านชั้นเดียวแต่มีห้องถึงสิบห้าห้อง ภายนอกมีสนามเทนนิส สนามบาส และสระว่ายน้ำ เรียกว่าครบวงจรสำหรับคนมีอันจะกิน
“พ่อ แม่นายจะไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่เราจะมาค้างแบบนี้ เค้าคงไม่คิดว่าเราไปฆ่าใครหรอกใช่ไหม” ผมพูดกับหนุ่ยก่อนจะลงจากรถ
“ไม่ว่า หรอก เพราะตอนเรากลับมาบ้าน ขณะที่กำลังถูกตำรวจสอบปากคำอยู่ แม่เราเค้ายังแก้ต่างให้กับนายเลย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า พวกเค้าก็รักนายเหมือนลูกของเค้าเอง และอีกอย่างเค้าก็รู้ว่านายเป็นเพื่อนรักของฉัน” หนุ่ยตอบแบบนั้นทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก
“ตอน นี้พวกท่านคงจะนอนอยู่ อีกสักพักคงตื่น เพราะนี่ก็ใกล้จะเช้าแล้ว แค่ยังไม่ถึงวัน นายก็ผ่านอะไรมามากมายเลยนะชิด คงเหนื่อยมากสินะ มา เข้าไปพักข้างในให้สบายใจก่อน” หนุ่ยปลอบใจ และให้กำลังใจผมอีกครั้ง
เข้ามาถึงข้างในบ้านผมก็นั่งลงบริเวณโซฟาห้องรับ แขก หนุ่ยก็เดินไปในครัวเพื่อจะนำน้ำมาให้ผมดื่ม ผมมองไปรอบๆบ้าน ที่นี่มันช่างเงียบอะไรแบบนี้นะ ถ้ามีขโมยหรืออะไรเข้ามาจะมีใครรู้ไหมนะ ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย
“เพล๊งงงงง…!!!” เสียงแก้วตกลงกับพื้น และเสียงตะโกนของหนุ่ยก็ดังออกมาจากทางเดินของบ้านที่ซับซ้อนนั่น
“อ๊า...!!! มะ มะ แม่!!! แม่ครับบบบบบ!!!!!!!” เสียงตะโกนของหนุ่ยทำให้ผมรีบวิ่งไป เมื่อไปถึงผมเห็นหนุ่ยนั่งกองอยู่กับพื้น พูดจาไม่ได้ศัพท์ มือก็ชี้เข้าไปที่ห้องครัว แล้วก็สลบล้มฟุบไป ห้องครัวของหนุ่ยจะแบ่งเป็นสองตอน คือถัดจากห้องครัวจะมีส่วนของห้องอาหารด้วย ผมวิ่งผ่านห้องครัวเข้าไปเห็นรอยเลือดที่พื้นลักษณะรอยเหมือนลากอะไร บางอย่างไปจนถึงห้องอาหาร ผมตามรอยนั้นเข้าไป และผมก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อภาพที่ผมเห็นตรงหน้านั้นคือ ภาพของพ่อและแม่ของหนุ่ยที่ตายอย่างน่าสยดสยอง สภาพที่ผมเห็นก็คือ ร่างของผู้เป็นแม่นอนคว่ำฟุบอยู่กับพื้นลำตัวมีรอยแทงด้วยมีดจนนับไม่ถ้วน ที่สำคัญคือหนังศีรษะถูกถลกออกมาเป็นกระจุก ข้อมือและข้อเท้าโดนกรีดจนเห็นกระดูก ถัดออกไปไม่ไกลผมมองเห็นร่างของผู้เป็นพ่อนั่งพิงที่กำแพงหลังโต๊ะกินข้าว สภาพของมือและเท้าถูกรัดด้วยเชือก ลำตัวถูกแทงด้วยมีดจนนับไม่ถ้วนเหมือนผู้เป็นแม่ และบริเวณลำคอถูกกรีดเป็นทางยาวลึกจนถึงหลอดลม เพราะเหตุนี้มั้งเลือดจึงกระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้ห้องกินข้าวห้องนี้กลายเป็นทะเลเลือดอยู่เบื้องหน้าของผม
ไอ้บ้านั่น ไอ้จิตวิปริตผิดมนุษย์นั่น มันทำกับคนที่เกี่ยวข้องกับผมทุกคน ผมไม่สามารถหาคำมาอธิบายถึงความชั่วช้า ใจสัตว์ ผิดมนุษย์มนาของมันได้ ความกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจของผมหมดสิ้น ผมกำหมัด กัดฟันจนได้ยินเสียง ผมรีบกลับมาพยุงร่างของหนุ่ย ไปนั่งที่โซฟาบริเวณห้องรับแขก หนุ่ยสลบไปแบบไม่ได้สติ ผมพยายามที่จะปฐมพยาบาลขั้นต้นให้กับหนุ่ย ผมค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของหนุ่ยออก สิ่งที่ผมเห็นอยู่ภายใต้เสื้อของหนุ่ยนั่นก็คือ รอยสักรอยหนึ่งอยู่บริเวณหน้าอก เขียนว่า “NUI” เพราะรอยสักนี่เองทำให้ผมรู้สึกสะกิดใจขึ้นมาทันที ผมผละจากหนุ่ยและรีบไปหยิบข้อความทั้งสองที่เมย์และก้อยทิ้งไว้ เมื่อผมพิจารณาดูอย่างละเอียด ปริศนาที่ผมตามหามาตลอดก็กระจ่างขึ้นมาทันที ผมหยิบกุญแจรถ และคีย์การ์ดสตูดิโอของหนุ่ยได้ ผมก็รีบตรงไปยังสตูดิโอที่หนุ่ยเคยพาผมไปทันที
********************
เมื่อมาถึงผมก็รีบตรงไปยังห้องของหนุ่ยที่อยู่บน ชั้นเก้าทันที ผมไปหยุดที่ห้อง904 และใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปในห้อง ในห้องมืดสนิท มีกลิ่นเหม็นสาปปัสสาวะคนอยู่ ผมจึงคลำหาสวิตท์เปิดไฟ ในที่สุดผมก็หาเจอ เมื่อผมกดเปิดไฟเท่านั้นแหล่ะ สิ่งที่ผมแทบจะไม่อยากให้มันเป็นจริงก็เกิดขึ้น ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยรูปถ่ายของเมย์ และรูปถ่ายของผม เป็นหมื่นๆใบ ทั้งผนัง ทั้งเพดานทุกซอกทุกมุมเป็นรูปของผมสองคนแทบทั้งหมด ผมตกใจอย่างสุดขีดไม่คิดว่าไอ้ฆาตกรโหดชาติชั่วนั่นจะคือเพื่อนรักของผมเอง ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีในตอนนี้ ผมสับสนไปหมด ขณะที่ผมกำลังลนลาน ผมได้ยินเสียงดังออกมาจากตู้เสื้อผ้า ผมเดินเข้าไปเปิดตู้อย่างช้าๆ เท่านั้นแหล่ะ ผมตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง
“เม ย์!!!!!!!!!! เธอยังไม่ตายเหรอเนี่ย ใช่เธอจริงๆด้วย เธอยังอยู่ เธอยังไม่ตาย!!” ผมรีบเข้าไปพาเธออกมา สภาพของเธอดูท่าทางอิดโรยมาก เธอถูกมัดที่มือและที่เท้า มีผ้าเทปปิดปาก เนื้อตัวสกปรกเต็มไปด้วยกลิ่นปัสสาวะ นี่แสดงว่า ไอ้เพื่อนชั่วนั่นมันกักขังเธอไว้ที่นี่ แม้แต่จะไปห้องน้ำก็ยังทำไม่ได้ ผมน้ำตาไหลพราก ผมค่อยๆแก้มัดมือและเท้าของเธอ และดึงผ้าเทปที่ปิดปากเธอออก ผมพูดกับเธอว่า
“เมย์! เธอปลอดภัยแล้วนะ... ฉันมาช่วยแล้ว เมย์! ฉันมาช่วยแล้ว”
“ค... คิด... คิด...” เธอเรียกชื่อผม สายตาเธอยังคงจ้องมองผมอยู่ มือของเธอค่อยๆเอื้อมมาจับที่ใบหน้าของผม พร้อมกับบอกกับผมด้วยน้ำตาว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องมา...” พูดจบเธอก็ยังคงจ้องมองผมไม่ละสายตา
“เราออก ไปจากที่นี่กันเถอะเมย์ ฉันจะไม่ยอมให้ไอ้สารเลวนั่นทำกับเธอแบบนี้อีกแล้ว” ผมบอกเมย์พร้อมกับอุ้มเธอขึ้นมาด้วยแขนทั้งสองข้าง ร่างกายเธอเบากว่าที่คิด กี่วันแล้วนะที่เธอไม่ได้กินอะไรเลย คิดแค่นี้น้ำตาผมก็ไหลรินลงมาอีก ผมต้องหยุดชะงัก เพราะสีหน้าเมย์เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าของคนตกใจกลัวเหมือนเห็นผี ผมยังไม่ทันหันกลับไปมองว่าเมย์เห็นอะไร ก็มีคนเข้ามาทางด้านหลังของผมพร้อมกับผ้าชุบยาสลบมาแปะที่บริเวณใบหน้าของผม ก่อนที่สติผมจะลางเลือนหายไป ไอ้โรคจิตนั่นได้กระซิบที่ข้างหูของผมแล้วพูดด้วยเสียงที่น่าขนหัวลุกยิ่ง นักว่า
“เรามาต่อเรื่องนี้กันให้จบดีกว่า...” ได้ยินแค่นั้นผมก็สลบไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ