The Legend ตำนานสุดท้ายแห่งเลือดนิรันดร์
9.0
2) Legend 1 : ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหน ตราบใดที่ยังมีจิต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความLegend 1 : ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหน ตราบใดที่ยังมีจิตใจมันก็เหมือนกันนั่นแหละ!
ใบไม้สีเขียวพลิ้วไหวตามแรงลม หมู่นกส่งเสียงร้องขับขานต้อนรับวันใหม่แสงอาทิตย์ส่องแสงแยงตาข้า เทพอพอลโล่เทพเจ้าแห่งดวงตะวันคงออกทำหน้าที่แล้วสินะ ข้ายันกายขึ้นจากพื้นหน้าที่เปียกชื้นจากน้ำค้าง คว้ากระติกน้ำข้างตัวมาเทน้ำล้างหน้า ข้าล้วงกระเป๋าผูกเอวที่วางไว้ข้างๆกระติกน้ำมารวบผมสีเงินสยายของตัวเอง ชื่อของข้าคือเรย์นา เดอ รีนเป็นเทพแห่งดนตรี
หน้าที่ของข้าคือเดินทางไปเล่นดนตรีตามเมืองต่างๆเมื่อวินเซนต์จ้าวแห่งสายลมสหายข้าแจ้งข่าวหากเมืองนั้นสำคัญพอที่จะให้ข้าไปเล่นหรือไม่แล้วข้าก็จะส่งตัวแทนของข้าเวียนนาคนสนิทในวิหารเทพดนตรีไปแทน ตอนนี้ข้าอยู่ที่เมืองเอโดะในสมัยโชกุนโทกุงาวะ อิเอะยะสึ*ที่พวกชาวนิปฮง**เรียกว่าสมัยเอโดะ***
“ท่านเรย์เจ้าค่ะ”ข้าหันไปตามเสียงเรียก ยูเฟียวิญญาณสาวชี้ไม้ชี้มือไปทิศทางที่นางเดินจากมาอย่างกระตือรือร้น ยูเฟียเป็นวิญญาณสาวที่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือวิญญาณดวงอื่นให้สามารถปรากฏตัวในยามกลางวันได้โดยไม่ถูกแสงของเทพอพอลโล่แผดเผา แต่นางไม่มีสิทธิ์ไปเกิดใหม่จนกว่าจะสิ้นสุดศึกยักษ์แร็คนารอคหรือที่พวกมนุษย์ชอบเรียกกันว่าวันสิ้นโลกน่ะแหละ
ยูเฟียเป็นวิญญาณสาวหน้าตาน่ารักนางมีผมสีชมพูอ่อนยาวสลวย ดวงตาสีชมพูเข้มกลมโตใบหน้าอ่อนหวานน่ารัก ผิวขาวซีดตามแบบฉบับของวิญญาณ สาเหตุที่นางถูกสาปนั่นเพราะไปพลั้งมือทำร้ายเพอร์เซโฟนีองค์ราชินีแห่งยมโลกตามคำยุยงของโครนอสบิดาซูสผู้ปกครองเหล่าทวยเทพ ที่ถูกคุมขังไว้ในทาร์ทารัสส่วนที่ลึกที่สุดของเออร์เรบัสโลกแห่งความตายชั่วกัปชั่วกัลป์
“มีอะไรหรอยูเฟีย”
“ทางนั้นเจ้าค่ะท่านเรย์ทางนั้นมีลำธาร”
ลำธาร! ดีใจจังข้าไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้วถึงข้าจะเป็นเทพก็เหอะแต่สำหรับเทพที่อยู่กับมนุษย์มาหลายปีแล้วอย่างข้านี่ไม่ได้อาบน้ำมาสองวันนี่ก็สุดๆแล้วนะ
“ยูเฟียฝากสัมภาระทีข้าจะไปอาบน้ำ”ข้าฝากสัมภาระไว้กับยูเฟีย หยิบอุปกรณ์อาบน้ำที่ไม่ได้ใช้มาตลอดสองวันแล้วตรงดิ่งไปยังทิศทางที่ยูเฟียชี้ทันที
เมื่อเดินมาได้ซักพักข้าก็พบลำธารแห่งหนึ่ง มันเป็นลำธารที่ไม่กว้างมากนักรอบๆมีต้นไม้ขึ้นรกครึ้มบดบังแสงอาทิตย์ ข้าไม่รอช้าถอดเสื้อผ้าแล้วเปลี่ยนมานุ่งผ้าถุงแทนปิดท้ายด้วยการร่ายมนต์ภาพลวงตาไว้รอบๆป้องกันอีกชั้นถึงแม้ว่าแถวนี้จะไม่มีคนก็เถอะแต่ป้องกันไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนี่นา
ข้าก้มมองเงาในน้ำเป็นผูหญิงคนหนึ่งนางมีผมสีเงินยาวถูกรวบอย่างลวกๆ ดวงตาสีครามฉายแววมีตวามสุข ผิวขาวจนเกือบซีดเปลี่ยนเป็นสีแดงเปล่งปลั่งเมื่อเจ้าตัวหัวเราะอะไรบางอย่างจนตัวโยน
ข้าหน้าซีดทันที ผู้หญิงคนนั้นก็คือข้าแต่ตอนนี้ข้าไม่ได้หัวเราะซักงั้นแสดงว่าข้ากำลังจะซวย!
ทำไมข้าเห็นภาพตัวเองกำลังหัวเราะแล้วจะซวยอย่างนั้นหรอ? คือเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณ7ปีก่อนตอนงานฉลองวันเกิดของเทพลาแบลล์เทพเจ้าแห่งน้ำวนตอนนั้นข้าตกลงไปในบ่อน้ำวนสังหรณ์ในวิหารน้ำวน ผลจากการตกลงไปในบ่อน้ำวนสังหารณืเลยทำให้เวลาข้ามองเห็นภาพตัวเองหัวเราะในน้ำมันจะเป็นลางบอกเหตุว่าข้าจะโชคร้ายกลับกันถ้าข้าเห็นภาพตัวเองร้องไห้ในน้ำข้าจะโชคดี ถ้าระดับการหัวเราะหรือร้องไห้หนักมากเท่าไหร่ก็แสดงว่าข้าจะโชคร้ายหรือโชคดีมากเท่านั้น
แล้วนี่ภาพที่ข้าเป็นในน้ำคือภาพตัวเองหัวเราะจะเป็นจะตายก็หมายความว่าข้ากำลังจะ ‘ซวย’ สุดๆเลยนะสิ!
เฮ้อ ช่างมันเถอะ ถ้าถึงเวลาข้าดวงตกจริงๆยังไงมันก็หนีไม่พ้นอยู่ดีเว้นแต่ว่าจะไปติดสินบนเทพแฝดแห่งชะตากรรมนารีสกับนาดีสให้ชวยเปลี่ยนดวงให้ข้า อืม...ความคิดนี้ก็ไม่เลวแฮะแต่เอาไว้วันหลังก็แล้วกันตอนนี้ข้าอยากอาบน้ำใจจะขาด
กุบกับ กุบกับ
ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแต่คงยังอีกไกล...มั้ง ข้าอาบน้ำต่อโดยไม่สนใจ
กุบกับ
ข้าเห็นฝุ่นตลบมาแต่ไกลเอ่อ...ข้าว่าข้ารีบอาบน้ำดีกว่าถึงข้าจะร่ายเวทย์ลวงตาเอาไว้ก็เถอะแต่มันก็ทำได้แค่ลวงตาไม่ได้ลวงประสาทสัมผัส ทำไมตอนนั้นข้าไม่ร่ายมนต์มายาชั้นสูงไปเลยเนี่ย
ถึงจะมานั่งเสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ข้ารีบขึ้นจากน้ำใช้เวทย์ลมผสมเวทย์ไฟให้เป็นลมร้อนพัดตัวเองให้แห้งแล้วรีบสวมเสื้อผ้าประจวบกับกองทัพเจ้าของฝีเท้าม้าฝุ่นตลบวิ่งมาหยุดที่ลำธารพอดี ผู้ชายคนหนึ่งที่ขี่ม้านำกองทัพบังคับม้าเข้ามาใกล้ลำธาร เจ้าหมอนี่เป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อจนข้าแอบเช็ดน้ำลายนิดนึง(ที่เหลือไหลลงลำธาร) เจ้าหมอนี่มีผมน้ำเงินเข้มอมเขียวยาวถึงประบ่า ผิวคล้ำนิดๆ ริมฝีปากบางเฉียบจนข้ายังอิจฉา ดวงตาสีเทาราวกับหมอกควันจ้องเขม็งมายังข้าที่พยายามค้นหาสายโอบิหรือผ้าผูกเอวในกองเสื้อผ้า
หมอ หมอนี่คงไม่ใช่พวกเป็นมนุษย์ไม่เต็มร้อยใช่ไหม ข้าเหลือบไปมองพวกที่มากับเจ้าหนุ่มผมน้ำเงิน เฮือก! ผมดำกันหมดเลยมีผมสีไม่กี่คนเอง เอาแล้วไงเจ้าพวกไม่ใช่มนุษย์เต็มร้อยยิ่งมีสัญชาติญาณดีซะด้วย
“เขตอาคม”นั่นไง ถึงเจ้าหนุ่มผมน้ำเงินนี่จะเข้าใจผิดว่าเป็นเขตอาคมก็เถอะ
อ๊ะ นั่นไงสายโอบิของข้า
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินลงมาจากหลังม้าเจ้าหมอนี่ต้องคิดทำลายมนต์ลวงตาของข้าแน่ๆ
ข้ารีบคลานไปหาสายโอบิสีม่วงเข้มของข้า
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินเดินเข้ามาใกล้เขตมนต์ลวงตาแล้ว
ไม่นะ ข้ารีบคว้าสายโอบิ
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินชักดาบที่น่าจะทำลายเขตอาคมได้ออกมา ถ้ามันทำลายเขตอาคมได้ ภาพมนต์ลวงตาของข้าคงไม่เหลือแม้แต่ซากแน่
ข้ารีบผูกสายโอบิ
ฉึบ
ภาพมนต์ลวงตาของข้าพังราบเป็นหน้ากลองเมื่อเจ้าหนุ่มผมเขียวยกดาบขึ้นฟันเอาล่พตอนนี้ข้าควรจะ...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด~”ข้าหลับหูหลับตากรี๊ด ยูเฟียจ๋าช่วยได้ยินแล้วมาช่วยข้าทีนะ
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินชะงักไปนิดหน่อยก่อนถามข้าเสียงเรียบ
“เจ้าเป็นมนุษย์รึปล่าว” ข้าหยุดกรี๊ดทันที เวลาพวกผู้ชายเจอผู้หญิงกรี๊ดแบบไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้ต้องพูดประมาณว่า ‘หุบปาก’ ไม่ใช่รึไง
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นมนุษย์รึปล่าวล่ะ”ข้าย้อนถาม
“ไม่” ข้ารู้สึกคิ้วกระตุกยังไงชอบกลแฮะทำไมหมอนี่ถึงพูดทำนองว่าข้าไม่ใช่มนุษย์ได้หน้าตาเฉยอย่างนี้ฮะ ข้าออกจะคล้ายมนุษย์นะ(เว้ย) อ้าก อยากกระอักเลือดตาย
ไม่ได้ๆเลือดของข้ามีประโยชน์มากเลยนะรู้ไหมมันรักษาเลือดได้สารพัด แถมเอาไว้ใช้แก้คำสาปได้ด้วยนะบางคนบอกว่ามันเอาไปปรุงเป็นยาอมตะได้ด้วย ใช่แล้วเลือดของข้าคือเลือดนิรันดร์ยังไงเล่า!
อืม...พวกเจ้าคงยังไม่รู้สินะว่าเลือดนิรันดร์มันเป็นยังไง งั้นข้าก็จะอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน เลือดนิรันดร์น่ะเป็นเลือดที่มีคุณสมบัติมากมายจัดว่าเป็นเลือดที่ดีที่สุดและหายากมากที่สุดในโลกใบนี้มันมีคุณสมบัติในการรักษาโรค ถอนคำสาป ใช้เขียนอักขระเวทมนต์ เพิ่มพลัง รักษาความเยาว์วัย ต่อชีวิตฯ เพียงแต่คนที่จะมีเลือดนิรันดร์ได้นั้นจะต้องมีสายเลือดของเทพและปิศาจที่แข็งแกร่งรวมทั้งต้องมีเชื้อสายของมนุษย์เจือปนอยู่เบาบางซึ่งต้องได้สัดส่วนที่ลงตัวด้วย อัตราการเกิดเด็กที่มีเลือดนิรันดร์นั้นมีน้อยมากเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในล้านล้านล้านล้านล้านเลยที่เดียวท่านอาจารย์ของข้าบอกไว้ว่าตั้งแต่ปฐมกาลของโลกใบนี้มีดาฟีอัสหรือผู้สืบเชื้อสายแห่งเลือดนิรันดร์รวมข้าด้วยเพียง13คนเท่านั้นและข้าก็คือคนที่13
ข้าช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่โชคดีที่สุดในโลกจริงๆ(ประชด)
เรื่องนี้ต้องขอบคุณเทพแห่งสายลมวินเซนต์ที่ช่วยปิดเรื่องนี้เอาไว้ให้ไม่อย่างงั้นข้าคงโดนตามล่าไปรีดเลือดตั้งนานแล้วล่ะ อ้อ ต้องขอบคุณยูเฟียด้วยที่คอยลบความทรงจำของคนที่เผอิญมารู้เรื่องเลือดของข้าเข้า
ดูเหมือข้าจะคิดอะไรเพลินไปหน่อย เจ้าหนุ่มผมเขียวหันไปให้สัญญาณกับลูกน้องหรือทหารที่ยืนอยู่ข้างหลัง ทหารสองคนลงมาจากม้าพร้อมจูงผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกมัดไว้ด้วยเชือกสีดำสนิท ส่วนอีกคนแบกสัมภาระคุ้นตาข้ามา
ยูเฟีย!!
ผู้หญิงที่โดนทหารจูงมาก็คือยูเฟีย ทำไมยูเฟียถึงแพ้มนุษย์กันนะในเมื่อยูเฟียเก่งจะตาย ในตอนนั้นเองข้าก็เหลือบไปเห็นเชือกสีดำที่มัดยูเฟียเอาไว้
ข้าเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงนั่นมันเชือกวิญญาณนี่! เชือกวิญญาณเกิดจากการนำดวงวิญญาณมาทรมานแล้วขังไว้ในเส้นไหมจากต้นไหมที่ขึ้นอยู่บนหลุมศพคนตายเส้นไหม1เส้นต่อดวงวิญญาณ400ดวง โยนลงไฟนรก4วันจากนั้นนำมาถักเป็นเชือก
เชือกวิญญาณเป็นสิ่งวิเศษที่อันตรายและหายากเป็นอันดับต้นๆของยมโลกมันสามารถพันธนาการยมทูตระดับล่างๆจนถึงระดับกลางไว้ได้ ดังนั้นถึงแม้จะเป็นยมทูตก็ตามการจะต้องต่อกรกับเชือกวิญญาณก็ต้องยุ่งยากอยู่พอดู
แต่ว่ากว่าจะได้เป็นเชือกวิญญาณเส้นใหญ่ขนาดนี้จะต้องสังเวยชีวิตมนุษย์ไปกี่คนกันนะ...
“เจ้า...ปล่อยยูเฟียนะ!”ข้าตะโกนมือกำแน่นจนชาไปหมด ข้าหลับตาลงพยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านนี้ให้หยุดลง
ไม่...ข้าจะฆ่ามนุษย์ไม่ได้
“ข้าจะปล่อยสหายเจ้าถ้าเจ้ายอมช่วยเหลือข้าเรื่องหนึ่ง”
“ช่วย”ข้าพึมพำ เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินหันไปให้สัญญาณกับลูกน้องเป็นเชิงว่าให้ถอยหลังไป ดูท่าเจ้าหมอนี่คงไม่อยากให้ลูกน้องรู้เรื่องนี้
เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาต่างถอยหลังไปอย่างพร้อมเพรียงแสดงถึงวินัยที่ได้ฝึกมาอย่างดี
“เจ้าช่วยมาเป็นคนรักของข้าได้ไหม”
“คนรักหรอ อืม...เฮ้ย!”ข้าถอยหลังกรูดๆจ้องมองเจ้าหนุ่มผมเขียวอย่างหวาดๆไม่ใช่ว่าเจ้าหมอนี่หลงรักข้าตั้งแต่แรกพบหรอกนะถึงหมอนี่จะหล่อโดนใจข้าขนาดไหนข้าก็ไม่เอา ข้าล่ะแหยงพวกมีรักแรกพบจริงๆ ข้าว่าเจ้าพวกนี้น่ะไม่ได้รักจริงๆหรอกแค่‘อยาก’รึไม่ก็หลงใหลในรูปรักภายนอกเท่านั้นเองไม่ได้รักในตัวตนที่แท้จริงสักหน่อย
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินกลอกตาขึ้นฟ้า
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าหมายความว่าให้เจ้ามาเล่นละครเป็นคนรักข้าต่างหาก”
ข้าถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ก็ไม่ได้ขยับจากที่เดิม
“แล้วทำไมต้องเป็นข้า”
“เทพแห่งโชคชะตากรรมท่านนารีสและท่านนาดีสบอกข้าว่าหญิงสาวที่ข้าพบคนที่144นับจากออกจากปราสาทอาบิจะสามารถช่วยข้าได้”เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
นารีสกับนาดีส!! พวกนางต้องจงใจแกล้งข้าแน่ๆ พวกนางน่ะขี้เล่นจะตายถึงแม้ข้าจะสนิทกับพวกนางแต่การแกล้งข้าก็เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆอย่างหนึ่งของพวกนาง
ข้าค้อนลม ค้อนฟ้า ค้อนดิน ค้อนเมฆ ค้อนน้ำ ค้อนทุกอย่างเท่าที่จะค้อนได้โดยเฉพาะค้อนลม ข้าจะ
ฝากวินเซนต์ไปค้อนพวกนาง แต่คอยดูเหอะแค้นครั้งนี้ต้องชำระ!
“แล้วเจ้าแน่ใจได้ไงว่าข้าเป็นคนที่144จริงๆ”ข้าพยายามหาทางบ่ายเบี่ยง
“ข้ามั่นใจ”
“ถ้าอย่างนั้นหากข้าช่วยเจ้าแล้วข้าจะได้อะไร”
ตอนนี้ข้ามั่นใจแล้วว่าถึงข้าจำพยายามเลี่ยงไปยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์ นู่น! เจ้าเทพแฝดนารีสและนาดีสโบกมือทักทายข้าอยู่หย็อยๆแล้ว ข้าถลึงตามอพวกนางพยายามส่งข้อความไปบอกพวกนางว่า ‘เจอกันครั้งหน้าพวกเจ้าไม่รอดแน่’ แต่ยัยฝาแฝดนั่นกับยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้แล้วหายตัวไปเลย เอาไว้ข้ากลับไปสวรรค์เมื่อไหร่ข้าจะกระทืบพวกนางให้จมดินเลยคอยดูสิ!!
“ข้าให้เจ้าขออะไรก็ได้หนึ่งอย่างแต่สิ่งนั้นต้องไม่เกินกำลังข้า”แน่ะ ดันฉลาดทำกรอบไว้ก่อนซะได้แย่จริง เอาเถอะไงๆข้าก็ได้ประโยชน์อยู่บ้างอย่างน้อยๆข้าคงไม่ต้องตากแดดตากฝนออกไปตระเวนเล่นดนตรีล่ะนะ…
“ถ้าอย่างนั้นก็...ตกลง”
“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงต้องการให้ข้าไปเป็นคนรักล่ะ”ข้าเอ่ยถามออกไป ตอนนี้ข้านั่งอยู่บนเกวียนที่กำลังวิ่งปุเลงๆไปตามพื้นขรุขระ รอบๆตัวข้าเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งมีค่ามากมาย เรียวบอกว่ามันเป็นสินสงครามที่ได้จากการยึดปราสาทอาบิ เออใช่! ตอนนี้ข้ารู้ชื่อเจ้าหนุ่มผมน้ำเงินแล้วเจ้าหมอนี่ชื่อ‘ยามาโมโตะ เรียว’ เป็นแม่ทัพแห่งปราสาทจิบุน เป็นเทพปิศาจที่มีเชื้อสายมนุษย์เหมอนกับข้าเพียงแต่ เรียวมีเชื้อสายของเทพปิศาจและมนุษย์เท่าๆกัน
“พ่อข้าอยากให้ข้าแต่งงาน”เรียวพูดเสียงเรียบเจือความไม่พอใจอยู่นิดๆ
“เจ้าสาวไม่สวย”ข้าเอ่ยถามเล่นๆ บางทีการที่ผู้ชายไม่อยากแต่งงานด้วยการคลุมถุงชนนั้นก็มีสาเหตุมาจากเจ้าสาวไม่สวยเช่นกัน
“สวย”
“อ้าว แล้วทำไมเจ้าไม่แต่งล่ะ”ข้าซักบางทีเรื่องของเรียวเนี่ยอาจเป็นเหมือนในเรื่องที่คาเรลเทพแห่งงานเขียน เขียนขึ้นมาเล่นๆเวลาว่างอย่าง เรียวเห็นว่าที่เจ้าสาวเป็นแค่น้องสาวหรือไม่ก็เพื่อน แต่ว่าที่เจ้าสาวของเรียวกลับหลงรักเรียวก็ได้
“ข้าเห็นนางเป็นแค่น้องสาวมากกว่า”
“เฮ้ย!” ข้าเผลอตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เรียวหันมามองข้าอย่างสงสัยแต่ข้ารีบส่ายหน้าเป็นพัลวันเป็นเชิงว่าไม่มีอะไร
ทำไมมันตรงอย่างนี้เนี่ย ข้าลูบหัวตัวเองเบาๆ ไม่แน่ถ้าจบเรื่องนี้ข้าอาจเอาไปเขียนเป็นหนังสือขายบ้างดีกว่าแต่คงต้องเปลี่ยนชื่อตัวละคร
“แต่...ก็ยังดีกว่าแต่งงานกับคนที่ไม่รู้เลยไม่ใช่เหรอ”
“มันก็จริงแต่ข้ายังไม่อยากแต่งงาน”
“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะอยากแต่งงานกันล่ะ”
“อีกสัก5-6ปี”
ข้ากลอกตาขึ้นฟ้า อีกตั้ง5-6ปีว่าที่เจ้าสาวของเจ้าก็คงจะรอเจ้าอยู่หรอกนะ
“ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไหร่”
“18ปี”
“18 งั้นเจ้าก็ตั้งใจจะแต่งงานตอนอายุ23ไม่ก็24ปีสินะ”
“อืม”เรียวพยักหน้ารับ
“มันไม่นานไปหน่อยเหรอ”ข้าเอ่ยถามธรรมเนียมของพวกนิปฮงเนี่ยต้องแต่งงานกันตอน18ปีเนี่ยแหละเหมาะสมที่สุด
“ข้าไม่ใช่มนุษย์”เรียวพูดเสียงเรียบใบหน้าของเขาเหมือนฉาบน้ำแข็งบางๆเอาไว้
“อ่า ข้าขอโทษ”ข้าเอ่ยขอโทษเบาๆ พวกไม่ใช่มนุษย์เต็มร้อยนั้นบางพวกจะไม่ชอบใจสายเลือดของตัวเอง อาจมีสาเหตุมาจากคนรอบข้างรังเกียจหรือไม่ก็ควบคุมพลังของตนเองไม่ได้จนเผลอทำร้ายคนรอบข้าง
เกวียนหลังนี้จึงตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าม้าและเสียงพูดคุยของเหล่าทหารจากภายนอก...
___________________________________________________________________
*โทกุงาวะ อิเอะยะสึคือผู้สถาปนา บากุฟุ (ค่ายทหาร) ที่เมือง เอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) และ โชกุน คนแรกของ ตระกูลโทะกุงะวะ ที่ปกครอง ยุคเอโดะ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่สิ้นสุด ศึกเซกิงาฮาระ เมื่อปี พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) กระทั่งเริ่ม ยุคเมจิ เมื่อปี พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868)
**นิปฮง ชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการของชาวญี่ปุ่น
***เอโดะ (江戸) เป็นชื่อเก่าของเมืองโตเกียวในประเทศญี่ปุ่น และ เป็นยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
ใบไม้สีเขียวพลิ้วไหวตามแรงลม หมู่นกส่งเสียงร้องขับขานต้อนรับวันใหม่แสงอาทิตย์ส่องแสงแยงตาข้า เทพอพอลโล่เทพเจ้าแห่งดวงตะวันคงออกทำหน้าที่แล้วสินะ ข้ายันกายขึ้นจากพื้นหน้าที่เปียกชื้นจากน้ำค้าง คว้ากระติกน้ำข้างตัวมาเทน้ำล้างหน้า ข้าล้วงกระเป๋าผูกเอวที่วางไว้ข้างๆกระติกน้ำมารวบผมสีเงินสยายของตัวเอง ชื่อของข้าคือเรย์นา เดอ รีนเป็นเทพแห่งดนตรี
หน้าที่ของข้าคือเดินทางไปเล่นดนตรีตามเมืองต่างๆเมื่อวินเซนต์จ้าวแห่งสายลมสหายข้าแจ้งข่าวหากเมืองนั้นสำคัญพอที่จะให้ข้าไปเล่นหรือไม่แล้วข้าก็จะส่งตัวแทนของข้าเวียนนาคนสนิทในวิหารเทพดนตรีไปแทน ตอนนี้ข้าอยู่ที่เมืองเอโดะในสมัยโชกุนโทกุงาวะ อิเอะยะสึ*ที่พวกชาวนิปฮง**เรียกว่าสมัยเอโดะ***
“ท่านเรย์เจ้าค่ะ”ข้าหันไปตามเสียงเรียก ยูเฟียวิญญาณสาวชี้ไม้ชี้มือไปทิศทางที่นางเดินจากมาอย่างกระตือรือร้น ยูเฟียเป็นวิญญาณสาวที่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือวิญญาณดวงอื่นให้สามารถปรากฏตัวในยามกลางวันได้โดยไม่ถูกแสงของเทพอพอลโล่แผดเผา แต่นางไม่มีสิทธิ์ไปเกิดใหม่จนกว่าจะสิ้นสุดศึกยักษ์แร็คนารอคหรือที่พวกมนุษย์ชอบเรียกกันว่าวันสิ้นโลกน่ะแหละ
ยูเฟียเป็นวิญญาณสาวหน้าตาน่ารักนางมีผมสีชมพูอ่อนยาวสลวย ดวงตาสีชมพูเข้มกลมโตใบหน้าอ่อนหวานน่ารัก ผิวขาวซีดตามแบบฉบับของวิญญาณ สาเหตุที่นางถูกสาปนั่นเพราะไปพลั้งมือทำร้ายเพอร์เซโฟนีองค์ราชินีแห่งยมโลกตามคำยุยงของโครนอสบิดาซูสผู้ปกครองเหล่าทวยเทพ ที่ถูกคุมขังไว้ในทาร์ทารัสส่วนที่ลึกที่สุดของเออร์เรบัสโลกแห่งความตายชั่วกัปชั่วกัลป์
“มีอะไรหรอยูเฟีย”
“ทางนั้นเจ้าค่ะท่านเรย์ทางนั้นมีลำธาร”
ลำธาร! ดีใจจังข้าไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้วถึงข้าจะเป็นเทพก็เหอะแต่สำหรับเทพที่อยู่กับมนุษย์มาหลายปีแล้วอย่างข้านี่ไม่ได้อาบน้ำมาสองวันนี่ก็สุดๆแล้วนะ
“ยูเฟียฝากสัมภาระทีข้าจะไปอาบน้ำ”ข้าฝากสัมภาระไว้กับยูเฟีย หยิบอุปกรณ์อาบน้ำที่ไม่ได้ใช้มาตลอดสองวันแล้วตรงดิ่งไปยังทิศทางที่ยูเฟียชี้ทันที
เมื่อเดินมาได้ซักพักข้าก็พบลำธารแห่งหนึ่ง มันเป็นลำธารที่ไม่กว้างมากนักรอบๆมีต้นไม้ขึ้นรกครึ้มบดบังแสงอาทิตย์ ข้าไม่รอช้าถอดเสื้อผ้าแล้วเปลี่ยนมานุ่งผ้าถุงแทนปิดท้ายด้วยการร่ายมนต์ภาพลวงตาไว้รอบๆป้องกันอีกชั้นถึงแม้ว่าแถวนี้จะไม่มีคนก็เถอะแต่ป้องกันไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนี่นา
ข้าก้มมองเงาในน้ำเป็นผูหญิงคนหนึ่งนางมีผมสีเงินยาวถูกรวบอย่างลวกๆ ดวงตาสีครามฉายแววมีตวามสุข ผิวขาวจนเกือบซีดเปลี่ยนเป็นสีแดงเปล่งปลั่งเมื่อเจ้าตัวหัวเราะอะไรบางอย่างจนตัวโยน
ข้าหน้าซีดทันที ผู้หญิงคนนั้นก็คือข้าแต่ตอนนี้ข้าไม่ได้หัวเราะซักงั้นแสดงว่าข้ากำลังจะซวย!
ทำไมข้าเห็นภาพตัวเองกำลังหัวเราะแล้วจะซวยอย่างนั้นหรอ? คือเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณ7ปีก่อนตอนงานฉลองวันเกิดของเทพลาแบลล์เทพเจ้าแห่งน้ำวนตอนนั้นข้าตกลงไปในบ่อน้ำวนสังหรณ์ในวิหารน้ำวน ผลจากการตกลงไปในบ่อน้ำวนสังหารณืเลยทำให้เวลาข้ามองเห็นภาพตัวเองหัวเราะในน้ำมันจะเป็นลางบอกเหตุว่าข้าจะโชคร้ายกลับกันถ้าข้าเห็นภาพตัวเองร้องไห้ในน้ำข้าจะโชคดี ถ้าระดับการหัวเราะหรือร้องไห้หนักมากเท่าไหร่ก็แสดงว่าข้าจะโชคร้ายหรือโชคดีมากเท่านั้น
แล้วนี่ภาพที่ข้าเป็นในน้ำคือภาพตัวเองหัวเราะจะเป็นจะตายก็หมายความว่าข้ากำลังจะ ‘ซวย’ สุดๆเลยนะสิ!
เฮ้อ ช่างมันเถอะ ถ้าถึงเวลาข้าดวงตกจริงๆยังไงมันก็หนีไม่พ้นอยู่ดีเว้นแต่ว่าจะไปติดสินบนเทพแฝดแห่งชะตากรรมนารีสกับนาดีสให้ชวยเปลี่ยนดวงให้ข้า อืม...ความคิดนี้ก็ไม่เลวแฮะแต่เอาไว้วันหลังก็แล้วกันตอนนี้ข้าอยากอาบน้ำใจจะขาด
กุบกับ กุบกับ
ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแต่คงยังอีกไกล...มั้ง ข้าอาบน้ำต่อโดยไม่สนใจ
กุบกับ
ข้าเห็นฝุ่นตลบมาแต่ไกลเอ่อ...ข้าว่าข้ารีบอาบน้ำดีกว่าถึงข้าจะร่ายเวทย์ลวงตาเอาไว้ก็เถอะแต่มันก็ทำได้แค่ลวงตาไม่ได้ลวงประสาทสัมผัส ทำไมตอนนั้นข้าไม่ร่ายมนต์มายาชั้นสูงไปเลยเนี่ย
ถึงจะมานั่งเสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ข้ารีบขึ้นจากน้ำใช้เวทย์ลมผสมเวทย์ไฟให้เป็นลมร้อนพัดตัวเองให้แห้งแล้วรีบสวมเสื้อผ้าประจวบกับกองทัพเจ้าของฝีเท้าม้าฝุ่นตลบวิ่งมาหยุดที่ลำธารพอดี ผู้ชายคนหนึ่งที่ขี่ม้านำกองทัพบังคับม้าเข้ามาใกล้ลำธาร เจ้าหมอนี่เป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อจนข้าแอบเช็ดน้ำลายนิดนึง(ที่เหลือไหลลงลำธาร) เจ้าหมอนี่มีผมน้ำเงินเข้มอมเขียวยาวถึงประบ่า ผิวคล้ำนิดๆ ริมฝีปากบางเฉียบจนข้ายังอิจฉา ดวงตาสีเทาราวกับหมอกควันจ้องเขม็งมายังข้าที่พยายามค้นหาสายโอบิหรือผ้าผูกเอวในกองเสื้อผ้า
หมอ หมอนี่คงไม่ใช่พวกเป็นมนุษย์ไม่เต็มร้อยใช่ไหม ข้าเหลือบไปมองพวกที่มากับเจ้าหนุ่มผมน้ำเงิน เฮือก! ผมดำกันหมดเลยมีผมสีไม่กี่คนเอง เอาแล้วไงเจ้าพวกไม่ใช่มนุษย์เต็มร้อยยิ่งมีสัญชาติญาณดีซะด้วย
“เขตอาคม”นั่นไง ถึงเจ้าหนุ่มผมน้ำเงินนี่จะเข้าใจผิดว่าเป็นเขตอาคมก็เถอะ
อ๊ะ นั่นไงสายโอบิของข้า
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินลงมาจากหลังม้าเจ้าหมอนี่ต้องคิดทำลายมนต์ลวงตาของข้าแน่ๆ
ข้ารีบคลานไปหาสายโอบิสีม่วงเข้มของข้า
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินเดินเข้ามาใกล้เขตมนต์ลวงตาแล้ว
ไม่นะ ข้ารีบคว้าสายโอบิ
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินชักดาบที่น่าจะทำลายเขตอาคมได้ออกมา ถ้ามันทำลายเขตอาคมได้ ภาพมนต์ลวงตาของข้าคงไม่เหลือแม้แต่ซากแน่
ข้ารีบผูกสายโอบิ
ฉึบ
ภาพมนต์ลวงตาของข้าพังราบเป็นหน้ากลองเมื่อเจ้าหนุ่มผมเขียวยกดาบขึ้นฟันเอาล่พตอนนี้ข้าควรจะ...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด~”ข้าหลับหูหลับตากรี๊ด ยูเฟียจ๋าช่วยได้ยินแล้วมาช่วยข้าทีนะ
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินชะงักไปนิดหน่อยก่อนถามข้าเสียงเรียบ
“เจ้าเป็นมนุษย์รึปล่าว” ข้าหยุดกรี๊ดทันที เวลาพวกผู้ชายเจอผู้หญิงกรี๊ดแบบไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้ต้องพูดประมาณว่า ‘หุบปาก’ ไม่ใช่รึไง
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นมนุษย์รึปล่าวล่ะ”ข้าย้อนถาม
“ไม่” ข้ารู้สึกคิ้วกระตุกยังไงชอบกลแฮะทำไมหมอนี่ถึงพูดทำนองว่าข้าไม่ใช่มนุษย์ได้หน้าตาเฉยอย่างนี้ฮะ ข้าออกจะคล้ายมนุษย์นะ(เว้ย) อ้าก อยากกระอักเลือดตาย
ไม่ได้ๆเลือดของข้ามีประโยชน์มากเลยนะรู้ไหมมันรักษาเลือดได้สารพัด แถมเอาไว้ใช้แก้คำสาปได้ด้วยนะบางคนบอกว่ามันเอาไปปรุงเป็นยาอมตะได้ด้วย ใช่แล้วเลือดของข้าคือเลือดนิรันดร์ยังไงเล่า!
อืม...พวกเจ้าคงยังไม่รู้สินะว่าเลือดนิรันดร์มันเป็นยังไง งั้นข้าก็จะอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน เลือดนิรันดร์น่ะเป็นเลือดที่มีคุณสมบัติมากมายจัดว่าเป็นเลือดที่ดีที่สุดและหายากมากที่สุดในโลกใบนี้มันมีคุณสมบัติในการรักษาโรค ถอนคำสาป ใช้เขียนอักขระเวทมนต์ เพิ่มพลัง รักษาความเยาว์วัย ต่อชีวิตฯ เพียงแต่คนที่จะมีเลือดนิรันดร์ได้นั้นจะต้องมีสายเลือดของเทพและปิศาจที่แข็งแกร่งรวมทั้งต้องมีเชื้อสายของมนุษย์เจือปนอยู่เบาบางซึ่งต้องได้สัดส่วนที่ลงตัวด้วย อัตราการเกิดเด็กที่มีเลือดนิรันดร์นั้นมีน้อยมากเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในล้านล้านล้านล้านล้านเลยที่เดียวท่านอาจารย์ของข้าบอกไว้ว่าตั้งแต่ปฐมกาลของโลกใบนี้มีดาฟีอัสหรือผู้สืบเชื้อสายแห่งเลือดนิรันดร์รวมข้าด้วยเพียง13คนเท่านั้นและข้าก็คือคนที่13
ข้าช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่โชคดีที่สุดในโลกจริงๆ(ประชด)
เรื่องนี้ต้องขอบคุณเทพแห่งสายลมวินเซนต์ที่ช่วยปิดเรื่องนี้เอาไว้ให้ไม่อย่างงั้นข้าคงโดนตามล่าไปรีดเลือดตั้งนานแล้วล่ะ อ้อ ต้องขอบคุณยูเฟียด้วยที่คอยลบความทรงจำของคนที่เผอิญมารู้เรื่องเลือดของข้าเข้า
ดูเหมือข้าจะคิดอะไรเพลินไปหน่อย เจ้าหนุ่มผมเขียวหันไปให้สัญญาณกับลูกน้องหรือทหารที่ยืนอยู่ข้างหลัง ทหารสองคนลงมาจากม้าพร้อมจูงผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกมัดไว้ด้วยเชือกสีดำสนิท ส่วนอีกคนแบกสัมภาระคุ้นตาข้ามา
ยูเฟีย!!
ผู้หญิงที่โดนทหารจูงมาก็คือยูเฟีย ทำไมยูเฟียถึงแพ้มนุษย์กันนะในเมื่อยูเฟียเก่งจะตาย ในตอนนั้นเองข้าก็เหลือบไปเห็นเชือกสีดำที่มัดยูเฟียเอาไว้
ข้าเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงนั่นมันเชือกวิญญาณนี่! เชือกวิญญาณเกิดจากการนำดวงวิญญาณมาทรมานแล้วขังไว้ในเส้นไหมจากต้นไหมที่ขึ้นอยู่บนหลุมศพคนตายเส้นไหม1เส้นต่อดวงวิญญาณ400ดวง โยนลงไฟนรก4วันจากนั้นนำมาถักเป็นเชือก
เชือกวิญญาณเป็นสิ่งวิเศษที่อันตรายและหายากเป็นอันดับต้นๆของยมโลกมันสามารถพันธนาการยมทูตระดับล่างๆจนถึงระดับกลางไว้ได้ ดังนั้นถึงแม้จะเป็นยมทูตก็ตามการจะต้องต่อกรกับเชือกวิญญาณก็ต้องยุ่งยากอยู่พอดู
แต่ว่ากว่าจะได้เป็นเชือกวิญญาณเส้นใหญ่ขนาดนี้จะต้องสังเวยชีวิตมนุษย์ไปกี่คนกันนะ...
“เจ้า...ปล่อยยูเฟียนะ!”ข้าตะโกนมือกำแน่นจนชาไปหมด ข้าหลับตาลงพยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านนี้ให้หยุดลง
ไม่...ข้าจะฆ่ามนุษย์ไม่ได้
“ข้าจะปล่อยสหายเจ้าถ้าเจ้ายอมช่วยเหลือข้าเรื่องหนึ่ง”
“ช่วย”ข้าพึมพำ เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินหันไปให้สัญญาณกับลูกน้องเป็นเชิงว่าให้ถอยหลังไป ดูท่าเจ้าหมอนี่คงไม่อยากให้ลูกน้องรู้เรื่องนี้
เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาต่างถอยหลังไปอย่างพร้อมเพรียงแสดงถึงวินัยที่ได้ฝึกมาอย่างดี
“เจ้าช่วยมาเป็นคนรักของข้าได้ไหม”
“คนรักหรอ อืม...เฮ้ย!”ข้าถอยหลังกรูดๆจ้องมองเจ้าหนุ่มผมเขียวอย่างหวาดๆไม่ใช่ว่าเจ้าหมอนี่หลงรักข้าตั้งแต่แรกพบหรอกนะถึงหมอนี่จะหล่อโดนใจข้าขนาดไหนข้าก็ไม่เอา ข้าล่ะแหยงพวกมีรักแรกพบจริงๆ ข้าว่าเจ้าพวกนี้น่ะไม่ได้รักจริงๆหรอกแค่‘อยาก’รึไม่ก็หลงใหลในรูปรักภายนอกเท่านั้นเองไม่ได้รักในตัวตนที่แท้จริงสักหน่อย
เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินกลอกตาขึ้นฟ้า
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าหมายความว่าให้เจ้ามาเล่นละครเป็นคนรักข้าต่างหาก”
ข้าถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ก็ไม่ได้ขยับจากที่เดิม
“แล้วทำไมต้องเป็นข้า”
“เทพแห่งโชคชะตากรรมท่านนารีสและท่านนาดีสบอกข้าว่าหญิงสาวที่ข้าพบคนที่144นับจากออกจากปราสาทอาบิจะสามารถช่วยข้าได้”เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
นารีสกับนาดีส!! พวกนางต้องจงใจแกล้งข้าแน่ๆ พวกนางน่ะขี้เล่นจะตายถึงแม้ข้าจะสนิทกับพวกนางแต่การแกล้งข้าก็เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆอย่างหนึ่งของพวกนาง
ข้าค้อนลม ค้อนฟ้า ค้อนดิน ค้อนเมฆ ค้อนน้ำ ค้อนทุกอย่างเท่าที่จะค้อนได้โดยเฉพาะค้อนลม ข้าจะ
ฝากวินเซนต์ไปค้อนพวกนาง แต่คอยดูเหอะแค้นครั้งนี้ต้องชำระ!
“แล้วเจ้าแน่ใจได้ไงว่าข้าเป็นคนที่144จริงๆ”ข้าพยายามหาทางบ่ายเบี่ยง
“ข้ามั่นใจ”
“ถ้าอย่างนั้นหากข้าช่วยเจ้าแล้วข้าจะได้อะไร”
ตอนนี้ข้ามั่นใจแล้วว่าถึงข้าจำพยายามเลี่ยงไปยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์ นู่น! เจ้าเทพแฝดนารีสและนาดีสโบกมือทักทายข้าอยู่หย็อยๆแล้ว ข้าถลึงตามอพวกนางพยายามส่งข้อความไปบอกพวกนางว่า ‘เจอกันครั้งหน้าพวกเจ้าไม่รอดแน่’ แต่ยัยฝาแฝดนั่นกับยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้แล้วหายตัวไปเลย เอาไว้ข้ากลับไปสวรรค์เมื่อไหร่ข้าจะกระทืบพวกนางให้จมดินเลยคอยดูสิ!!
“ข้าให้เจ้าขออะไรก็ได้หนึ่งอย่างแต่สิ่งนั้นต้องไม่เกินกำลังข้า”แน่ะ ดันฉลาดทำกรอบไว้ก่อนซะได้แย่จริง เอาเถอะไงๆข้าก็ได้ประโยชน์อยู่บ้างอย่างน้อยๆข้าคงไม่ต้องตากแดดตากฝนออกไปตระเวนเล่นดนตรีล่ะนะ…
“ถ้าอย่างนั้นก็...ตกลง”
“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงต้องการให้ข้าไปเป็นคนรักล่ะ”ข้าเอ่ยถามออกไป ตอนนี้ข้านั่งอยู่บนเกวียนที่กำลังวิ่งปุเลงๆไปตามพื้นขรุขระ รอบๆตัวข้าเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งมีค่ามากมาย เรียวบอกว่ามันเป็นสินสงครามที่ได้จากการยึดปราสาทอาบิ เออใช่! ตอนนี้ข้ารู้ชื่อเจ้าหนุ่มผมน้ำเงินแล้วเจ้าหมอนี่ชื่อ‘ยามาโมโตะ เรียว’ เป็นแม่ทัพแห่งปราสาทจิบุน เป็นเทพปิศาจที่มีเชื้อสายมนุษย์เหมอนกับข้าเพียงแต่ เรียวมีเชื้อสายของเทพปิศาจและมนุษย์เท่าๆกัน
“พ่อข้าอยากให้ข้าแต่งงาน”เรียวพูดเสียงเรียบเจือความไม่พอใจอยู่นิดๆ
“เจ้าสาวไม่สวย”ข้าเอ่ยถามเล่นๆ บางทีการที่ผู้ชายไม่อยากแต่งงานด้วยการคลุมถุงชนนั้นก็มีสาเหตุมาจากเจ้าสาวไม่สวยเช่นกัน
“สวย”
“อ้าว แล้วทำไมเจ้าไม่แต่งล่ะ”ข้าซักบางทีเรื่องของเรียวเนี่ยอาจเป็นเหมือนในเรื่องที่คาเรลเทพแห่งงานเขียน เขียนขึ้นมาเล่นๆเวลาว่างอย่าง เรียวเห็นว่าที่เจ้าสาวเป็นแค่น้องสาวหรือไม่ก็เพื่อน แต่ว่าที่เจ้าสาวของเรียวกลับหลงรักเรียวก็ได้
“ข้าเห็นนางเป็นแค่น้องสาวมากกว่า”
“เฮ้ย!” ข้าเผลอตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เรียวหันมามองข้าอย่างสงสัยแต่ข้ารีบส่ายหน้าเป็นพัลวันเป็นเชิงว่าไม่มีอะไร
ทำไมมันตรงอย่างนี้เนี่ย ข้าลูบหัวตัวเองเบาๆ ไม่แน่ถ้าจบเรื่องนี้ข้าอาจเอาไปเขียนเป็นหนังสือขายบ้างดีกว่าแต่คงต้องเปลี่ยนชื่อตัวละคร
“แต่...ก็ยังดีกว่าแต่งงานกับคนที่ไม่รู้เลยไม่ใช่เหรอ”
“มันก็จริงแต่ข้ายังไม่อยากแต่งงาน”
“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะอยากแต่งงานกันล่ะ”
“อีกสัก5-6ปี”
ข้ากลอกตาขึ้นฟ้า อีกตั้ง5-6ปีว่าที่เจ้าสาวของเจ้าก็คงจะรอเจ้าอยู่หรอกนะ
“ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไหร่”
“18ปี”
“18 งั้นเจ้าก็ตั้งใจจะแต่งงานตอนอายุ23ไม่ก็24ปีสินะ”
“อืม”เรียวพยักหน้ารับ
“มันไม่นานไปหน่อยเหรอ”ข้าเอ่ยถามธรรมเนียมของพวกนิปฮงเนี่ยต้องแต่งงานกันตอน18ปีเนี่ยแหละเหมาะสมที่สุด
“ข้าไม่ใช่มนุษย์”เรียวพูดเสียงเรียบใบหน้าของเขาเหมือนฉาบน้ำแข็งบางๆเอาไว้
“อ่า ข้าขอโทษ”ข้าเอ่ยขอโทษเบาๆ พวกไม่ใช่มนุษย์เต็มร้อยนั้นบางพวกจะไม่ชอบใจสายเลือดของตัวเอง อาจมีสาเหตุมาจากคนรอบข้างรังเกียจหรือไม่ก็ควบคุมพลังของตนเองไม่ได้จนเผลอทำร้ายคนรอบข้าง
เกวียนหลังนี้จึงตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าม้าและเสียงพูดคุยของเหล่าทหารจากภายนอก...
___________________________________________________________________
*โทกุงาวะ อิเอะยะสึคือผู้สถาปนา บากุฟุ (ค่ายทหาร) ที่เมือง เอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) และ โชกุน คนแรกของ ตระกูลโทะกุงะวะ ที่ปกครอง ยุคเอโดะ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่สิ้นสุด ศึกเซกิงาฮาระ เมื่อปี พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) กระทั่งเริ่ม ยุคเมจิ เมื่อปี พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868)
**นิปฮง ชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการของชาวญี่ปุ่น
***เอโดะ (江戸) เป็นชื่อเก่าของเมืองโตเกียวในประเทศญี่ปุ่น และ เป็นยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ