Diavolo แรกรักอสุรี
2) Camminare (ย่างเท้า)60%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ2
Camminare (ย่างเท้า)
บานประตูโบสถ์ถูกเปิดออกด้วยน้ำมือของฉัน อากาศภายในโบสถ์อุ่นกว่าที่คิดหรือเป็นเพราะร่างกายที่เปียกโชกจากข้างนอกทำให้ฉันคิดเช่นนั้น ภายในโบสถ์ไร้ผู้คน อ้อ ไม่ซิมีคนหนึ่งแต่เหมือนหลับนั่งพิงเก้าอี้หันหลังร่างสูงใหญ่ใส่เสื้อกันหนาวดำคลุมหัวด้วยหมวก ร่างนั้นกระเพื่อมน้อยๆเป็นจังหวะช่วยสนับสนุนเรื่องที่บอกว่าเขาหลับของฉันได้ดี ฉันไม่ใส่ใจเขาวิ่งไปยังตู้เอกสารหนังสือเก่าๆใกล้ผุที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหนึ่งของโบสถ์ค้นหาหนังสือหรืออะไรซักอย่างที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งและที่มาของชื่อโบสถ์แห่งนี้ มีหนังสือที่น่าจะใช่อยู่2-3เล่มฉันนำมาวางบนโต๊ะเปิดดูทีละเล่มอ่านทีละบรรทัด ฉันทำอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ไม่รู้นานแค่ไหจนเสียงนุ่มเข้มแผ่วเบาหนักแน่นเอ๋ยขึ้น
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“ค่ะ”ฉันเงยหน้าขึ้นมองก็ถึงกับต้องหยุดหายใจ ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนๆที่แหลมคมรูปงามมิต่างจากเทพโอดินที่ฉันพานพบยากที่จะเชื่อว่าเป็นมนุษย์ เขาคือคนเดียวกับที่นอนอยู่แน่นอนเพราะเขาใส่เสื้อเดี๋ยวกันร่างสูงใหญ่เหมือนกันทำให้ฉันมั่นใจ
“ผมถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม เห็นคุณนั่งอ่านหน้าตาเครียดเชียว”แล้วเขาก็ถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามฉัน นี่ฉันจมปรักอยู่กับหนังสือพวกนี้มากจนไม่รู้ว่าเขาตื่นและเดินมาหาเลยหรือเนี่ย
“เอ่อก็มี...แต่ไม่รู้คุณจะช่วยได้ไหม”
“เรื่องอะไร”
“ประวัติของโบสถ์นี้”เขาหัวเราะน้อยก่อนจะตอบน้ำเสียงเจือแววขันเล็กน้อย
“เรื่องแค่นี้ ได้สิผมจะบอก”
“จริงหรือ”
“อืม…จะให้ผมเริ่มจากตรงไหนล่ะ”
“ตั้งแต่แรก ตั้งแต่เริ่มต้น”
“ได้ซิ”
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆเหมือนเรื่องที่เล่าจะยาวฉันจึงขยับเปลี่ยนท่าให้สบาย แล้วชั่วอึดใจริมฝีปากของเขาก็ขยับก่อนที่ฉันจะรู้ตัว
“โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างมานาน นานเกินกว่าจะรู้ว่าเมื่อใด แต่ครั้งบรรพกาลถูกใช้เป็นวิหารอัญเชิญเทพ บูชาเหล่าผีสางนางไม้ จนกระทั่งสงครามล้างโลกครั้งยิ่งใหญ่’แร็กนาร็อก’เทพเจ้าโอดินใช้สถานที่แห่งนี้ในการคัดสรรเหล่านักรบผู้วายปราณโดยให้เหล่าแวลคีรี่มาประจำ ณ ที่นี้ทำงานทุกชั่วยามไร้การหยุดพักจนในที่สุดร่างกายเสื่อมถอย หวนคืนสู่สามัญ”ฉันมีปฏิกิริยาอันแสนประหลาดใจในดวงจิตร ก็จะให้ฉันเชื่อได้อย่างไรเขาเล่าอย่างกับเล่านิทานปรัมปรา แต่ฉันก็ทำเป็นตั้งใจฟังสุดความสามารถ ภาวนาให้นิทานเรื่องนี้จบเร็วๆ
“เหล่าแวลคีรี่กลายเป็นมนุษย์ เทพโอดินประหลาดใจแต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้พวกนางเป็นเช่นนั้น แล้วกำเนิดแวลคีรี่ตนใหม่ขึ้น จนสงครามจบลง เทพโอดินทอดทิ้งแวลคีรี่ที่กลายเป็นมนุษย์กลับสู่สรวงสวรรค์ พวกนางเสียใจร่ำไห้เป็นสายเลือดและพากันมาฆ่าตัวตายที่โบสถ์แห่งนี้โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่เหล่าหญิงสาวผู้งดงามนับสิบพร้อมเพรียงมาตายที่นี่ และโบสถ์แห่งนี้จึงถูกตั้งชื่อว่า แวคิรี่ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่พวกนาง”เขาหันมายิ้มใส่พูดทะเล้นปิดท้าย
“จบบริบูรณ์”ฉันเดือดจัด จากท่าทางและน้ำเสียงของเขาทำให้ฉันคิดว่าที่เขาเล่ามานั้นล้อเล่น เลือดของฉันไหลพุ่งพล่านกำมือแน่นสงบสติอารมณ์
“โอเค, ท่าจบแล้วฉันขอตัว”ฉันพูดด้วยเสียงรอดไรฟัน แล้วลุกเดินตรงไปที่ประตูไม่สนใจหันกลับไปมอง เขาวิ่งตามคว้าแขนฉันไว้ออกเสียงเรียกชื่อพร้อมคำอธิบาย
“พาดา เดี๋ยว ผมพูดจริงเรื่องที่เล่าเมื้อกี้ผมไม่ได้โกหก สาบาน”ฉันหันกลับจ้องตาประสานขมวดคิ้วเขารู้ชื่อฉันได้ยังไง ฉันจำได้ว่ายังไม่เคยบอกเขา แล้วปากไวเท่าความคิด ฉันถามเขาออกไป
“คุณรู้ชื่อฉันได้ยังไง”
“ก็...ก็คุณย้ายมาใหม่ ใครๆก็รู้จักคุณมันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่มีคนย้ายมาอยู่ในเมืองเล็กๆไร้สีสัน”เขาตอบฉับพลันหลังจากอึกอักอยู่พักหนึ่ง แต่ที่เขาพูดมาก็จริงไม่มีใครไม่รู้จักฉัน
“ไหนๆก็เข้าเรื่องชื่อแล้ว ผมเองก็จำได้ว่ายังไม่ได้บอกชื่อกับคุณ ผมราฟาเอล ลอร์เรนส์หรือจะเรียกว่าราฟก็ได้ถ้าคุณต้องการ”ฉันมองเขาจดจำชื่อ แววตาของฉันสำรวจเขา เขาดูไร้พิษภัยแต่ก็ไม่น่าไว้วางใจ แววตาของเขาดูใสซื่อร่าเริงบ่งบอกว่าเป็นคนยิ้มง่าย หลอกฉันเกือบหลงเชื่อถ้าไม่มีเรื่องการหลอกเล่านิทานงี่เง่านั่นฉันคงคิดว่าเขาเป็นซื่อสัตย์จริงใจไม่โกหก แต่เดียวก่อน ถ้าเรื่องที่เขาเล่าเป็นเรื่องจริงล่ะฉันเองก็ประสบพบเจอกับมหาเทพโอดินมาแล้วและฉันเชื่อว่านั้นไม่ใช่ความฝัน จากการตรองคิดของฉันทำให้อารมณ์เดือดพล่านสงบลง ผ่อนคลายลงแววตาไม่แข็งกร้าวเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ฉันก็ยังมิอาจเชื่อได้
“คุณพูดจริงหรือที่ว่าเล่าเรื่องจริง”
“ใช่”หนักแน่นไม่ลังเล น้ำเสียงจริงใจและจริงจัง
“งั้นฉันขอถามทำไมคุณรู้เรื่องนี้ได้ล่ะ ทั้งๆที่ไม่มีในบันทึก”
“ตละกูลของผมเก่าแก่โบราณ สืบเชื้อสายเป็นรุ่นๆสืบทอดเจตนารมณ์ต่อๆกันมานำอดีตมาตีแผ่สู่ลูกหลานทำให้ผมและคนอื่นๆในตละกูลรู้ทุกอย่างในอดีต”
“ขนาดนั้นเชียว”
“แน่นอนที่สุด”
“เอ่อ...ก็ได้ฉันเชื่อคุณ และฉันต้องการรู้รายละเอียดปลีกย่อยอีกคุณจะเล่าให้ฟังได้ไหม”
“ได้แน่นอน”
“งั้นพรุ่งนี้ ตอนเช้าตรู่ที่สวนหน้าผาท้ายหมู่บ้าน ฉันจะไปรอที่นั่น”
“โอเค แล้วเจอกันบาย”
“บาย”
ฉันหันหลังให้เขาเดินออกจากโบสถ์ไปภายนอกอากาศยังคงเย็นเฉียบฟ้าปิดรอบข้างมืดสลัว ฉันไม่รู้จริงๆว่าอยู่ในโบสถ์นั่นนานจนพลบค่ำแบบนี้ ฉันรีบออกเดินสาวเท้าก้าวเร็วจนคล้ายวิ่ง เหลียวหันกลับไปมอง โบสถ์ยามราตรีดูน่ากลัวเงียบสงัดไร้ผู้คน ฉับพลันฉันเห็นภาพโบสถ์เก่าผุกร่อนซ้อนขึ้นมา ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน คราบเลือด หยดน้ำตา บรรดาศพสตรีนอนเรียงรายนับสิบศพวางล้อมเป็นวงกลมที่ใจกลาง ราฟาเอลยืนอยู่ใบหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์แววตาสีแดงฉานเย็นชา ไร้ร่องรอยใสซื่อ มือประสานที่น่าอกปากพึมพำบทสวดไร้เสียง ตาจ้องมองมาที่ฉันร่างกายฉันแข็งทื่อความกลัวเข้าเกาะกุมจนได้กลิ่นคาวคราบเลือดจากบรรดาศพเหล่านั้นฉันหันหน้าหนีรีบวิ่งกลับบ้านไม่หันกลับไปมอง แต่ภาพเหล่านั้นยังคงติดตาฉัน และในความรู้สึกของฉันบอกว่า ราฟาเอลมิใช่มนุษย์
ตอนนี้อัพไปก่อน 60% นะครับ แล้วว่างๆจะมาอัพต่อให้เต็มร้อย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ