Diavolo แรกรักอสุรี

-

เขียนโดย winenaruk

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 07.46 น.

  2 บท
  4 วิจารณ์
  7,429 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Primaria lezione (ปฐมบท)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

1

Primaria lezione  

ปฐมบท

            แอ่งที่ราบผืนหญ้ากว้างใหญ่ถูกปกคลุมด้วยหมองหนาของหน้าหนาวและรายล้อมไปด้วยภูเขาสูงสีเขียวรอบด้านที่ด้านหนึ่งของแอ่งที่ราบมีเหล่ากอดอกไม้น้อยใหญ่ชูก้านดอกหลากสีแต่กลับดูหมองมัวนักเมื่ออยู่ท่ามกลางหมองหนาเช่นนี้ที่กลางกอดอกไม้นั้นมีป้ายหลุมศพหินขนาดกลางที่เก่าชื้นและเย็นยะเยือก ฉันยืนมองป้ายหลุดศพของแม่ด้วยอารมณ์ที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้ฉันรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน มันคือที่ดินทางตอนเหนือของประเทศไทยอันเป็นที่ของครอบครัวฉันเอง ฉันมองป้ายหลุมศพอย่างเหม่อลอยในหัวว่างเปล่าแต่น้ำตากลับเอ่อล้นและไหลอาบแก้มร่วงลงสู่ยอดหญ้าสีเขียวซีดที่หนาวเย็นฉับพลันขาของฉันที่เคยพาฉันเดินมากว่ายี่สิบปีก็ดูจะไร้เรี่ยวแรงและฉันก็ล้มลงหน้าหลุมศพอย่างอ่อนล้ามือของฉันยื่นออกไปหมายจะสัมผัสหลุมศพนี้แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ดูจะสูญเปล่าเมื่อป้ายหลุมศพเคลื่อนออกห่างไปเรื่อยๆปากของฉันอ้าออกเพื่อตะโกนแต่กลับไร้เสียงใดๆออกมาร่างกายชาวาบไร้เรี่ยวแรง เงามืดแผ่ปกคลุมไล่หลังฉันมาเรื่อยๆในขณะที่ป้ายหลุมศพก็ถึงห่างไปไกลจนเกือบสุดการมองเห็นของฉันและในไม่ช้าเงามืดนั้นก็ครอบคลุมตัวฉันและฉันก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย

          “มิสนราลิน ตื่นได้แล้ว มิสนราลิน มิสนราลิน วงศ์อินทราภัทร ตื่นได้แล้ว”ฉันสะดุ้งสุดตัวตื่นจากห้วงความฝันที่แสนน่ากลัวด้วยเสียงปลุกภาษาอังกฤษแปร่งๆของซิสเตอร์แอนนา ฉันมองไปรอบๆห้องสี่เหลี่ยมขนาดมหึมาที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่อิตาลีแถบชานเมืองที่นักท่องเที่ยวน้อยคนนักที่จะรู้จัก ใช่นี่คือบ้านของฉันที่พ่อเหลือทิ้งไว้ให้ พ่อที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า พ่อที่ทิ้งฉันไปตั้งแต่ฉันเกิดฉันเคยลองพยายามถามแม่ว่าพ่อฉันคือใครแต่แม่ก็พยายามเบี่ยงประเด็นและโมโหเมื่อฉันเซ้าซี้ ฉันเห็นว่าถามไปก็เปล่าประโยชน์จึงเลิกถามไปโดยปริยาย ส่วนซิสเตอร์แอนนาคือซิสเตอร์ผู้ดูแลวัย 40 ปลายๆที่พ่อคอยกำชับให้ดูแลฉันก่อนที่ท่านจะจากไป

            “มิสนราลินวันนี้วันเกิดของคุณไม่ใช่หรือ ทำไมถึงตื่นแสนเสียล่ะคุณต้องไปโบสถ์แวคีรี่ตอนเช้าล้างบาปฟังธรรมและสวดภาวนาให้พระเจ้าท่านคุ้มครองคุณตลอดปีนี้นะ อ้อแล้วก็วันนี้ทั้งวันคุณต้องแจ่มใสตลอดเวลาไม่เศร้าไม่ทุกข์เด็ดขาดเพราะมันจะนำลางร้ายมาเข้าใจนะที่รัก เอ้ารีบไปอาบน้ำซิแล้วลงไปกินแพนเค้กที่โอเวียทำซะแล้วอย่าลืมชมว่าอร่อยซักสองสามทีให้เธอดีใจซักหน่อยเพราะแม่คนนั้นค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้นะ รีบเร็วเข้าซิไปอาบน้ำ”

          ฉันที่เงอะๆงะๆจากการพยายามฟังภาษาอังกฤษที่รัวเร็วและแปร่งเล็กน้อยนั้นก็ถูกผลักเข้าห้องน้ำเพื่อรีบทำกิจวัตรที่แสนวุ่นวายในวันวันนี้ของฉันให้เสร็จทันเวลาทุกอย่าง ในปีนี้ฉันอายุ25ปีเข้าสู้วัยเบญจเพสที่คนไทยถือว่าโชคร้ายไม่เบาซึ่งฉันก็รู้สึกแบบนั้นแต่ฉันก็จะพยายามไม่คิดมากจนเครียดหรือเศร้ามิเช่นนั้นคงจะโดยเอ็ดเอา ฉันลงมากินแพนเค้กและชมโอเวียว่าทำอร่อยมากตามที่ถูกกำชับมาแล้วจากนั้นจึงรีบรุดหน้าไปที่โบสถ์แวคิรี่ตามที่ซิสเตอร์แอนนาสั่งในตอนแรกเธอคิดจะมาด้วยแต่ฉันห้ามไว้พร้อมอ้างว่าฉันต้องการอยู่คนเดียวและจำเส้นทางในเมืองแห่งนี้ได้แล้วและสัญญาว่าจะกลับให้ตรงเวลาเธอจึงปล่อยให้ฉันมาคนเดียวได้ โบสถ์แวคิรี่เป็นโบสถ์หินแอ่นเพียงแห่งเดียวในเมืองเป็นสถานที่ที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามน่าหลงและน่ากลัวบ้างในบางครั้งที่ฉันมาเยี่ยมเยียนฉันทำกิจกรรมภายในโบสถ์ร่วมกับคนอื่นๆจนเสร็จแล้วก็ต้องรีบกลับบ้านเพราะเห็นว่าฉันสายเกือบๆนาทีหนึ่งแล้วฉันวิ่งออกจากโบสถ์ไปตามถนนคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อยที่มีขนาดเพียงแคให้รถสองคันวิ่งสวนทางกันเท่านั้นเมื่อวิ่งมาได้ซักครึ่งทางก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นท้องฟ้ากลายกลับเป็นสีดำสนิทดวงอาทิตย์มืดบอดเต็มดวง สุริยุปราคาปรากฏการณ์น่าตกใจที่ทำให้กลางวันกลายเป็นกลางคืน ฉันหยุดวิ่งและเผลอแหงนหน้ามองฟ้าก็ได้พบกับปีก ใช่มันคือปีกสีดำใหญ่และน่ากลัวมันพาร่างของมนุษย์ที่รูปงามเหนือคำบรรยายเป็นครั้งแรกที่ฉันเชื่อตามหนังสือนิยายว่ามีสิ่งที่งดงามราวรูปปั้นอยู่จริงๆ

            “สวัสดีพาดา”เสียงนุ่มลึกเอ๋ยชื่อเล่นของฉันออกมา แม้มันจะเป็นภาษาโบราณที่ฉันมิอาจระบุประเทศได้แต่ฉันกลับฟังมันออกและดูเหมือนฉันจะพูดได้

            “คุณเป็นใคร”ฉันเอ๋ยกลับด้วยภาษเดียวกับเขาผู้นั้นแล้วก็ต้องตกใจตัวเองที่พูดมันได้อย่างที่คิดและรู้สึกว่าตัวเองสงบนิ่งเกินกว่าที่จะตกใจจนสลบซึ่งเป็นปฏิกิริยาเรื่องที่แปลดมากสำหรับคนที่เห็นมนุษย์มีปีก

            “เรามีนามว่าโอดิน”

          “โอดินเหรอ”

          “ใช่แล้วเราคือเทพสูงสุดของยุโรปเหนือคอยคุ้มครองที่นั่นแล้วที่มานี่ก็เพื่อแจ้งข่าวให้เจ้าได้ทราบ”

          “แจ้งข่าวให้ฉัน ทำไม?”

          “ก็เจ้าคือธิดาองค์ล่าสุดของโอดินที่3นี่น่ะ”

          “ฉันนี่น่ะธิดาของโอดิน”ฉันลองแอบหยิกตีและกัดริมฝีปากตนเองดูเพื่อพิสูจณ์ว่านี่ฝันไปแต่ก็ไร้ความหมาย

            “ใช่เจ้าเป็น แต่เพราะเกิดจากมนุษย์จึงโตช้าไม่เหมือนนางอื่นที่เพียงเสี้ยววินาทีก็เป็นสาวรุ่นที่งดงามแล้วและเป็นเพราะโอดินที่3ปล่อยให้ใจเป็นนายหลงรักสาวชาวมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวหลังจากถูกพรากกันมาก็ไม่ยอมมีสัมพันธุ์กับเทวนีนางฟ้าองค์ใดเลยและแม้จะถูกปลดไปแล้วแต่อำนาจแห่งแวลคีรี่ยังอยู่ในสายเลือดของธิดาของเขา ซึ่งก็คือเจ้าเจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่พ่อเจ้าก่อเอาไว้นะสาวน้อย”

          “ชด...ใช้”ฉันพูดอย่างยากเย็นเนื่องจากการที่เรื่องราวทุกสิ่งประดังเข้ามาประหนึ่งคลื่นที่ถาโถมและยากเกินที่จะเชื่อ

          “ยังไง”ในที่สุดฉันก็พูดออกมาได้

            “เจ้าต้องปลดปล่อยพลังในตัวทำหน้าที่วาลแครี่ให้สำเร็จเสียก่อน”

          “ยังไง”

          “ในกรณีของเจ้าที่เป็นมนุษย์มีเงื่อนไขใช้ใจปลดปล่อย”

            “ยัง...ไง”

          “รักเช่นไรล่ะ เจ้าต้องรักเหล่าผู้กล้าวายปราณสักคนแล้วเขาผู้นั้นรักเจ้าเหมือนกันแล้วหัวใจจะเปิดรับสื่อถึงกันผ่านคำสัตย์ที่ซื่อตรงแล้วเมื่อนั้นเจ้าจึงจะอิสระ”

          “ฉันไม่เข้าใจ”

          “อย่าเพิ่งเข้าใจเลยเถอะตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันรุมเจ้ามากเกินไป เจ้าอาจสับสนข้าจะปล่อยให้ชะตากรรมพาเจ้าเดินไปเองวันนี้เพียงเตือนล่วงหน้าเท่านั้น ขอโบกมือลาและ...”

          “เดี๋ยว”

          “อะไรรึ เจ้ามีอะไร”

          “เอ่อ...ถ้านี่เป็นเรื่องจริง พ่อของฉันอยู่ที่ไหน”

          “ถูกปลดจากตำแหน่งกลายเป็นมนุษย์ชายชราธรรมดาแถบเทือกเขาทางตอนใต้ของอิตาลี มีแค่นี้สินะ”

          “ค่ะ”

          “งั้นก็ลาก่อนและหวังว่าเราจะได้พบกันอีก”

          แล้วปีกสีดำมหึมานั้นก็กางออกเหยียดตรงและกระพือน้อยๆเพียงไม่นานก็พาร่างที่งดงามนั้นเหินขึ้นบนอากาศด้วยถ่วงท่างดงามและน่าหลงใหล ความมืดเหมือนตกสู่พื้นดินผ่านตัวฉันและกดฉันลงสู่ใต้พิภพหัวฉันหมุนควงเป็นสว่านแพนเค้กในท้องเหมือนจะไหลทวนขึ้นข้างบนฉันล้มลงและเลือกตาที่แสนหนักอึ้งก็ปิดดวงตาสีเขียวมรกตผลักฉันเข้าสู่ห้วงนิทราที่มืดมิดไร้จุดจบกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนอวกาศในเอกภพไม่มีผิดและในไม่ช้าฉันก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

            ฉันไม่เคยคิดจริงจังเลยว่าตัวเองจะตายเช่นไรทั้งที่มีเหตุผลที่ควรคิด

          ฉันนั่งอ่านหนังสือนิยายแปลที่ติดตัวจากเมืองไทยมาด้วยเรื่องราวความรักที่แสนหวานและแสนขม เด็กสาวมนุษย์กับแวมไพร์หนุ่มเป็นอะไรที่เหลือเชื่อแต่ก็เป็นไปได้ในโลกของหนังสือ ฉันปิดหนังสือลงหลังจากที่อ่านมันมาได้ครึ่งหนึ่งโดยที่ไม่ลืมที่จะคั่นหน้าเอาไว้และจึงล้มตัวลงนอนปล่อยให้แสงสีส้มร้อนที่ลอดผ่านหน้าต่างซึมลงสู่ผิวหนังก่อให้เกิดความร้อนขึ้นรอบตัวฉันแต่ก็มีไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศเข้ามาปะทะทำให้อากาศสมดุลกัน ฉันเริ่มผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงจนปวดคลายออกตาของฉันปิดสนิทสมองว่าเปล่าฉันนอนนิ่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นตอนที่กำลังกลับบ้านหลังจากที่ไปโบสถ์ ซิสเตอร์แอนนาเล่าว่า เธอฉันไม่กลับบ้านซักทีเพราะเลยเวลานัดมาไกลโขแล้วเธอจึงออกตามหาและก็พบฉันนอนแน่นิ่งอยู่ข้างทางเธอจึงรีบพาฉันกลับบ้าน แล้วถามฉันยกใหญ่ถึงว่าทำไมฉันจึงไปสลบข้างถนนได้ ฉันบอกว่าเจอสุริยุบราคาตาปรับแสงไม่ทันจึงช็อกและสลบไป ฉันไม่มีวันจะเล่าเรื่องโอดินแน่นอนเพราะคงไม่มีใครเชื่อ แต่ซิสเตอร์แอนนากลับบอกฉันว่า ‘สุริยุปราคาไหนวันนี้ไม่มีเสียหน่อย’ฉันขมวดคิ้วจ้องมองแต่ก็ไม่เห็นแววล้อเล่นจึงตอบกลับไปว่าล้อเล่นและที่จริงฉันเป็นลมแดดจากนั้นจริงขอตัวขึ้นห้องทันที เอาล่ะกลับสู่ปัจจุบันฉันลุกขึ้นนั่งเมื่อคำว่าโอดินแวบขึ้นมาในหัว ฉันตรงไปที่คอมพิวเตอร์เปิดเครื่องและเข้าเว็บไซต์ Google เว็บไซต์ที่มี (เกือบ) ทุกเรื่องที่ต้องการ ฉันหาคำว่า ‘โอดิน’ ทันที

โอดิน เทพเจ้าสูงสุดของยุโรปเหนือ เทพเจ้าแห่งสายฟ้าซึ่งมีหอกกุงกุนีลเป็นอาวุธ เมื่อได้รับคำทำนายเกี่ยวกับ แร็กนารอก และรู้ว่าไม่สามารถหยุดยั้งได้ จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฝ่ายตนได้รับชัยชนะ โดยการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆมากมายเพื่อหาความรู้ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าสำหรับชาวไวกิ้งแล้วความรู้ถือเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และสำคัญเพียงใด โอดินถึงกับยอมแลกดวงตาข้างหนึ่งเพื่อแลกกับการได้ดื่มน้ำพุแห่งความรู้ ซึ่งทำให้โอดินมีอำนาจพิเศษรวมถึงสามารถอ่านอักขระรูนที่ไม่มีผู้อื่นอ่านได้ พาหนะของโอดินเป็นม้าชื่อสเลปไนร์ซึ่งตำนานกล่าวว่ายามวิ่งจะเร็วมากจนดูเหมือนมีแปดขาและสามารถวิ่งไปได้ทั้งบนสวรรค์ โลกและมหาสมุทร โอดินตระเวนไปพบกับเหล่าผู้ทำนายและคนแคระห์ ผูกมิตรกับเหล่าวานิร์ ในคำทำนาย โอดินจะถูกกลืนกินโดยหมาป่าเฟนริล์

ฉันรีบจดจำทุกอย่างลงหัวอย่างรวดเร็วและอีคำที่ฉันต้องการคำตอบ ‘แวลคีรี่’

ตามเทพปกรณัมของนอร์สวาลคีรี่ (-Valkyrie หรือที่บางครั้งก็เรียกว่าวัลเคียร์ -Valkyre) หมายถึงเหล่าข้าบริพารหญิงของเทพเจ้าโอดิน ชื่อนี้มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า Chooser of the Slain (ผู้คัดเลือกเหล่าผู้วายปราณ) แต่ในหลายๆ ครั้งก็ถูกเรียกว่า Battle-maiden (สตรีนักรบ), Shield-maiden (สตรีถือโล่), Swan-maiden (เหมนารี) และ Mead-maiden (สตรีผู้ร่ำสุรา) ซึ่งล้วนแล้วแต่ชี้เห็นถึงหน้าที่หรือลักษณะของพวกนางทั้งสิ้น 

 เช่นกันกับครั้งก่อนฉันรีบจดจำอย่างต่อเนื่องแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอีกความรู้สึกขัดแย้งในตัวเองใจหนึ่งต้องการรู้ทุกสิ่งแต่อีกใจกลับบอกว่าเพียงแค่ฝันไปแต่มันแจ่มชัดเกินไปจนยากจะเชื่อว่าฝันและเมื่อใจแห่งการสอดรู้สอดเห็นชนะฉันก็รีบปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนเสื้อผ้าและวิ่งไปที่หน้าประตูบ้านบานประตูถูกกระชากออกอย่างแรงด้วยน้ำมือฉันและฉันก็พบกับ สายฝน ใช่มันเป็นอุปสรรคแต่ฉันไม่ใส่ใจวิ่งฝ่ามันไปฉันว่าตัวเองเริ่มบ้าเข้าไปทุกทีๆแล้วทิศทางที่ฉันมุ่งตรงไปคือทางเดียวกับเมื่อเช้าโบสถ์ที่มีชื่อเดียวกับสตรีนักรบ แม้จะแปร่งๆไปแต่ก็น่าจะเกี่ยวข้องกัน ‘โบสถ์แวคิรี่’ สถานที่ที่ฉันไม่รู้ว่ามั่นใจจากไหนว่ามันเกี่ยวข้องกันแต่ฉันก็เชื่อเชื่อแบบนั้นจริงๆ

           

ตอนต่อไป Camminare (ย่างเท้า)

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา