Epidemia: Epic World on Fire
7.9
3) War against the Noble 3 [Part 3]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ17 ชั่วโมงหลังการปะทะกันในการเปิดฉากโจมตีของกองทัพโนเบิลที่โรงเรียนที่เซอร์คอเช่เป็นครูอยู่ อีกด้านหนึ่งในป่าทึบทางภาคตะวันตก สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมซานทินาส
นักรบโนเบิลคนหนึ่งที่สวมชุดที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นซึ่งดูเหมือนจะมีตำแหน่งสูงกำลังยืนคุยกับทหารของเขาอยู่ รวมทั้งสิ้น 18 คนไม่รวมตัวของเขา
“เหลือรอดอยู่แค่นี้เหรอ”
เขาเอ่ยถามขึ้นอย่างเรียบๆ
“ค่ะ ลงมาถึงก็ฉะกับพวกสวะมหากาฬเลย”
หนึ่งในกลุ่มทหารตอบพลางหันไปมาอย่างหวาดระแวง
“มองโลกในแง่ดี เหลือรอดน้อย ยังดีกว่าไม่รอดเลย เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่า เมื่อกี้นี้ข้าได้รับการติดต่อจากพวกที่จุดรวมพล พวกเขาแจ้งว่าพวกเขาสูญเสียกำลังพลไปมากไม่ต่างจากเราเท่าไหร่ แต่โชคดีที่วัตถุปัจจัยของพวกเขาไม่ได้สูญเสียไปเหมือนกำลังพล พวกเขาต้องการให้พวกเรา และกลุ่มอื่นๆ ไปรวมพลที่นั่นโดยด่วนที่สุด พวกเขาจะเคลื่อนพลไปให้พ้นๆ จากพื้นที่แถบนี้ ทายซิเพราะอะไร”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ บอกเล่าเหตุการณ์ด้านเขาที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ และประโยคสุดท้ายก็ถามพลางมองไปยังทุกคนด้วยน้ำเสียงกึ่งหัวเราะ เพื่อพยายามทำบรรยากาศให้ลดความตึงเครียดลง แต่ทุกคนกลับเงียบ
“รู้ใช่มั้ย เอาล่ะ ก็ยังดีกว่าเจอเป็นกองทัพ ก็แค่พวกขี้ขลาดที่ไม่กล้าสู้ตรงๆ เท่านั้นแหละ หวังว่าทุกท่านคงไม่กลัวพวกขี้ขลาดพวกนี้นะ”
“พวกเราไม่กลัว”
เหล่าทหารชาวโนเบิลขานรับพร้อมกันอย่างขันแข็ง
ชายผู้บังคับบัญชายิ้มอย่างพอใจภายใต้หน้ากากที่เป็นส่วนหนึ่งของชุด
“แถวเดี่ยว ข้าคุมตรงกลาง พยายามหลีกเลี่ยงที่แจ้งเอาไว้ ไปได้”
แล้วทั้งหมดก็เคลื่อนที่ออกไป โดยตัดเข้าดงข้างทางเป็นอันดับแรกโดยเดินเรียงเดี่ยว
ผ่านศูนย์เล็งกล้องซุ่มยิงอิเล็กทรอนิกส์จับเป้าคนรั้งท้ายไว้พร้อมทั้งกำหนดจุดยิงพร้อม เพียงแค่เหนี่ยวไกเท่านั้นหัวกระสุนเรียวแหลมก็จะพุ่งออกไปเข้าเป้า ซึ่งเป็นหัวส่วนหลังของนักรบโนเบิลคนนั้นทันที
ดวงตาสีดำไร้แววมองผ่านศูนย์กล้องอย่างสบายๆ ซึ่งเจ้าของดวงตานั้นเป็นชายหนุ่มเผ่าเอลฟ์รูปร่างผอมบางจนเป็นกึ่งชายกึ่งหญิงเช่นเดียวกับใบหน้า ผมสีดำที่ดูจะยาวมากก็มัดรวบไว้เพื่อความไม่เกะกะ สวมเครื่องแต่งกายสีดำสนิท เสื้อแขนกุดรัดรูป กางเกงขายาวเปิดข้อเท้า รองเท้าหนัง และกำไลไม้มนตร์ดำที่ข้อมือข้างซ้าย ภายนอกเป็นผ้าคลุมที่ดูเหมือนขาดรุ่งริ่งสีเขียวกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมรอบกาย ส่วนที่เผยให้เห็นก็มีเพียงเลนส์หน้าของศูนย์กล้องที่ไม่มีการสะท้อนแสงกับปากลำกล้องปืน ซุ่มอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งหลังขบวนออกไปประมาณ 15-16 เมตร ดูเผินๆ เหมือนต้นไม้รกๆ ต้นหนึ่ง
“ดาร์คมูนเรียกทุกคน เป้าหมายเคลื่อนไปทางเหนือ จับเป็นคนที่แต่งชุดต่างจากคนอื่น ย้ำ จับเป็นคนที่แต่งชุดต่างจากคนอื่น แล้วก็ต่อจากนี้เราจะงดการสื่อสารด้วยคำพูด ให้ใช้รหัสมอร์สแทน”
เมื่อเอลฟ์หนุ่มพูดจบก็ปล่อยมือขวาออกจากด้ามปืนไปจับอยู่ที่อัญมณีสีดำทรงกลมใหญ่ที่สุดที่ฝังเด่นอยู่ในกำไลข้อมือแล้วดึงเอาด้ามอะไรสักอย่างหนึ่งมีลักษณะเหมือนด้ามจับจอยสติกมีปุ่มอยู่บนยอด เขาบรรจงกดปุ่มนั้นเป็นรหัสมอร์สว่า
‘ซิลเวอร์มูน เธอเป็นคนเปิดฉากยิงเป็นคนแรก พยายามสร้างความวุ่นวายให้มากที่สุด ฉันจะใช้เวทมนตร์พรางตาพวกนี้ให้ เปลี่ยน’
จากนั้นก็มีเสียงกดตอบมาว่า
‘ทราบแล้ว เคอร์ดาน รับรองว่างานนี้สนุกแน่ เปลี่ยน’
สิ้นเสียงกดรหัสเขาก็กดรหัสสวนกลับไปทันที
‘นี่เวลางานนะซิลเวอร์มูน เรียกรหัสสิ เปลี่ยน’
‘จ้าๆ ทราบแล้วดาร์คมูน เลิกกัน’
แล้วเขาก็เก็บแท่งกดรหัสกลับเข้าไปในกำไลข้อมือ ก่อนจะเริ่มทำปากขมุบขมิบร่ายเวทมนตร์ขณะที่มือทั้งสองข้างกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม
ทางด้านของเหล่านักรบโนเบิลที่กำลังเดินทางไปที่จุดรวมพลด้วยความระวังภัยสุดขีด ต่างคนต่างกวาดปืนในมือไปรอบๆ ตัวพรางตาก็กวาดมองอย่างพยายามสังเกตอะไรให้มากที่สุด แต่ก็ไม่เห็นอะไรมากไปกว่าต้นไม้ใบหญ้า พืชพันธุ์ต่างๆ ที่รายล้อมรอบตัว แต่เมื่อเดินกันไปได้ประมาณ 10 นาทีเศษ ก็มีเสียงดังเป๊ง จากนั้นทหารคนที่เดินนำหน้าก็ล้มลงทั้งยืนไปทางซ้าย มีเลือดไหลออกจากบริเวณขมับด้านซ้ายเจิ่งนองกับพื้นดิน เหล่าพรรคพวกที่ตามหลังมาต่างหลบฉากเข้าข้างทางหมดรวมทั้งผู้ที่มียศสูงที่สุดในกลุ่มด้วย
“อาวุธไร้เสียง เปิดระบบตรวจจับอินฟราเรด”
หัวหน้าชุดออกคำสั่งเสียงเบาพอได้ยินกัน จากนั้นเขาก็ชักไรเฟิลจู่โจมออกมาจากมีดที่เป็นเพชรทั้งเล่มที่คาดไว้ที่เอว ซึ่งมีปืนลูกซองพลาสมาติดใต้ลำกล้องมาพร้อมด้วย พลางสายตาก็ตรวจหาที่มาของกระสุนปืนที่พุ่งเข้าเจาะหัวของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาคนหนึ่งผ่านทางระบบตรวจหาอินฟราเรดที่แสดงผ่านแว่นที่ติดกับหมวก แต่ไม่พบอะไร เขาเริ่มมีความรู้สึกเย็นวาบขึ้นที่สันหลัง ...ถ้าไม่ใช่เทคโนโลยีพรางตัวก็คงจะเป็นเวทมนตร์แน่ๆ... เขาคิด
“เปิดระบบตรวจจับทุกระบบ...”
เขาออกคำสั่งอีกครั้ง
“ถ้าไม่จำเป็นอย่ายิงอะไร ถ้าไม่อยากตาย”
คราวนี้น้ำเสียงของเขาฟังดูเครียดขรึมลงมาก ทุกคนรู้ว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไร
ห่างออกไปทางด้านตะวันออกประมาณ 300 เมตร มีดาร์คเอลฟ์สาวกำลังนอนคว่ำตั้งไรเฟิลซุ่มยิงลูกเลื่อนอยู่เป็นแบบเดียวกับที่เอลฟ์หนุ่มผู้จัดการนัดแนะการปฏิบัติการใช้ นัยน์ตาสีเทากลมโตของเธอปิดไปข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งมองผ่านเลนส์กล้องซุ่มยิง เธอแต่งกายด้วยชุดผ้าหนังบางสั้นกุด สวมทับด้วยเสื้อโค้ทแขนกุด และสวมรองเท้าบู๊ทหนัง เป็นสีดำทั้งชุด ส่วนผมยาวๆ ก็รวบไว้แบบเดียวกับเอลฟ์หนุ่มเพื่อความคล่องตัว ผิวสีเทาอมฟ้าของเธอแทบจะกลืนไปกับพื้นหินสีเทาเกลี้ยง น่าแปลกไม่เธอไม่ได้แสดงอาการร้อนเลยแม้แต่นิด ตรงข้ามใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าหยิกกลับยิ้มออกมาอย่างสบายๆ อารมณ์ เหงื่อสักเม็ดก็ไม่มี
เธอหยิบแท่งที่มีหน้าตาเหมือนกับที่เอลฟ์หนุ่มใช้ เอามากดเป็นรหัสมอร์สส่งไปยังเครื่องรับอื่นๆ ว่า
‘ซิลเวอร์มูนถึงทุกคน เป้าหมายและคณะไม่แตกตื่น พวกนี้ใจเด็ด ท่าทางจะเข้าไปจับกุมมาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว เปลี่ยน’
จากนั้นก็มีเสียงตอบกลับมาเป็นรหัสเคาะว่า
‘พวกเรารับทราบแล้ว เลิกกัน’
จากนั้นเธอก็พับขาทรายไรเฟิลซุ่มยิงแล้วลุกขึ้นยืน แล้วคำถามก็ได้คำตอบว่าทำไมเธอถึงไม่รู้สึกร้อนบ้างเลย เพราะแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่เกิดจากเวทมนตร์ของเธอนั่นเอง แล้วเธอก็หันหลังเดินไปเพื่อย้ายที่ซุ่มยิง
ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นแนวตรงกับคณะทหารโนเบิลพอดีห่างออกมา 700 เมตร โทรลสาวในชุดลายพรางป่าก็กำลังนั่งพิงต้นไม้ที่สูงเป็นสองเท่าของความสูงของเธอ ในมือเป็นไรเฟิลซุ่มยิงลูกเลื่อน เธอเบี่ยงตัวออกไป ยกปืนขึ้นประทับเล็งก่อนจะปลดห้ามไก บรรจงเล็งผ่านศูนย์กล้องอย่างประณีต ซึ่งมันก็คำนวณวิถีกระสุนให้เสร็จสรรพ เธอเล็งไปที่นักรบแห่งกองทัพผู้ดีที่อยู่รั้งท้ายสุด แล้วเหนี่ยวไก ปืนของเธอแผดเสียงดังลั่นปล่อยหัวกระสุนเรียวแหลมขนาด 7.5 มิลลิเมตรพุ่งไปที่เป้าของมัน ซึ่งก็คือส่วนหัวกลางแสกหน้า แล้วการกระทำของเธอก็เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ดันก้านลูกเลื่อนขึ้น ดึงเข้าหาตัว ปลอกกระสุนที่ไร้หัวกระสุนถูกดีดออกจากรังเพลิง ผลักกลับเข้าที่กระสุนนัดใหม่เลื่อนเข้าสู่รังเพลิง จากนั้นก็กดก้านลูกเลื่อนเข้าที่
ทางด้านของคณะทหารโนเบิล ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาเลย จนกระทั่งมีเสียงแบบเดียวกับเมื่อก่อนที่ทหารคนที่เดินนำหน้าจะล้มลงไปดังขึ้น ร่างที่นั่งยองอยู่ก็ล้มลงไปดื้อๆ พร้อมกับรูกระสุนกลางแสกหน้า อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้ารอดได้ก็เหนือมนุษย์ ในขณะเดียวกันเมื่อเสียงดังขึ้นสายตาทุกคู่ของฝ่ายโนเบิลก็หันไปมองที่ต้นเสียงแต่ก็ไม่มีใครแสดงอาการอะไรออกมาเว้นแต่หัวหน้าคณะ
“ฮึ่ม...”
เขาคำรามจากลำคออย่างเหลืออด
“ไปเถอะ”
น้ำเสียงของเขาแข็งขึ้นเรื่อยๆ สิ้นเสียงก็มีคนค้านว่า
“ถ้าเราเคลื่อนที่เราไม่เป็นเป้าซ้อมให้พวกมันเหรอครับ”
“เป้าเคลื่อนที่ยังดีกว่าเป้านิ่งแล้วกัน ไปได้แล้ว แล้วก็ภาวนาไว้ด้วยว่าจะมีคนส่งกำลังมาช่วยพวกเรา”
กลับไปทางด้านโทรลสาวผู้ลั่นไกสังหารศพที่ 2 ต่อจากซิลเวอร์มูน เธอหยิบแท่งกดรหัสออกมาแล้วส่งรหัสบอกกับทุกคนว่า
‘แอลอาร์มาม่า ถึงทุกคน เป้าหมายเริ่มเคลื่อนที่ต่อแล้ว เปลี่ยน’
จากนั้นก็มีเสียงกดตอบมา
‘ดาร์คมูน ทราบแล้ว แอลอาร์มาม่า ดำเนินการต่อไปได้เลย เปลี่ยน’
‘โอเค รับรองว่านรกแตกยังอาย เลิกกัน’
เมื่อสิ้นสุดการกดรหัส เธอก็เก็บแท่งกดรหัสเข้าที่ก่อนจะเริ่มทำปากขมุบขมิบท่องมนตร์อะไรสักอย่าง
กลับไปทางด้านของเหล่าขบวนทหารโนเบิลที่กำลังเดินกันไปอย่างหวาดระแวง ไม่มีใครเดาถูกว่าใครจะเป็นรายต่อไป อาจจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในกลุ่มก็ได้ หรืออาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม หรืออาจจะเป็นตัวเอง ทุกคนกำลังคิดแบบนี้ ยกเว้นหัวหน้าคณะผู้ซึ่งเริ่มพอจะเดาใจของเหล่าพลซุ่มยิงฝ่ายเอไพด์เมียร์ออก ...ท่าทางจะจับเป็นข้าละสิ ไม่มีทาง... เขาคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงล้อสายพานของรถถัง และฟังดูจะมีจำนวนมากด้วย น่าจะระดับกองพันขึ้นไป มันค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะคงระดับเสียงไว้ จากนั้นก็มีเสียงของเท้าหุ่นยนต์ขนาดใหญ่ดังมาจากข้างหลัง หลายคนเริ่มหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างยินดี
“ท่านคะ ข้าคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่เราจะหลบหนีโดยอาศัยจังหวะที่พวกเรากับพวกสวะต่อสู้กันนะคะ”
หนึ่งในกลุ่มเสนอความคิดเห็นขึ้น แทบทุกคนต่างเอ่ยปากเห็นชอบด้วย ยกเว้นหัวหน้าคณะกับทหารคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเขา ซึ่งออกความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป แต่เป็นการกระซิบบอก
“ท่านครับ ข้าไม่คิดว่าจะมีการปะทะใหญ่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าเคยได้ยินมาจากทหารผ่านศึกจากสงครามระหว่างเรากับพวกสวะครั้งที่สองว่า พวกสวะมีพลังเหนือธรรมชาติสร้างอาณาเขตทำให้ศัตรูเกิดจิตหลอนขึ้นมาได้”
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน พวกเราถูกยิงตายไปสองคน เรามองไปรอบๆ ผ่านระบบตรวจจับทุกอย่าง แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากป่ากับพวกเรา ข้าสันนิฐานว่าถ้ามันไม่ใช่เทคโนโลยีอำพรางชั้นยอดมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่พวกสวะมีแต่เราไม่มี”
เขากระซิบตอบไปเช่นเดียวกัน
“ท่านหมายถึงเวทมนตร์เหรอ”
“ใช่ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ตอนนี้พวกเรากำลังประสาทหลอนอยู่เพราะเวทมนตร์ของพวกมัน”
แล้วเขาก็หันมาพยักหน้าให้กับทหารที่ปรึกษากับเขา
“อย่าไปหลงเชื่อเสียงพวกนี้ ไม่มีการปะทะกันเกิดขึ้นที่นี่หรอก นี่เป็นอุบายของพวกสวะพวกมันหวังให้เราวิ่งเข้ากับดักของพวกมัน”
เมื่อมีต่างความคิดก็เริ่มมีการแตกคอกันเกิดขึ้น ทหารหญิงที่พูดขึ้นเกี่ยวกับเสียงเป็นคนแรกก็ถามอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“เจ้าเอาอะไรมาพูด เจ้าก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ ทางนู้นก็ยกมาเป็นกองทัพ ข้างหลังเราก็มาเป็นกองทัพ”
“ข้าว่าเจ้าฟังเขาไว้หน่อยก็ดีนะ...”
หัวหน้าคณะออกเสียงสนับสนุนมาอีกเสียงหนึ่ง
“ข้าก็ได้ยินเสียงอย่างว่าเหมือนกัน พวกเราทุกคนได้ยินหมด แต่เจ้าไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ ยานเกราะของพวกสวะมาทางเหนือ ทางที่เราจะบ่ายหน้าไปที่จุดรวมพล ส่วนหุ่นยนต์รบของพวกเรามาทางใต้ ถ้ามีกองกำลังของพวกเราอยู่ทางใต้ใกล้ๆ กับพวกเราจริงพวกเขาก็ต้องแจ้งให้เรารู้นานแล้ว ถ้ามียานเกราะของพวกสวะมาทางเหนือจริงกองกำลังของพวกเราทางเหนือไม่ถูกบดขยี้ย่อยยับไปหมดแล้วเหรอ อีกอย่างถ้ามีกองยานเกราะระดับกองพันอย่างต่ำ 2 กองพันเคลื่อนที่เข้ามาปกติต้องมีเสียงป่าแตก แต่ทำไมถึงไม่มีเสียงป่าแตก อีกทั้งพวกเราถูกยิงตายไปสองคนแต่ก็ไม่มีเสียงแถมมองไปรอบๆ ด้วยระบบตรวจจับทุกชนิดแต่ก็ไม่พบอะไรเลย ข้าว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเวทมนตร์ของพวกสวะมากกว่า”
ด้วยเหตุผลของหัวหน้าคณะทำให้ทหารหญิงคนนั้นคิดได้ และเริ่มสังเกตและคิดทบทวน มันเป็นจริงทุกอย่างตามที่เขากล่าวมา แต่แม้เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกอย่างเยือกเย็น แต่ในใจของเขานั้นร้อนรุ่มราวกับอยู่กลางพายุไฟ พยายามบังคับร่างกายไม่ให้หัวใจเต้นแรง แต่มันก็เต้นแรงจนสังเกตได้
“โค้ดเบรกเกอร์ ท่านเป็นอะไรไปรึเปล่าครับ”
ทหารคนที่บอกกับเรื่องที่จะไม่มีการปะทะกันขึ้นเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร”
เป็นคำตอบสั้นๆ ที่เป็นน้ำเสียงเรียบๆ แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนโค้ดเบรกเกอร์กำลังหงุดหงิด หงุดหงิดอย่างแรง และกำลังจะเดือด
ทั้ง 17 คน เดินทางต่อไปตามปกติอย่างเร็วพลางระวังตัวมองหาพลซุ่มยิงของข้าศึกไปด้วย กลับไปทางด้านโทรลสาวที่กำลังเฝ้าดูการเคลื่อนที่ผ่านศูนย์กล้องไรเฟิลซุ่มยิงอยู่ เธอหยิบแท่งกดรหัสขึ้นมาอีกครั้งแล้วกดรหัสส่งไปยังทุกคนว่า
‘แอลอาร์มาม่าถึงทุกคน เป้าหมายไม่หลงกล ท่าทางจะยากกว่าที่คิด มีคำแนะนำอะไรมั้ย เปลี่ยน’
‘ดาร์คมูนถึงทุกคน ฉันจะคลายม่านหมอกรัตติกาลแล้วหยุดการเคลื่อนที่ของพวกมันให้ จากนั้นพวกนายทุกคนก็จัดการตามจุดหมาย เปลี่ยน’
‘ทราบแล้ว เลิกกัน’
แล้วเธอก็เก็บทั้งแท่งกดรหัสและไรเฟิลซุ่มยิงเข้าคลังแสงส่วนตัวไปแล้วเปลี่ยนเป็นลูกซองจู่โจมแทนก่อนจะเดินออกจากตำแหน่งซุ่มยิงเพื่อย้ายที่
ทางด้านเคอร์ดานนั้นเขาหยุดอยู่กับที่แล้วเริ่มร่ายมนตร์บางอย่าง
“สลาย”
เขาเอ่ยออกมาอย่างเรียบๆ ก่อนจะวิ่งต่อไปผ่านภูมิประเทศที่เป็นป่ารกโดยพยายามไม่ทำเสียงอะไร ในมือถือปืนลูกซองจู่โจมมั่นในท่าเฉียงอาวุธพร้อมจะยิงศัตรูหน้าไหนก็ได้ที่พบ เมื่อวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็ชูปืนขึ้นฟ้าแล้วเหนี่ยวไกยิงขึ้นนัดหนึ่ง ปืนลูกซองในมือระเบิดกระสุนลูกปรายขึ้นไปตามแรงส่ง เสียงแผดกระจายไปทั่วป่า ตามมาด้วยเสียงป่าแตก และแน่นอนทางด้านของขบวนทหารแห่งกองทัพผู้ประเสริฐก็ต้องหยุดชะงักลงด้วยแล้วพยายามฟังเสียง จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า
“ลงมือได้!!!”
จากนั้นก็มีเสียงแผดดังลั่นของไรเฟิลซุ่มยิงมาจากรอบทิศทาง ทหารผู้ใต้บังคับบัญชาถูกยิงหัวทะลุร่วงล้มลงกองกับพื้นเป็นใบไม้ร่วง จนกระทั่งเหลือเขายืนอยู่คนเดียว เขาหมุนตัวมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ
ภายในไม่กี่วินาที ก็มีคนโผล่ออกมาจากรอบด้าน เอลฟ์ ดาร์คเอลฟ์ โทรล มนุษย์ ออร์ค และรวมทั้งลูกครึ่งเผ่าพันธุ์อีกหลายคน พร้อมกับไรเฟิลจู่โจมแบบเดียวกันทุกคน และกำลังเล็งมาที่เขา
“วางอาวุธแล้วยอมให้จับแต่โดยดีเถอะ”
เคอร์ดานพูดเรียบๆ เป็นภาษาของชาวโนเบิล ขณะเดินออกมาจากฉากป่าทางด้านหลังของโค้ดเบรกเกอร์ พร้อมไรเฟิลจู่โจมในท่าถือระดับเอว
โค้ดเบรกเกอร์หันหลังกลับไปแล้วสวนกลับอย่างแข็งกร้าว
“ไม่มีวัน พวกสวะชั้นต่ำ พวกเจ้าต่างหากที่ต้องวางอาวุธแล้วยอมจำนนต่อเผ่าพันธุ์อันสูงส่งและยิ่งใหญ่ของเรา”
“งั้นเหรอ ซิลเวอร์มูน”
แล้วเคอร์ดานก็หันไปหาดาร์คเอลฟ์สาวหน้าตาจิ้มลิ้มก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณ เธอพยักหน้าตอบทันทีแล้วหันไปใช้ดวงตากลมโตเพ่งมองไปที่อาวุธของผู้รุกรานก่อนจะทำปากเหมือนผิวปาก ทันใดนั้นก็เกิดเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มลุกพรึบขึ้นในทันทีทันใด โค้ดเบรกเกอร์อุทานออกมาพร้อมกับโยนปืนในมือทิ้งทันที แล้วปืนกระบอกนั้นก็ละลายกลายเป็นของเหลวสีดำในเวลาไม่กี่วินาที ...เวทมนตร์... โค้ดเบรกเกอร์คิด
ภายใต้หมวกไฮเทคที่ครอบไว้ทั้งศรีษะไม่มีใครเห็นหน้าตาของเขาว่าบัดนี้กำลังบึ้งตึงสุดๆ และกำลังขบฟันอยู่ด้วยความโกรธแค้น จนกระทั่งเริ่มแสดงออกมาด้วยการตัวสั่น
“อ้าว กลัวจนตัวสั่นเลยเหรอ ไหนว่าสูงส่งและยิ่งใหญ่ไงล่ะ ทำไมต้องกลัวสวะชั้นต่ำอย่างพวกเราด้วยล่ะ”
ซิลเวอร์มูนเริ่มพูดเยอะเย้ยศัตรูผสมไปกับเสียงหัวเราะ ก่อนจะหัวเราะร่าอย่างดูถูก ความโกรธของโค้ดเบรกเกอร์พุ่งถึงขีดสุดจนระเบิดออกมา แล้วเขาก็คิดว่า ...เปิดอาร์คเอนเจิลส์โคลค...
ทันใดนั้นร่างของเป้าหมายที่ต้องจับเปิดเชลยก็หายวับไปราวกับว่าไม่ได้อยู่มาตั้งแต่ต้นแล้ว ซิลเวอร์มูนชะงักไปทันทีก่อนจะถูกอะไรสักอย่างกระแทกเข้าเต็มคางจนล้มทั้งยืนพร้อมๆ กับที่สลบเหมือดไป
“แยกกัน แยกกัน”
เคอร์ดานออกคำสั่งเต็มเสียงก่อนจะก้มลงอุ้มซิลเวอร์มูนขึ้นมาแล้วหนีไปซ่อน พร้อมๆ กับที่คนอื่นๆ ก็ผละหายเข้าไปในฉากป่า
“ดาร์คมูนถึงทุกคน เปลี่ยนแผน จับเป็นไม่ได้ก็ฆ่าให้ตาย ระวังตัวด้วย เป้าหมายคราวนี้ในประวัติศาสตร์สงครามไม่เคยมีมาก่อนฉันจะใช้ม่านหมอกรัตติกาลพรางตามันให้”
เคอร์ดานสั่งไปยังทุกคนอย่างเร็วก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหวลงแล้วเริ่มท่องมนตร์ม่านหมอกรัตติกาลจนจบบท แล้วกลุ่มหมอกสีดำทะมึนก็เริ่มแผ่ออกมาจากรอบๆ ตัวของเขาด้วยความเร็วเพียงคนวิ่งเร็วๆ
ทางด้านโค้ดเบรกเกอร์ที่หลบหนีไปเพื่อตั้งหลัก เขาได้รับการติดต่อและกำลังสนทนาอยู่ผ่านทางหมวกอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งดูจากภายนอกเหมือนยืนพูดคนเดียว
“ข้าว่าท่านส่งคนมาช่วยข้าดีกว่า พวกสวะมหาประลัยดักซุ่มเล่นงานข้าอยู่ทั่วป่าเป็นสิบเลย”
โค้ดเบรกเกอร์พูดเสียงแข็งกึ่งอ้อนวอน
“ไม่ได้ กลอรี่ลิเบอเรเทอร์ส่วนมากลงไปปฏิบัติการเกือบหมดแล้ว เหลือแต่พวก ‘อาสาทดสอบ’ เท่านั้น พวกเขายังไม่พร้อมหรอก ขืนส่งลงไปก็จะมีแต่ถูกยิงหัวทะลุเปล่าๆ”
มีเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงของชายหนุ่มอายุถ้านับตามชาวโนเบิลแล้วประมาณ 200 ปีเศษ
“แต่ว่าเขาว่าทดสอบในสนามจริงดีกว่าทดสอบในสนามเสมือนจริงนะครับ”
โค้ดเบรกเกอร์ลดเสียงลงพยายามเจรจาถึงที่สุด
“สนามเสมือนจริงตายแล้วไม่ตายจริง แต่สนามจริงตายแล้วไม่ฟื้นนะ... ข้าจะพูดกับเจ้าในฐานะเพื่อนนะเบลเฟกอล ตลอดเวลาที่ข้าอยู่กับเจ้าข้าไม่เคยเห็นเจ้าสติแตกมาก่อนเลย”
เสียงของคู่สนทนาลดลงเหมือนกัน จากประโยคท้ายทำให้โค้ดเบรกเกอร์เริ่มตั้งสติได้แล้วหยุดคิดอะไรสักอย่าง
“แล้วจะให้ข้าทำยังไง”
เบลเฟกอลถามไปพลางมองไปรอบตัว แล้วเขาก็เริ่มเห็นหมอกควันสีดำทะมึนกำลังแผ่ปกคลุมทั่วทั้งป่า
“ข้าลองติดต่อไปยังพื้นที่ใกล้เคียงดูแล้ว แต่พวกเขาไม่กล้าเสี่ยง เพราะเหตุผลว่าเสียคนเดียวดีกว่าเสียหลายคน”
เสียงของเพื่อนดังตอบกลับมาอย่างเรียบๆ แต่ก็พอจับได้ว่าเป็นเสียงที่สั่นเล็กน้อยเพราะความกดดัน
“ก็ถูกของเขานะ แถมตอนนี้พวกสวะเริ่มเล่นงานข้าด้วยเวทมนตร์อีกหนแล้ว จะให้ทำยังไงก็รีบบอกมาเร็วๆ เลย”
น้ำเสียงของเบลเฟกอลเริ่มฟังดูร้อนใจขึ้นพลางกวาดตามองไปยังหมอกสีดำที่เคลื่อนเข้ามาจนกระทั่งคลุมตัวของเขาไว้ทั้งหมด
“เปิดช่องสื่อสารเอาไว้ ตอนนี้พยายามเอาตัวรอดไปก่อน ถ้ามีอะไรคืบหน้าข้าจะแจ้งไป”
“ตกลง”
จากนั้นเขาก็เริ่มออกเคลื่อนที่ด้วยการวิ่งพร้อมกับชักเครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติออกจากคลังแสงจิ๋วขึ้นมากระชับไว้ในมือ ในขณะเดียวทางด้านเคอร์ดาน ที่กำลังจับไรเฟิลซุ่มยิงขึ้นมาประทับเล็งอยู่นั้น ซิลเวอร์มูนก็ฟื้นขึ้นมาแล้วจับขากรรไกรของตนขยับไปมา ตาโตหรี่ลงเพราะความเจ็บปวด ซึ่งแสดงออกมาพร้อมๆ กับเสียงครางเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เคอร์ดานแทบไม่ได้สนใจอะไรกับเสียงเพื่อนดาร์คเอลฟ์สาวฟื้นตัวขึ้น เพียงแต่ออกคำสั่งใหม่อย่างเย็นชาว่า
“เปลี่ยนแปลงเป้าหมาย ให้ฆ่า แล้วก็ระวังด้วยมันหายตัวได้ ในประวัติศาสตร์สงครามของเราไม่เคยมีศัตรูแบบนี้มาก่อน”
ซิลเวอร์มูนไม่พูดอะไร เพียงแต่มองไปรอบๆ ก็เห็นเป็นหมอกสีดำจางๆ จนแทบมองไม่เห็น แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะผละไปโดยเร็วด้วยสีหน้าบึ้งตึง ด้วยความเจ็บใจที่ถูกเล่นงานในระยะประชิดโดยไม่รู้ตัว
ทางด้านเบลเฟกอลนั้นมองไปทางไหนก็เห็นแต่หมอกดำมืด ระยะมองเห็นจริงๆ ก็เพียงแค่ 100 เมตรเท่านั้น แต่ศัตรูของเขานั้นสามารถมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง แถมยังอยู่นอกระยะ 100 เมตร รอบตัว และกำลังเล่นงานเขาด้วยไรเฟิลซุ่มยิง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าถึงจะเปิดระบบตรวจจับทุกระบบภายในชุดก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเวทมนตร์ได้พรางเอาไว้หมดแล้ว ความหวังของเขาจึงมีเพียงการคลำหาเป้าหมายให้พบแล้วฆ่าด้วยเครื่องยิงลูกระเบิดในมือเท่านั้น
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปืนแผดลั่นขึ้น เขาตอบสนองด้วยการวิ่งซิกแซก หัวกระสุนเรียวแหลมพุ่งเข้าฝังเข้าที่ลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่งข้างหน้าเยื้องไปทางซ้ายของเขา ก่อนจะตามด้วยอีกนัด ซึ่งเขาก็วิ่งวนเป็นวงกลมหนึ่งรอบแล้วไปต่อ ลำต้นของต้นไม้ข้างหน้าของเขาห่างออกไปประมาณ 1 เมตรถูกกระสุนนัดนั้นเข้าอย่างจัง
ทางด้านเคอร์ดาน เขากำลังขยับลูกเลื่อนผลัดกระสุนอยู่ขณะเล็งไปที่เบลเฟกอล ก่อนจะยิงอีกนัด แต่เป้าหมายของเขาก็หลบได้อีกครั้งจึงขยับลูกเลื่อนผลัดกระสุนอย่างรวดเร็วแล้วยิงอีกนัดแต่ก็พลาดอีก ในขณะเดียวกันเขาก็เห็นคนอื่นๆ ยิงพลาดเหมือนกัน จึงติดต่อไปยังคนอื่นๆ ว่า
“ใช้เวทมนตร์กระสุนติดตาม ขืนยิงต่อไปจะเสียกระสุนเปล่า”
“กำลังรออยู่เลย”
เสียงที่ขานกลับมาเป็นเสียงของซิลเวอร์มูน ซึ่งมีเสียงกระชากลูกเลื่อนเล็ดลอดเข้ามาด้วย จากนั้นทุกคนจึงเปิดลูกเลื่อนแล้วถอดซองกระสุนออกก่อนจะบรรจุเข้าไปจนเต็มแล้วเริ่มร่ายเวทมนตร์ใส่ซองกระสุนในมือ แล้วจึงใส่เข้าไปใหม่ปิดลูกเลื่อนเข้าที่
และแล้วการระดมยิงก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เสียงโป้งป้างแผดลั่นไปทั่วป่า เบลเฟกอลวิ่งๆ เดินๆ หยุด เลี้ยวซ้ายขวา ล็อกหลบราวนักฟุตบอลเพื่อหลบกระสุนที่พุ่งเข้ามา แต่เขาก็เริ่มคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ...เปิดอาร์คเอนเจิลส์ชีลด์... แล้วเขาก็ไม่เล่นท่าหลบกระสุนอีกต่อไป หัวกระสุนนับสิบที่พุ่งมาจากรอบทิศทาง แทนที่จะพุ่งตรงๆ พวกมันกลับเบนวิถีเข้าหาเป้าหมายของมัน แต่ทว่าเมื่อเข้าไปในระยะเพียงเส้นขนบนร่างกายมันก็ถูกอะไรบางอย่างสะท้อนออก
เหล่าพลซุ่มยิงผู้ปกป้องดาวบ้านเกิดแทบไม่เชื่อสายตาว่าหัวกระสุนลงเวทมนตร์ทั้งหมดพุ่งเข้าเป้าแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกสะท้อนกลับออกมา
“เสริมเวทมนตร์เพิ่มแรงทะลวงเข้าไป”
คำสั่งกระจายออกไปอีกครั้ง แต่คนอื่นๆ ก็ทำไปก่อนที่จะสั่งแล้ว พวกเขาทำแบบเดียวกับที่เสริมเวทมนตร์กระสุนติดตาม ก่อนจะยกปืนขึ้นประทับเล็งค้นหาเป้าหมายแต่ทว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนกระทั่งมีเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีดของชายวัยกลางคนดังขึ้นผ่านมาทางอุปกรณ์สื่อสารก่อนจะตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นหลายครั้งก่อนจะเงียบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดาร์คมูนถึงแรทเทิลสเนค รายงานสถานะด้วย”
เคอร์ดานรีบถามออกไปทันที แต่ผลที่ได้คือ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย แม้เขาจะใจเย็นมากก็ตาม แต่ตอนนี้เขาเกิดรู้สึกตัวเย็นวาบขึ้นมา แต่ภายในใจของเขานั้นกลับตรงข้ามกัน ...ท่าทางจะไม่ธรรมดาซะแล้ว ให้ตายสิวะ ประเมินมันผิดไปจริงๆ... เขาคิด ก่อนจะตัดสินใจออกคำสั่งอีกครั้งว่า
“ยกเลิกการซุ่มโจมตี เข้าไปรุมมันเลยดีกว่า ศัตรูคราวนี้ถึงขั้นฆ่าซูเปอร์โซลเจอร์อย่างเราได้ แปลว่ามันต้องเป็นหน่วยรบแบบเรา แล้วก็อย่าเข้าไปใกล้มันในระยะ 100 เมตร ให้ใช้เวทมนตร์โจมตีมันจากระยะไกลกว่า 100 เมตร ด้วยซีเมก” (ซีเมก = ZMEG = Zantin Magic Executioner Gun)
เมื่อสิ้นคำสั่งเหล่าซูเปอร์โซลเจอร์ก็พากันเปลี่ยนบทบาทจากพลซุ่มยิง มาเป็นพลอาวุธหนัก ก่อนจะเคลื่อนเข้าหาเบลเฟกอลจากรอบทิศทาง มือข้างหนึ่งจับที่ด้ามปืน อีกมือหนึ่งจับที่ด้ามจับหน้า ถือปืนในท่าประทับบ่า ตามองผ่านศูนย์เล็งอิเล็กทรอนิกส์ที่แสดงข้อมูลต่างกันออกไป
ด้วยความโกรธเคืองที่ถูกอัดเข้าเต็มรักที่ปลายคาง ดาร์คเอลฟ์สาวเริ่มเปิดฉากยิงก่อนเป็นคนแรก ด้วยเวทมนตร์ลูกไฟที่เป็นสีฟ้าพุ่งตรงไปยังเป้าหมายที่กำลังคลำทางหาเหยื่อเครื่องยิงลูกระเบิดรายต่อไป
เบลเฟกอลที่กำลังวิ่งไปมาพึ่งสัญชาตญาณของตัวเองเต็มที่ก็หันหลังอย่างกะทันหันแล้วเห็นลูกไฟสีฟ้าลูกใหญ่ตรงเข้าหาในระยะเพียง 12-13 เมตร ก็แทบหงายหลังเพราะความตกใจก่อนจะพุ่งตัวหลบเข้าหลังก้อนหินที่อยู่ใกล้ๆ มันพอดีกับที่ลูกไฟพุ่งเข้าหาตำแหน่งที่เขายืนอยู่พอดี เกิดระเบิดเป็นเสียงฟู่ขึ้นอย่างน่ากลัว ตามด้วยวงแหวนสะเก็ดที่กระจายออกแล้วโดนเข้าอย่างจัง แต่เขาก็ไม่ถูกเผา กลับกันเขาแทบจะไม่เป็นอะไรเลย เว้นแต่มีการปรากฏของสนามพลังงานสีเขียวห่อหุ้มตัวของเขาอยู่ ...ไปแอบซ่อนลอบยิงก็ดีอยู่แล้ว จะยิงเวทมนตร์ใส่เปิดเผยตำแหน่งทำไม... เขาคิด ก่อนจะยกเครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติในมือกระหน่ำหัวระเบิดสวนเส้นทางกับลูกไฟสีฟ้าที่เล่นงานเขา
เกิดระเบิดขึ้นตูมตาม เบลเฟกอลไม่รอช้า รีบรุดเข้าไปยังจุดที่เขายิงกระหน่ำเข้าไป แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากซากต้นไม้พืชพันธุ์ที่ถูกระเบิดแหลกลาญ เขามองซ้ายขวาอย่างลนลานก่อนจะพบกับลูกดอกน้ำแข็งที่ได้รูปเป็นลูกดอกเจาะเกราะจากปืนรถถังพุ่งเข้าใส่ทางขวามือพอดี เขารีบเบี่ยงตัวหลบทันที แต่ด้วยความเร็วที่สูงทำให้เขาหลบไม่พ้น ลูกดอกพุ่งแฉลบเข้าที่สีข้าง แรงกระทำทำให้เขากระเด็นพร้อมกับหมุนคว้างปืนหลุดจากมือก่อนล้มลงกับพื้น อีกครั้งที่ปรากฏสนามพลังงานสีเขียวขึ้นแต่เป็นตรงบริเวณที่ถูกลูกดอกเจาะเกราะ
ทุกการเคลื่อนไหวของนักรบผู้รุกรานอยู่ในสายตาจอมเวทเจ้าบ้านทั้งหมด ทุกคนพยักหน้าอย่างเข้าใจโดยไม่ต้องนัดแนะกันว่าที่แท้จริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้ปืนปกติยิงไม่เข้าก็คือเกราะพลังงานนั้นเอง
เบลเฟกอลรีบลุกขึ้นพุ่งตัวเข้าไปเก็บปืนที่ตกอยู่ แต่ทว่าเขาช้าไป ลูกดอกเจาะเกราะน้ำแข็งอีกนัดหนึ่งพุ่งมาจากอีกทางเข้าทำลายเครื่องยิงลูกระเบิดกระบอกนั้นพังแหลกเละไป เขาจึงกลิ้งตัวหลบพลางชักปืนอีกกระบอกขึ้นมาถือไว้ มันเป็นปืนกระบอกใหญ่ที่เข้าขั้นเป็นปืนใหญ่พกพา ก่อนจะลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นกำแพงเพลิงสีฟ้าก็ซัดเข้ามาทางด้านหน้าพอดี เขาจึงตัดสินใจยกปืนขึ้นเล็งแล้วเหนี่ยวไกยิงออกไปอย่างรวดเร็วเกิดเป็นเสียงซ่าดังติดต่อกันแบบถี่ยิบ กระสุนพลาสมาสีทองเหลืองพุ่งออกเป็นเป็นแนวเดียวกันสวนทางกับกำแพงเพลิง ก่อนจะมีเสียงร้องเสียงหลงแหลมของผู้หญิงดังตอบกลับมา แต่ก็ต้องแลกด้วยการถูกอาบได้ไฟอันร้อนแรงจากเวทมนตร์เข้าเต็มเปา แล้วตัวของเขาก็เขียวขจีราวกับหยกไปทั้งตัวรวมทั้งปืนที่ถืออยู่ด้วย แต่จากนั้นมันก็ตามมาด้วยลูกดอกเจาะเกราะน้ำแข็งจากรอบทิศทาง
เบลเฟกอลคิดว่าเขาต้องตายแน่ๆ แต่ทันใดนั้นเองอยู่ๆ ตรงหน้าเขาก็เกิดปรากฏการณ์มิติอากาศบิดเบี้ยวจากนั้นก็มีทหารหญิงคนหนึ่ง ซึ่งสวมเครื่องแต่งกายเหมือนกับเขาโผล่ออกมา หันเข้าหาเบลเฟกอลก่อนจะกอดเอาไว้ แล้วจากไปโดยวิธีเดียวกับที่มา ลูกดอกเจาะเกราะที่พุ่งเข้ามาต่างจั่วลมกันหมด สร้างความตะลึงให้กับเหล่าจอมเวทเจ้าบ้านไม่น้อย ต่างครางออกมาอย่างเสียดาย บ้างก็บ่นกันให้แซด บ้างก็นิ่งเฉย บ้างก็เคืองใจแสดงออกอย่างก้าวร้าว แต่ทันใดนั้นเองทุกคนก็ชะงักลง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักปานกลางซอยถี่ประมาณคนเดินเร็วกำลังใกล้เข้ามา เมื่อสายตาทุกคู่หันไปจับจ้องก็เห็นชายร่างใหญ่ผิวเขียววัยกลางคน หน้าตาดูหล่อเข้มถือไรเฟิลซุ่มยิงในท่าเฉียงอาวุธเดินจ้ำเข้ามา
“เฮ่ ฉันพลาดอะไรบ้างเนี่ย แล้วมันไปไหนแล้ว”
เสียงใหญ่ของออร์ควัยกลางคนดังถามขึ้นอย่างงงๆ ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะมีเสียงชายคนหนึ่งตอบว่า
“แกพลาดเกมกระหน่ำเวทว่ะ ถ้ามีแกมาแจมด้วยมันคงหนีไปไม่ทันหรอก”
“ฮ้า หนีไปเหรอ หนีไปได้ยังไง เวทม่านหมอกของเคอร์ดานก็หนาซะขนาดนี้...”
ออร์คคนนั้นอุทานดังลั่นอย่างไม่เชื่อหูแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“แล้วทางด้านเราเป็นไงบ้างล่ะ”
“เราเสียแบลคเนพาล์มไป โดนปืนใหญ่พลาสมาเข้าเต็มๆ เลย ว่าแต่ทางด้านแกเหอะ แรทเทิลสเนค ไม่ตายทำไมไม่รายงานสถานะวะ”
ก่อนที่ออร์คคนนั้นจะเอ่ยปากพูดอะไรต่อไป เคอร์ดานก็ตัดบทซะก่อน
“ภารกิจล้มเหลว มีคนตายหนึ่ง ไปกันเถอะ”
ณ จุดรวมพลของกองทัพโนเบิล ทุกอย่างเรียบง่าย ยุทโธปกรณ์ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบๆ เป็นมุมๆ ไป เต็นท์ทรงผ่ากระบอก ซึ่งสร้างจากวัสดุอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่สะท้อนแสงถูกจัดวางเป็นแถวๆ เหล่านักรบโนเบิลนับร้อยนายกำลังทำกิจกรรมของพวกตนอยู่เป็นปกติเพื่อรอคำสั่งใหม่ โดยไม่ได้สวมชุดรบเต็มที่โดยถอดหมวกออก ภายใต้หมวกรบพวกเขาก็มีรูปลักษณ์คล้ายเอลฟ์ เพียงแต่มีสีผิวคล้ำกว่า และสีผมก็ออกเป็นสีทอง เงิน และบลอนด์เป็นส่วนมาก
อยู่ๆ บริเวณลานกว้างกลางที่รวมพล มิติอากาศบิดเบี้ยว ทหารชายหญิงคู่หนึ่งโผล่มายืนเด่นอยู่โดยฝ่ายหญิงกอดฝ่ายชาย สายตาทุกคู่หันมาจับจ้อง ฝ่ายหญิงก็คลายอ้อมกอดทันทีแล้วถอดหมวกรบออก เธอเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาดุ แต่ก็แฝงไปด้วยความน่ารัก ผมยาวปรกบ่าสีเงิน แววตาดุดัน นัยน์ตาสีแดง ที่เข้ากับทรงหน้าที่ได้รูปพอดี และหุ่นที่เหมือนนักกีฬา ทำให้เหล่าทหารที่อยู่รอบๆ จ้องเธอตาเป็นมันโดยมองข้ามสีหน้าของเธอไปง่ายๆ
ฝ่ายชายถอดหมวกออกบ้างก็โคลงหัวไปมาทันทีแล้วถอนหายใจยาวเรียกความสดชื่น เขาเป็นคนที่มีใบหน้าราวกับเด็กที่มีอายุไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำของทหาร ผมด้านหน้าก็ลงมาปิดตาจนแทบมองจากภายนอกไม่เห็นตา ทรงหน้าเรียวกับใบหน้าที่ดูไร้เดียงสา ทำให้เหล่าทหารรอบๆ ซุบซิบกันให้แซดด้วยความข้องใจ ทันใดนั้นเขาก็ได้รับการติดต่อมา
“จัสติสคิงถึงโค้ดเบรกเกอร์ ได้ยินแล้วตอบด้วย”
เป็นเสียงของเพื่อนนายทหารระดับสูงของเขาเอง
“โค้ดเบรกเกอร์”
เบลเฟกอลตอบเรียบๆ
“ว่าไง เบลเฟกอล เจ้าเป็นยังไงบ้าง”
เพื่อนนายทหารถามด้วยน้ำเสียงดีใจ แต่เบลเฟกอลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเล็กน้อย
“เกือบตายไง ทำไมถึงช้านัก”
“มีเรื่องเถียงกับเบื้องบนนิดหน่อย สุดท้ายข้าก็ชนะ แล้วก็ส่งคนลงไปช่วยเจ้าไว้ไง”
“ข้าชื่อ เรเวน ราร์ค รหัสเรียกขาน แบลคไนท์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ทหารหญิงผู้ช่วยชีวิตเบลเฟกอลแนะนำตัวเรียบๆ
“ข้าชื่อ เบลเฟกอล ราฟาเซีย รหัสเรียกขาน โค้ดเบรกเกอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เบลเฟกอลหันมาหาผู้ช่วยชีวิตของเขาแล้วแนะนำตัวบ้าง
“เอาล่ะ คงจะรู้จักกันแล้วนะ ถ้างั้นข้าไปก่อนล่ะ จนกว่าจะมีคำสั่งใหม่ เชิญพักได้ตามสบาย”
นักรบโนเบิลคนหนึ่งที่สวมชุดที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นซึ่งดูเหมือนจะมีตำแหน่งสูงกำลังยืนคุยกับทหารของเขาอยู่ รวมทั้งสิ้น 18 คนไม่รวมตัวของเขา
“เหลือรอดอยู่แค่นี้เหรอ”
เขาเอ่ยถามขึ้นอย่างเรียบๆ
“ค่ะ ลงมาถึงก็ฉะกับพวกสวะมหากาฬเลย”
หนึ่งในกลุ่มทหารตอบพลางหันไปมาอย่างหวาดระแวง
“มองโลกในแง่ดี เหลือรอดน้อย ยังดีกว่าไม่รอดเลย เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่า เมื่อกี้นี้ข้าได้รับการติดต่อจากพวกที่จุดรวมพล พวกเขาแจ้งว่าพวกเขาสูญเสียกำลังพลไปมากไม่ต่างจากเราเท่าไหร่ แต่โชคดีที่วัตถุปัจจัยของพวกเขาไม่ได้สูญเสียไปเหมือนกำลังพล พวกเขาต้องการให้พวกเรา และกลุ่มอื่นๆ ไปรวมพลที่นั่นโดยด่วนที่สุด พวกเขาจะเคลื่อนพลไปให้พ้นๆ จากพื้นที่แถบนี้ ทายซิเพราะอะไร”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ บอกเล่าเหตุการณ์ด้านเขาที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ และประโยคสุดท้ายก็ถามพลางมองไปยังทุกคนด้วยน้ำเสียงกึ่งหัวเราะ เพื่อพยายามทำบรรยากาศให้ลดความตึงเครียดลง แต่ทุกคนกลับเงียบ
“รู้ใช่มั้ย เอาล่ะ ก็ยังดีกว่าเจอเป็นกองทัพ ก็แค่พวกขี้ขลาดที่ไม่กล้าสู้ตรงๆ เท่านั้นแหละ หวังว่าทุกท่านคงไม่กลัวพวกขี้ขลาดพวกนี้นะ”
“พวกเราไม่กลัว”
เหล่าทหารชาวโนเบิลขานรับพร้อมกันอย่างขันแข็ง
ชายผู้บังคับบัญชายิ้มอย่างพอใจภายใต้หน้ากากที่เป็นส่วนหนึ่งของชุด
“แถวเดี่ยว ข้าคุมตรงกลาง พยายามหลีกเลี่ยงที่แจ้งเอาไว้ ไปได้”
แล้วทั้งหมดก็เคลื่อนที่ออกไป โดยตัดเข้าดงข้างทางเป็นอันดับแรกโดยเดินเรียงเดี่ยว
ผ่านศูนย์เล็งกล้องซุ่มยิงอิเล็กทรอนิกส์จับเป้าคนรั้งท้ายไว้พร้อมทั้งกำหนดจุดยิงพร้อม เพียงแค่เหนี่ยวไกเท่านั้นหัวกระสุนเรียวแหลมก็จะพุ่งออกไปเข้าเป้า ซึ่งเป็นหัวส่วนหลังของนักรบโนเบิลคนนั้นทันที
ดวงตาสีดำไร้แววมองผ่านศูนย์กล้องอย่างสบายๆ ซึ่งเจ้าของดวงตานั้นเป็นชายหนุ่มเผ่าเอลฟ์รูปร่างผอมบางจนเป็นกึ่งชายกึ่งหญิงเช่นเดียวกับใบหน้า ผมสีดำที่ดูจะยาวมากก็มัดรวบไว้เพื่อความไม่เกะกะ สวมเครื่องแต่งกายสีดำสนิท เสื้อแขนกุดรัดรูป กางเกงขายาวเปิดข้อเท้า รองเท้าหนัง และกำไลไม้มนตร์ดำที่ข้อมือข้างซ้าย ภายนอกเป็นผ้าคลุมที่ดูเหมือนขาดรุ่งริ่งสีเขียวกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมรอบกาย ส่วนที่เผยให้เห็นก็มีเพียงเลนส์หน้าของศูนย์กล้องที่ไม่มีการสะท้อนแสงกับปากลำกล้องปืน ซุ่มอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งหลังขบวนออกไปประมาณ 15-16 เมตร ดูเผินๆ เหมือนต้นไม้รกๆ ต้นหนึ่ง
“ดาร์คมูนเรียกทุกคน เป้าหมายเคลื่อนไปทางเหนือ จับเป็นคนที่แต่งชุดต่างจากคนอื่น ย้ำ จับเป็นคนที่แต่งชุดต่างจากคนอื่น แล้วก็ต่อจากนี้เราจะงดการสื่อสารด้วยคำพูด ให้ใช้รหัสมอร์สแทน”
เมื่อเอลฟ์หนุ่มพูดจบก็ปล่อยมือขวาออกจากด้ามปืนไปจับอยู่ที่อัญมณีสีดำทรงกลมใหญ่ที่สุดที่ฝังเด่นอยู่ในกำไลข้อมือแล้วดึงเอาด้ามอะไรสักอย่างหนึ่งมีลักษณะเหมือนด้ามจับจอยสติกมีปุ่มอยู่บนยอด เขาบรรจงกดปุ่มนั้นเป็นรหัสมอร์สว่า
‘ซิลเวอร์มูน เธอเป็นคนเปิดฉากยิงเป็นคนแรก พยายามสร้างความวุ่นวายให้มากที่สุด ฉันจะใช้เวทมนตร์พรางตาพวกนี้ให้ เปลี่ยน’
จากนั้นก็มีเสียงกดตอบมาว่า
‘ทราบแล้ว เคอร์ดาน รับรองว่างานนี้สนุกแน่ เปลี่ยน’
สิ้นเสียงกดรหัสเขาก็กดรหัสสวนกลับไปทันที
‘นี่เวลางานนะซิลเวอร์มูน เรียกรหัสสิ เปลี่ยน’
‘จ้าๆ ทราบแล้วดาร์คมูน เลิกกัน’
แล้วเขาก็เก็บแท่งกดรหัสกลับเข้าไปในกำไลข้อมือ ก่อนจะเริ่มทำปากขมุบขมิบร่ายเวทมนตร์ขณะที่มือทั้งสองข้างกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม
ทางด้านของเหล่านักรบโนเบิลที่กำลังเดินทางไปที่จุดรวมพลด้วยความระวังภัยสุดขีด ต่างคนต่างกวาดปืนในมือไปรอบๆ ตัวพรางตาก็กวาดมองอย่างพยายามสังเกตอะไรให้มากที่สุด แต่ก็ไม่เห็นอะไรมากไปกว่าต้นไม้ใบหญ้า พืชพันธุ์ต่างๆ ที่รายล้อมรอบตัว แต่เมื่อเดินกันไปได้ประมาณ 10 นาทีเศษ ก็มีเสียงดังเป๊ง จากนั้นทหารคนที่เดินนำหน้าก็ล้มลงทั้งยืนไปทางซ้าย มีเลือดไหลออกจากบริเวณขมับด้านซ้ายเจิ่งนองกับพื้นดิน เหล่าพรรคพวกที่ตามหลังมาต่างหลบฉากเข้าข้างทางหมดรวมทั้งผู้ที่มียศสูงที่สุดในกลุ่มด้วย
“อาวุธไร้เสียง เปิดระบบตรวจจับอินฟราเรด”
หัวหน้าชุดออกคำสั่งเสียงเบาพอได้ยินกัน จากนั้นเขาก็ชักไรเฟิลจู่โจมออกมาจากมีดที่เป็นเพชรทั้งเล่มที่คาดไว้ที่เอว ซึ่งมีปืนลูกซองพลาสมาติดใต้ลำกล้องมาพร้อมด้วย พลางสายตาก็ตรวจหาที่มาของกระสุนปืนที่พุ่งเข้าเจาะหัวของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาคนหนึ่งผ่านทางระบบตรวจหาอินฟราเรดที่แสดงผ่านแว่นที่ติดกับหมวก แต่ไม่พบอะไร เขาเริ่มมีความรู้สึกเย็นวาบขึ้นที่สันหลัง ...ถ้าไม่ใช่เทคโนโลยีพรางตัวก็คงจะเป็นเวทมนตร์แน่ๆ... เขาคิด
“เปิดระบบตรวจจับทุกระบบ...”
เขาออกคำสั่งอีกครั้ง
“ถ้าไม่จำเป็นอย่ายิงอะไร ถ้าไม่อยากตาย”
คราวนี้น้ำเสียงของเขาฟังดูเครียดขรึมลงมาก ทุกคนรู้ว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไร
ห่างออกไปทางด้านตะวันออกประมาณ 300 เมตร มีดาร์คเอลฟ์สาวกำลังนอนคว่ำตั้งไรเฟิลซุ่มยิงลูกเลื่อนอยู่เป็นแบบเดียวกับที่เอลฟ์หนุ่มผู้จัดการนัดแนะการปฏิบัติการใช้ นัยน์ตาสีเทากลมโตของเธอปิดไปข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งมองผ่านเลนส์กล้องซุ่มยิง เธอแต่งกายด้วยชุดผ้าหนังบางสั้นกุด สวมทับด้วยเสื้อโค้ทแขนกุด และสวมรองเท้าบู๊ทหนัง เป็นสีดำทั้งชุด ส่วนผมยาวๆ ก็รวบไว้แบบเดียวกับเอลฟ์หนุ่มเพื่อความคล่องตัว ผิวสีเทาอมฟ้าของเธอแทบจะกลืนไปกับพื้นหินสีเทาเกลี้ยง น่าแปลกไม่เธอไม่ได้แสดงอาการร้อนเลยแม้แต่นิด ตรงข้ามใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าหยิกกลับยิ้มออกมาอย่างสบายๆ อารมณ์ เหงื่อสักเม็ดก็ไม่มี
เธอหยิบแท่งที่มีหน้าตาเหมือนกับที่เอลฟ์หนุ่มใช้ เอามากดเป็นรหัสมอร์สส่งไปยังเครื่องรับอื่นๆ ว่า
‘ซิลเวอร์มูนถึงทุกคน เป้าหมายและคณะไม่แตกตื่น พวกนี้ใจเด็ด ท่าทางจะเข้าไปจับกุมมาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว เปลี่ยน’
จากนั้นก็มีเสียงตอบกลับมาเป็นรหัสเคาะว่า
‘พวกเรารับทราบแล้ว เลิกกัน’
จากนั้นเธอก็พับขาทรายไรเฟิลซุ่มยิงแล้วลุกขึ้นยืน แล้วคำถามก็ได้คำตอบว่าทำไมเธอถึงไม่รู้สึกร้อนบ้างเลย เพราะแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่เกิดจากเวทมนตร์ของเธอนั่นเอง แล้วเธอก็หันหลังเดินไปเพื่อย้ายที่ซุ่มยิง
ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นแนวตรงกับคณะทหารโนเบิลพอดีห่างออกมา 700 เมตร โทรลสาวในชุดลายพรางป่าก็กำลังนั่งพิงต้นไม้ที่สูงเป็นสองเท่าของความสูงของเธอ ในมือเป็นไรเฟิลซุ่มยิงลูกเลื่อน เธอเบี่ยงตัวออกไป ยกปืนขึ้นประทับเล็งก่อนจะปลดห้ามไก บรรจงเล็งผ่านศูนย์กล้องอย่างประณีต ซึ่งมันก็คำนวณวิถีกระสุนให้เสร็จสรรพ เธอเล็งไปที่นักรบแห่งกองทัพผู้ดีที่อยู่รั้งท้ายสุด แล้วเหนี่ยวไก ปืนของเธอแผดเสียงดังลั่นปล่อยหัวกระสุนเรียวแหลมขนาด 7.5 มิลลิเมตรพุ่งไปที่เป้าของมัน ซึ่งก็คือส่วนหัวกลางแสกหน้า แล้วการกระทำของเธอก็เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ดันก้านลูกเลื่อนขึ้น ดึงเข้าหาตัว ปลอกกระสุนที่ไร้หัวกระสุนถูกดีดออกจากรังเพลิง ผลักกลับเข้าที่กระสุนนัดใหม่เลื่อนเข้าสู่รังเพลิง จากนั้นก็กดก้านลูกเลื่อนเข้าที่
ทางด้านของคณะทหารโนเบิล ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาเลย จนกระทั่งมีเสียงแบบเดียวกับเมื่อก่อนที่ทหารคนที่เดินนำหน้าจะล้มลงไปดังขึ้น ร่างที่นั่งยองอยู่ก็ล้มลงไปดื้อๆ พร้อมกับรูกระสุนกลางแสกหน้า อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้ารอดได้ก็เหนือมนุษย์ ในขณะเดียวกันเมื่อเสียงดังขึ้นสายตาทุกคู่ของฝ่ายโนเบิลก็หันไปมองที่ต้นเสียงแต่ก็ไม่มีใครแสดงอาการอะไรออกมาเว้นแต่หัวหน้าคณะ
“ฮึ่ม...”
เขาคำรามจากลำคออย่างเหลืออด
“ไปเถอะ”
น้ำเสียงของเขาแข็งขึ้นเรื่อยๆ สิ้นเสียงก็มีคนค้านว่า
“ถ้าเราเคลื่อนที่เราไม่เป็นเป้าซ้อมให้พวกมันเหรอครับ”
“เป้าเคลื่อนที่ยังดีกว่าเป้านิ่งแล้วกัน ไปได้แล้ว แล้วก็ภาวนาไว้ด้วยว่าจะมีคนส่งกำลังมาช่วยพวกเรา”
กลับไปทางด้านโทรลสาวผู้ลั่นไกสังหารศพที่ 2 ต่อจากซิลเวอร์มูน เธอหยิบแท่งกดรหัสออกมาแล้วส่งรหัสบอกกับทุกคนว่า
‘แอลอาร์มาม่า ถึงทุกคน เป้าหมายเริ่มเคลื่อนที่ต่อแล้ว เปลี่ยน’
จากนั้นก็มีเสียงกดตอบมา
‘ดาร์คมูน ทราบแล้ว แอลอาร์มาม่า ดำเนินการต่อไปได้เลย เปลี่ยน’
‘โอเค รับรองว่านรกแตกยังอาย เลิกกัน’
เมื่อสิ้นสุดการกดรหัส เธอก็เก็บแท่งกดรหัสเข้าที่ก่อนจะเริ่มทำปากขมุบขมิบท่องมนตร์อะไรสักอย่าง
กลับไปทางด้านของเหล่าขบวนทหารโนเบิลที่กำลังเดินกันไปอย่างหวาดระแวง ไม่มีใครเดาถูกว่าใครจะเป็นรายต่อไป อาจจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในกลุ่มก็ได้ หรืออาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม หรืออาจจะเป็นตัวเอง ทุกคนกำลังคิดแบบนี้ ยกเว้นหัวหน้าคณะผู้ซึ่งเริ่มพอจะเดาใจของเหล่าพลซุ่มยิงฝ่ายเอไพด์เมียร์ออก ...ท่าทางจะจับเป็นข้าละสิ ไม่มีทาง... เขาคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงล้อสายพานของรถถัง และฟังดูจะมีจำนวนมากด้วย น่าจะระดับกองพันขึ้นไป มันค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะคงระดับเสียงไว้ จากนั้นก็มีเสียงของเท้าหุ่นยนต์ขนาดใหญ่ดังมาจากข้างหลัง หลายคนเริ่มหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างยินดี
“ท่านคะ ข้าคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่เราจะหลบหนีโดยอาศัยจังหวะที่พวกเรากับพวกสวะต่อสู้กันนะคะ”
หนึ่งในกลุ่มเสนอความคิดเห็นขึ้น แทบทุกคนต่างเอ่ยปากเห็นชอบด้วย ยกเว้นหัวหน้าคณะกับทหารคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเขา ซึ่งออกความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป แต่เป็นการกระซิบบอก
“ท่านครับ ข้าไม่คิดว่าจะมีการปะทะใหญ่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าเคยได้ยินมาจากทหารผ่านศึกจากสงครามระหว่างเรากับพวกสวะครั้งที่สองว่า พวกสวะมีพลังเหนือธรรมชาติสร้างอาณาเขตทำให้ศัตรูเกิดจิตหลอนขึ้นมาได้”
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน พวกเราถูกยิงตายไปสองคน เรามองไปรอบๆ ผ่านระบบตรวจจับทุกอย่าง แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากป่ากับพวกเรา ข้าสันนิฐานว่าถ้ามันไม่ใช่เทคโนโลยีอำพรางชั้นยอดมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่พวกสวะมีแต่เราไม่มี”
เขากระซิบตอบไปเช่นเดียวกัน
“ท่านหมายถึงเวทมนตร์เหรอ”
“ใช่ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ตอนนี้พวกเรากำลังประสาทหลอนอยู่เพราะเวทมนตร์ของพวกมัน”
แล้วเขาก็หันมาพยักหน้าให้กับทหารที่ปรึกษากับเขา
“อย่าไปหลงเชื่อเสียงพวกนี้ ไม่มีการปะทะกันเกิดขึ้นที่นี่หรอก นี่เป็นอุบายของพวกสวะพวกมันหวังให้เราวิ่งเข้ากับดักของพวกมัน”
เมื่อมีต่างความคิดก็เริ่มมีการแตกคอกันเกิดขึ้น ทหารหญิงที่พูดขึ้นเกี่ยวกับเสียงเป็นคนแรกก็ถามอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“เจ้าเอาอะไรมาพูด เจ้าก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ ทางนู้นก็ยกมาเป็นกองทัพ ข้างหลังเราก็มาเป็นกองทัพ”
“ข้าว่าเจ้าฟังเขาไว้หน่อยก็ดีนะ...”
หัวหน้าคณะออกเสียงสนับสนุนมาอีกเสียงหนึ่ง
“ข้าก็ได้ยินเสียงอย่างว่าเหมือนกัน พวกเราทุกคนได้ยินหมด แต่เจ้าไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ ยานเกราะของพวกสวะมาทางเหนือ ทางที่เราจะบ่ายหน้าไปที่จุดรวมพล ส่วนหุ่นยนต์รบของพวกเรามาทางใต้ ถ้ามีกองกำลังของพวกเราอยู่ทางใต้ใกล้ๆ กับพวกเราจริงพวกเขาก็ต้องแจ้งให้เรารู้นานแล้ว ถ้ามียานเกราะของพวกสวะมาทางเหนือจริงกองกำลังของพวกเราทางเหนือไม่ถูกบดขยี้ย่อยยับไปหมดแล้วเหรอ อีกอย่างถ้ามีกองยานเกราะระดับกองพันอย่างต่ำ 2 กองพันเคลื่อนที่เข้ามาปกติต้องมีเสียงป่าแตก แต่ทำไมถึงไม่มีเสียงป่าแตก อีกทั้งพวกเราถูกยิงตายไปสองคนแต่ก็ไม่มีเสียงแถมมองไปรอบๆ ด้วยระบบตรวจจับทุกชนิดแต่ก็ไม่พบอะไรเลย ข้าว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเวทมนตร์ของพวกสวะมากกว่า”
ด้วยเหตุผลของหัวหน้าคณะทำให้ทหารหญิงคนนั้นคิดได้ และเริ่มสังเกตและคิดทบทวน มันเป็นจริงทุกอย่างตามที่เขากล่าวมา แต่แม้เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกอย่างเยือกเย็น แต่ในใจของเขานั้นร้อนรุ่มราวกับอยู่กลางพายุไฟ พยายามบังคับร่างกายไม่ให้หัวใจเต้นแรง แต่มันก็เต้นแรงจนสังเกตได้
“โค้ดเบรกเกอร์ ท่านเป็นอะไรไปรึเปล่าครับ”
ทหารคนที่บอกกับเรื่องที่จะไม่มีการปะทะกันขึ้นเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร”
เป็นคำตอบสั้นๆ ที่เป็นน้ำเสียงเรียบๆ แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนโค้ดเบรกเกอร์กำลังหงุดหงิด หงุดหงิดอย่างแรง และกำลังจะเดือด
ทั้ง 17 คน เดินทางต่อไปตามปกติอย่างเร็วพลางระวังตัวมองหาพลซุ่มยิงของข้าศึกไปด้วย กลับไปทางด้านโทรลสาวที่กำลังเฝ้าดูการเคลื่อนที่ผ่านศูนย์กล้องไรเฟิลซุ่มยิงอยู่ เธอหยิบแท่งกดรหัสขึ้นมาอีกครั้งแล้วกดรหัสส่งไปยังทุกคนว่า
‘แอลอาร์มาม่าถึงทุกคน เป้าหมายไม่หลงกล ท่าทางจะยากกว่าที่คิด มีคำแนะนำอะไรมั้ย เปลี่ยน’
‘ดาร์คมูนถึงทุกคน ฉันจะคลายม่านหมอกรัตติกาลแล้วหยุดการเคลื่อนที่ของพวกมันให้ จากนั้นพวกนายทุกคนก็จัดการตามจุดหมาย เปลี่ยน’
‘ทราบแล้ว เลิกกัน’
แล้วเธอก็เก็บทั้งแท่งกดรหัสและไรเฟิลซุ่มยิงเข้าคลังแสงส่วนตัวไปแล้วเปลี่ยนเป็นลูกซองจู่โจมแทนก่อนจะเดินออกจากตำแหน่งซุ่มยิงเพื่อย้ายที่
ทางด้านเคอร์ดานนั้นเขาหยุดอยู่กับที่แล้วเริ่มร่ายมนตร์บางอย่าง
“สลาย”
เขาเอ่ยออกมาอย่างเรียบๆ ก่อนจะวิ่งต่อไปผ่านภูมิประเทศที่เป็นป่ารกโดยพยายามไม่ทำเสียงอะไร ในมือถือปืนลูกซองจู่โจมมั่นในท่าเฉียงอาวุธพร้อมจะยิงศัตรูหน้าไหนก็ได้ที่พบ เมื่อวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็ชูปืนขึ้นฟ้าแล้วเหนี่ยวไกยิงขึ้นนัดหนึ่ง ปืนลูกซองในมือระเบิดกระสุนลูกปรายขึ้นไปตามแรงส่ง เสียงแผดกระจายไปทั่วป่า ตามมาด้วยเสียงป่าแตก และแน่นอนทางด้านของขบวนทหารแห่งกองทัพผู้ประเสริฐก็ต้องหยุดชะงักลงด้วยแล้วพยายามฟังเสียง จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า
“ลงมือได้!!!”
จากนั้นก็มีเสียงแผดดังลั่นของไรเฟิลซุ่มยิงมาจากรอบทิศทาง ทหารผู้ใต้บังคับบัญชาถูกยิงหัวทะลุร่วงล้มลงกองกับพื้นเป็นใบไม้ร่วง จนกระทั่งเหลือเขายืนอยู่คนเดียว เขาหมุนตัวมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ
ภายในไม่กี่วินาที ก็มีคนโผล่ออกมาจากรอบด้าน เอลฟ์ ดาร์คเอลฟ์ โทรล มนุษย์ ออร์ค และรวมทั้งลูกครึ่งเผ่าพันธุ์อีกหลายคน พร้อมกับไรเฟิลจู่โจมแบบเดียวกันทุกคน และกำลังเล็งมาที่เขา
“วางอาวุธแล้วยอมให้จับแต่โดยดีเถอะ”
เคอร์ดานพูดเรียบๆ เป็นภาษาของชาวโนเบิล ขณะเดินออกมาจากฉากป่าทางด้านหลังของโค้ดเบรกเกอร์ พร้อมไรเฟิลจู่โจมในท่าถือระดับเอว
โค้ดเบรกเกอร์หันหลังกลับไปแล้วสวนกลับอย่างแข็งกร้าว
“ไม่มีวัน พวกสวะชั้นต่ำ พวกเจ้าต่างหากที่ต้องวางอาวุธแล้วยอมจำนนต่อเผ่าพันธุ์อันสูงส่งและยิ่งใหญ่ของเรา”
“งั้นเหรอ ซิลเวอร์มูน”
แล้วเคอร์ดานก็หันไปหาดาร์คเอลฟ์สาวหน้าตาจิ้มลิ้มก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณ เธอพยักหน้าตอบทันทีแล้วหันไปใช้ดวงตากลมโตเพ่งมองไปที่อาวุธของผู้รุกรานก่อนจะทำปากเหมือนผิวปาก ทันใดนั้นก็เกิดเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มลุกพรึบขึ้นในทันทีทันใด โค้ดเบรกเกอร์อุทานออกมาพร้อมกับโยนปืนในมือทิ้งทันที แล้วปืนกระบอกนั้นก็ละลายกลายเป็นของเหลวสีดำในเวลาไม่กี่วินาที ...เวทมนตร์... โค้ดเบรกเกอร์คิด
ภายใต้หมวกไฮเทคที่ครอบไว้ทั้งศรีษะไม่มีใครเห็นหน้าตาของเขาว่าบัดนี้กำลังบึ้งตึงสุดๆ และกำลังขบฟันอยู่ด้วยความโกรธแค้น จนกระทั่งเริ่มแสดงออกมาด้วยการตัวสั่น
“อ้าว กลัวจนตัวสั่นเลยเหรอ ไหนว่าสูงส่งและยิ่งใหญ่ไงล่ะ ทำไมต้องกลัวสวะชั้นต่ำอย่างพวกเราด้วยล่ะ”
ซิลเวอร์มูนเริ่มพูดเยอะเย้ยศัตรูผสมไปกับเสียงหัวเราะ ก่อนจะหัวเราะร่าอย่างดูถูก ความโกรธของโค้ดเบรกเกอร์พุ่งถึงขีดสุดจนระเบิดออกมา แล้วเขาก็คิดว่า ...เปิดอาร์คเอนเจิลส์โคลค...
ทันใดนั้นร่างของเป้าหมายที่ต้องจับเปิดเชลยก็หายวับไปราวกับว่าไม่ได้อยู่มาตั้งแต่ต้นแล้ว ซิลเวอร์มูนชะงักไปทันทีก่อนจะถูกอะไรสักอย่างกระแทกเข้าเต็มคางจนล้มทั้งยืนพร้อมๆ กับที่สลบเหมือดไป
“แยกกัน แยกกัน”
เคอร์ดานออกคำสั่งเต็มเสียงก่อนจะก้มลงอุ้มซิลเวอร์มูนขึ้นมาแล้วหนีไปซ่อน พร้อมๆ กับที่คนอื่นๆ ก็ผละหายเข้าไปในฉากป่า
“ดาร์คมูนถึงทุกคน เปลี่ยนแผน จับเป็นไม่ได้ก็ฆ่าให้ตาย ระวังตัวด้วย เป้าหมายคราวนี้ในประวัติศาสตร์สงครามไม่เคยมีมาก่อนฉันจะใช้ม่านหมอกรัตติกาลพรางตามันให้”
เคอร์ดานสั่งไปยังทุกคนอย่างเร็วก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหวลงแล้วเริ่มท่องมนตร์ม่านหมอกรัตติกาลจนจบบท แล้วกลุ่มหมอกสีดำทะมึนก็เริ่มแผ่ออกมาจากรอบๆ ตัวของเขาด้วยความเร็วเพียงคนวิ่งเร็วๆ
ทางด้านโค้ดเบรกเกอร์ที่หลบหนีไปเพื่อตั้งหลัก เขาได้รับการติดต่อและกำลังสนทนาอยู่ผ่านทางหมวกอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งดูจากภายนอกเหมือนยืนพูดคนเดียว
“ข้าว่าท่านส่งคนมาช่วยข้าดีกว่า พวกสวะมหาประลัยดักซุ่มเล่นงานข้าอยู่ทั่วป่าเป็นสิบเลย”
โค้ดเบรกเกอร์พูดเสียงแข็งกึ่งอ้อนวอน
“ไม่ได้ กลอรี่ลิเบอเรเทอร์ส่วนมากลงไปปฏิบัติการเกือบหมดแล้ว เหลือแต่พวก ‘อาสาทดสอบ’ เท่านั้น พวกเขายังไม่พร้อมหรอก ขืนส่งลงไปก็จะมีแต่ถูกยิงหัวทะลุเปล่าๆ”
มีเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงของชายหนุ่มอายุถ้านับตามชาวโนเบิลแล้วประมาณ 200 ปีเศษ
“แต่ว่าเขาว่าทดสอบในสนามจริงดีกว่าทดสอบในสนามเสมือนจริงนะครับ”
โค้ดเบรกเกอร์ลดเสียงลงพยายามเจรจาถึงที่สุด
“สนามเสมือนจริงตายแล้วไม่ตายจริง แต่สนามจริงตายแล้วไม่ฟื้นนะ... ข้าจะพูดกับเจ้าในฐานะเพื่อนนะเบลเฟกอล ตลอดเวลาที่ข้าอยู่กับเจ้าข้าไม่เคยเห็นเจ้าสติแตกมาก่อนเลย”
เสียงของคู่สนทนาลดลงเหมือนกัน จากประโยคท้ายทำให้โค้ดเบรกเกอร์เริ่มตั้งสติได้แล้วหยุดคิดอะไรสักอย่าง
“แล้วจะให้ข้าทำยังไง”
เบลเฟกอลถามไปพลางมองไปรอบตัว แล้วเขาก็เริ่มเห็นหมอกควันสีดำทะมึนกำลังแผ่ปกคลุมทั่วทั้งป่า
“ข้าลองติดต่อไปยังพื้นที่ใกล้เคียงดูแล้ว แต่พวกเขาไม่กล้าเสี่ยง เพราะเหตุผลว่าเสียคนเดียวดีกว่าเสียหลายคน”
เสียงของเพื่อนดังตอบกลับมาอย่างเรียบๆ แต่ก็พอจับได้ว่าเป็นเสียงที่สั่นเล็กน้อยเพราะความกดดัน
“ก็ถูกของเขานะ แถมตอนนี้พวกสวะเริ่มเล่นงานข้าด้วยเวทมนตร์อีกหนแล้ว จะให้ทำยังไงก็รีบบอกมาเร็วๆ เลย”
น้ำเสียงของเบลเฟกอลเริ่มฟังดูร้อนใจขึ้นพลางกวาดตามองไปยังหมอกสีดำที่เคลื่อนเข้ามาจนกระทั่งคลุมตัวของเขาไว้ทั้งหมด
“เปิดช่องสื่อสารเอาไว้ ตอนนี้พยายามเอาตัวรอดไปก่อน ถ้ามีอะไรคืบหน้าข้าจะแจ้งไป”
“ตกลง”
จากนั้นเขาก็เริ่มออกเคลื่อนที่ด้วยการวิ่งพร้อมกับชักเครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติออกจากคลังแสงจิ๋วขึ้นมากระชับไว้ในมือ ในขณะเดียวทางด้านเคอร์ดาน ที่กำลังจับไรเฟิลซุ่มยิงขึ้นมาประทับเล็งอยู่นั้น ซิลเวอร์มูนก็ฟื้นขึ้นมาแล้วจับขากรรไกรของตนขยับไปมา ตาโตหรี่ลงเพราะความเจ็บปวด ซึ่งแสดงออกมาพร้อมๆ กับเสียงครางเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เคอร์ดานแทบไม่ได้สนใจอะไรกับเสียงเพื่อนดาร์คเอลฟ์สาวฟื้นตัวขึ้น เพียงแต่ออกคำสั่งใหม่อย่างเย็นชาว่า
“เปลี่ยนแปลงเป้าหมาย ให้ฆ่า แล้วก็ระวังด้วยมันหายตัวได้ ในประวัติศาสตร์สงครามของเราไม่เคยมีศัตรูแบบนี้มาก่อน”
ซิลเวอร์มูนไม่พูดอะไร เพียงแต่มองไปรอบๆ ก็เห็นเป็นหมอกสีดำจางๆ จนแทบมองไม่เห็น แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะผละไปโดยเร็วด้วยสีหน้าบึ้งตึง ด้วยความเจ็บใจที่ถูกเล่นงานในระยะประชิดโดยไม่รู้ตัว
ทางด้านเบลเฟกอลนั้นมองไปทางไหนก็เห็นแต่หมอกดำมืด ระยะมองเห็นจริงๆ ก็เพียงแค่ 100 เมตรเท่านั้น แต่ศัตรูของเขานั้นสามารถมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง แถมยังอยู่นอกระยะ 100 เมตร รอบตัว และกำลังเล่นงานเขาด้วยไรเฟิลซุ่มยิง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าถึงจะเปิดระบบตรวจจับทุกระบบภายในชุดก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเวทมนตร์ได้พรางเอาไว้หมดแล้ว ความหวังของเขาจึงมีเพียงการคลำหาเป้าหมายให้พบแล้วฆ่าด้วยเครื่องยิงลูกระเบิดในมือเท่านั้น
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปืนแผดลั่นขึ้น เขาตอบสนองด้วยการวิ่งซิกแซก หัวกระสุนเรียวแหลมพุ่งเข้าฝังเข้าที่ลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่งข้างหน้าเยื้องไปทางซ้ายของเขา ก่อนจะตามด้วยอีกนัด ซึ่งเขาก็วิ่งวนเป็นวงกลมหนึ่งรอบแล้วไปต่อ ลำต้นของต้นไม้ข้างหน้าของเขาห่างออกไปประมาณ 1 เมตรถูกกระสุนนัดนั้นเข้าอย่างจัง
ทางด้านเคอร์ดาน เขากำลังขยับลูกเลื่อนผลัดกระสุนอยู่ขณะเล็งไปที่เบลเฟกอล ก่อนจะยิงอีกนัด แต่เป้าหมายของเขาก็หลบได้อีกครั้งจึงขยับลูกเลื่อนผลัดกระสุนอย่างรวดเร็วแล้วยิงอีกนัดแต่ก็พลาดอีก ในขณะเดียวกันเขาก็เห็นคนอื่นๆ ยิงพลาดเหมือนกัน จึงติดต่อไปยังคนอื่นๆ ว่า
“ใช้เวทมนตร์กระสุนติดตาม ขืนยิงต่อไปจะเสียกระสุนเปล่า”
“กำลังรออยู่เลย”
เสียงที่ขานกลับมาเป็นเสียงของซิลเวอร์มูน ซึ่งมีเสียงกระชากลูกเลื่อนเล็ดลอดเข้ามาด้วย จากนั้นทุกคนจึงเปิดลูกเลื่อนแล้วถอดซองกระสุนออกก่อนจะบรรจุเข้าไปจนเต็มแล้วเริ่มร่ายเวทมนตร์ใส่ซองกระสุนในมือ แล้วจึงใส่เข้าไปใหม่ปิดลูกเลื่อนเข้าที่
และแล้วการระดมยิงก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เสียงโป้งป้างแผดลั่นไปทั่วป่า เบลเฟกอลวิ่งๆ เดินๆ หยุด เลี้ยวซ้ายขวา ล็อกหลบราวนักฟุตบอลเพื่อหลบกระสุนที่พุ่งเข้ามา แต่เขาก็เริ่มคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ...เปิดอาร์คเอนเจิลส์ชีลด์... แล้วเขาก็ไม่เล่นท่าหลบกระสุนอีกต่อไป หัวกระสุนนับสิบที่พุ่งมาจากรอบทิศทาง แทนที่จะพุ่งตรงๆ พวกมันกลับเบนวิถีเข้าหาเป้าหมายของมัน แต่ทว่าเมื่อเข้าไปในระยะเพียงเส้นขนบนร่างกายมันก็ถูกอะไรบางอย่างสะท้อนออก
เหล่าพลซุ่มยิงผู้ปกป้องดาวบ้านเกิดแทบไม่เชื่อสายตาว่าหัวกระสุนลงเวทมนตร์ทั้งหมดพุ่งเข้าเป้าแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกสะท้อนกลับออกมา
“เสริมเวทมนตร์เพิ่มแรงทะลวงเข้าไป”
คำสั่งกระจายออกไปอีกครั้ง แต่คนอื่นๆ ก็ทำไปก่อนที่จะสั่งแล้ว พวกเขาทำแบบเดียวกับที่เสริมเวทมนตร์กระสุนติดตาม ก่อนจะยกปืนขึ้นประทับเล็งค้นหาเป้าหมายแต่ทว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนกระทั่งมีเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีดของชายวัยกลางคนดังขึ้นผ่านมาทางอุปกรณ์สื่อสารก่อนจะตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นหลายครั้งก่อนจะเงียบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดาร์คมูนถึงแรทเทิลสเนค รายงานสถานะด้วย”
เคอร์ดานรีบถามออกไปทันที แต่ผลที่ได้คือ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย แม้เขาจะใจเย็นมากก็ตาม แต่ตอนนี้เขาเกิดรู้สึกตัวเย็นวาบขึ้นมา แต่ภายในใจของเขานั้นกลับตรงข้ามกัน ...ท่าทางจะไม่ธรรมดาซะแล้ว ให้ตายสิวะ ประเมินมันผิดไปจริงๆ... เขาคิด ก่อนจะตัดสินใจออกคำสั่งอีกครั้งว่า
“ยกเลิกการซุ่มโจมตี เข้าไปรุมมันเลยดีกว่า ศัตรูคราวนี้ถึงขั้นฆ่าซูเปอร์โซลเจอร์อย่างเราได้ แปลว่ามันต้องเป็นหน่วยรบแบบเรา แล้วก็อย่าเข้าไปใกล้มันในระยะ 100 เมตร ให้ใช้เวทมนตร์โจมตีมันจากระยะไกลกว่า 100 เมตร ด้วยซีเมก” (ซีเมก = ZMEG = Zantin Magic Executioner Gun)
เมื่อสิ้นคำสั่งเหล่าซูเปอร์โซลเจอร์ก็พากันเปลี่ยนบทบาทจากพลซุ่มยิง มาเป็นพลอาวุธหนัก ก่อนจะเคลื่อนเข้าหาเบลเฟกอลจากรอบทิศทาง มือข้างหนึ่งจับที่ด้ามปืน อีกมือหนึ่งจับที่ด้ามจับหน้า ถือปืนในท่าประทับบ่า ตามองผ่านศูนย์เล็งอิเล็กทรอนิกส์ที่แสดงข้อมูลต่างกันออกไป
ด้วยความโกรธเคืองที่ถูกอัดเข้าเต็มรักที่ปลายคาง ดาร์คเอลฟ์สาวเริ่มเปิดฉากยิงก่อนเป็นคนแรก ด้วยเวทมนตร์ลูกไฟที่เป็นสีฟ้าพุ่งตรงไปยังเป้าหมายที่กำลังคลำทางหาเหยื่อเครื่องยิงลูกระเบิดรายต่อไป
เบลเฟกอลที่กำลังวิ่งไปมาพึ่งสัญชาตญาณของตัวเองเต็มที่ก็หันหลังอย่างกะทันหันแล้วเห็นลูกไฟสีฟ้าลูกใหญ่ตรงเข้าหาในระยะเพียง 12-13 เมตร ก็แทบหงายหลังเพราะความตกใจก่อนจะพุ่งตัวหลบเข้าหลังก้อนหินที่อยู่ใกล้ๆ มันพอดีกับที่ลูกไฟพุ่งเข้าหาตำแหน่งที่เขายืนอยู่พอดี เกิดระเบิดเป็นเสียงฟู่ขึ้นอย่างน่ากลัว ตามด้วยวงแหวนสะเก็ดที่กระจายออกแล้วโดนเข้าอย่างจัง แต่เขาก็ไม่ถูกเผา กลับกันเขาแทบจะไม่เป็นอะไรเลย เว้นแต่มีการปรากฏของสนามพลังงานสีเขียวห่อหุ้มตัวของเขาอยู่ ...ไปแอบซ่อนลอบยิงก็ดีอยู่แล้ว จะยิงเวทมนตร์ใส่เปิดเผยตำแหน่งทำไม... เขาคิด ก่อนจะยกเครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติในมือกระหน่ำหัวระเบิดสวนเส้นทางกับลูกไฟสีฟ้าที่เล่นงานเขา
เกิดระเบิดขึ้นตูมตาม เบลเฟกอลไม่รอช้า รีบรุดเข้าไปยังจุดที่เขายิงกระหน่ำเข้าไป แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากซากต้นไม้พืชพันธุ์ที่ถูกระเบิดแหลกลาญ เขามองซ้ายขวาอย่างลนลานก่อนจะพบกับลูกดอกน้ำแข็งที่ได้รูปเป็นลูกดอกเจาะเกราะจากปืนรถถังพุ่งเข้าใส่ทางขวามือพอดี เขารีบเบี่ยงตัวหลบทันที แต่ด้วยความเร็วที่สูงทำให้เขาหลบไม่พ้น ลูกดอกพุ่งแฉลบเข้าที่สีข้าง แรงกระทำทำให้เขากระเด็นพร้อมกับหมุนคว้างปืนหลุดจากมือก่อนล้มลงกับพื้น อีกครั้งที่ปรากฏสนามพลังงานสีเขียวขึ้นแต่เป็นตรงบริเวณที่ถูกลูกดอกเจาะเกราะ
ทุกการเคลื่อนไหวของนักรบผู้รุกรานอยู่ในสายตาจอมเวทเจ้าบ้านทั้งหมด ทุกคนพยักหน้าอย่างเข้าใจโดยไม่ต้องนัดแนะกันว่าที่แท้จริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้ปืนปกติยิงไม่เข้าก็คือเกราะพลังงานนั้นเอง
เบลเฟกอลรีบลุกขึ้นพุ่งตัวเข้าไปเก็บปืนที่ตกอยู่ แต่ทว่าเขาช้าไป ลูกดอกเจาะเกราะน้ำแข็งอีกนัดหนึ่งพุ่งมาจากอีกทางเข้าทำลายเครื่องยิงลูกระเบิดกระบอกนั้นพังแหลกเละไป เขาจึงกลิ้งตัวหลบพลางชักปืนอีกกระบอกขึ้นมาถือไว้ มันเป็นปืนกระบอกใหญ่ที่เข้าขั้นเป็นปืนใหญ่พกพา ก่อนจะลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นกำแพงเพลิงสีฟ้าก็ซัดเข้ามาทางด้านหน้าพอดี เขาจึงตัดสินใจยกปืนขึ้นเล็งแล้วเหนี่ยวไกยิงออกไปอย่างรวดเร็วเกิดเป็นเสียงซ่าดังติดต่อกันแบบถี่ยิบ กระสุนพลาสมาสีทองเหลืองพุ่งออกเป็นเป็นแนวเดียวกันสวนทางกับกำแพงเพลิง ก่อนจะมีเสียงร้องเสียงหลงแหลมของผู้หญิงดังตอบกลับมา แต่ก็ต้องแลกด้วยการถูกอาบได้ไฟอันร้อนแรงจากเวทมนตร์เข้าเต็มเปา แล้วตัวของเขาก็เขียวขจีราวกับหยกไปทั้งตัวรวมทั้งปืนที่ถืออยู่ด้วย แต่จากนั้นมันก็ตามมาด้วยลูกดอกเจาะเกราะน้ำแข็งจากรอบทิศทาง
เบลเฟกอลคิดว่าเขาต้องตายแน่ๆ แต่ทันใดนั้นเองอยู่ๆ ตรงหน้าเขาก็เกิดปรากฏการณ์มิติอากาศบิดเบี้ยวจากนั้นก็มีทหารหญิงคนหนึ่ง ซึ่งสวมเครื่องแต่งกายเหมือนกับเขาโผล่ออกมา หันเข้าหาเบลเฟกอลก่อนจะกอดเอาไว้ แล้วจากไปโดยวิธีเดียวกับที่มา ลูกดอกเจาะเกราะที่พุ่งเข้ามาต่างจั่วลมกันหมด สร้างความตะลึงให้กับเหล่าจอมเวทเจ้าบ้านไม่น้อย ต่างครางออกมาอย่างเสียดาย บ้างก็บ่นกันให้แซด บ้างก็นิ่งเฉย บ้างก็เคืองใจแสดงออกอย่างก้าวร้าว แต่ทันใดนั้นเองทุกคนก็ชะงักลง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักปานกลางซอยถี่ประมาณคนเดินเร็วกำลังใกล้เข้ามา เมื่อสายตาทุกคู่หันไปจับจ้องก็เห็นชายร่างใหญ่ผิวเขียววัยกลางคน หน้าตาดูหล่อเข้มถือไรเฟิลซุ่มยิงในท่าเฉียงอาวุธเดินจ้ำเข้ามา
“เฮ่ ฉันพลาดอะไรบ้างเนี่ย แล้วมันไปไหนแล้ว”
เสียงใหญ่ของออร์ควัยกลางคนดังถามขึ้นอย่างงงๆ ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะมีเสียงชายคนหนึ่งตอบว่า
“แกพลาดเกมกระหน่ำเวทว่ะ ถ้ามีแกมาแจมด้วยมันคงหนีไปไม่ทันหรอก”
“ฮ้า หนีไปเหรอ หนีไปได้ยังไง เวทม่านหมอกของเคอร์ดานก็หนาซะขนาดนี้...”
ออร์คคนนั้นอุทานดังลั่นอย่างไม่เชื่อหูแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“แล้วทางด้านเราเป็นไงบ้างล่ะ”
“เราเสียแบลคเนพาล์มไป โดนปืนใหญ่พลาสมาเข้าเต็มๆ เลย ว่าแต่ทางด้านแกเหอะ แรทเทิลสเนค ไม่ตายทำไมไม่รายงานสถานะวะ”
ก่อนที่ออร์คคนนั้นจะเอ่ยปากพูดอะไรต่อไป เคอร์ดานก็ตัดบทซะก่อน
“ภารกิจล้มเหลว มีคนตายหนึ่ง ไปกันเถอะ”
ณ จุดรวมพลของกองทัพโนเบิล ทุกอย่างเรียบง่าย ยุทโธปกรณ์ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบๆ เป็นมุมๆ ไป เต็นท์ทรงผ่ากระบอก ซึ่งสร้างจากวัสดุอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่สะท้อนแสงถูกจัดวางเป็นแถวๆ เหล่านักรบโนเบิลนับร้อยนายกำลังทำกิจกรรมของพวกตนอยู่เป็นปกติเพื่อรอคำสั่งใหม่ โดยไม่ได้สวมชุดรบเต็มที่โดยถอดหมวกออก ภายใต้หมวกรบพวกเขาก็มีรูปลักษณ์คล้ายเอลฟ์ เพียงแต่มีสีผิวคล้ำกว่า และสีผมก็ออกเป็นสีทอง เงิน และบลอนด์เป็นส่วนมาก
อยู่ๆ บริเวณลานกว้างกลางที่รวมพล มิติอากาศบิดเบี้ยว ทหารชายหญิงคู่หนึ่งโผล่มายืนเด่นอยู่โดยฝ่ายหญิงกอดฝ่ายชาย สายตาทุกคู่หันมาจับจ้อง ฝ่ายหญิงก็คลายอ้อมกอดทันทีแล้วถอดหมวกรบออก เธอเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาดุ แต่ก็แฝงไปด้วยความน่ารัก ผมยาวปรกบ่าสีเงิน แววตาดุดัน นัยน์ตาสีแดง ที่เข้ากับทรงหน้าที่ได้รูปพอดี และหุ่นที่เหมือนนักกีฬา ทำให้เหล่าทหารที่อยู่รอบๆ จ้องเธอตาเป็นมันโดยมองข้ามสีหน้าของเธอไปง่ายๆ
ฝ่ายชายถอดหมวกออกบ้างก็โคลงหัวไปมาทันทีแล้วถอนหายใจยาวเรียกความสดชื่น เขาเป็นคนที่มีใบหน้าราวกับเด็กที่มีอายุไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำของทหาร ผมด้านหน้าก็ลงมาปิดตาจนแทบมองจากภายนอกไม่เห็นตา ทรงหน้าเรียวกับใบหน้าที่ดูไร้เดียงสา ทำให้เหล่าทหารรอบๆ ซุบซิบกันให้แซดด้วยความข้องใจ ทันใดนั้นเขาก็ได้รับการติดต่อมา
“จัสติสคิงถึงโค้ดเบรกเกอร์ ได้ยินแล้วตอบด้วย”
เป็นเสียงของเพื่อนนายทหารระดับสูงของเขาเอง
“โค้ดเบรกเกอร์”
เบลเฟกอลตอบเรียบๆ
“ว่าไง เบลเฟกอล เจ้าเป็นยังไงบ้าง”
เพื่อนนายทหารถามด้วยน้ำเสียงดีใจ แต่เบลเฟกอลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเล็กน้อย
“เกือบตายไง ทำไมถึงช้านัก”
“มีเรื่องเถียงกับเบื้องบนนิดหน่อย สุดท้ายข้าก็ชนะ แล้วก็ส่งคนลงไปช่วยเจ้าไว้ไง”
“ข้าชื่อ เรเวน ราร์ค รหัสเรียกขาน แบลคไนท์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ทหารหญิงผู้ช่วยชีวิตเบลเฟกอลแนะนำตัวเรียบๆ
“ข้าชื่อ เบลเฟกอล ราฟาเซีย รหัสเรียกขาน โค้ดเบรกเกอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เบลเฟกอลหันมาหาผู้ช่วยชีวิตของเขาแล้วแนะนำตัวบ้าง
“เอาล่ะ คงจะรู้จักกันแล้วนะ ถ้างั้นข้าไปก่อนล่ะ จนกว่าจะมีคำสั่งใหม่ เชิญพักได้ตามสบาย”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ