Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  32 วิจารณ์
  38.10K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) War against the Noble 3 [Part 2]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

สิ่งแรกที่ซูเปอร์โซลเจอร์ทั้งสองทำ คือ นำมือข้างหนึ่งไปอังตรงบริเวณหนึ่งของร่างกาย เซอร์คอเช่นั้นใช้มือขวามาอังตรงบริเวณเหนือนาฬิกาข้อมือ ส่วนโพลี่ใช้มือขวาอังตรงบริเวณหน้าอก แล้วทั้งคู่ก็กำมือ ไรเฟิลจู่โจมโผล่ออกมาจากมือที่กำในท่ากำด้ามปืน

 

“ทำไมมันถึงไม่โจมตีเมืองหลวงก่อน เพราะว่าถ้ายึดเมืองหลวงได้ก็เท่ากับว่าตัวกำลังพวกเราไปกว่าครึ่ง”

 

โพลี่บ่นด้วยความสงสัยพรางมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางพื้นหิมะข้างนอกอากาศมีหมอกลงเล็กน้อยมีแค่หลุมระเบิดที่เป็นต้นเสียงเมื่อครู่นี้ แต่ทว่ามันก็ได้ส่งความโกลาหลไปทั่วโรงเรียนและบริเวณใกล้เคียง

 

“พวกมันมีเหตุผลของมัน แต่ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าทำไม แต่เอาไว้อธิบายทีหลัง”

 

เซอร์คอเช่ตอบขณะกำลังลุกขึ้นยืนแล้วก้มหน้าลงสั่งความกับนักเรียนของเขา

 

“วิ่งไปที่หลุมหลบภัยให้เร็วที่สุด ไป ไป ไป”

 

เหนือขึ้นไปมีอะไรสักอย่างหนึ่งกำลังหล่นลงมาด้วยความเร็วสูงเป็นกลุ่มใหญ่ มีรูปร่างคล้ายลูกรักบี้สีดำสะท้อนแสงเล็กน้อยแต่ตรงด้านท้ายมีครีบกางออก 4 ด้าน ซึ่งกำลังขยับอย่างต่อเนื่อง เมื่อโพลี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าผ่านหน้าต่างในห้องของเซอร์คอเช่ พวกมันส่วนหนึ่งก็สะท้อนแสงตอบมาแวบหนึ่ง

 

“ระเบิดนำวิถี หมอบลง”

 

แม้จะอยู่กันแค่ในห้องแต่โพลี่ก็ตะโกนเตือนสุดเสียง ก่อนจะหมอบลงเป็นคนแรก นักเรียนทั้งสองยังไม่ทันที่จะได้ก้าวออกจากห้องก็ถูกเซอร์คอเช่กดหมอบลงอีกครั้งพร้อมเจ้าตัว

 

ภายในไม่กี่วินาทีก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมกับส่งแรงสะเทือนไปทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่อง หลังคาอาคารในโรงเรียนทั้งหมดส่งเสียงแตกหักพังทลาย วัสดุที่ใช้สร้างอาคารสั่นไหวอย่างรุนแรง บางส่วนถล่มยวบลงมาทับเด็กนักเรียนและบุคลากรของโรงเรียนตายลงอย่างอนาถ

 

“เอาเป็นว่าถ้าฉันเป็นพวกมันฉันจะจัดการกับเสี้ยนหนามสำคัญอย่างอาวุธสุดยอดก่อนเป็นอันดับแรก”

 

เซอร์คอเช่เงยหน้าขึ้นพูดให้ข้อคิดกับโพลี่ไป ซึ่งผู้รับสารก็ฉุกคิดขึ้นได้แล้วตอบกลับว่า

 

“อาวุธสุดยอด ที่นี่มีแมจิคเดธเรย์ แล้วก็มอนสเตอร์แคนนอนกับซีดเดอร์กระจายอยู่ทั่วโลก แล้วก็...”

 

“ใช่ เราไง แต่ทำไมมันถึงรู้ว่าเราอยู่ที่นี่”

 

เซอร์คอเช่พูดต่อ แล้วหันมองหน้าโพลี่เหมือนขอความเห็น

 

“สายลับ... สายลับของพวกมันน่าจะหลงเหลืออยู่ คงเหลือพวกที่มีฝีมือจริงๆ การเคลื่อนไหวของพวกเราเกือบทั้งหมดอยู่ในสายตาของพวกมัน เอาไงดี...”

 

เมื่อสิ้นคำถามโพลี่ก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยก็จะเงยขึ้นตาลุกโพลงแล้วโพล่งขึ้นอย่างคนโผงผาง

 

“ลุยมันให้ยับไปเลย”

 

เมื่อสิ้นเสียงของดาร์คโพลี่ เสียงระเบิดแบบปูพรมก็สิ้นสุดลง แต่สิ่งที่ตามมาก็คือเสียงของเครื่องยนต์อะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งจากท่าทางของซูเปอร์โซลเจอร์ทั้งสอง นั่นเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเอาซะเลย และตามมาด้วยเสียงแปลกๆ เหมือนหลุดออกมาจากวีดีโอเกมก่อนจะเกิดเสียงระเบิดตามมา เป็นเสียงระเบิดประหลาดๆ ฟังดูไม่น่าจะเกิดจากวัตถุระเบิดทั่วไป เหมือนเกิดจากปฏิกิริยาจากพลังงานอะไรสักอย่างหนึ่ง

 

เซอร์คอเช่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับฉุดแขนของนักเรียนของเขาทั้งสองคนให้ลุกขึ้นตามแล้วออกคำสั่งเสียงดัง

 

“ไปที่หลุมหลบภัย ไป ไป ไป”

 

ทั้งสองรีบแจ้นออกไปทันทีแบบไม่คิดชีวิต ในขณะเดียวกันดาร์คโพลี่ก็ลุกขึ้นแล้วหันมาพูดกับเซอร์คอเช่

 

“ท่าทางจะเป็นยานโจมตีของพวกโนเบิล”

 

“ใช่ อีกเดี๋ยวพวกหุ่นยนต์ชั้นเยี่ยมของพวกมันก็คงจะตามมา แล้วก็จะเกิดศึกใหญ่ขึ้นที่นี่เพราะพวกมันจะปะทะกับหุ่นวอล์กเกอร์ รถถัง และเครื่องบนรบโหลๆ ของพวกเราที่จะยกโขยงกันมารุมถล่ม แล้วที่นี่ก็จะเหลือแต่ซาก”

 

“แต่ก่อนที่มันจะเป็นแบบนั้น เราต้องชิงถล่มพวกมันให้เละก่อนที่พวกนั้นจะมาถึง อย่ามัวโอ้เอ้กันอยู่เลย ไปกันเถอะ”

 

พูดจบทั้งสองก็วิ่งออกไปจากห้องของครูออร์คผู้สอนวิชาวรรณกรรมทันที

 

เมื่อออกจากประตูห้องไปสิ่งที่ทั้งคู่พบเห็น คือ ชิ้นส่วนอาคารที่ถล่มลงมาและซากศพ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป มีเสียงยิงอาวุธดังจากข้างนอกมาเป็นระยะๆ และแรงสั้นสะเทือนจากแรงกระทำของอาวุธจากยานรบโนเบิล

 

“อาจารย์เซอร์คอเช่...”

 

มีเสียงของผู้หญิงตะโกนเรียกครูออร์คขึ้น

 

“อาจารย์เซอร์คอเช่!...”

 

เธอตะโกนดังขึ้น โพลี่และเซอร์คอเช่หยุดชะงัก

 

“โพลี่ นายไปจัดการพวกข้างนอก ฉันจะจัดการกับเธอเอง”

 

เป็นการตัดสินใจอย่างรวดเร็วของเซอร์คอเช่ ก่อนเจ้าตัวจะแยกทางไป โพลี่ก็เห็นด้วยแล้ววิ่งไปต่อยังประตูทางเข้าออกอาคารเรียน เสียงตะโกนเรียกนามของเพื่อนครูสอนวรรณกรรมยังคงดังขึ้นเป็นระยะๆ แต่แล้วก็ตามด้วยเสียงร้องกรี๊ดลั่น โพลี่หยุดชะงักเล็กน้อย แต่แล้วก็ตัดความสนใจเนื่องจากความไว้วางใจ

 

ทางด้านที่มาของเสียงร้องตะโกนเรียกชื่อนั้น แม่สาวเอลฟ์คนหนึ่งกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนในลักษณะล้มลง จากลักษณะการแต่งกายที่ออกจะเป็นกึ่งทางการดูจะเป็นครูเช่นเดียวกับเซอร์คอเช่ ตรงหน้าของเธอมีนักรบนายหนึ่งในชุดรบล้ำยุคถือปืนไฮเทคกำลังเล็งมาที่เธอ เอลฟ์สาวยกมือขึ้นปิดป้องตามสัญชาตญาณ แต่ทันใดนั้นเอง บริเวณกลางหน้าผากของนักรบไฮเทคคนนั้นก็มีลำแสงสีแดงพุ่งทะลุมาจากด้านหลังโดยทำมุมกดต่ำลงเล็กน้อย นักรบไฮเทคค่อยๆ ทรุดลงแล้วลงไปนอนคว่ำหน้าลงตรงปลายเท้าพอดี มือเท้ากระตุกตามปกติของอาการคนตายอย่างกะทันหัน บัดนี้ตรงหน้าของเธอมีชายร่างใหญ่ถือปืนเลเซอร์ในท่าลดอาวุธ

 

“การ์เซีย เป็นอะไรมากรึเปล่า”

 

เซอร์คอเช่นั่นเอง เอลฟ์สาวผู้ถูกถามถึงมีอาการตะลึงกับภาพที่เห็น คำถามหลายคำถามผุดขึ้นในใจ ตาเหลือบขึ้นมองหน้าของเพื่อนออร์คผู้เป็นอาจารย์เหมือนกัน แล้วเอ่ยปากถามเสียงสั่น

 

“อาจารย์... ปืนนั่น มันอาวุธมาตรฐานของกองทัพประเทศเราไม่ใช่เหรอ”

 

เซอร์คอเช่เดินเข้าหาการ์เซียแล้วฉุดให้ลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยปากบอกตัดบทว่า

 

“ผมจะอธิบายทีหลัง แต่ตอนนี้คุณรีบไปหลบที่หลุมหลบภัยก่อนดีกว่า อย่าห่างผมนะ ตามมา”

 

แล้วเซอร์คอเช่ก็ออกวิ่งนำแบบให้คนตามตามทัน ตรงไปเบื้องหน้าเป็นทางแยก 2 ทาง เขาเลี้ยวขวาพร้อมกับบอกกับครูเอลฟ์สาวไปพลาง

 

“ก้มหัวลง”

 

การ์เซียปฏิบัติตามทันทีอย่างหวังพึ่งคนที่อยู่ใกล้ชิดเต็มที่ เซอร์คอเช่ปล่อยมือซ้ายจากด้ามจับหน้าแล้วทำมือเป็นรูปปืนแบบที่เด็กๆ ทำเล่นกัน ส่วนมือขวาที่กำปืนอยู่นั้นก็ยกเสยหันไปทางด้านหลังแล้วเหนี่ยวไกยิงลำแสงสีแดงพุ่งข้ามหัวของการ์เซียไปยังกลางอกของนักรบไฮเทคชาวโนเบิลที่อยู่ด้านหลังในขณะเดียวกันมือซ้ายก็ยิงลำแสงสีเทาออกจากนิ้วชี้พุ่งสาดไปยังแสกหน้าของนักรบอีกนายที่อยู่ด้านหน้าพอดี และครูเอลฟ์สาวแทบไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วพริบตาเมื่อกี้เลย พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพื่อนที่เธอเชื่อว่าเป็นครูด้วยกันถือปืนในท่าพร้อมใช้แล้ว

 

เบื้องหน้ามีนักรบไฮเทคอีกนายทำท่าตกใจกับอะไรบางอย่าง แล้วตะโกนโหวกเหวกเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนจะเรียกกำลังเสริม แต่ก็เงียบไปในเวลาไม่กี่วินาทีเนื่องจากลำแสงเลเซอร์จากปืนของเซอร์คอเช่

 

...สวะมหาประลัย เหรอ ท่าทางคงจะยกโขยงกันมาแล้วละสิ... เซอร์คอเช่คิด แล้วหัวเราะในลำคออย่างพยายามกลั้นไว้ แต่อาการตัวกระตุกก็แสดงออกมา

 

การ์เซียช่างสังเกตเหมือนกัน เมื่อเห็นเซอร์คอเช่ตัวกระตุกเหมือนคนกลั้นหัวเราะจึงเอ่ยปากถามอย่างสงสัย

 

“ขำอะไร”

 

ไม่มีคำตอบเป็นคำพูด แต่คำตอบมาในรูปของการแสดงออก เขายกปืนในมือขึ้นแล้วจับยัดเข้าไปในนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะแบมือจับขยุ้มที่นาฬิกาแล้วจับขึ้นมาเป็นด้ามปืนก่อนจะดึงออกมากลายเป็นปืนกระบอกใหญ่กว่ากระบอกแรก

 

ด้วยภาพที่เห็นครูเอลฟ์สาวจึงรู้ทันทีว่าจริงๆ แล้วเพื่อนครูออร์คของเธอเป็นใคร

“นี่คุณเป็นซูเปอร์โซลเจอร์เหรอเนี่ย”

 

เซอร์คอเช่ไม่ตอบทันที เพียงแต่หัวเราะหึหึแล้วหันมายิ้มให้การ์เซีย ก่อนตอบอย่างไม่ตรงประเด็นนัก

 

“ถูก ยามสงบเราต่างดูเผินๆ เหมือนคนธรรมดาๆ เว้นแต่ที่เครื่องแต่งกายส่วนใดส่วนนึงมันเป็นคลังแสงส่วนตัว ไม่ต้องกลัว มีฉันอยู่ใกล้ๆ อย่างมากก็แค่ถลอก ขอแค่ฉันบอกอะไรก็ทำก็พอ”

 

ด้วยความที่เริ่มจะทำใจกับอีกด้านของเพื่อนได้แล้ว ครูเอลฟ์สาวผิวปากออกมาอย่างชื่นชมในการแฝงตัวที่แนบเนียน จึงเริ่มพูดอย่างเชื่อใจไปพร้อมกับขู่แบบเล่นๆ

 

“ฉันเชื่อใจคุณเต็มที่นะเซอร์คอเช่ ถ้าเกิดฉันเป็นยิ่งกว่าถลอกฉันจะบอกกับผู้บังคับบัญชาของคุณว่าคุณแกล้งฉัน”

 

“บ๊ะ เห็นเมื่อกี้ยังสติแตก ตอนนี้ดันมาปากดีซะแล้ว”

 

เซอร์คอเช่ค้อนกึ่งหัวเราะ แล้วยกปืนขึ้นในท่าระดับเอว เบื้องหน้ามีผนังส่วนหนึ่งเป็นช่องใหญ่พอจะให้คนผ่านเข้าออกครั้งละ 3-4 คน นักรบโนเบิลกรูกันเข้ามาร่วมสิบนาย แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว เซอร์คอเช่ก็เหนี่ยวไกปืนในมือ กราดกระสุนพลาสมาแบบไม่เลี้ยง ส่งร่างของเหล่านักรบโนเบิลที่กรูกันเข้ามาลงไปนอนกองกับพื้น เหมือนพระเอกหนังบู้ล้างผลาญฆ่าผู้ร้ายเป็นสิบๆ คนโดยที่ตัวเองไร้รอยขีดข่วน

 

“เอาล่ะ ต่อไปก็”

 

เซอร์คอเช่พึมพำเบาๆ พลางเก็บปืนพลาสมาเข้าคลังแสงแล้วดึงปืนที่กระบอกใหญ่กว่าขึ้นมาแทน ก่อนจะหันไปบอกกับเพื่อนเอลฟ์สาว

 

“หยุดก่อน อย่าเพิ่งตามมา”

 

ยอดนักรบในมาดครูวิ่งไปตรงช่องที่ทหารโนเบิลกรูกันเข้ามาก่อนจะยกปืนขึ้นแบกบนบ่าพร้อมกับนั่งชันเข่าข้างหนึ่งและยกปืนเล็งขึ้นสูง เมื่อนิ้วเหนี่ยวไก เสียงใหญ่ๆ สั่นๆ ดังขึ้นตามด้วยเสียงแหลมแสบแก้วหูพร้อมกันนั้นลำแสงสีขาวก็พุ่งสาดออกไป รัศมีของลำแสงแผ่ออกอาบทั่วบริเวณเล็กๆ จากจุดยิง เพียงชั่วพริบตาก้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นก่อนจะตามด้วยเสียงวัตถุขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากตกลงพื้นตามด้วยเสียงเศษชิ้นส่วน

 

“ยานรบของพวกมันน่ะ...”

 

เซอร์คอเช่บอกเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยขณะกำลังหันไปหาการ์เซีย แต่เขาก็ต้องโยนปืนไปไว้ในมือซ้ายแล้วใช้มือขวาชักปืนอีกกระบอกออกมาแม้มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาปืนที่ชักออกมา แต่ขนาดลำกล้องของมันกลับใหญ่ที่สุด แล้วยกเล็งไปทางการ์เซียแล้วเหนี่ยวไกทันที เกิดเสียงดังโปะ เอลฟ์สาวเองก็ตกใจ หัวระเบิดขนาด 3 เซนติเมตร พุ่งเฉี่ยวแขนซ้ายท่อนบนของเธอไป ในเวลาไม่ถึงวินาทีเกิดเสียงระเบิดขึ้น การ์เซียหันไปดู ก็มองเห็นทหารโนเบิลนับสิบคนถูกระเบิดกระเด็นไปคนละทาง เกิดเสียงโปะอีกครั้ง เหล่าทหารที่รอดตายจากระเบิดลูกแรก ยังไม่ทันได้รู้ตัวว่าโดนอะไรเข้าไปก็ต้องถูกระเบิดตายหมู่ภายในนัดที่ 2

 

“รีบไปเถอะก่อนที่มันจะแห่กันมา”

 

พร้อมพูดซูเปอร์โซลเจอร์มาดครูก็กวักมือเรียก เพื่อนเอลฟ์สาวก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที เซอร์คอเช่ทำเหมือนเกมเดินหน้ายิง เก็บปืนทั้งสองกระบอกก่อนจะชักปืนพลาสมาออกมา

 

พลางวิ่งไปก็เกิดเสียงการยิงต่อสู้ขึ้นไปพลาง ด้วยความสงสัยการ์เซียจึงถามขึ้นอีก

 

“แถวนี้นอกจากคุณมีคนอื่นด้วยเหรอ”                                                               

 

“เพื่อนผมเอง อย่าเพิ่งไปสนใจเลย ถ้าคุณสนใจเขาหลังจากที่นี่สงบผมจะแนะนำเขาให้”

 

เมื่อสิ้นเสียงของเซอร์คอเช่ ทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดกันอีก เพราะไม่สามารถจะคุยอะไรกันได้ เนื่องจากพบทหารโนเบิลไปตลอดทาง จนกระทั่วถึงหลุมหลบภัย

 

หน้าตาภายนอกของหลุมหลบภัยถ้ามองเผินๆ ก็จะเหมือนพื้นธรรมดาๆ เซอร์คอเช่ย่ำเท้าเบาๆ เหมือนเป็นรหัสอะไรสักอย่าง พื้นตรงหน้าก็เปิดขึ้นมาเป็นบานพับสองด้านมีบันไดทอดลึกลงไป ข้างล่างมีแสงสว่างจากหลอดไฟ มีคนมากมายทุกเพศทุกเผ่าพันธุ์และทุกวัยรวมตัวกันอยู่ในห้องที่ค่อนข้างกว้างทีเดียว ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศไม่อึดอัดนัก

 

ประตูเปิดออก เงาของชายร่างใหญ่ถือปืนกระบอกโตก็ทอดลงไป เกือบทุกที่อยู่ในนั้นก็พากันตกใจ เว้นแต่ก็อบลินหญิงวัยกลางคน (ประมาณคนอายุเกือบ 40) ที่ตะคอกบอกกับทุกคนว่า

 

“เงียบ นั่นครูอาบาโคล่า ไม่ใช่ศัตรู”

 

“ผู้อำนวยการเดโบน่า นี่ครับ ครูลูเวน่า”

 

พูดพลางคนที่ทุกคนเชื่อว่าเป็นครูก็ส่งตัวครูเอลฟ์สาวไปให้ก็อบลินหญิงผู้อำนวยการโรงเรียนนามเดโบน่า

 

“สุดท้าย ทุกคนก็รู้ความจริงจนได้นะ เซอร์คอเช่”

 

เดโบน่ากล่าวเสียงเรียบๆ พลางถอนหายใจ

 

“มันหลีกเลี่ยงไม่ได้นี่ครับ ผมไปล่ะ”

 

ออร์คนักรบมาดครูกำลังจะผละไป ผู้อำนวยการโรงเรียนก็พูดรั้งไว้ว่า

 

“รับปากได้มั้ยว่า จะทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด”

 

เซอร์คอเช่ยิ้มตอบ แล้วตอบกลับว่า

 

“ผมรับปาก ผมจะบอกพวกมันด้วยปืนในคลังแสงของผม”

 

แล้วเขาก็ผละไป

 

ทางด้านโพลี่เอง ในขณะนี้เขากำลังโจมตีแบบฉาบฉวยด้วยการอาศัยซากอาคารและซากยานรบของทหารโนเบิลเป็นที่กำบัง โจมตีออกจากที่กำบังพลางเคลื่อนที่ไปจากที่หนึ่งไปที่หนึ่งตลอดเวลา ทำให้ศัตรูของเขาไม่สามารถจะเล็งได้ถนัด เดี๋ยวผุบเดี๋ยวโผล่ ผนวกกับที่หิมะกำลังตกและหมอกลง ในมือถือไรเฟิลจู่โจมสั้น ไหล่ขวาสะพายไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุขนาดลำกล้อง 13 มิลลิเมตร

 

เหล่านักรบโนเบิลต้องวิ่งไล่ตามเป้าหมายกันอย่างไม่หยุดหย่อน และเกือบจะยิงกันเองบ่อยครั้ง เสียงเอะอะร้องเรียกกำลังเสริมดังระงม ทั้งที่อีกฝ่ายมีเพียงคนเดียวแท้ๆ แต่พวกของตนกลับถูกยิงตายเป็นใบไม้ร่วง ซ้ำร้ายยานรบในรูปเฮลิคอปเตอร์ที่มาด้วยแทบจะไร้ประโยชน์ เพราะแทบจะหาโอกาสโจมตีไม่ได้ บางลำก็ถูกหัวกระสุนขนาด 13 มิลลิเมตรจากไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุเข้าที่แหล่งพลังงาน หน้าจอแสดงผลในห้องนักบินแสดงแถบขีดพลังงานตกฮวบก่อนหน้าจอจะดับ แล้วเฮลิคอปเตอร์สุดไฮเทคแห่งกองทัพผู้ประเสริฐก็ลงมากองเป็นเศษเหล็กบนพื้นหิมะ

 

ในระหว่างการไล่คว้าน้ำอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีลำแสงสีแดงพุ่งเข้าเล่นงานพวกเขาจากอีกทิศหนึ่ง ทำให้ต้องแบ่งกำลังไปอีก และในช่วงที่เหล่าทหารแห่งกองทัพผู้ประเสริฐกำลังหันไปสนใจกับที่มาของลำแสงเลเซอร์นั้น เกิดเสียงเครื่องยนต์อะไรชนิดหนึ่งดังขึ้น แล้วดาร์คโพลี่ก็บึ่งมอเตอร์ไซค์ออกมา มือข้างหนึ่งถือปืนลูกซองพลาสมา แกว่งปืนยิงซ้ายขวาแบบไม่ต้องเล็ง

 

“เบิ่น!! เบิ่น!! เบิ่น!!”

 

ดาร์คโพล่แหกปากตะโกนเยอะเย้ยด้วยความสะใจพลางยกล้อพุ่งเข้าชนเหยื่อรายหนึ่ง เลือดพุ่งออกมาจากจุดที่ล้อเข้าปะทะและเสียดสี หมวกรบแยกเปิดออกจากกันเผยให้เห็นศีรษะที่หนังศีรษะเปิดออกเป็นแผลเหวอะ เหล่าทหารที่กำลังตกใจต่างถอยกรูดออกไปจากดาร์คโพลี่ เปิดโอกาสให้เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งได้มีโอกาสยิง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ยิง ลำแสงสีขาวก็สาดสว่างวาบเป็นทางออกมาจากฉากหมอกพุ่งเข้าที่กลางลำ ระเบิดยานโจมตีลำนั้นเละร่วงลงมากองเป็นเศษเหล็ก

 

ดาร์คโพล่ทำใจเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตะโกนคุยกับเจ้าของลำแสงสีขาว ทางด้านนักรบโนเบิลที่กำลังตกใจเองก็ไม่กล้ายิงไปที่เขา เนื่องจากกลัวว่าจะยิงถูกพวกเดียวกัน หนึ่งในนั้นตะโกนบอกขึ้นด้วยภาษาของตน ทหารทุกนายจึงเก็บปืนโดยใส่ไว้กับปลอกบนแผ่นหลัง ก่อนจะชักมีดเลเซอร์ออกมาจากปลอกที่เอว

 

“ไปทำอะไรมาวะ อาจารย์เซอร์คอเช่”

 

พูดจบยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ เขาก็บึ่งเข้าหากลุ่มทหารตรงหน้า พอดีกับที่ทหารโนเบิลรอบตัวกรูกันเข้ามาหวังจะจ้วงแทงให้ตกจากพาหนะ

 

“ก็แค่ไปส่งเพื่อนสาวที่หลุมหลบภัยเอง”

 

เสียงของนักรบมาดครูตอบกลับมา พร้อมกับกระสุนพลาสมาที่พุ่งออกมาจากฉากหมอกแบบสะเปะสะปะ ซึ่งจากจำนวนแล้ว น่าจะเป็นการกราดยิงแบบได้น้ำได้เนื้อ เพราะมีเสียงทุ้มๆ ดังถี่รัว

 

เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งกำลังเล็งไปที่เซอร์คอเช่ ซึ่งออร์คเจ้าบ้านก็เล็งตอบมาด้วยปืนลำแสงที่ใช้ยิงเฮลิคอปเตอร์ ยังไม่ทันที่นักบินเฮลิคอปเตอร์จะได้แตะปุ่มยิง นิ้วของเซอร์คอเช่ก็เหนี่ยวไกปล่อยลำแสงสีขาวพุ่งสาดสวนเข้าไปที่ห้องนักบินก่อนจะทะลุออกอีกด้าน ยานโจมตีชั้นยอดแห่งกองทัพผู้ประเสริฐร่วงลงไปอีกลำ ยานลำอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ ก็พากันบินกรูกันมาที่จุดปะทะ แต่ทว่าก็ไม่เห็นเซอร์คอเช่แล้ว นักบินคนหนึ่งวิทยุบอกกับเพื่อนๆ เป็นภาษาของตนด้วยน้ำเสียงร้อนรน ก่อนจะพากันแยกจากกัน

 

ทางด้านดาร์คโพลี่นั้นดูเหมือนทหารที่กำลังรบแบบประชิดตัวทำอะไรเขาไม่ได้เลย บนมอเตอร์ไซค์ที่บังคับอย่างเชี่ยวชาญ ทั้งปาดทั้งชน และปืนลูกซองพลาสมาในมือก็สลับยิงซ้ายขวาปานนักรบบนหลังม้าที่กวัดแกว่งดาบฟาดฟันศัตรูที่อยู่กับพื้น พื้นหิมะที่เป็นสีขาวโพลนในบริเวณนั้น บัดนี้แดงฉานไปด้วยเลือดของผู้บุกรุกต่างดาว บรรยากาศรอบๆ ที่เย็นเยือกตอนนี้กำลังร้อนขึ้นด้วยกองไฟจากซากเครื่องจักรสงครามของผู้บุกรุก และลูกกระสุนปืนต่างๆ ทั้งจากฝ่ายผู้บุกรุก และฝ่ายผู้ปกป้องดาวบ้านเกิด

 

การตะลุมบอนดำเนินไปได้พักหนึ่ง ทหารแห่งกองทัพผู้ประเสริฐเมื่อเห็นว่าไร้ผลที่จะจัดการกับนักบิดมอเตอร์ไซค์นักฆ่า จึงเริ่มถอยกลับไป เป็นการถอยอย่างไม่เป็นขบวน เพื่อเปิดช่องให้เฮลิคอปเตอร์ได้ยิง แต่ทว่าพวกเขาได้พบว่า ยานโจมตีที่จะสนับสนุนพวกเขาได้ถูกยิงตกจนหมด ซ้ำร้ายเครื่องบินรบปีกลู่ไปข้างหน้าได้บินผ่านเหนือหัว พวกเขาจึงตัดสินใจวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ซึ่งซูเปอร์โซลเจอร์ทั้งสองก็ไม่ได้ตามไป และไม่ได้ยิงใส่ด้วย แต่ทว่าเกิดมีเสียงวูๆ เบาๆ คล้ายเสียงเครื่องดูดฝุ่นที่อ่อนกำลังดังไล่หลังมาพร้อมกับลูกกระสุนพลังงานสีทองเหลืองที่พุ่งมาจากข้างหลังผ่านเหนือหัวไปที่ซากยานรบของพวกเขาตรงหน้าเยื้องไปทางขวา ระเบิดแหลกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมด้วยคลื่นสีเหลืองทองที่แผ่กระจายออกทำมุมฉากกับที่กระสุนกระทบ

 

ด้วยระเบิดตูมใหญ่จากลูกกระสุนพลังงานนั้นพวกเขาล้มลงแล้วหันมาด้วยความหวาดกลัว เห็นรถถังแบบลอยตัวเหนือพื้น 4 คันลอยลำนิ่งอยู่ข้างๆ นักรบสองคน หันป้อมปืนเล็งมาที่พวกเขา

 

“ยอมแพ้ซะถ้าไม่อยากตาย”

 

เป็นคำประกาศอย่างแข็งกร้าวของเซอร์คอเช่ด้วยน้ำเสียงใหญ่และดังมาก เป็นภาษาของชาวโนเบิล สิ้นคำประกาศทหารราบฝ่ายตั้งรับนานาเผ่าพันธุ์ก็โผล่มาในสภาพพร้อมรบเต็มอัตรา

 

“วางอาวุธซะเถอะ พวกท่านไม่มีทางหนีหรอก”

 

จากดาร์คโพลี่ตอนนี้กลับมาเป็นโพลี่ผู้อ่อนน้อมประกาศออกไป เป็นภาษาเดียวกับที่เพื่อนออร์คของเขาประกาศ

 

เมื่อเหล่านักรบโนเบิลแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาก็เห็นลูกไฟ 3 ลูกกำลังดิ่งลงมา และไกลออกไปก็ดูเหมือนจะมีอีกหลายลูก จึงจะลุกขึ้นเพื่อรบต่อ แต่ทันใดนั้นเองก็มีลำแสงสีขาวแบบเดียวกับที่ยิงออกมาจากปืนที่ใช้ยิงยานโจมตีของพวกเขาสาดทอกวาดไปทั่วท้องฟ้า ลูกไฟเหล่านั้นกลายเป็นลูกไฟลูกใหญ่ก่อนจะมีสะเก็ดแยกออกมา

 

“อาวุธของพวกแกตอนนี้เราทำลายไปหมดแล้ว จงอย่าได้ต่อต้านอีกต่อไปเลย กองทัพผู้ดีของพวกแกไม่มีทางเอาชนะเราได้หรอก ขอย้ำอีกครั้ง วางอาวุธซะ เร็วถ้ายังอยากกลับไปเห็นหน้าครอบครัวอีก”

 

เซอร์คอเช่ประกาศออกมาอีกครั้ง

 

อย่างไม่มีทางเลือก เหล่านักรบชาวโนเบิลจึงยอมวางอาวุธทั้งหมด ทหารราบแห่งกองทัพบกสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่จึงเข้าคุมตัวทหารฝ่ายข้าศึกทั้งหมดด้วยพันธนาการกุญแจมือเวทมนต์ ซึ่งเมื่อสวมเข้าไปแล้วจะรัดติดข้อมือทันทีแต่ก็หลวมพอจะให้เลือดไหนเวียนสะดวก

 

“ว่าไงอาจารย์ ‘โพรเฟสเซอร์’ ไม่ได้เจอกันซะนานเป็นยังไงบ้างล่ะ”

 

มีเสียงทักทายมาจากข้างหลังของซูเปอร์โซลเจอร์ทั้งสอง เป็นเสียงเล็กๆ ของผู้หญิง ทั้งคู่หันกลับไปดูก็พบกับฮ็อบบิทหญิงสาวสวยคนหนึ่งในชุดนายทหารยศระดับนายพล

 

“ก็เอ่อ... กำลังสอนสนุกๆ เลย กำลังจะลืมอาชีพจริงๆ ของตัวเองไปแล้วเชียว ถ้าพวกมันเลื่อนวันบุกโจมตีไปอีกสักสองสามเดือนผมก็คงไม่ต้องมาจับแมจิคเดธเรย์ฉบับกระเป๋าเล่นกีฬายิงฮออยู่แบบเมื่อกี้นี้หรอก”

 

นักรบในมาดครูตอบอย่างตัดพ้อ นายพลฮ็อบบิทสาวเลิกคิ้วข้างหนึ่งเบ้ปากไปทาง

 

“นี่ท่านนายพล อย่าไปถือสาเขาเลย ตอนผมมาหาเขา เขาก็ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่อยู่แล้วด้วย”

 

โพลี่ออกรับหน้าแทนอย่างพยายามประนีประนอม

 

“ไวเพอร์ไรเดอร์ นายก็เข้าข้างเขาเหลือเกินนะ ทีฉันล่ะ”

 

นายพลฮ็อบบิทหญิงพูดเชิงตัดพ้อบ้าง

 

“แหม ท่านครับเรียกผม ‘ไวเพอร์’ เฉยๆ ก็ได้ แล้วผมก็แค่คิดว่าน่าจะตอบแทนบุญคุณของเขาบ้างเท่านั้นเอง”

 

“เอาเถอะ ฉันไม่ถือสาหรอก ว่าแต่ว่ากับโพรเฟสเซอร์เขามีอะไรแปลกๆ ไปบ้างรึเปล่า”

 

“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เขาปกติดีทุกอย่าง ยังเป็น ‘ไอปืนโต’ ของท่านเหมือนเดิม ผมว่าเขาคงลืมเรื่องในอดีตไปหมดแล้วล่ะครับ”

 

นายพลฮ็อบบิทหญิงยิ้มส่อแววพอใจ

 

“ว่าแต่นายเถอะ ไวเพอร์ ตอนนี้นายจำเรื่องในอดีตได้รึยัง”

 

“อย่าว่าแต่จะจำเลย แม้แต่ฝันก็ไม่ได้ฝันถึง”

 

ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันตามประสาผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา ก็มีเสียงเซอร์คอเช่ตะโกนขึ้น

 

“พวกนายสี่คนมานี่หน่อย ที่หลุมหลบภัยมีพลเรือน ตามมา”

 

ทั้งสองหันไปมอง จากท่าทางแล้วทำให้เชื่ออย่างสนิทใจ

 

การดำเนินการของทหารผู้ปกป้องดาวบ้านเกิดดำเนินไปได้เรื่อยๆ อย่างราบรื่น จนกระทั่งมีทหารคนหนึ่ง ซึ่งติดยศระดับนายกองปีนขึ้นไปบนรถถังแบบลอยตัวที่จอดอยู่แล้วประกาศบอกกับทุกคนว่า

 

“ทุกคนมาดูนี่เร็ว”

 

แล้วเขาก็ปีนลงจากรถถังวิ่งออกห่างมาได้ระยะหนึ่ง ซึ่งทหารคนอื่นก็ทำตามเว้นแต่พวกที่ตามเซอร์คอเช่ไป แล้วเขาก็หันกลับไปทำปากขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรดังไม่เกินกระซิบก่อนจะโยนแผ่นหินเนื้อเนียนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสลงบนพื้นห่างออกไปประมาณ 3 เมตร ทันใดนั้นแผ่นหินแผ่นนั้นก็เรืองแสงเป็นแสงสีน้ำเงิน จากนั้นภาพที่เหมือนอยู่ในจอโทรทัศน์ก็ผุดขึ้นมา ในจอภาพมีอักษรภาษาฟรีแรนเซอร์ (ภาษาโปรตุเกส) ตัวหนาสีทอง อ่านว่า “เครือข่ายความมั่นคงเอไพด์เมียร์” อยู่บนพื้นหลังสีน้ำเงิน ก่อนจะตัดไปเป็นภาพความเสียหายจากเหตุการณ์โจมตีของกองทัพโนเบิลที่ผ่านมาตามสถานที่ต่างๆ โดยตัดไปเรื่อยๆ พร้อมคำบรรยายเป็นเสียงใหญ่ๆ ของชายวัยกลางคน

 

“สงครามครั้งที่ 3 ได้ระเบิดขึ้นแล้ว กองทัพที่เรียกตัวเองว่าผู้ประเสริฐ หวังจะทำให้จักรวาลมีแต่ความสวยงาม แต่ดูสิ่งที่พวกเขาทำสิ นี่หรือความสวยงาม เมืองต่างๆ ที่เคยสร้างไว้อย่างดีด้วยหยาดเหงื่อของพวกเรา ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง ชีวิตทุกชีวิตที่อยู่ในพื้นที่ ที่กำลังมีชีวิตตามประสาของพวกเขา อยู่ดีๆ ก็ต้องตาย ต้องพบกับความทุกข์โศก ความสวยงามของพวกเขาคืออะไรกันแน่ การนองเลือดเหรอ การได้เห็นชีวิตต่างดาวตกอยู่ในความทุกข์เหรอ หรือว่าการที่ทั้งจักรวาลต้องไม่มีเผ่าพันธุ์อื่น สิ่งเหล่านี้ถ้าพวกเขาเรียกมันว่าความสวยงาม... ดี งั้นเราก็จะเรียกมันว่า จุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของผู้ประเสริฐ ในวันนี้เราคงสูญเสียอีกมากกว่านี้ถ้าเราไม่มีหน่วยรบพิเศษที่ยอดเยี่ยมในทุกด้านอย่างซูเปอร์โซลเจอร์ จงเชื่อมั่น เราจะขับไล่ผู้รุกรานพวกนี้ออกไปเหมือนกับที่เหล่าบรรพบุรุษของพวกเราเคยทำ จงเชื่อมั่น เทพธิดาแห่งชัยชนะเข้าข้างเราเสมอ จงเชื่อมั่น เหล่าซูเปอร์โซลเจอร์จะเป็นตัวแทนยมทูตลากพวกผู้ประเสริฐลงนรกให้หมด และจงเชื่อมั่นในกองทัพของพวกเรา พวกท่านสามารถร่วมปกป้องโลกของเราได้โดยการสมัครเป็นทหาร พวกเราต้อนรับพวกท่านทุกเมื่อ”

 

จากนั้นภาพก็ตัดไปเป็นภาพของอะไรสักอย่างแบ่งเป็น 3 ภาพโดยตัดแบ่งเป็น 3 มุมโดยเส้นตัดกันตรงกลาง ตัวอักษรภาษาฟรีแรนเซอร์สีทองผุดขึ้นจากกลางจอเป็นคำว่า “อาวุธสุดยอด” พร้อมคำบรรยายเป็นเสียงผู้หญิงโทนเข้มเล็กน้อยว่า

 

“อาวุธสุดยอด อาวุธที่สร้างไว้สำหรับทำลายล้างผู้บุกรุกด้วยการกดปุ่มเพียงไม่กี่ครั้ง”

 

จากนั้นภาพจากมุมขวาบนก็ขยายขึ้นมาเต็มจอเป็นภาพแรก เป็นภาพฐานปืนใหญ่ไฮเทคที่กำลังเลื่อนขึ้นมาจากใต้ดิน

 

“มันเก่าแก่ มันมีอายุนับร้อยๆ ปี แต่มันยังคงความร้ายกาจไม่เปลี่ยนแปลง ลำแสงพิฆาตเวทมนตร์ ถิ่นกำเนิดอยู่ที่สหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่ เป็นปืนใหญ่ที่ทำงานร่วมกับดาวเทียมที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะท้อนลำแสง ซึ่งกระจัดกระจายอยู่รอบโลกเหนือชั้นบรรยากาศ มันสามารถชิ่งลำแสงไปได้ทุกที่ในโลก ที่สำคัญพวกโนเบิลกลัวสิ่งนี้ เมื่อสักครู่นี้พวกท่านคงได้เป็นลำแสงสีขาวสว่างโล่กวาดไปทั่งท้องฟ้า นั่นคือลำแสงของมันล่ะ”

 

ภาพของแมจิคเดธเรย์กระบอกใหญ่ย่อลงไปเป็นเหมือนเดิม ต่อมาภาพที่ถัดมาเวียนขวาก็ขยายขึ้นเป็นภาพของขีปนาวุธที่ดูเรียบง่าย เหมือนไม่มีอะไรพิเศษ

 

“แม้มันจะด้อยประสิทธิภาพที่สุดแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญ คือ มันเรียบง่าย ความเรียบง่ายของมันทำให้เราสามารถผลิตมันขึ้นมาได้เป็นจำนวนนับพันๆ นัด มีฐานที่จะใช้ยิงมันกระจายอยู่ทั่วโลก ซีดเดอร์ ถิ่นกำเนิดอยู่ที่สหรัฐโวลก้า มันเกิดมาจากจินตนาการความคิดง่ายๆ ของเด็กผู้ชายเผ่าพันธุ์โทรลคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็ได้รู้จักกันในนาม ด็อกเตอร์ ดาเนียล แทงดอล ผู้ยิ่งใหญ่ ซีดเดอร์เป็นหนึ่งในอาวุธอายุนับร้อยๆ ปีเช่นเดียวกีบลำแสงพิฆาต แต่พัฒนาขึ้นมาหลังสงครามครั้งที่ 2 มันเป็นมิสไซล์ดาวกระจายที่เกินคำบรรยายด้วยสถิติด้วยการส่งหัวรบโอเวอร์บูมเมอร์ (นิวเคลียร์) ได้ครั้งละ 322 หัวด้วยการยิงครั้งเดียว”

 

ภาพของซีดเดอร์ย่อลง ภาพสุดท้ายก็ขยายขึ้นมาแทน เป็นภาพของฐานปืนใหญ่ขนาดยักษ์ 4 ลำกล้อง

 

“มันใหญ่ มันเรียบง่าย มันเสียงดัง มันน่ากลัว และมันเป็นอีกหนึ่งในผลงานของ ด็อกเตอร์ ดาเนียล แทงดอล แม้มันจะไม่ได้เป็นผลงานของท่านโดยตรง แต่มันก็เป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาจากอัลตร้าแคนนอน นี่คือ มอนสเตอร์แคนนอน ปืนใหญ่พิสัยไกลระบบหลายลำกล้อง ถิ่นกำเนิดอยู่ที่สหภาพเออริคาสตัน มันขึ้นเชื่อเรื่องความน่าเกรงขาม มันเป็นอะไรที่เรียบง่ายจริงๆ แต่ก็มีประสิทธิภาพ ด้วยการส่งหัวกระสุนติดครีบขนาด 50 นิ้วจำนวน 100 นัด ข้ามประเทศไปตกยังพื้นที่เป้าหมายที่กำหนดอย่างแม่นยำด้วยอัตรายิง 480 นัดต่อนาที นอกจากอำนาจการทำลายล้างแล้ว มันยังใช้ข่มขวัญศัตรูด้วยเสียงคำรามของมันได้ด้วย เพียงได้ยินเสียง ตูมๆ เบาๆ ลอยมาเข้าหูก็ทำให้ขนลุกได้แล้ว”

 

ภาพของฐานปืนใหญ่ยักษ์ย่อลง ตามมาด้วยเสียงบรรยาย

 

“นอกจากนี้ อีก 4 ประเทศก็กำลังมีการพัฒนาอาวุธสุดยอดขึ้นมาอีกด้วย จงเชื่อมั่นเราจะไม่แพ้”

และแล้วการโฆษณาก็จบลง จอภาพที่ผุดขึ้นมาก็ย่อหดกลับลงในแผ่นหินเวทมนตร์เหมือนเดิม จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงของทหารยศนายกองก็ประกาศก้องขึ้นเป็นการขอเสียงของเหล่าทหาร

 

“จงเชื่อมั่นเราจะไม่แพ้!”

 

สิ้นเสียงของเขา เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างเฮลั่น รวมทั้งเซอร์คอเช่ โพลี่ และนายพลฮ็อบบิทหญิงด้วย 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา