Epidemia: Epic World on Fire
7.9
21) Secret service network [Part 4]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คมาดนักวิชาการนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนม้านั่งในห้องขังโทรมๆ แห่งหนึ่งที่มีโคมไฟเก่าๆ ห้อยอยู่บนเพดานเพียงดวงเดียวแถมยังเป็นหลอดสุญญากาศที่ทำท่าจะดับแหล่ไม่ดับแหล่ ผิดกับเบื้องนอกที่ดูใหม่เอี่ยมเป็นเพดานเรืองแสงอัตโนมัติที่เข้ากับยุคปัจจุบัน เซอร์คอเช่อ้าปากหาววอดยาวเอามือแคะขี้ตาอย่างคนเพิ่งลุกจากที่นอน เงยหน้าขึ้นก็เห็นโทรลที่ตัวสูงหัวเกือบชนเพดานสวมชุดคล้ายทหารถือปืนกลมือยืนพิงกำแพงอยู่เหล่ตามองดูเขาเป็นระยะๆ “เฮ้ยแก” เซอร์คอเช่ร้องเรียกเบาๆ ห้วนๆ แต่คนที่ยืนคุมอยู่ไม่ตอบ เพียงหันมาเล็กน้อยมองด้วยหางตาอย่างไม่เป็นมิตร “เฮ้ยแก” เขาเรียกดังขึ้นแต่คราวนี้โทรลร่างใหญ่กลับทำเป็นไม่สนใจ ควักบุหรี่สูบสบายใจเฉิบ “เมื่อไหร่พวกแกจะเปลี่ยนหลอดไฟโบราณนี่ไปเป็นเพดานเรืองแสงพวกนั้นซะทีวะ... เงินก็ออกจะมีตั้งเยอะขนาดขีปนาวุธร่อนทหารราบแสนแพงของชทัมม่าพวกแกยังหามาประจำการได้กองเป็นภูเขา ขนาดอาเรียอาร์มที่เพิ่งเข้าประจำการพวกแกยังหามาใช้ได้เลย แล้วทำไมกับอีแค่เพดานเรืองแสงไม่กี่แผ่นทำไมหาไม่ได้... เอ... หรือว่าขาดตลาด ไม่มั้งฉันว่าพวกแกไม่มีปัญญาซื้อกันเองมากกว่าเพราะเงินที่ได้มาก็เอาไปลงกับอาวุธกับอาหารหมด ปล่อยฉันออกไปสิ ฉันจะไปซื้อให้ ขาดตลาดก็ไม่เป็นไร เห็นแบบนี้ฉันดังนะ อ้างชื่อฉันไม่เกิน 3 วันได้ของแน่ เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ในเมื่อพวกแกไม่มีเงินขนาดจะซื้อแผ่นเพดานเรืองแสง งั้นก็แปลว่ามีใครคอยบริจาคของพวกนี้ให้พวกแกด้วยสิ หลุดไปได้ต้องไปคุยกันหน่อยแล้ว...” ว่าแล้วเขาก็เข้าประเด็นคุยทันทีโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะให้ความสนใจหรือไม่ราวกับคนเมาแอลกอฮอลกำลังสารภาพความในใจโดยเฉพาะน้ำเสียงยานๆ และสำเนียงที่เปล่งออกมารัวๆ ผู้คุมที่ยืนอยู่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ รู้ว่าหน่วยรบพิเศษคนนี้กำลังยั่วโมโหเขาเล่นแก้เซ็ง ...อดกลั้นไว้ อดกลั้นไว้... ผู้คุมบอกกับตัวเอง การยั่วโมโหแก้เซ็งยังดำเนินไปอีกยาวนาน คำดูถูกเหยียดหยามถูกปล่อยออกมาเป็นน้ำไหลไฟดับ ประเด็นที่คุยก็เปลี่ยนไปหลายเรื่องตั้งแต่อะตอมยันห้วงจักรวาล จนกระทั่งมือที่จับด้ามปืนกลมือเริ่มขยับเล็กน้อย เซอร์คอเช่ก็หยุดรัวทันทีแล้วเปลี่ยนมาเป็นการยั่วยุอย่างบ้าบิ่น “โอ้ โอ้ โอ้ เอาเลย ยิงเลยๆ ยิงมาเลยๆ กล้ารึเปล่าน้อง เอาสิตรงนี้เลย เฮ้ยไม่เอา เดี๋ยวศพไม่สวย ตรงนี้ดีกว่าเวลาลงโลงจะได้เนียนๆ” โทรลผู้คุมไม่สนคำยั่วยุยืนรักษามาดเข้มต่อไป การเคลื่อนไหวเดียวคือกันเปลี่ยนการทิ้งน้ำหนักตัวลงขาอีกข้างเท่านั้น เมื่อซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คมาดครูเห็นว่าอีกฝ่ายใจแข็งก็พูดทิ้งท้ายอย่างหยาบคายไปว่า “โถ่ นึกว่าแน่ ที่แท้ปอดแหกนี่หว่า ไม่มันเลย” “ปล่อยคุณออกไปคงไม่ได้เพดานเรืองแสงมาหรอก แต่กลัวว่าจะเป็นระเบิดเรืองแสงที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘นิวเคลียร์’ แทน...” ทันใดนั้นก็มีเสียงของหญิงคนหนึ่งที่เซอร์คอเช่แสนจะคุ้นหูดังขึ้น และเสียงรองเท้าบูทกระทบพื้นเป็นจังหวะการเดินกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาก็ตาเหลือกอ้าปากค้างอย่างตะลึงงัน เขาแทบไม่เชื่อสายตาว่าหญิงสาวตรงหน้าเคยเป็นเพื่อนร่วมงานที่โรงเรียนก่อนสงครามระเบิด คุณครูเอลฟ์สาวนาม การ์เซีย นั่นเอง “เห็นแบบนี้เราก็ศึกษาประวัติศาสตร์มาละเอียดยิบเลยนะ เมื่อก่อนสหพันธรัฐฟรีแรนเซอร์เป็นมหาอำนาจทางนิวเคลียร์อันดับหนึ่ง ดราก้อนไนท์รุ่นก่อนๆ เขารู้กันดีเพราะพวกคุณเล่นยิงถล่มกันเป็นห่าฝนทั้งด้วยปืนใหญ่ ทั้งเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องอัตตาจร เครื่องบินทิ้งระเบิดทั้งปูพรมและแบบแม่นยำสูงด้วยขีปนาวุธร่อน รวมทั้งขีปนาวุธร่อนขนาดเล็กจากเครื่องบินรบขนาดเล็ก และอีกหลายรูปแบบ ที่ขาดไปก็คือไอซีบีเอ็มและพวกเอ็มไออาร์วี จนกระทั่งพวกเราแทบรวมกลุ่มกันไม่ติด...” (ICBM = Inter Continental Ballistic Missile หรือขีปนาวุธข้ามทวีป, MIRV = Multiple Independently targetable Reentry Vehicle หรืออาวุธปล่อยหลายหัวรบแบบเลือกเป้าหมายเองโดยอิสระ) ซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คมาดนักวิชาการพูดไม่ออกได้แต่นั่งฟังคำพูดของคนที่เขาเคยช่วยไว้จากกองกำลังผู้ดีจอมปลอม “จนกระทั่งเมื่อปี 3089 ถูกแซงหน้าขึ้นไปโดยสหรัฐโวลก้า เพราะช่วงนั้นหันมาเน้นการพัฒนาอาวุธลำแสงยิงจากอวกาศหรือชั้นบรรยากาศชั้นนอก ฐานยิงขีปนาวุธแห่งหนึ่งถูกเปลี่ยนเป็นที่ตั้งปืนใหญ่ลำแสงมรณะเวทมนตร์รุ่นแรก ทว่าเพราะประสบปัญหามากมายจึงถูกปิดไปอย่างถาวรและกลายเป็นแค่รูปในโฆษณาไป ต่อมาได้มีการออกแบบมันใหม่ทั้งหมด ฐานยิงขีปนาวุธ 3 แห่งถูกเปลี่ยนเป็นที่ตั้งหอคอยยิงลำแสงมรณะรุ่นใหม่ ซึ่งมันถูกทำลายไปโดยหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์หนึ่งแห่ง และโดยพวกเราอีกสองแห่ง ดังนั้นจากนี้ไป ท่านประธานาธิบดีพอล อันโตนิโอ เวอร์โลเย่ ต้องสั่งเปิดคลังแสงนิวเคลียร์เป็นการใหญ่แน่... คุณออกไปก่อน” จบวิชาประวัติศาสตร์ การ์เซีย ก็หันไปบอกกับโทรลผู้คุมที่กำลังเก็บอารมณ์อย่างสุดความสามารถ ผู้คุมหันมาก้มหัวรับคำ ก่อนเหล่ตาส่งสายตาอาฆาตให้หน่วยรบพิเศษผู้แสนกวนบาทาแล้วเดินผละออกไปด้วยอาการที่เกือบเป็นปกติ อดีตครูสาวจับสังเกตได้ก็หันมาเหน็บอดีตเพื่อนร่วมงานด้วยน้ำเสียงติดตลกว่า “แหม เพิ่งรู้ว่าคุณได้รับเกียรตินิยมด้านจิตวิทยามาด้วยเหรอเนี่ย มิน่าล่ะ นิยายของคุณแต่ละเรื่องถึงได้บีบคั้นหัวใจคนอ่านมากนัก” เซอร์คอเช่ตั้งสติได้ก็ตอบกลับไปแนวอวดอ้างพร้อมเหน็บกลับว่า “แน่นอน เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วย เก่งไหม ท่านอาจารย์สอนวิชาการละคร คุณเล่นได้เกือบเนียนแล้วนะ เพราะโดยส่วนมากถ้าเป็นประชาชนธรรมดาคงจะไม่สามารถตั้งสติได้เร็วขนาดนั้น จุดนั้นเองที่ทำให้ผมคาใจอยู่ว่า คุณเป็นแค่ลูกจ้างกินเงินเดือนธรรมดาๆ จริงเหรอ”
“คุณเองก็ใช่ย่อยนะ พันตรี เซอร์คอเช่ อาบาโคล่า ตอนเป็นคุณครู เซอร์คอเช่ อาบาโคล่า ฉันเกือบจะมองคุณไม่ออกเลยนะ ถ้าไม่ได้เห็นแววตาของคุณ แววตา ซึ่งซ่อนประสบการณ์การปลิดชีวิตคนมามากมาย แล้วฉันก็เดาถูกจริงๆ ตอนโนเบิลบุก” ว่าแล้วทั้งคู่ก็ผลัดกันเหน็บสวนกันไปมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้กัน จนแล้วจนรอด ออร์คซูเปอร์โซลเจอร์มาดนักวิชาการก็เป็นฝ่ายเลิกรา ก่อนจะตรงเข้าประเด็นอย่างกะทันหัน “เอาแบบนี้ดีกว่า การ์เซีย คุณต้องการอะไร ถ้าจะสอบสวนกันละก็อย่าหวังเลย แต่...” เซอร์คอเช่เงียบไปครู่หนึ่ง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าใกล้ลูกกรงก่อนพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ “แต่ถ้าคุณเสนอเงินให้ผมอย่างน้อยห้าล้านเซาเนอร์ ผมจะแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับพวกคุณ” การ์เซียยิ้มกว้างทันที จากนั้นทั้งคู่ก็ยืนคุยทำข้อตกลงอะไรบางอย่างกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วทั้งคู่ก็รับปากตกลงกัน ว่าแล้วอดีตครูเอลฟ์สาวก็เรียกผู้คุมโทรลเข้ามาอีกครั้ง “ปล่อยเขาออกมา...” เธอบอกกับผู้คุมโทรลไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ซึ่งผู้คุมเองก็ได้แต่ทำหน้างง และอยากจะเอ่ยปากถามเหตุผล แต่ทว่าคำตอบก็กระจ่างออกมาก่อน “เรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราให้คุณ 50 ล้านก็ยังไหว” พูดจบการ์เซียก็เดินนำไป ส่วนเซอร์คอเช่ก็ออกมาจากห้องขังและเดินชนเช็ดๆ กับโทรลผู้คุมเล็กน้อย ทันทีที่ผู้คุมหันมามองก็เห็นเซอร์คอเช่เต้นแร้งเต้นกาทำท่าเยอะเย้ยและพูดดูหมิ่นแบบไม่ส่งเสียงใส่ ถ้าอ่านปากจะจับความได้ว่า “ไอ่เด็กใจเสาะเอ้ย ถือปืนไว้แต่ไม่ยิง กลับไปดูดนมแม่ไป” ผู้คุมโทรลกัดฟันกรอดๆ ด้วยอารมณ์เคืองสุดๆ เขาอยากจะเหนี่ยวไกยิงออกไปให้ได้ แต่ก็ติดอยู่ที่ว่าคนที่เขาจะยิงเป็นถึงซูเปอร์โซลเจอร์ที่แปรพักตร์ ซึ่งคนๆ นี้จะมีประโยชน์ต่อองค์กรอย่างยิ่งยวด ยิ่งนึกถึงด้านศักดิ์ศรีด้วยแล้ว รายนี้ถือว่าไม่มีเลย ยิ่งที่ให้เขาโกรธ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้เพื่อส่วนรวมขององค์กร แต่อย่างไรก็ตามการที่หน่วยรบพิเศษคนนี้สามารถย้ายข้างตามจำนวนเงินได้ (ตามมุมมองของโทรลผู้คุม) เขาจึงตัดสินใจจับตาดูอย่างใกล้ชิด เซอร์คอเช่หยุดเต้นแร้งเต้นกาอย่างกะทันหัน ซึ่งต่อมาไม่กี่วินาทีการ์เซียก็หันมากวักมือเรียก เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องขังในแดนคุมขังที่เขารับผิดชอบแล้ว โทรลผู้คุมจึงเดินตามหลังเซอร์คาเช่ไปติดๆ เขาแกล้งเดินเตะขาเพื่อแกล้งเอาคืนหน่วยรบพิเศษแสนกวนประสาทแต่ก็พลาด อดีตเชลยศึกสามารถเดินหลบได้อย่างว่องไว เขาจึงเดินเตะอย่างต่อเนื่องแต่ก็พลาดหมด เขารู้สึกเหมือนว่าออร์คผู้ไร้ศักดิ์ศรีผู้นี้จะรู้ทุกการเคลื่อนไหวรอบตัว แต่นั่นก็สร้างข้อสงสัยอย่างหนึ่งขึ้นในใจว่า ...แมร่งหลบเราได้ทุกครั้งเหมือนรู้การเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัว แล้วทำไมแมร่งถึงได้โดนจับง่ายๆ วะ... คิดแล้วเขาก็ส่งโทรจิตไปยังการ์เซียในทันที “หัวหน้า” “หืม” การ์เซียตอบกลับมาเป็นโทรจิต “หัวหน้าว่ามันแปลกๆ ไหม” “อะไรแปลก” “เมื่อกี้ผมลองแกล้งเดินเตะขาแมร่งดู แต่แมร่งหลบได้ทุกครั้งเลย เหมือนแมร่งรู้การเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัวเลย” “นายเตะผิดจังหวะมั้ง พอเถอะ” “หัวหน้า ถึงแมร่งจะแกล้งเดินเนียนก็เถอะ แต่ผมรู้นะว่าแมร่งรู้ว่าผมจะไปทางไหน” “แล้วยังไง” “ถ้าแมร่งจับความเคลื่อนไหวรอบตัวได้แล้วทำไมแมร่งถึงได้โดนจับง่ายแบบนี้” “นายคิดมากไปแล้วเดฟ ถึงรู้การเคลื่อนไหวรอบตัวจริงแต่ถ้าการตอบสนองต่อสถานการณ์ไม่ดีพอมันก็เท่านั้นแหละ” เดฟคิดแล้วก็เห็นคล้อยตาม บางทีสาเหตุที่ซูเปอร์โซลเจอร์แสนกวนประสาทคนนี้โดนจับอาจจะเป็นเพราะรู้ว่าหนีไม่ได้จึงยอมจำนนโดยดีก็ได้ แต่มันก็ยังไม่ทำให้เขาเลิกระแวง แต่ในขณะเดียวกัน เซอร์คอเช่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างมีเลศนัยประกอบกับสายตาทำให้เหมือนจะแฝงไปด้วยความชั่วร้าย แต่ก็ไม่มีใครเห็น จนเมื่อออกไปจากแดนคุมขังใบหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ สายตาทุกคู่จากบุคลากรดราก้อนไนท์จับจ้องมาที่เชลยศึก (เมื่อไม่นานมานี้) ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานของตัวเองอยู่ หรือคนที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดชะงักมองดูเหมือนไม่เคยเห็นออร์คที่เป็นซูเปอร์โซลเจอร์ เหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมจากนอกโลกนอกจากชาวโนเบิล เมื่อซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คมาดนักวิชาการหันมองดูโดยรอบก็เปลี่ยนท่าเดินให้สง่าผ่าเผย ราวกับจะอวดอ้างตัวเองว่า ข้าเจ๋งสุด “ไม่เป็นไรๆ ทำธุระของตัวเองต่อไปเถอะ ไว้พรุ่งนี้ฉันจะอธิบายให้” การ์เซียร้องบอกน้ำเสียงมั่นคงอย่างเป็นผู้นำ แต่อย่างไรก็ตามทั้งสามก็ยังไม่พ้นตกเป็นเป้าสายตาอยู่ดี สาเหตุหลักๆ เพราะคนที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนั่งอยู่ในห้องขัง แต่บัดนี้กลับมาเดินตามหัวหน้าของพวกตนโดยมีคนคุมแดนคุมขังตามประกบท้าย
เซอร์คอเช่ทอดสายตาไปรอบๆ เท่าที่คอของเขาจะอำนวยราวกับจะจดจำรายละเอียดรอบตัวให้หมดจนเอาไปวาดเป็นภาพลงผืนผ้าใบได้ แม้จะมีโทรลที่ตัวสูงกว่าเขาถือปืนกลมือเดินคุมเข้มอยู่เบื้องหลังก็ตาม ด้านเดฟเองเมื่อเห็นกิริยาแบบนี้เข้าก็ชักไม่แน่ใจว่าซูเปอร์โซลเจอร์คนนี้เป็นแค่จอมกวนประสาทไร้ศักดิ์ศรีหรือเป็นยอดฝีมือจอมเจ้าเล่ห์กันแน่ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่เดินสอดส่องสายตาอยู่เบื้องหน้าตนจะตกลงกับหัวหน้า (การ์เซีย) ว่าจะแปรพักตร์เข้ากับดราก้อนไนท์โดยแลกกับเงินจำนวนมาก แม้มันจะไม่ค่อยสบอารมณ์เขานักก็ตาม แต่มันก็คุ้มค่าถ้าได้อดีตซูเปอร์โซลเจอร์ยอดฝีมือมาเป็นพวก “อาจารย์... ไม่ใช่สิ ผู้พันเซอร์คอเช่ ก่อนจะประกาศการแปรพักตร์ของคุณอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ ฉันอยากพาคุณไปพบบุคคลท่านหนึ่งก่อน” การ์เซียว่าอย่างเป็นกึ่งทางการโดยไม่หันไปมอง “ยังก่อนจนกว่าผมจะได้เงิน ถ้าไม่เป็นตามที่เราตกลงกันไว้รับรองว่าผมถล่มที่นี่กระจุยแน่” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์พูดเสียงเรียบหน้าตาเฉยและเสียงดังพอที่จะให้ทุกคนได้ยิน แต่ไม่มีใครมองออกว่าเขาจริงจังรึเปล่าจนบางคนก็เขม่นเข้าเหมือนกัน เดฟเองก็นินทาในใจว่า ...นี่เอ็งคิดว่าตัวเองเป็นกองทัพคนเดียวรึไงวะ ลองแผลงฤทธิ์ดูพ่อจะยิงให้ไม่เหลือศพให้ฝังเลย... ส่วนการ์เซียหัวเราะร่วนแล้วตอบกลับไปว่า “เรื่องเงินไม่มีปัญหาหรอก บอกแล้วไง จะห้าล้านหรือห้าร้อยล้านเราก็ไม่มีปัญหา เพราะการได้ตัวคุณมาฉันว่าพันล้านยังถูกไปด้วยซ้ำ” “แล้วจะให้ผมไปพบใคร” “คนหนึ่งจากเผ่าพันธุ์ที่คู่ควรจะเป็นผู้ครองเอกภพไง” “ขนาดนั้นเชียว เออ... อย่าหาว่าผมฝันกลางวันเลยนะ แต่ผมว่าที่นอกกาแล็กซี่ต้องมีกองกำลังรักษาสันติภาพอยู่แน่เลย หรือไม่ก็อาจจะเป็นโลกที่มีนโยบายปลดปล่อยดาวดวงอื่นจากการกดขี่ของใครก็ตามที่ชอบล่าอาณานิคม ถึงตอนนั้นกองทัพโนเบิลอาจจะส่อแววแพ้ราบคาบตั้งแต่ถูกโจมตีครั้งแรกเลยก็ได้” การ์เซียขมวดคิ้ว ปรายตามองอดีตนักโทษอย่างสงสัยแล้วหยั่งคำถามว่า “หมายความว่าไง” เซอร์คอเช่ยิ้ม “ผมกะจะเสนอกับท่านว่า ถ้ากองทัพพวกนั้นมีอยู่จริงก็น่าจะผูกมิตรไว้บ้างนะ” การ์เซียยิ้มอย่างมีแววตลกขบขันก่อนหันหน้ากลับไปมองตรงแล้วไม่พูดอะไรอีก ทั้งสามเดินไปอย่างเงียบๆ ไม่พูดจากันตลอดทางที่เหลือจนกระทั่งไปถึงห้องหนึ่งตรงสุดทางเดินย่อยแห่งหนึ่ง เมื่อประตูอัตโนมัติเปิดออก หญิงสาวโนเบิลคนหนึ่งก็นอนอยู่บนเตียงตามองเพดานอย่างไร้ความหมาย หัวหน้ากลุ่มกบฏดราก้อนไนท์กระแอมเรียกสติขึ้น สายลับโนเบิลสาวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปที่ออร์คที่ยืนอยู่ข้างหลังเอลฟ์สาว ซึ่งเซอร์คอเช่ก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แล้วเธอก็หันไปที่กลางห้อง มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่และเก้าอี้ 3 ตัว “เชิญนั่งก่อน” ว่าพลางก็ชี้มือไป การ์เซียและเซอร์คอเช่ก็ไปที่โต๊ะชุดนั้น ส่วนเดฟผละออกนอกห้องไปเฝ้าประตู ในขณะที่สายลับสาวมาถึงเป็นคนสุดท้าย “คุณโมริคาวะ นี่คือ พันตรีเซอร์คอเช่ อาบาโคล่า หน่วยรบพิเศษซูเปอร์โซลเจอร์ เพิ่งแปะพักตร์เมื่อกี้นี้ค่ะ แล้วก็เซอร์คอเช่ นี่คือ ร้อยเอกวาคานะ โมริคาวะ หน่วยข่าวกรองพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์” “ดูหน้าท่านคุ้นๆ นะ ผู้กอง เราเคยเจอกันที่ไหนรึเปล่า” อดีตครูออร์คเริ่มเปิดการสนทนาเป็นภาษาโนเบิลพลางมองหน้าวาคานะตาไม่กระพริบเอนหลังพิงพนักกอดอกอย่างครุ่นคิดอย่างหนัก “ท่านคงจำผิดคนแล้ว ผู้พัน มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า...” ยังไม่ทันทีอีกฝ่ายจะพูดจบ เซอร์คอเช่ก็ขัดขึ้นก่อนอย่างร่าเริงเหมือนตั้งวงสนทนาสัพเพหระของคนที่เพิ่งเคยรู้จักกันว่า “อ๋อ หนึ่งในจอมเวทที่มาผลัดเวรที่ฐานยิงลำแสงเลเซอร์เวทมนตร์ตอนนั้นนั่นเอง แหม ข้าขอชมจากใจเลยนะว่าท่านกล้ามาก แต่ว่าข้าได้ยินมาว่าชาวโนเบิลไม่มีเวทมนตร์ไม่ใช่เหรอ แล้วไหงข้าถึงได้สัมผัสได้ถึงประจุเวทมนตร์ล่ะ ตอนนี้ก็ด้วย” “เซอร์คอเช่ ระวังปากหน่อย เลิกตีลูกรวนได้แล้ว” การ์เซียขึ้นเสียงปรามเป็นภาษาฟรีแรนเซอร์ (โปรตุเกส) ซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คจอมกวนประสาทเงียบไปในบันดลก่อนจะกล่าวคำขอโทษที่ฟังดูเหมือนไม่สำนึกเท่าไรนัก “เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ท่านช่วยตอบข้ามาก่อนเรื่องข้อมูลการเคลื่อนไหวของกองทัพฟรีแรนเซอร์ทั้งหมดในภูมิภาคนี้เท่าที่ท่านรู้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าท่านแปรพักตร์มาเข้ากับเราจริง” “ฟังท่านพูดแล้วดูจะสุภาพกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลยนะ ข้าต้อง...” แม้อีกฝ่ายจะจริงจังขนาดไหน แต่เซอร์คอเช่ก็ยังคงส่อแววล้อเล่นราวกับเด็กสมาธิสั้น แต่พูดยังไม่ทันจบ การ์เซียก็ตวาดเสียงดังเตือนให้อดีตเพื่อนครูรู้ถึงสถานการณ์ ในขณะที่เซอร์คอเช่หัวเราะแหะๆ แล้วกล่าวคำขอโทษอย่างไม่รู้สำนึก “ขอโทษๆ ข้าแค่ต้องการทดสอบท่านว่า ท่านจะทนการยั่วโมโหได้ขนาดไหน โดยเฉพาะมีนายพลอากาศบางคนชอบใช้กลยุทธ์ยั่วโทสะผู้บัญชาการของศัตรูให้เขวแล้วก็ทำเสียแผนซะเอง จากนั้นก็เข้าโจมตีทั้งเร็วทั้งแรงเป็นพายุจนโงหัวไม่ขึ้นก่อนจะถูกบดขยี้จนราบคาบแบบไม่มีทางตอบโต้... ทีนี้ไปเอาแผนที่มา”
ว่าแล้วเขาก็เริ่มจริงจัง แต่น้ำเสียงและใบหน้านั้นดูเรียบๆ ราวกับหุ่นยนต์ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ การ์เซียลุกออกไปหยิบแผนที่ในตู้เก็บเอกสารมากางกับโต๊ะ แต่ยังไม่ทันที่จะได้นั่ง เซอร์คอเช่ก็เลยหน้าขึ้นทำตาค้อนใส่ “จะให้ผมเจาะนิ้วเขียนด้วยเลือดรึไง ขอปากกาหรือดินสอด้วย” สิ้นเสียงการ์เซียก็ล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบปากกายื่นให้ทันที เซอร์คอเช่รับปากกามาแล้วลงมือวาดวงกลมลงบนแผนที่หลายวงอย่างเร็วเหมือนมั่วจนเสร็จเขาก็เริ่มเผยข้อมูลการเคลื่อนไหวทั้งหมดของกองทัพฟรีแรนเซอร์ในภูมิภาคที่วาคานะกำหนดไว้เป็นภาษาของเผ่าพันธุ์ผู้เจริญแล้ว “ตาดู หูฟัง สมองคิดตาม... เริ่มจากทางเหนือ อย่างที่พวกท่านรู้กัน ในตอนนี้กองกำลังโนเบิลได้เข้ายึดพื้นที่ตรงนั้นไว้หมดแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เหลือความเคลื่อนไหวอะไรที่นั่น เพื่อนข้าหลายคนและหน่วยปฏิบัติการพิเศษทั้งด้านกลยุทธ์และเวทมนตร์กำลังตระเวนก่อกวนกองกำลังโนเบิลอยู่ พวกนั้นมีการตั้งค่ายพักเป็นระยะๆ เรื่องที่ตั้งข้าก็บอกไม่ได้เพราะพวกเขาย้ายที่ทุกครั้ง ส่วนเรื่องค้นหาจากทางอากาศก็เลิกหวังได้เลย เพราะพวกเขากำลังปฏิบัติการแบบกองโจร ด้วยกำลังที่มีไม่เกิน 2 หมวดในแต่ละกลุ่ม เรื่องการพรางตัวนั้นสำคัญมาก พวกเขาแหงนมองขึ้นไปเห็นเครื่องบินลาดตระเวนของพวกท่าน แต่กล้องเครื่องบินลาดตระเวนของพวกท่านมองไม่เห็นพวกเขา นอกจากนี้ถ้าท่านจะถามเรื่องพวกเขาจะอยู่กันได้ยังไงในเมื่อไม่มีการส่งเสบียงจากทางไหนเลย เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับหน่วยปฏิบัติการพิเศษอย่างเราหรอก เพราะตอนนี้ทหารของพวกท่านคงกำลังถูกล่าเหมือนสัตวอยู่ เพราะอาวุธหลักของพวกนั้นเป็นไรเฟิลล่าสัตวที่ยิงกระสุนวัตถุ...” คำพูดในตอนท้ายๆ ของเซอร์คอเช่ทำเอาวาคานะเสียวสันหลังวาบ เกิดอาการขยาดจนเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ การ์เซียเหลือบไปเห็นก็รีบอธิบายโดยไว “พวกเขาไม่ได้กินเนื้อขาวโนเบิลหรอก ที่ผู้พันหมายถึงคือพวกเขาหาเสบียงด้วยการล่าสัตวและหาของป่ากิน” อกของวงคานะโล่งเป็นปลิดทิ้ง เธอนึกชื่นชมนักรบฝ่ายศัตรูก็ตรงนี้ ผิดกับทหารของพวกตนเกือบทั้งกองทัพที่ไม่สามารถปฏิบัติการภายใต้สถานการณ์แบบนั้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ขอชื่นชมที่นักรบเหล่านั้นยิงทหารของฝ่ายตนด้วยไรเฟิลที่ใช้ยิงสัตวเพราะมันเหมือนกับเป็นการหมิ่นเกียรติกันอย่างร้ายกาจ “วิธีจัดการกับพวกเขาที่ง่ายที่สุดก็คือการล้อมพื้นที่แล้วค่อยๆ ตีวงเข้าไปจนพวกเขาขยับไปไหนไม่ได้ การที่จะทำแบบนั้นได้พวกท่านต้องยึดพื้นที่รอบๆ ให้ได้ก่อน ทางตะวันออกมีสถานีเสบียงและเชื้อเพลิงตั้งอยู่สองสามแห่ง แล้วก็ฐานทัพอากาศอีกหนึ่งแห่ง การจะเข้ายึดที่นั่นข้าแนะนำให้ส่งกองกำลังขนาดเล็กหลบการตรวจจับเข้าไปทำลายการป้องกันประเภทแท่นปืนที่ซ่อนอยู่ใต้พื้น แล้วส่งสัญญาณให้กองกำลังหลักของพวกท่านทุ่มกำลังเข้าตี สิ่งที่ต้องระวังมีอย่างเดียวคือการโจมตีทางอากาศ แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะเข้าโจมตีที่นั่น เพราะว่ามีกองกำลังผสมระดับกองพลเคลื่อนเข้าไปประจำการที่นั่น ส่วนทางตะวันตกเองก็เคยเป็นเขตพลเรือนและเหมืองเงิน แต่ตอนนี้อพยพไปหมดแล้ว และเช่นกันมีกองกำลังผสมระดับกองพลเข้าประจำที่นั่นเหมือนกัน ถ้าจะให้ทายพวกเขาจะเข้าโจมตีกระหนาบบีบพวกท่านลงทะเล ซึ่งเรือดำน้ำโจมตีเท่านั้นที่รออยู่ ข้าแนะนำให้ท่านแจ้งข่าวนี้ไปโดยด่วนที่สุด หลังจากนี้ได้ยิ่งดี ส่วน...” พูดยังไม่ทันขาดคำ วาคานะก็ขัดขึ้นก่อนพลางทำท่าจะผละออก “เดี๋ยวนี้เลยดีกว่า” “ใจเย็น อยู่ก่อน ข้ายังบอกไม่หมดเลย” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ตวาดลั่นเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของร้อยเอกกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ไว้แน่น น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังที่สุดเท่าที่เขาเปล่งออกมาในวันนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีแววจะเล่นลิ้นแม้แต่น้อย ประกอบกับสายตาที่สงบนิ่งทำให้วาคานะกลับมาฟังต่อ “ส่วนทางใต้เคยเป็นเขตพลเรือนเหมือนกันเชื่อมต่อจากที่นี่เลยถ้าดูจากแผนที่นะ มีโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่ง ซึ่งตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นโรงงานผลิตอาวุธ รวมกับที่เป็นอยู่แล้วทั้งหมดก็ 3 แห่ง ในเขตพลเรือนมักจะมีสถานีวิทยุชุมชน และถ้ามีทหารเข้าไปประจำการที่นั่นก็ไม่พ้นจะถูกดัดแปลงเป็นสถานีควบคุมการสื่อสาร และสถานีควบคุมการสื่อสารสมัยนี้มักจะเป็นแบบควบระบบ มันจะเป็นทั้งสถานีควบคุมการสื่อสาร สถานีดักฟังการสื่อสาร และสถานีรบกวนการสื่อสาร และทุกที่ๆ มีสถานีแบบนี้มักจะมีศูนย์สั่งการเคลื่อนที่อยู่เช่นกัน อีกอย่างที่นั่นค่อนข้างกว้าง ถ้าจะหาโดยไม่มีข้อมูลอะไรเลยรับรองว่าหากันตาแหกแน่ เพราะแบบนี้ข้าถึงได้รั้งท่านไว้ไง ถ้าอยากจะติดต่อทหารฝ่ายท่านต้องใช้คลื่นพิเศษ ซึ่งเมื่อก่อนพวกดราก้อนไนท์เล่นเอาพวกข้าหัวปั่น ดักฟังไม่ได้ ไม่ได้รับผลจากคลื่นรบกวน แถมเข้าเครื่องไหนก็ได้ที่มีตัวรับสัญญาณวิทยุหรือสัญญาณดิจิตอล และสามารถกำหนดให้เข้าเครื่องไหนได้ด้วย แต่ก็ยังดีที่ว่ารัศมีของคลื่นรบกวนมันไปไม่ถึงกองกำลังของพวกท่าน แต่ยังไงก็ตามพวกเขาก็ยังดักฟังการสื่อสารของพวกท่านได้อยู่ดี นอกจากนี้ลงใต้ลึกไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร มีมอนสเตอร์แคนนอนตั้งอยู่ 1 แห่ง...” พูดมานานเซอร์คอเช่ก็หยุดพักหายใจ วาคานะก็ถามขึ้นว่า “ศูนย์สั่งการเคลื่อนที่” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์หัวเราะหึหึก่อนตอบอย่างมีความหมายแฝง เขาสงสัยว่าร้อยเอกกลอรี่ลิเบอเรเทอร์คนนี้ได้ซึมซับอะไรบ้างในขณะที่อยู่กับดราก้อนไนท์มานาน ซึ่งอาจกินเวลานานพอจะดูเขาออกจากท้องแม่และเติบโตขึ้นมาด้วยซ้ำ
“ก็เป็นได้ทั้งชุดห้องวางแผนที่ขนไปไหนมาไหนได้ด้วยรถบรรทุก อาจจะใช้รถหุ้มเกราะลำเลียงพลดัดแปลงเอา หรืออาจจะอยู่ในคอนเทนเนอร์บนรถบรรทุกเลยก็ได้ เอาเป็นว่ามันจะอยู่ที่ไหนก็ได้ที่เคลื่อนที่ได้ หรืออาจจะมีชิ้นส่วนน้อยและเล็กพอจะยัดใส่หลังรถตู้ได้ พอจะใช้ก็ขนออกมาวางๆ เสียบๆ ก็พร้อมใช้งาน ข้าว่าท่านอยู่กับดราก้อนไนท์มานานก็น่าจะเคยเจอบ้างแหละ... หรือบางทีก็อาจจะเป็นแค่คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปคนละเครื่อง” “คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเนี่ยนะ” คราวนี้ทั้งการ์เซียและวาคานะร้องถามเป็นเสียงเดียวกันด้วยความประหลาดใจอย่างแท้จริง คราวนี้เซอร์คอเช่กลับทำหน้านิ่ง ทว่าในใจนั้นเขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ กับปฏิกิริยาตอบสนองของสองสาวตรงหน้าเขา “เหลือเชื่อเลยนะ ว่าองค์กรที่สามารถป่วนเอไพด์เมียร์ได้ทั้งดาวอย่างดราก้อนไนท์จะไม่มีปัญญาสร้างอุปกรณ์แบบนั้น มันเป็นการผสมผสานระหว่างมาโครกับนาโน มันเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ฉบับกระเป๋า ภายนอกดูเหมือนเป็นแค่คอมพิวเตอร์พกพาธรรมดาๆ แต่ภายในประกอบขึ้นด้วยชิ้นส่วนระดับนาโน แป้นพิมพ์และหน้าจอเป็นแบบสัมผัส สามารถเลือกได้ว่าจะเอาแป้นสำหรับทำอะไร หรือเลือกหน้าจอว่าจะทำอะไร ท่านอยากได้โต๊ะวางแผนมันก็จะเชื่อมกับดาวเทียมหรือทุ่นสอดแนมที่ลอยอยู่เหนือหัวขึ้นไป 40 กว่ากิโลเมตร คอมพิวเตอร์ตัวอื่นๆ ที่ทำงานในสมรภูมิเดียวกัน ทั้งแบบเดียวกันหรือสถานีที่อยู่ที่ศูนย์สั่งการและที่อยู่กับคนที่ออกไปลุย เช่น เครื่องแบบ คอมพิวเตอร์ในรถถัง คอมพิวเตอร์ในเรือดำน้ำ รวมทั้งที่เป็นหุ่นยนต์ เอาเป็นว่ามันเป็นอุปกรณ์ในฝันของเหล่าผู้บัญชาการภาคสนามเลยก็ว่าได้...” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์หยุดพูดนอกเรื่องพักหายใจเล็กน้อยแล้วกลับเข้าเรื่องในทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครขัดขึ้นอีก “แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ข้าจะอธิบายรวดเดียวเลย ตอนนี้การจะเข้าตีที่ไหนก่อนไม่ใช่ประเด็น มันสำคัญอยู่ที่ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร เรื่องที่กองกำลังสองกองพลนั่นจะเข้าตีกระหนาบเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพวกเขาจะทำอะไร มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่พวกเขาแค่มาวางกำลังขู่ไว้ให้พวกท่านประสาทแล้วเดินตรงเข้าที่โล่งตรงกลาง ซึ่งจะตกเป็นเป้าของมอนสเตอร์แคนนอนโดยปริยาย แต่ที่พวกท่านไม่ถูกปืนมหากาฬนั่นยิงในตอนนี้เพราะพวกท่านอยู่ในพื้นที่ๆ เต็มไปด้วยปัจจัยทางทหาร ข้าไม่สามารถแนะนำอะไรได้ เพราะคำแนะนำที่ออกจากปาก “สวะ” อย่างข้ายังไง “ผู้ดี” อย่างพวกท่านคงจะไม่ฟังกันหรอก แต่ข้าแนะนำให้ท่านลองขอโอนอำนาจการบัญชาการมาที่ท่านดู แล้วข้าหรือเสนาธิการดราก้อนไนท์จะคอยบอกอยู่ข้างหลัง ตกลงไหม” สิ้นเสียงของเซอร์คอเช่ วาคานะก็ตอบตกลงทันที ในขณะเดียวกันการ์เซียก็ส่งหายตาให้เพื่อนออร์คของเธออย่างมีนัยแฝงก่อนจะพากันเดินออกจากห้องไป ในขณะที่สายลับกลอรี่ลิเบอเรเทอร์สาวแยกไปอีกทางเพื่อไปส่งข่าวเตือนกองกำลังฝ่ายตน “ที่นี่มีห้องว่างอยู่สองสามห้อง คุณเลือกเองได้เลยนะผมจะพาเดินดูให้” เดฟเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเซอร์คอเช่ไปโดยสิ้นเชิง ทว่าเนื้อแท้นั้นยังคงความระแวงไว้เช่นเดิม อีกใจหนึ่งก็อยากได้ความเคารพจากอดีตศัตรูอยู่บ้าง แต่จอมกวนประสาทก็ยังคงเป็นจอมกวนประสาทอยู่วันยังค่ำ พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงยียวนเช่นเดิม แต่ก็แฝงคำขอบคุณไปด้วยในขณะเดียวกัน “ขอบใจน้องรัก” “ไม่ต้องก็ได้ ให้เขาอยู่ห้องฉันดีกว่า...”
หลังคำขอบคุณแบบหยอกเล่นของเซอร์คอเช่ การ์เซียก็แย้งขึ้นทันทีพร้อมขยิบตาให้โทรลผู้เป็นที่รองรับอารมณ์ของออร์คจอมกวนประสาท “คุณหมดหน้าที่แล้ว ต่อจากนี้ฉันจะดูแลเขาเอง ไปได้แล้ว” เมื่อหัวหน้าเอ่ยปากรับหน้าที่เอง ลูกน้องอย่างเขาก็ต้องยอมทำตามโดยดี เดฟก้มหัวทำความเคารพแล้วกลับหลังหันเดินจากไป การ์เซียพาเซอร์คอเช่เดินไปตามทางเดินในบังเกอร์ใต้ดิน ซึ่งดูโปร่งสบายตา เหนือศีรษะมีแผ่นเพดานเรืองแสงที่ให้แสงสีขาวสว่างไล่เป็นแถวเดี่ยวไปตลอดทางตัดกับผนังสีฟ้าเข้มและพื้นที่ปูกระเบื้องลายหินอ่อนสีเนื้อ ตามขอบเพดานเป็นแนวช่องแอร์ส่งอากาศเย็นสบายลงมา ในขณะที่ดูดเอาไอเสียจากร่างกายทุกชนิดออกไป ...มันหรูเกินจะเป็นรังกบฏ... พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์คิดอย่างทึ่งๆ ซึ่งต่อจากนี้ไปจะมีสิ่งที่ทำให้เขาทึ่งอยู่อีกมาก เมื่อมาถึงห้องของการ์เซียหรือห้องของหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏ พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์มองไปรอบๆ ก็แทบไม่เชื่อว่าห้องนี้เป็นห้องของคนที่เคยเป็นครูโรงเรียนเดียวกับเขามาก่อน เพราะนี่มันห้องของนักยุทธวิธีชัดๆ นอกจากนี้ยังมีชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือเวทมนตร์โบราณที่ไม่น่าจะมีภาษาปัจจุบันปรากฏอยู่บนหน้าด้วยซ้ำ กินเนื้อที่ไปกว่าครึ่ง แต่ปกที่ดูใหม่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดเป็นฉบับคัดลอก “มิน่า พวกหน่วยปฏิบัติการดราก้อนไนท์แต่ละคนถึงได้เก่งเวทมนตร์นัก คงจะเล่นสแกนใส่คอมแล้วก็พิมพ์ตามคำสั่งเลยสิ” เซอร์คอเช่เปรยพลางกวาดสายตาสำรวจห้องไปเรื่อย ซึ่งการ์เซียก็ยอมรับตามตรง “มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ภาษาที่ใช้ก็เก่ามาก พวกเราอ่านออกแต่ไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไร เพราะว่าเรียนตามๆ กันมาจากผู้นำดราก้อนไนท์รุ่นก่อนๆ ตอนนี้เรียกกันง่ายๆ ว่า ‘ภาษาเวทมนตร์’ อยากลองอ่านดูไหม” “ไม่ดีกว่า เพราะพวกผมเรียนเวทมนตร์จากตำราภาษาฟรีแรนเซอร์หรือไม่ก็ภาษาโอเคอร์โน แล้วก็มีคิดค้นขึ้นเองบ้างเหมือนกัน” สายตาของเซอร์คอเช่กลับมาหยุดที่การ์เซีย ในขณะเดียวกันสายตาของการ์เซียก็มองเขาอยู่ก่อนแล้ว เธอจึงเอ่ยถามออกไปอย่างเป็นงานเป็นการว่า “แบล็คโรป ส่งคุณมาเหรอ” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ทำหน้าแหยถามกลับไปว่า “ใครนะ” “แบล็คโรป ชาร์ล โทบิน่า หัวหน้าแผนกสืบราชการลับ” “ไม่มีใครส่งผมมา บอกตามตรงว่าผมหมดทางหนีจริงๆ” “แล้วข้อมูลที่คุณให้นังสายลับนั่นไป” “ของจริงเกือบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องเรือดำน้ำ” “ต้องติดต่อกลับไปโดยด่วนเลย” พูดจบสายลับสาวในคราบหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏตาลุกโตเป็นไข่ห่าน แล้วก็รุดไปที่โต๊ะที่เธอเพิ่งวางโทรศัพท์มือถือไปทันที
“คุณเองก็ใช่ย่อยนะ พันตรี เซอร์คอเช่ อาบาโคล่า ตอนเป็นคุณครู เซอร์คอเช่ อาบาโคล่า ฉันเกือบจะมองคุณไม่ออกเลยนะ ถ้าไม่ได้เห็นแววตาของคุณ แววตา ซึ่งซ่อนประสบการณ์การปลิดชีวิตคนมามากมาย แล้วฉันก็เดาถูกจริงๆ ตอนโนเบิลบุก” ว่าแล้วทั้งคู่ก็ผลัดกันเหน็บสวนกันไปมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้กัน จนแล้วจนรอด ออร์คซูเปอร์โซลเจอร์มาดนักวิชาการก็เป็นฝ่ายเลิกรา ก่อนจะตรงเข้าประเด็นอย่างกะทันหัน “เอาแบบนี้ดีกว่า การ์เซีย คุณต้องการอะไร ถ้าจะสอบสวนกันละก็อย่าหวังเลย แต่...” เซอร์คอเช่เงียบไปครู่หนึ่ง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าใกล้ลูกกรงก่อนพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ “แต่ถ้าคุณเสนอเงินให้ผมอย่างน้อยห้าล้านเซาเนอร์ ผมจะแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับพวกคุณ” การ์เซียยิ้มกว้างทันที จากนั้นทั้งคู่ก็ยืนคุยทำข้อตกลงอะไรบางอย่างกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วทั้งคู่ก็รับปากตกลงกัน ว่าแล้วอดีตครูเอลฟ์สาวก็เรียกผู้คุมโทรลเข้ามาอีกครั้ง “ปล่อยเขาออกมา...” เธอบอกกับผู้คุมโทรลไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ซึ่งผู้คุมเองก็ได้แต่ทำหน้างง และอยากจะเอ่ยปากถามเหตุผล แต่ทว่าคำตอบก็กระจ่างออกมาก่อน “เรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราให้คุณ 50 ล้านก็ยังไหว” พูดจบการ์เซียก็เดินนำไป ส่วนเซอร์คอเช่ก็ออกมาจากห้องขังและเดินชนเช็ดๆ กับโทรลผู้คุมเล็กน้อย ทันทีที่ผู้คุมหันมามองก็เห็นเซอร์คอเช่เต้นแร้งเต้นกาทำท่าเยอะเย้ยและพูดดูหมิ่นแบบไม่ส่งเสียงใส่ ถ้าอ่านปากจะจับความได้ว่า “ไอ่เด็กใจเสาะเอ้ย ถือปืนไว้แต่ไม่ยิง กลับไปดูดนมแม่ไป” ผู้คุมโทรลกัดฟันกรอดๆ ด้วยอารมณ์เคืองสุดๆ เขาอยากจะเหนี่ยวไกยิงออกไปให้ได้ แต่ก็ติดอยู่ที่ว่าคนที่เขาจะยิงเป็นถึงซูเปอร์โซลเจอร์ที่แปรพักตร์ ซึ่งคนๆ นี้จะมีประโยชน์ต่อองค์กรอย่างยิ่งยวด ยิ่งนึกถึงด้านศักดิ์ศรีด้วยแล้ว รายนี้ถือว่าไม่มีเลย ยิ่งที่ให้เขาโกรธ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้เพื่อส่วนรวมขององค์กร แต่อย่างไรก็ตามการที่หน่วยรบพิเศษคนนี้สามารถย้ายข้างตามจำนวนเงินได้ (ตามมุมมองของโทรลผู้คุม) เขาจึงตัดสินใจจับตาดูอย่างใกล้ชิด เซอร์คอเช่หยุดเต้นแร้งเต้นกาอย่างกะทันหัน ซึ่งต่อมาไม่กี่วินาทีการ์เซียก็หันมากวักมือเรียก เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องขังในแดนคุมขังที่เขารับผิดชอบแล้ว โทรลผู้คุมจึงเดินตามหลังเซอร์คาเช่ไปติดๆ เขาแกล้งเดินเตะขาเพื่อแกล้งเอาคืนหน่วยรบพิเศษแสนกวนประสาทแต่ก็พลาด อดีตเชลยศึกสามารถเดินหลบได้อย่างว่องไว เขาจึงเดินเตะอย่างต่อเนื่องแต่ก็พลาดหมด เขารู้สึกเหมือนว่าออร์คผู้ไร้ศักดิ์ศรีผู้นี้จะรู้ทุกการเคลื่อนไหวรอบตัว แต่นั่นก็สร้างข้อสงสัยอย่างหนึ่งขึ้นในใจว่า ...แมร่งหลบเราได้ทุกครั้งเหมือนรู้การเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัว แล้วทำไมแมร่งถึงได้โดนจับง่ายๆ วะ... คิดแล้วเขาก็ส่งโทรจิตไปยังการ์เซียในทันที “หัวหน้า” “หืม” การ์เซียตอบกลับมาเป็นโทรจิต “หัวหน้าว่ามันแปลกๆ ไหม” “อะไรแปลก” “เมื่อกี้ผมลองแกล้งเดินเตะขาแมร่งดู แต่แมร่งหลบได้ทุกครั้งเลย เหมือนแมร่งรู้การเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัวเลย” “นายเตะผิดจังหวะมั้ง พอเถอะ” “หัวหน้า ถึงแมร่งจะแกล้งเดินเนียนก็เถอะ แต่ผมรู้นะว่าแมร่งรู้ว่าผมจะไปทางไหน” “แล้วยังไง” “ถ้าแมร่งจับความเคลื่อนไหวรอบตัวได้แล้วทำไมแมร่งถึงได้โดนจับง่ายแบบนี้” “นายคิดมากไปแล้วเดฟ ถึงรู้การเคลื่อนไหวรอบตัวจริงแต่ถ้าการตอบสนองต่อสถานการณ์ไม่ดีพอมันก็เท่านั้นแหละ” เดฟคิดแล้วก็เห็นคล้อยตาม บางทีสาเหตุที่ซูเปอร์โซลเจอร์แสนกวนประสาทคนนี้โดนจับอาจจะเป็นเพราะรู้ว่าหนีไม่ได้จึงยอมจำนนโดยดีก็ได้ แต่มันก็ยังไม่ทำให้เขาเลิกระแวง แต่ในขณะเดียวกัน เซอร์คอเช่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างมีเลศนัยประกอบกับสายตาทำให้เหมือนจะแฝงไปด้วยความชั่วร้าย แต่ก็ไม่มีใครเห็น จนเมื่อออกไปจากแดนคุมขังใบหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ สายตาทุกคู่จากบุคลากรดราก้อนไนท์จับจ้องมาที่เชลยศึก (เมื่อไม่นานมานี้) ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานของตัวเองอยู่ หรือคนที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดชะงักมองดูเหมือนไม่เคยเห็นออร์คที่เป็นซูเปอร์โซลเจอร์ เหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมจากนอกโลกนอกจากชาวโนเบิล เมื่อซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คมาดนักวิชาการหันมองดูโดยรอบก็เปลี่ยนท่าเดินให้สง่าผ่าเผย ราวกับจะอวดอ้างตัวเองว่า ข้าเจ๋งสุด “ไม่เป็นไรๆ ทำธุระของตัวเองต่อไปเถอะ ไว้พรุ่งนี้ฉันจะอธิบายให้” การ์เซียร้องบอกน้ำเสียงมั่นคงอย่างเป็นผู้นำ แต่อย่างไรก็ตามทั้งสามก็ยังไม่พ้นตกเป็นเป้าสายตาอยู่ดี สาเหตุหลักๆ เพราะคนที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนั่งอยู่ในห้องขัง แต่บัดนี้กลับมาเดินตามหัวหน้าของพวกตนโดยมีคนคุมแดนคุมขังตามประกบท้าย
เซอร์คอเช่ทอดสายตาไปรอบๆ เท่าที่คอของเขาจะอำนวยราวกับจะจดจำรายละเอียดรอบตัวให้หมดจนเอาไปวาดเป็นภาพลงผืนผ้าใบได้ แม้จะมีโทรลที่ตัวสูงกว่าเขาถือปืนกลมือเดินคุมเข้มอยู่เบื้องหลังก็ตาม ด้านเดฟเองเมื่อเห็นกิริยาแบบนี้เข้าก็ชักไม่แน่ใจว่าซูเปอร์โซลเจอร์คนนี้เป็นแค่จอมกวนประสาทไร้ศักดิ์ศรีหรือเป็นยอดฝีมือจอมเจ้าเล่ห์กันแน่ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่เดินสอดส่องสายตาอยู่เบื้องหน้าตนจะตกลงกับหัวหน้า (การ์เซีย) ว่าจะแปรพักตร์เข้ากับดราก้อนไนท์โดยแลกกับเงินจำนวนมาก แม้มันจะไม่ค่อยสบอารมณ์เขานักก็ตาม แต่มันก็คุ้มค่าถ้าได้อดีตซูเปอร์โซลเจอร์ยอดฝีมือมาเป็นพวก “อาจารย์... ไม่ใช่สิ ผู้พันเซอร์คอเช่ ก่อนจะประกาศการแปรพักตร์ของคุณอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ ฉันอยากพาคุณไปพบบุคคลท่านหนึ่งก่อน” การ์เซียว่าอย่างเป็นกึ่งทางการโดยไม่หันไปมอง “ยังก่อนจนกว่าผมจะได้เงิน ถ้าไม่เป็นตามที่เราตกลงกันไว้รับรองว่าผมถล่มที่นี่กระจุยแน่” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์พูดเสียงเรียบหน้าตาเฉยและเสียงดังพอที่จะให้ทุกคนได้ยิน แต่ไม่มีใครมองออกว่าเขาจริงจังรึเปล่าจนบางคนก็เขม่นเข้าเหมือนกัน เดฟเองก็นินทาในใจว่า ...นี่เอ็งคิดว่าตัวเองเป็นกองทัพคนเดียวรึไงวะ ลองแผลงฤทธิ์ดูพ่อจะยิงให้ไม่เหลือศพให้ฝังเลย... ส่วนการ์เซียหัวเราะร่วนแล้วตอบกลับไปว่า “เรื่องเงินไม่มีปัญหาหรอก บอกแล้วไง จะห้าล้านหรือห้าร้อยล้านเราก็ไม่มีปัญหา เพราะการได้ตัวคุณมาฉันว่าพันล้านยังถูกไปด้วยซ้ำ” “แล้วจะให้ผมไปพบใคร” “คนหนึ่งจากเผ่าพันธุ์ที่คู่ควรจะเป็นผู้ครองเอกภพไง” “ขนาดนั้นเชียว เออ... อย่าหาว่าผมฝันกลางวันเลยนะ แต่ผมว่าที่นอกกาแล็กซี่ต้องมีกองกำลังรักษาสันติภาพอยู่แน่เลย หรือไม่ก็อาจจะเป็นโลกที่มีนโยบายปลดปล่อยดาวดวงอื่นจากการกดขี่ของใครก็ตามที่ชอบล่าอาณานิคม ถึงตอนนั้นกองทัพโนเบิลอาจจะส่อแววแพ้ราบคาบตั้งแต่ถูกโจมตีครั้งแรกเลยก็ได้” การ์เซียขมวดคิ้ว ปรายตามองอดีตนักโทษอย่างสงสัยแล้วหยั่งคำถามว่า “หมายความว่าไง” เซอร์คอเช่ยิ้ม “ผมกะจะเสนอกับท่านว่า ถ้ากองทัพพวกนั้นมีอยู่จริงก็น่าจะผูกมิตรไว้บ้างนะ” การ์เซียยิ้มอย่างมีแววตลกขบขันก่อนหันหน้ากลับไปมองตรงแล้วไม่พูดอะไรอีก ทั้งสามเดินไปอย่างเงียบๆ ไม่พูดจากันตลอดทางที่เหลือจนกระทั่งไปถึงห้องหนึ่งตรงสุดทางเดินย่อยแห่งหนึ่ง เมื่อประตูอัตโนมัติเปิดออก หญิงสาวโนเบิลคนหนึ่งก็นอนอยู่บนเตียงตามองเพดานอย่างไร้ความหมาย หัวหน้ากลุ่มกบฏดราก้อนไนท์กระแอมเรียกสติขึ้น สายลับโนเบิลสาวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปที่ออร์คที่ยืนอยู่ข้างหลังเอลฟ์สาว ซึ่งเซอร์คอเช่ก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แล้วเธอก็หันไปที่กลางห้อง มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่และเก้าอี้ 3 ตัว “เชิญนั่งก่อน” ว่าพลางก็ชี้มือไป การ์เซียและเซอร์คอเช่ก็ไปที่โต๊ะชุดนั้น ส่วนเดฟผละออกนอกห้องไปเฝ้าประตู ในขณะที่สายลับสาวมาถึงเป็นคนสุดท้าย “คุณโมริคาวะ นี่คือ พันตรีเซอร์คอเช่ อาบาโคล่า หน่วยรบพิเศษซูเปอร์โซลเจอร์ เพิ่งแปะพักตร์เมื่อกี้นี้ค่ะ แล้วก็เซอร์คอเช่ นี่คือ ร้อยเอกวาคานะ โมริคาวะ หน่วยข่าวกรองพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์” “ดูหน้าท่านคุ้นๆ นะ ผู้กอง เราเคยเจอกันที่ไหนรึเปล่า” อดีตครูออร์คเริ่มเปิดการสนทนาเป็นภาษาโนเบิลพลางมองหน้าวาคานะตาไม่กระพริบเอนหลังพิงพนักกอดอกอย่างครุ่นคิดอย่างหนัก “ท่านคงจำผิดคนแล้ว ผู้พัน มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า...” ยังไม่ทันทีอีกฝ่ายจะพูดจบ เซอร์คอเช่ก็ขัดขึ้นก่อนอย่างร่าเริงเหมือนตั้งวงสนทนาสัพเพหระของคนที่เพิ่งเคยรู้จักกันว่า “อ๋อ หนึ่งในจอมเวทที่มาผลัดเวรที่ฐานยิงลำแสงเลเซอร์เวทมนตร์ตอนนั้นนั่นเอง แหม ข้าขอชมจากใจเลยนะว่าท่านกล้ามาก แต่ว่าข้าได้ยินมาว่าชาวโนเบิลไม่มีเวทมนตร์ไม่ใช่เหรอ แล้วไหงข้าถึงได้สัมผัสได้ถึงประจุเวทมนตร์ล่ะ ตอนนี้ก็ด้วย” “เซอร์คอเช่ ระวังปากหน่อย เลิกตีลูกรวนได้แล้ว” การ์เซียขึ้นเสียงปรามเป็นภาษาฟรีแรนเซอร์ (โปรตุเกส) ซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คจอมกวนประสาทเงียบไปในบันดลก่อนจะกล่าวคำขอโทษที่ฟังดูเหมือนไม่สำนึกเท่าไรนัก “เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ท่านช่วยตอบข้ามาก่อนเรื่องข้อมูลการเคลื่อนไหวของกองทัพฟรีแรนเซอร์ทั้งหมดในภูมิภาคนี้เท่าที่ท่านรู้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าท่านแปรพักตร์มาเข้ากับเราจริง” “ฟังท่านพูดแล้วดูจะสุภาพกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลยนะ ข้าต้อง...” แม้อีกฝ่ายจะจริงจังขนาดไหน แต่เซอร์คอเช่ก็ยังคงส่อแววล้อเล่นราวกับเด็กสมาธิสั้น แต่พูดยังไม่ทันจบ การ์เซียก็ตวาดเสียงดังเตือนให้อดีตเพื่อนครูรู้ถึงสถานการณ์ ในขณะที่เซอร์คอเช่หัวเราะแหะๆ แล้วกล่าวคำขอโทษอย่างไม่รู้สำนึก “ขอโทษๆ ข้าแค่ต้องการทดสอบท่านว่า ท่านจะทนการยั่วโมโหได้ขนาดไหน โดยเฉพาะมีนายพลอากาศบางคนชอบใช้กลยุทธ์ยั่วโทสะผู้บัญชาการของศัตรูให้เขวแล้วก็ทำเสียแผนซะเอง จากนั้นก็เข้าโจมตีทั้งเร็วทั้งแรงเป็นพายุจนโงหัวไม่ขึ้นก่อนจะถูกบดขยี้จนราบคาบแบบไม่มีทางตอบโต้... ทีนี้ไปเอาแผนที่มา”
ว่าแล้วเขาก็เริ่มจริงจัง แต่น้ำเสียงและใบหน้านั้นดูเรียบๆ ราวกับหุ่นยนต์ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ การ์เซียลุกออกไปหยิบแผนที่ในตู้เก็บเอกสารมากางกับโต๊ะ แต่ยังไม่ทันที่จะได้นั่ง เซอร์คอเช่ก็เลยหน้าขึ้นทำตาค้อนใส่ “จะให้ผมเจาะนิ้วเขียนด้วยเลือดรึไง ขอปากกาหรือดินสอด้วย” สิ้นเสียงการ์เซียก็ล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบปากกายื่นให้ทันที เซอร์คอเช่รับปากกามาแล้วลงมือวาดวงกลมลงบนแผนที่หลายวงอย่างเร็วเหมือนมั่วจนเสร็จเขาก็เริ่มเผยข้อมูลการเคลื่อนไหวทั้งหมดของกองทัพฟรีแรนเซอร์ในภูมิภาคที่วาคานะกำหนดไว้เป็นภาษาของเผ่าพันธุ์ผู้เจริญแล้ว “ตาดู หูฟัง สมองคิดตาม... เริ่มจากทางเหนือ อย่างที่พวกท่านรู้กัน ในตอนนี้กองกำลังโนเบิลได้เข้ายึดพื้นที่ตรงนั้นไว้หมดแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เหลือความเคลื่อนไหวอะไรที่นั่น เพื่อนข้าหลายคนและหน่วยปฏิบัติการพิเศษทั้งด้านกลยุทธ์และเวทมนตร์กำลังตระเวนก่อกวนกองกำลังโนเบิลอยู่ พวกนั้นมีการตั้งค่ายพักเป็นระยะๆ เรื่องที่ตั้งข้าก็บอกไม่ได้เพราะพวกเขาย้ายที่ทุกครั้ง ส่วนเรื่องค้นหาจากทางอากาศก็เลิกหวังได้เลย เพราะพวกเขากำลังปฏิบัติการแบบกองโจร ด้วยกำลังที่มีไม่เกิน 2 หมวดในแต่ละกลุ่ม เรื่องการพรางตัวนั้นสำคัญมาก พวกเขาแหงนมองขึ้นไปเห็นเครื่องบินลาดตระเวนของพวกท่าน แต่กล้องเครื่องบินลาดตระเวนของพวกท่านมองไม่เห็นพวกเขา นอกจากนี้ถ้าท่านจะถามเรื่องพวกเขาจะอยู่กันได้ยังไงในเมื่อไม่มีการส่งเสบียงจากทางไหนเลย เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับหน่วยปฏิบัติการพิเศษอย่างเราหรอก เพราะตอนนี้ทหารของพวกท่านคงกำลังถูกล่าเหมือนสัตวอยู่ เพราะอาวุธหลักของพวกนั้นเป็นไรเฟิลล่าสัตวที่ยิงกระสุนวัตถุ...” คำพูดในตอนท้ายๆ ของเซอร์คอเช่ทำเอาวาคานะเสียวสันหลังวาบ เกิดอาการขยาดจนเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ การ์เซียเหลือบไปเห็นก็รีบอธิบายโดยไว “พวกเขาไม่ได้กินเนื้อขาวโนเบิลหรอก ที่ผู้พันหมายถึงคือพวกเขาหาเสบียงด้วยการล่าสัตวและหาของป่ากิน” อกของวงคานะโล่งเป็นปลิดทิ้ง เธอนึกชื่นชมนักรบฝ่ายศัตรูก็ตรงนี้ ผิดกับทหารของพวกตนเกือบทั้งกองทัพที่ไม่สามารถปฏิบัติการภายใต้สถานการณ์แบบนั้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ขอชื่นชมที่นักรบเหล่านั้นยิงทหารของฝ่ายตนด้วยไรเฟิลที่ใช้ยิงสัตวเพราะมันเหมือนกับเป็นการหมิ่นเกียรติกันอย่างร้ายกาจ “วิธีจัดการกับพวกเขาที่ง่ายที่สุดก็คือการล้อมพื้นที่แล้วค่อยๆ ตีวงเข้าไปจนพวกเขาขยับไปไหนไม่ได้ การที่จะทำแบบนั้นได้พวกท่านต้องยึดพื้นที่รอบๆ ให้ได้ก่อน ทางตะวันออกมีสถานีเสบียงและเชื้อเพลิงตั้งอยู่สองสามแห่ง แล้วก็ฐานทัพอากาศอีกหนึ่งแห่ง การจะเข้ายึดที่นั่นข้าแนะนำให้ส่งกองกำลังขนาดเล็กหลบการตรวจจับเข้าไปทำลายการป้องกันประเภทแท่นปืนที่ซ่อนอยู่ใต้พื้น แล้วส่งสัญญาณให้กองกำลังหลักของพวกท่านทุ่มกำลังเข้าตี สิ่งที่ต้องระวังมีอย่างเดียวคือการโจมตีทางอากาศ แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะเข้าโจมตีที่นั่น เพราะว่ามีกองกำลังผสมระดับกองพลเคลื่อนเข้าไปประจำการที่นั่น ส่วนทางตะวันตกเองก็เคยเป็นเขตพลเรือนและเหมืองเงิน แต่ตอนนี้อพยพไปหมดแล้ว และเช่นกันมีกองกำลังผสมระดับกองพลเข้าประจำที่นั่นเหมือนกัน ถ้าจะให้ทายพวกเขาจะเข้าโจมตีกระหนาบบีบพวกท่านลงทะเล ซึ่งเรือดำน้ำโจมตีเท่านั้นที่รออยู่ ข้าแนะนำให้ท่านแจ้งข่าวนี้ไปโดยด่วนที่สุด หลังจากนี้ได้ยิ่งดี ส่วน...” พูดยังไม่ทันขาดคำ วาคานะก็ขัดขึ้นก่อนพลางทำท่าจะผละออก “เดี๋ยวนี้เลยดีกว่า” “ใจเย็น อยู่ก่อน ข้ายังบอกไม่หมดเลย” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ตวาดลั่นเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของร้อยเอกกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ไว้แน่น น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังที่สุดเท่าที่เขาเปล่งออกมาในวันนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีแววจะเล่นลิ้นแม้แต่น้อย ประกอบกับสายตาที่สงบนิ่งทำให้วาคานะกลับมาฟังต่อ “ส่วนทางใต้เคยเป็นเขตพลเรือนเหมือนกันเชื่อมต่อจากที่นี่เลยถ้าดูจากแผนที่นะ มีโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่ง ซึ่งตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นโรงงานผลิตอาวุธ รวมกับที่เป็นอยู่แล้วทั้งหมดก็ 3 แห่ง ในเขตพลเรือนมักจะมีสถานีวิทยุชุมชน และถ้ามีทหารเข้าไปประจำการที่นั่นก็ไม่พ้นจะถูกดัดแปลงเป็นสถานีควบคุมการสื่อสาร และสถานีควบคุมการสื่อสารสมัยนี้มักจะเป็นแบบควบระบบ มันจะเป็นทั้งสถานีควบคุมการสื่อสาร สถานีดักฟังการสื่อสาร และสถานีรบกวนการสื่อสาร และทุกที่ๆ มีสถานีแบบนี้มักจะมีศูนย์สั่งการเคลื่อนที่อยู่เช่นกัน อีกอย่างที่นั่นค่อนข้างกว้าง ถ้าจะหาโดยไม่มีข้อมูลอะไรเลยรับรองว่าหากันตาแหกแน่ เพราะแบบนี้ข้าถึงได้รั้งท่านไว้ไง ถ้าอยากจะติดต่อทหารฝ่ายท่านต้องใช้คลื่นพิเศษ ซึ่งเมื่อก่อนพวกดราก้อนไนท์เล่นเอาพวกข้าหัวปั่น ดักฟังไม่ได้ ไม่ได้รับผลจากคลื่นรบกวน แถมเข้าเครื่องไหนก็ได้ที่มีตัวรับสัญญาณวิทยุหรือสัญญาณดิจิตอล และสามารถกำหนดให้เข้าเครื่องไหนได้ด้วย แต่ก็ยังดีที่ว่ารัศมีของคลื่นรบกวนมันไปไม่ถึงกองกำลังของพวกท่าน แต่ยังไงก็ตามพวกเขาก็ยังดักฟังการสื่อสารของพวกท่านได้อยู่ดี นอกจากนี้ลงใต้ลึกไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร มีมอนสเตอร์แคนนอนตั้งอยู่ 1 แห่ง...” พูดมานานเซอร์คอเช่ก็หยุดพักหายใจ วาคานะก็ถามขึ้นว่า “ศูนย์สั่งการเคลื่อนที่” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์หัวเราะหึหึก่อนตอบอย่างมีความหมายแฝง เขาสงสัยว่าร้อยเอกกลอรี่ลิเบอเรเทอร์คนนี้ได้ซึมซับอะไรบ้างในขณะที่อยู่กับดราก้อนไนท์มานาน ซึ่งอาจกินเวลานานพอจะดูเขาออกจากท้องแม่และเติบโตขึ้นมาด้วยซ้ำ
“ก็เป็นได้ทั้งชุดห้องวางแผนที่ขนไปไหนมาไหนได้ด้วยรถบรรทุก อาจจะใช้รถหุ้มเกราะลำเลียงพลดัดแปลงเอา หรืออาจจะอยู่ในคอนเทนเนอร์บนรถบรรทุกเลยก็ได้ เอาเป็นว่ามันจะอยู่ที่ไหนก็ได้ที่เคลื่อนที่ได้ หรืออาจจะมีชิ้นส่วนน้อยและเล็กพอจะยัดใส่หลังรถตู้ได้ พอจะใช้ก็ขนออกมาวางๆ เสียบๆ ก็พร้อมใช้งาน ข้าว่าท่านอยู่กับดราก้อนไนท์มานานก็น่าจะเคยเจอบ้างแหละ... หรือบางทีก็อาจจะเป็นแค่คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปคนละเครื่อง” “คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเนี่ยนะ” คราวนี้ทั้งการ์เซียและวาคานะร้องถามเป็นเสียงเดียวกันด้วยความประหลาดใจอย่างแท้จริง คราวนี้เซอร์คอเช่กลับทำหน้านิ่ง ทว่าในใจนั้นเขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ กับปฏิกิริยาตอบสนองของสองสาวตรงหน้าเขา “เหลือเชื่อเลยนะ ว่าองค์กรที่สามารถป่วนเอไพด์เมียร์ได้ทั้งดาวอย่างดราก้อนไนท์จะไม่มีปัญญาสร้างอุปกรณ์แบบนั้น มันเป็นการผสมผสานระหว่างมาโครกับนาโน มันเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ฉบับกระเป๋า ภายนอกดูเหมือนเป็นแค่คอมพิวเตอร์พกพาธรรมดาๆ แต่ภายในประกอบขึ้นด้วยชิ้นส่วนระดับนาโน แป้นพิมพ์และหน้าจอเป็นแบบสัมผัส สามารถเลือกได้ว่าจะเอาแป้นสำหรับทำอะไร หรือเลือกหน้าจอว่าจะทำอะไร ท่านอยากได้โต๊ะวางแผนมันก็จะเชื่อมกับดาวเทียมหรือทุ่นสอดแนมที่ลอยอยู่เหนือหัวขึ้นไป 40 กว่ากิโลเมตร คอมพิวเตอร์ตัวอื่นๆ ที่ทำงานในสมรภูมิเดียวกัน ทั้งแบบเดียวกันหรือสถานีที่อยู่ที่ศูนย์สั่งการและที่อยู่กับคนที่ออกไปลุย เช่น เครื่องแบบ คอมพิวเตอร์ในรถถัง คอมพิวเตอร์ในเรือดำน้ำ รวมทั้งที่เป็นหุ่นยนต์ เอาเป็นว่ามันเป็นอุปกรณ์ในฝันของเหล่าผู้บัญชาการภาคสนามเลยก็ว่าได้...” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์หยุดพูดนอกเรื่องพักหายใจเล็กน้อยแล้วกลับเข้าเรื่องในทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครขัดขึ้นอีก “แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ข้าจะอธิบายรวดเดียวเลย ตอนนี้การจะเข้าตีที่ไหนก่อนไม่ใช่ประเด็น มันสำคัญอยู่ที่ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร เรื่องที่กองกำลังสองกองพลนั่นจะเข้าตีกระหนาบเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพวกเขาจะทำอะไร มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่พวกเขาแค่มาวางกำลังขู่ไว้ให้พวกท่านประสาทแล้วเดินตรงเข้าที่โล่งตรงกลาง ซึ่งจะตกเป็นเป้าของมอนสเตอร์แคนนอนโดยปริยาย แต่ที่พวกท่านไม่ถูกปืนมหากาฬนั่นยิงในตอนนี้เพราะพวกท่านอยู่ในพื้นที่ๆ เต็มไปด้วยปัจจัยทางทหาร ข้าไม่สามารถแนะนำอะไรได้ เพราะคำแนะนำที่ออกจากปาก “สวะ” อย่างข้ายังไง “ผู้ดี” อย่างพวกท่านคงจะไม่ฟังกันหรอก แต่ข้าแนะนำให้ท่านลองขอโอนอำนาจการบัญชาการมาที่ท่านดู แล้วข้าหรือเสนาธิการดราก้อนไนท์จะคอยบอกอยู่ข้างหลัง ตกลงไหม” สิ้นเสียงของเซอร์คอเช่ วาคานะก็ตอบตกลงทันที ในขณะเดียวกันการ์เซียก็ส่งหายตาให้เพื่อนออร์คของเธออย่างมีนัยแฝงก่อนจะพากันเดินออกจากห้องไป ในขณะที่สายลับกลอรี่ลิเบอเรเทอร์สาวแยกไปอีกทางเพื่อไปส่งข่าวเตือนกองกำลังฝ่ายตน “ที่นี่มีห้องว่างอยู่สองสามห้อง คุณเลือกเองได้เลยนะผมจะพาเดินดูให้” เดฟเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเซอร์คอเช่ไปโดยสิ้นเชิง ทว่าเนื้อแท้นั้นยังคงความระแวงไว้เช่นเดิม อีกใจหนึ่งก็อยากได้ความเคารพจากอดีตศัตรูอยู่บ้าง แต่จอมกวนประสาทก็ยังคงเป็นจอมกวนประสาทอยู่วันยังค่ำ พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงยียวนเช่นเดิม แต่ก็แฝงคำขอบคุณไปด้วยในขณะเดียวกัน “ขอบใจน้องรัก” “ไม่ต้องก็ได้ ให้เขาอยู่ห้องฉันดีกว่า...”
หลังคำขอบคุณแบบหยอกเล่นของเซอร์คอเช่ การ์เซียก็แย้งขึ้นทันทีพร้อมขยิบตาให้โทรลผู้เป็นที่รองรับอารมณ์ของออร์คจอมกวนประสาท “คุณหมดหน้าที่แล้ว ต่อจากนี้ฉันจะดูแลเขาเอง ไปได้แล้ว” เมื่อหัวหน้าเอ่ยปากรับหน้าที่เอง ลูกน้องอย่างเขาก็ต้องยอมทำตามโดยดี เดฟก้มหัวทำความเคารพแล้วกลับหลังหันเดินจากไป การ์เซียพาเซอร์คอเช่เดินไปตามทางเดินในบังเกอร์ใต้ดิน ซึ่งดูโปร่งสบายตา เหนือศีรษะมีแผ่นเพดานเรืองแสงที่ให้แสงสีขาวสว่างไล่เป็นแถวเดี่ยวไปตลอดทางตัดกับผนังสีฟ้าเข้มและพื้นที่ปูกระเบื้องลายหินอ่อนสีเนื้อ ตามขอบเพดานเป็นแนวช่องแอร์ส่งอากาศเย็นสบายลงมา ในขณะที่ดูดเอาไอเสียจากร่างกายทุกชนิดออกไป ...มันหรูเกินจะเป็นรังกบฏ... พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์คิดอย่างทึ่งๆ ซึ่งต่อจากนี้ไปจะมีสิ่งที่ทำให้เขาทึ่งอยู่อีกมาก เมื่อมาถึงห้องของการ์เซียหรือห้องของหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏ พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์มองไปรอบๆ ก็แทบไม่เชื่อว่าห้องนี้เป็นห้องของคนที่เคยเป็นครูโรงเรียนเดียวกับเขามาก่อน เพราะนี่มันห้องของนักยุทธวิธีชัดๆ นอกจากนี้ยังมีชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือเวทมนตร์โบราณที่ไม่น่าจะมีภาษาปัจจุบันปรากฏอยู่บนหน้าด้วยซ้ำ กินเนื้อที่ไปกว่าครึ่ง แต่ปกที่ดูใหม่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดเป็นฉบับคัดลอก “มิน่า พวกหน่วยปฏิบัติการดราก้อนไนท์แต่ละคนถึงได้เก่งเวทมนตร์นัก คงจะเล่นสแกนใส่คอมแล้วก็พิมพ์ตามคำสั่งเลยสิ” เซอร์คอเช่เปรยพลางกวาดสายตาสำรวจห้องไปเรื่อย ซึ่งการ์เซียก็ยอมรับตามตรง “มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ภาษาที่ใช้ก็เก่ามาก พวกเราอ่านออกแต่ไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไร เพราะว่าเรียนตามๆ กันมาจากผู้นำดราก้อนไนท์รุ่นก่อนๆ ตอนนี้เรียกกันง่ายๆ ว่า ‘ภาษาเวทมนตร์’ อยากลองอ่านดูไหม” “ไม่ดีกว่า เพราะพวกผมเรียนเวทมนตร์จากตำราภาษาฟรีแรนเซอร์หรือไม่ก็ภาษาโอเคอร์โน แล้วก็มีคิดค้นขึ้นเองบ้างเหมือนกัน” สายตาของเซอร์คอเช่กลับมาหยุดที่การ์เซีย ในขณะเดียวกันสายตาของการ์เซียก็มองเขาอยู่ก่อนแล้ว เธอจึงเอ่ยถามออกไปอย่างเป็นงานเป็นการว่า “แบล็คโรป ส่งคุณมาเหรอ” พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ทำหน้าแหยถามกลับไปว่า “ใครนะ” “แบล็คโรป ชาร์ล โทบิน่า หัวหน้าแผนกสืบราชการลับ” “ไม่มีใครส่งผมมา บอกตามตรงว่าผมหมดทางหนีจริงๆ” “แล้วข้อมูลที่คุณให้นังสายลับนั่นไป” “ของจริงเกือบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องเรือดำน้ำ” “ต้องติดต่อกลับไปโดยด่วนเลย” พูดจบสายลับสาวในคราบหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏตาลุกโตเป็นไข่ห่าน แล้วก็รุดไปที่โต๊ะที่เธอเพิ่งวางโทรศัพท์มือถือไปทันที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ