Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  32 วิจารณ์
  38.11K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) Secret service network [Part 5]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการกบฏปลอมรุดเข้าหาโทรศัพท์มือถือ แต่ทว่าพันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ก็พุ่งเข้าคว้ามือไว้ได้ทันแล้วเอ่ยเสียงแข็งว่า

“อย่า ถ้าคุณบอกกองกำลังของเราเรื่องที่ว่าดราก้อนไนท์รู้เรื่องการจัดวางกองกำลังของกองทัพฟรีแรนเซอร์แล้วผู้บัญชาการฝ่ายเราสามารถแก้เกมได้ พวกดราก้อนไนท์จะระแคะระคายว่ามีไส้ศึกอยู่รวมกับพวกมัน ซึ่งพวกมันอาจจะสาวมาถึงเราได้ ยิ่งการวางตัวของคุณมันก็ฟ้องเรื่องความไว้วางใจที่คุณมีต่อผมมากเลย คุณไว้ใจผมมากเกินไป ลำพังผมถูกจับได้ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคุณ งานของคุณที่อุตส่าห์แทรกซึมเข้ามาในองค์กรของพวกมันจนได้ขึ้นเป็นถึงระดับหัวหน้าก็จะสูญเปล่า นี่ยังไม่รวมถึงสายลับคนอื่นๆ ที่แทรกซึมอยู่ก็มีอันต้องเสี่ยงไปด้วย...”

เซอร์คอเช่หยุดชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเชิงตัดพ้อของการ์เซีย เธอคอตกลงแสดงถึงความอึดอัดใจที่เขาก็เข้าใจเพราะตัวเองก็เป็นเหมือนกัน แล้วเขาก็พูดต่อผ่อนเสียงลง

“เอาแบบนี้นะ ไหนๆ การแสดงออกของคุณก็ไว้ใจผมถึงขนาดนี้ พอถึงเวลาจริงๆ คุณก็ให้ผมสั่งการเองก็ได้ ผมจะแกล้งแพ้ ถ้าผู้บัญชาการฝ่ายเราเก่งจริงผมก็อาจจะแพ้จริงแบบไม่ต้องออมมือก็ได้ ตกลงไหม”

การ์เซียไม่พูดตอบ เพียงแต่พยักหน้าให้เป็นการตกลง แม้มันจะทำใจยากเรื่องการต้องฆ่าพวกเดียวกันในทางอ้อม แต่มันก็จำเป็นเมื่อต้องทำงานล้วงความลับของศัตรูเพื่อผลลัพธ์การต่อสู้ที่ดีกว่า และหลักปฏิบัติที่สายลับทุกคนพึงปฏิบัติ คือ การแสแสร้งและการรักษาความลับ ซึ่งเธอเกือบจะลืมมันไปถ้าเพื่อนครูร่วมโรงเรียนเดียวกันไม่เตือนสติ เธอนึกขอบคุณเซอร์คอเช่ในเรื่องนี้ เพราะเธอเกือบจะต้องเอางานของตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับความล้มเหลว

ข่มอารมณ์ตัวเองได้ก็เข้ามาดหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏทันที ละสายตาจากโทรศัพท์มือถือของตนก่อนเข้าหาโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย เพื่อนของเธอหันมามองทำตาขวางใส่เป็นเชิงปราม

“โทรศัพท์ภายใน แค่โทรบอกแผนกการเงินให้เตรียมเงินที่คุณขอไว้เท่านั้นเอง”

การ์เซียว่าก่อนจะกดปุ่มบนมือถือนั้นอย่างไม่รีบร้อนแล้วยกขึ้นแนบหู รออยู่ครู่หนึ่งก็มีคนรับสาย เธอจึงเริ่มเอ่ยขึ้นก่อนว่า

“รู้เรื่องเด็กใหม่ของเราแล้วใช่ไหม”

ทั้งน้ำเสียงและท่วงจังหวะการพูดเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมี เธอได้กลับมาเป็นหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏอย่างเต็มตัวแล้ว พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์นั่งฟังอย่างทึ่งๆ มากกว่าจะหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจกับการเปลี่ยนอารมณ์อย่างกะทันหัน ...เป็นเราต่อให้จริงจังขนาดไหนคงไม่ได้ขนาดนี้ พวกหน่วยสืบราชการลับนี่สุดยอดจริงๆ... เขานึก

“มัดจำไว้ก่อน สองล้านห้า ส่วนที่เหลือค่อยจ่ายหลังสงครามจบ... อย่าเรื่องมากสิ เอาตามนี้แหละ... แค่นี้แหละ ขอบใจ”

เมื่อการ์เซียกดวางสาย เซอร์คอเช่ก็แทบจะปรบมือให้ แต่เขาเอ่ยถามแทน

“ถามจริงเถอะ คนในองค์กรที่คุณสังกัดเปลี่ยนอารมณ์เร็วเป็นสายฟ้าแบบนี้ทุกคนเหรอ”

“คัดสดจากเวทีละครเลย”

การ์เซียตอบเป็นนัย ในขณะที่เซอร์คอเช่เลิกคิ้วถามกลับเสียงสูงว่า

“เวทีละคร”

“เป็นศัพท์เฉพาะในองค์กร สายลับที่แทรกซึมอยู่ในสังคมมีมากกว่าที่แทรกซึมอยู่ในองค์กรกบฏหรือผู้ก่อการร้ายซะอีก และพวกนั้นเป็นฝ่ายบุคลากร เวทีละครที่ว่านี่ก็หมายถึงที่ไหนก็ได้ที่มีคนแม้แต่สถานที่ส่วนบุคคล”

จากคำตอบที่ได้ทำเอาพันตรีออร์คใจหายวาบไปเหมือนกัน ...หวังว่าบ้านฉันคงจะไม่มีนะ... เขานึกกึ่งๆ สวดภาวนา แต่ยิ่งนึกก็ยิ่งเหมือนเพ้อไปไกล บางทีเขาอาจถูกหมายตาไว้นานแล้วก็ได้ จึงส่งมาให้ถูกจับ คู่กับสายลับอีกคนหนึ่ง แต่ก็ผิดแผนเพราะสายลับที่มาด้วยดันถูกฆ่าตายเสียก่อน แล้วเขาก็เหลือบมองสายลับเอลฟ์สาวตรงหน้าก่อนแกล้งยิงคำถามไปว่า

“แล้วคุณมาอยู่นี่ได้ไง”

“ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ฉันแทรกซึมอยู่ในแก๊งค้ายารายใหญ่ วันหนึ่งฉันได้รับคำสั่งให้ส่งสัญญาณโจมตีโรงงานผลิตยาในมลฑลซีดาดี ซีซิน์ (ภาษาโปรตุเกส แปลว่า นครหงส์) ทุกอย่างปกติดี จนกระทั่งทุกอย่างจบลง พนักงานบัญชีของแก๊งที่ควรจะมีกุญแจมือสวมอยู่ กลับเดินจุดบุหรี่สูบตรงเข้ามาหาฉัน แล้วยื่นข้อเสนอให้ฉันแกล้งขายชาติเพื่อแทรกซึมเข้ามาอยู่ที่นี่”

พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ทำหน้าแหยในใจ ข้อสันนิฐานของเขาดูจะมีเค้าความเป็นไปได้ขึ้นมาแล้ว ถ้าองค์กรของหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏปลอมสังกัดอยู่ทำได้ขนาดปฏิบัติการสายลับซ้อนสายลับ แล้วการจะส่งเขามาถูกจับมันก็ไม่ได้ยากเกินไปเลย

“บางทีแบล็คโรปอาจจะส่งผมมาจริงๆ ก็ได้”

เซอร์คอเช่เปรย การ์เซียทำหน้างงจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า

“หมายความว่าไง”

“เป็นไปได้ไหมที่ผมอาจถูกหมายตาไว้นานแล้ว แต่ไม่มีจังหวะกับโอกาสเหมาะที่จะส่งผมมาให้ถูกจับ ซึ่งเขาอาจรู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องแกล้งแปรพักตร์ไม่ว่าจะมีคุณมาแสดงตัวหรือไม่ก็ตาม”

“ก็น่าคิดนะ ขนาดฉันเองยังมึนตึบตอนที่พนักงานบัญชีนั่นเผยตัว”

 

ครู่หนึ่งทั้งคู่ก็หัวเราะให้กับตัวเองและคู่สนทนา ด้วยความขบขันระคนสมเพชเวทนากับวิธีการเข้าวงการสายลับ ซึ่งต่างคนต่างถูกหลอกก่อนถูกฟาดหัวจนเมาไม่รู้วันรู้คืน พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นสายลับไปแล้ว แม้ด้านหนึ่งจะหัวเราะสนุกสนาน แต่อีกด้านหนึ่งก็กำลังน้ำตาตกในด้วยความเจ็บใจกับวิธีพิสูจน์ความรักชาติที่แนบเนียนที่สุด ไม่ว่าผู้ถูกพิสูจน์จะโดนเข้าตรงหน้าหรือตั้งข้อสันนิฐานขึ้นเองแล้วเกิดมีความเป็นไปได้ชนิดค่อนข้างแน่นอนขึ้นมา แต่มันก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าแม้ตัวเองจะสมัครใจทำ แต่ก็เหมือนถูกบีบบังคับให้สมัครใจโดยมีความอยู่รอดของอารยธรรมและชีวิตของเพื่อนร่วมโลกเป็นเดิมพัน

ทั้งคู่ขำจนท้องแข็งก่อนจะหยุดอย่างพร้อมเพรียง การ์เซียเป็นการเป็นงานในบัลดล เอ่ยปากกำชับเรื่องคำปฏิญาณการแปรพักตร์และการพิสูจน์ตัวเองในวันพรุ่งนี้ก่อนจะปีนขึ้นเตียงบนแล้วชี้บอกกับเซอร์คอเช่ให้นอนเตียงล่าง ซึ่งพันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ก็ปฏิบัติตามโดยดี การ์เซียเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า “ปิดไฟ” แล้วทุกอย่างก็มืดลง ทั้งคู่กล่าวราตรีสวัสดิ์ให้กันแล้วทุกอย่างก็เงียบลง

รุ่งเช้าเซอร์คอเช่ตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า หันมองไปรอบห้องก็เห็นการ์เซียกำลังชงกาแฟ พันตรีออร์คบิดขี้เกียจเกิดเป็นเสียงกระดูกตามข้อต่อดังกร๊อบแกร๊บ เอลฟ์สาวจึงเอ่ยปากถามขึ้นโดยไม่หันไปมองว่า

“เข้มไหม”

เซอร์คอเช่สำรวจชุดชงกาแฟที่อยู่บนโต๊ะอย่างคร่าวๆ ก่อนตอบ

“ผมทำเองดีกว่า”

“ไม่เชื่อมือฉันเหรอ”

“เปล่าหรอก ผมเป็นออร์คนะ ปริมาณบริโภคมันต่างกับเอลฟ์ แล้วก็จะต่างกันไปทุกๆ เผ่าพันธุ์”

เอลฟ์สาวชะงักกึก เธอลืมเรื่องปริมาณบริโภคไปสนิท ว่าแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อนกันอายก่อนอ้างเพื่อแก้ลำว่า

“ปกติฉันชงให้ที่ปรึกษาของฉัน หล่อนเป็นเอลฟ์เหมือนฉันเลยติดมา ขอโทษนะ ตอนนี้หล่อนติดภารกิจอยู่ที่เออริคาสตัน ห้องนี้เลยว่าง ฉันเลยเหงาๆ ถึงได้ให้คุณมาพักที่นี่”

พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์รู้ว่านี่เป็นการพูดกลบเกลื่อน เขานึกขำอยู่ในใจ ไม่นึกว่าคนที่เคยเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติดจะน่ารักได้ถึงขนาดนี้ จึงแกล้งตัดพ้อไปว่า

“อ๋อ ผมเป็นตุ๊กตาแก้เหงาละสิ พอหล่อนกลับมาคุณก็จะไล่ผมไปอยู่กับเดฟหรือผู้กล้าหน้าเข้มคนใดคนหนึ่ง ใช่ไหม รู้งี้สู้เสี่ยงฝ่าวงล้อมหนีดีกว่า”

หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏปลอมหลงคำเข้าเต็มเปา เธอรีบหันมาเผชิญหน้ากับคู่สนทนาแล้วแก้ตัวอย่างลนลาน ซึ่งทำให้เซอร์คอเช่แทบจะปล่อยก๊ากออกมา

“ไม่ใช่นะ ฉันแค่อยากให้คุณมาเป็นที่ปรึกษาชั่วคราวเท่านั้นเอง”

“ก็เหมือนกันนั่นแหละ พอหล่อนกลับมาผมก็จะโดนปลด หลังจากนั้นตำแหน่งอย่างสูงของผมก็คงจะเป็นได้แค่นายกองคนโปรดของคุณ ซึ่งจะเข้าถึงข้อมูลอะไรได้โดยผ่านคุณเท่านั้น”

เซอร์คอเช่รุกต่อ

“ตอนนี้เราทำงานร่วมกันนะ เซอร์คอเช่ ฉันไม่ปลดให้คุณไปอยู่ในตำแหน่งล่างๆ หรอก”

การ์เซียก็รนต่อ ประกอบกับใบหน้าของพันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ ซึ่งแสร้งปั้นได้เหมือนตามบทอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏปลอมต้องรีบนึกคำแก้ตัวอย่างเร็ว ในขณะที่เซอร์คอเช่เล่นตามบทที่เขาวางเอาไว้อย่างแนบเนียน

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงผมก็คงจะไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลได้มากเท่าคุณ ถึงเวลาจำเป็นจริงๆ คุณก็จะไม่มีแหล่งข้อมูลเสริมเพื่อรายงานกับเบื้องบน แล้วคุณก็จะมาโทษผมว่าไม่ช่วยหาข้อมูล”

“เอาแบบนี้นะ ตำแหน่งของคุณจะออกมาหลังจากคุณได้ส่งผ่านคำแนะนำกับโมริคาวะแล้ว”

เซอร์คอเช่ชะงัก เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ เขากะจะบอกกับเธอเองว่าแค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่ทว่ากลับเป็นฝ่ายถูกหยุดการล้อเล่นซะเอง มาลองคิดดูนี่ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยในหมู่ดราก้อนไนท์และระแคะระคายไปถึงสายลับโนเบิลสาวที่เขาคายข้อมูลความเคลื่อนไหวทางทหารให้เมื่อวาน เขาทำได้เพียงยิ้มแหยๆ รับเล่นไปตามบทที่คิดขึ้นสดๆ ก่อนตอบอย่างวางมาดนิดๆ ว่า

“เอางั้นก็ได้”

อีกด้านหนึ่ง วาคานะกำลังพูดอยู่กับใครคนหนึ่งผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารของชาวโนเบิลรูปร่างเหมือนมือถือในปัจจุบัน อีกฝ่ายหนึ่งเป็นชายชราส่งเสียงแหบๆ แต่ค่อนข้างแข็งกร้าวในแบบทหารอาวุโสมาว่า

“เจ้าคิดว่าจะไว้ใจไอ่สวะนั่นได้จริงเหรอ”

วาคานะทำหน้านิ่งตอบกลับไปเรียบๆ ว่า

“ข้าไม่รู้ แต่ไหนๆ มันก็คายข้อมูลออกมาซะขนาดนี้ก็น่าจะลองเชื่อมันดูหน่อย ไม่แน่มันอาจมีประโยชน์มากกว่าที่คาดไว้ก็ได้”

ชายชราคิ้วขมวด

“แต่มันเป็นซูเปอร์โซลเจอร์นะ จากข้อมูลที่เก็บเกี่ยวมาในอดีต ทหารหน่วยนี้เป็นได้ตั้งแต่ทหารเลวยันหน่วยสืบราชการลับเลยนะ ข้าว่าเจ้าควรระวังมันไว้หน่อย ถึงมันจะสนิทกับหัวหน้าที่นั่นแต่ไม่ได้แปลว่ามันจะภักดีด้วยนะ”

เหมือนหูทวนลม สายลับโนเบิลสาวแทบจะไม่ฟังเหตุผลของผู้อาวุโสด้วยซ้ำ กลับเอ่ยตอบอย่างท้าทายไปว่า

“เอาเป็นว่าเราจะไว้ใจมันได้มากขนาดไหนอีกไม่เกิน 1 ชั่วยามนี้จะได้รู้กัน ว่ามันกล้าออกคำสั่งฆ่าพวกเดียวกันรึเปล่า ถ้าไม่ ข้าจะจัดการมันเอง”

“ไม่!”

 

สิ้นเสียง อีกฝ่ายก็กระแทกเสียงหนักแน่นเท่าที่จะเป็นไปได้ตอบกลับมา ก่อนตามด้วยคำขู่จนสายลับสาวอึ้ง

“หน้าที่ของเจ้าไม่ใช่การปลิดชีพเจ้าสวะนั่น แต่เป็นการรับผิดชอบต่อการประสานงานของกองกำลังกบฏกับกองกำลังฝ่ายเราอย่างลับๆ ถ้ามันพาคนของเราไปตาย เจ้าจะถูกลดชนชั้น และถูกปลดจากหน้าที่ และร้ายกว่านั้น เจ้าจะถูกปลดออกจากกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ เพราะเจ้าเป็นคนให้มันออกคำสั่ง เข้าใจไหม”

“รับทราบค่ะท่าน”

ให้คำตอบไปเพียงเท่านั้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตามเดิม ทว่าในใจกลับรุ่มร้อนขึ้นมา เพิ่งสำนึกได้ว่าคำพูดท้าทายที่หลุดออกจากปากของตนกำลังจะย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง

สิ้นการติดต่อกับผู้บังคับบัญชาก็มีสัญญาณเรียกเข้ามาทันที เป็นชายหนุ่มชนิดที่ตรงข้ามกับผู้บังคับบัญชาของเธอลิบลับจนเหมือนเด็กที่ใกล้บรรลุนิติภาวะ เสียงที่ผ่านลำโพงเข้ามาก็ฟังดูสดใสยิ่งนัก มาถึงก็กล่าวอรุณสวัสดิ์ก่อนจะตามด้วยเรื่องที่ชวนเครียด

“มีรายงานแจ้งเข้ามาจากหน่วยลาดตระเวนว่า กองกำลังของรัฐบาลทั้ง 2 กองพล กำลังจะเข้าตีกระหนาบกองกำลังโนเบิลในอีก 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังได้พบกับรถถังแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกไม่เกิน 40 คัน คาดว่าน่าจะพัฒนาขึ้นมาอย่างลับๆ แล้วเพิ่งนำเข้าประจำการ ตอนนี้มีแผนอะไรก็รีบทำเลย”

“แล้วเรื่องนี้แจ้งให้หัวหน้าลูเวน่ารึยัง”

วาคานะถามกลับเรียบๆ เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แจ้งทางนั้นไปก่อนแล้วครับ ตอนนี้ทั้งคู่น่าจะกำลังไปที่ห้องวางแผน”

สิ้นเสียงวาคานะก็เลิกคิ้วเกิดอาการสงสัยขึ้นมาแล้วถามไปว่า

“ทั้งคู่เหรอ”

“ครับ หัวหน้าให้ซูเปอร์โซลเจอร์ที่แปรพักตร์พักอยู่ที่ห้องด้วยกัน”

“เหรอ...”

แม้เสียงของสายลับสาวจะฟังดูเรียบๆ แต่มันก็แฝงไปด้วยความสงสัยที่ผุดขึ้นในใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการดราก้อนไนท์กับซูเปอร์โซลเจอร์ออร์คที่แปรพักตร์ก่อนหน้านี้ ...นี่ท่านไว้ใจมันขนาดนั้นเลยเหรอ... วาคานะคิด

“ขอบคุณ เลิกกัน”

พูดจบฝ่ายหญิงก็ตัดการติดต่อเอาดื้อๆ ก่อนจะจ้ำออกจากห้องพักเพื่อตรงไปยังห้องวางแผน ที่ๆ เธอจะทดสอบผู้แปรพักตร์ว่าจะมีความน่าไว้ใจมากน้อยเพียงใด ที่นอกห้องมีเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์จำนวนหนึ่งมายืนรอรับอยู่แล้ว แต่ละคนทำหน้าเครียดมากกว่าที่ควรจะเป็น เพราะไม่ได้มีแค่เรื่องกองกำลังโนเบิลที่ต้องกังวล แต่เป็นผู้ที่แปรพักตร์ด้วย ทั้งหมดทักทายกันตามมารยาท แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นแทนทุกคนเป็นภาษาของสายลับสาวว่า

“ท่านโมริคาวะ ข้าไม่ไว้ใจมันเลย ไม่รู้ทำไมหัวหน้าลูเวน่าถึงได้ไว้ใจมันขนาดนั้น แถมจะให้มันออกคำสั่งเองอีกต่างหาก”

“ข้าก็ไม่ไว้ใจมันเหมือนกัน แต่ดูท่าหัวหน้าของพวกเจ้ากับข้าจะมีความคิดตรงกัน คือให้มันออกคำสั่งฆ่าพวกเดียวกันเพื่อพิสูจน์ความน่าเชื่อใจ”

วาคานะตอบเสียงเรียบพลางออกเดินนำ ในขณะที่เหล่าเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์เริ่มทำหน้าที่อย่างไม่เป็นทางการของตน คือการจับจ้องสังเกตการณ์แผ่นหลังของสายลับสาวแห่งกองทัพผู้ประเสริฐที่กำลังเดินห่างออกไปอย่างอึ้งๆ หัวหน้าคณะยกมือขึ้นจับและนวดขมับของตนเล็กน้อยก่อนบอกกับลูกน้องของตนให้เดินตาม

“ลูกพี่ ถ้าหัวหน้ากับซูเปอร์โซลเจอร์นั่นมันเป็นหน่วยสืบราชการลับด้วยกันทั้งคู่ล่ะ”

เอลฟ์หนุ่มผู้เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์เอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบ พอได้ยินกันเฉพาะในกลุ่มในขณะที่วาคานะยังทิ้งระยะห่างอยู่ ‘ลูกพี่’ แห่งคณะเจ้าที่หน้าสังเกตการณ์หันมาเขม่นตามองเชิงตำหนิ ก่อนตอบกลับด้วยเสียงกระซิบว่า

“แกคิดมากไปแล้ว ถ้าหัวหน้าลูเวน่าเป็นได้ งั้นทุกๆ คนที่นี่ก็เป็นได้เหมือนกัน รวมทั้งฉันหรือแก ฉันว่าที่หัวหน้าให้มันอยู่ร่วมห้องด้วยเพราะไม่ได้ไว้ใจมัน แต่อาจจะคอยจับผิดมันมากกว่า ถ้าแกสงสัยนักทำไมไม่คอยช่วยหัวหน้าจับผิดมันอีกแรงล่ะ”

“แต่มันก็น่าคิดนะ เรื่องความสัมพันธ์ก่อนสงครามเริ่มผมก็พอเข้าใจอยู่หรอก แต่ตอนนั้นมันไม่รู้ว่าหัวหน้าลูเวน่าเป็นดราก้อนไนท์และเป็นหัวหน้าที่นี่ มาตอนนี้มันรู้แล้ว แล้วทำไมยังตีสนิทได้ขนาดนั้น แถมหัวหน้าเองก็ใช่ย่อย รับหน้ามันได้เหมือนมีการจัดฉากกันมาก่อน”

ลูกน้องลูกครึ่งมนุษย์แวมไพร์อีกคนออกความเห็นด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ด้วยเหตุผล มันทำหน้าหัวหน้าคณะต้องเริ่มฉุกคิดแต่ก็ยังคลางแคลงใจที่จะเชื่อจึงตัดบทไปก่อนว่า

“จะยังไงก็ช่างมันก่อน รอให้มันเผยไต๋ก็พอ ตอนนี้ไปตามคำสั่งของหัวหน้าก่อน”

“เอาไงก็เอากัน ลูกพี่”

ลูกน้องเอลฟ์ว่า

อีกด้านหนึ่งการ์เซียและเซอร์คอเช่ได้ไปถึงห้องวางแผนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง การ์เซียเอ่ยถามสถานการณ์ปัจจุบันทันที ในขณะที่เซอร์คอเช่เดินทอดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่โต๊ะวางแผนแบบโฮโลแกรม ซึ่งภาพที่ปรากฏอยู่นั้นทำเอาเขาถึงกับตาเหลือก พร้อมกันก็สะดุ้งเฮือกอย่างตกอกตกใจ ในขณะที่หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการเทียมกำลังคุยอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอ พันตรีซูเปอร์โซลเจอร์ก็เอ่ยปากแทรกขึ้นโดยไม่สนกาลเทศะ

 

“ผมว่าผมพอจะรู้แล้วว่าผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายรัฐบาลคือใคร”

ทุกคนในห้องหันมามองที่ต้นเสียงทันที รวมทั้งวาคานะและคณะเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ด้วย

“มี 2 คน คนหนึ่งน่าจะเป็น พลจัตวา ริคเคน เจนส์เซน ส่วนอีกคนน่าจะเป็น พลจัตวา ริโก้ แวน ไดค์”

สิ้นเสียงทุกคนในห้องยกเว้นวาคานะก็หนาวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน หนึ่งในเจ้าหน้าที่สื่อสารถึงกับเปรยเสียงอ่อยออกมาว่า

“สเปียร์ แอนด์ แฮมเมอร์”

“สเปียร์ แอนด์ แฮมเมอร์”

วาคานะทวนคำเชิงตั้งคำถาม ส่วนเซอร์คอเช่ก็รับหน้าที่อธิบายในขณะที่ตายังจับจ้องอยู่ที่โต๊ะวางแผนเหมือนกับกำลังคิดแผนเอาชนะอยู่

“คู่หูแม่ทัพมหากาฬ พลจัตวา ริคเคน “สเปียร์” เจนส์เซน และ พลจัตวา ริโก้ “แฮมเมอร์” แวน ไดค์ ผมไม่รู้อะไรละเอียดมากนัก ที่ผมบอกได้ว่าเป็นพวกเขาเพราะรูปแบบการจัดทัพที่เป็นเอกลักษณ์ สเปียร์ มักจะใช้ยุทธวิธีที่รวดเร็วและลื่นไหล ส่วนมากจะใช้ยานเกราะที่มีความเร็วสูง เช่น รถถังขนาดกลาง หรือรถถังเบา คู่กับยานต่อสู้ทหารราบ หรือยานลำเลียงพล และระบบต่อสู้อากาศยานอัตตาจรที่เคลื่อนที่ได้เร็ว ส่วน แฮมเมอร์ มักจะใช้อาวุธหนักและเครื่องจักรขนาดหนัก เช่น รถถังหนัก หรืออาจจะถึงระดับหนักสุดยอด หรือพวกวอร์กเกอร์ขนาดหนักทั้งหลาย ปืนใหญ่หนักที่มีอานุภาพสูงจนไม่มีฐานยิงเคลื่อนที่อะไรรองรับได้แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดจะเป็นอาวุธสุดยอด กองกำลังของเขามักจะมีความยืดหยุ่นสูง ขึ้นชื่อในเรื่องการโจมตีไปพร้อมๆ กับการป้องกัน แต่ยังไงก็ตาม สองคนนี่คงไม่ได้มีแค่ที่ผมพูดแน่นอน ผมก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินข่าวเกี่ยวกับการร่วมแผนการของสองคนนี่มากนัก แต่มีเสียงลือกันอยู่ว่า สุดยอดของการประสานงาน”

“แล้วเจ้าคิดว่าจะชนะรึเปล่า”

วาคานะยิงคำถามเอาดื้อๆ เป็นภาษาของตน โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่แฝงมาในคำถามนั้นคือคำตอบ ส่วนผู้ถูกถามก็มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นในหัวว่า ...สาบานว่านั่นคำถาม ถามออกมาได้ยังไงวะ... เซอร์คอเช่ค่อยๆ หันหน้าไปมองสายลับสาวด้วยหน้าตาไม่สื่ออารมณ์ แต่ดวงตากลับแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะตามไปอย่างตรงไปตรงมาดังใจคิด

“พันตรีคนเดียวดวลกับพลจัตวาสองคน ท่านคิดว่ายังไง บอกตรงๆ เลยว่าข้าไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะชนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสองคนนั่น ทำได้อย่างดีคงแค่ป่วนให้พวกเขาถอนกำลังออกไปตั้งมั่นที่เก่าแล้วรอจนกว่าจะมีกำลังเสริมมาแล้วค่อยบุกโจมตีต่อ แล้วก็อีกอย่างที่ท่านรู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ด้านจำนวนกำลังพลกองกำลังฝ่ายท่านก็เสียเปรียบอยู่ตั้ง 2 ต่อ 1 แต่ยังไง การให้พันตรีอย่างข้าบัญชาการก็ยังดีกว่าให้ผู้บัญชาการฝ่ายท่านที่ทำเป็นแต่การเข้าตีซึ่งๆ หน้า...”

พูดไม่ทันขาดคำวาคานะก็โพล่งขึ้นขัดเสียก่อนพร้อมด้วยสายตาจริงจัง จนพันตรีออร์คซูเปอร์โซลเจอร์อึ้งไป

“ข้าไม่ได้ถามความมั่นใจ ข้าถามว่าเจ้าจะชนะได้รึเปล่า”

เซอร์คอเช่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างไม่เต็มเสียงว่า

“ข้าไม่รู้... แต่ยังไงข้าก็ยังพอมีแต้มต่ออยู่บ้าง ตรงที่ข้ารู้ว่าผู้บัญชาการฝ่ายศัตรูเป็นใคร และพอจะรู้จักกลยุทธ์ของพวกเขา ในขณะที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร และกำลังคิดอยู่ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้บัญชาการโนเบิลทั่วไป และข้ามีชัยภูมิที่ได้เปรียบที่รับประกันได้ว่าจะไม่มีลูกปืนยักษ์ตกใส่”

สิ้นเสียงก็มีเสียงใหญ่ๆ เสียงหนึ่งแทรกขึ้นกลางบรรยากาศตึงเครียด

“ลูกปืนยักษ์น่ะไม่ แต่ลูกปืนใหญ่แบบปกติน่ะไม่แน่ สมรภูมิเป็นแบบนี้ ทั้งคู่คงจะใช้วิธีสาดกระสุนปืนใหญ่ใส่จนย่อยยับแล้วให้ สเปียร์ เข้าไปเก็บกวาดที่เหลือ ส่วน แฮมเมอร์ ก็คอยปิดล้อมอยู่รอบนอกแล้วคอยฟังคำร้องขอการยิงแบบแม่นยำสูง... สวัสดี พันตรี เซอร์คอเช่ อาบาโคล่า ผมตกใจมากนะที่เห็นคุณอยู่ที่นี่”

ต้นเสียงเป็นออร์คร่างใหญ่ที่เซอร์คอเช่แสนคุ้นหน้าจนเขาแทบจะกระโจนเข้าไปกอด เขาได้แต่ร้องออกมาดังๆ ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจว่า

“เรกเกอร์... เรกเกอร์ อาบาโคล่า!”

“ผมคงจะหน้าตาเหมือนเขา แต่บอกตรงๆ ว่าผมไม่ใช่ ผมคือ ชูเน่ กรันเทอร์ หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการดราก้อนไนท์ เซกเตอร์ พีเอชอาร์-เอ็นดับเบิ้ลยู ‘ฟรีด้อม’ ยินดีที่ได้รู้จัก”

ชูเน่ทำหน้างง แล้วตอบเรียบๆ พร้อมแนะนำตัว ในขณะที่เซอร์คอเช่ยืนตัวแข็ง เมื่อการ์เซียหันไปมองก็ร้องโวยวายอย่างประหลาดใจออกมาว่า

“ชูเน่ ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ แล้วภารกิจที่ซานตินาสล่ะ”

“ล่มไม่เป็นท่า พวกหน่วยลับไหวตัวทัน แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครอยู่เบื้องหลัง...”

เพียงแค่อีกฝ่ายพูดว่ารู้ตัวคนอยู่เบื้องหลัง หัวหน้ากลุ่มกบฏปลอมก็หนาวสันหลังวาบขึ้นมาทันที แต่ก็รู้สึกโล่งอกในเวลาต่อมาเมื่อหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏ ‘ฟรีด้อม’ บ่นอย่างหัวเสียต่อไป

“อยากรู้จริงๆ ว่า ไอ่ซัลเวีย มันเคยคิดอะไรไร้สาระบ้างไหม แล้วตอนนี้ฐานปฏิบัติการของฉันก็เพิ่งถูกถล่มไปเมื่อ 19 ชั่วโมงก่อนฉันเลยอพยพคนของฉันมาอยู่ที่นี่”

“แย่จริง แย่มากๆ เสียใจด้วยนะ แต่อย่างน้อยพวกนายรอดมาก็ดีแล้ว”

การ์เซียแกล้งทำเห็นอกเห็นใจในขณะที่ในความคิดของเธอนั้นก็หัวเราะร่าโห่ร้องตะโกนสมน้ำหน้าใส่คู่สนทนา แต่ก็นึกเจ็บใจอยู่เล็กน้อยตรงที่ตัวหัวหน้าดันมีชีวิตรอดมายืนคุยกับตนในขณะนี้ ซึ่งกำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดระคนเจ็บใจ

 

“ยังไม่แย่เท่าข่าวร้ายที่ฉันกำลังจะบอกหรอก และมันเป็นไปตามที่เธอคาดไว้เป๊ะ ไอ่เฒ่าไม่ยอมแก่นั่นสั่งเปิดคลังแสงโอเวอร์บูมเมอร์จริงๆ แล้วอีกอย่างนะ ไหนๆ ก็มาที่นี่แล้วขอคุยกับ ร้อยเอกโมริคาวะ แบบเป็นส่วนตัวหน่อยได้รึเปล่า”

วาคานะพยักหน้าตอบทันที พร้อมกับตอบว่า

“ทุกคนทำงานต่อไป เดี๋ยวเดียวคงเสร็จ”

ชูเน่พาวาคานะกึ่งฉุดกึ่งจูงมือออกจากห้องวางแผนอย่างเร็ว ราวกับกำลังโกรธใครอยู่

“มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการฟรีด้อมเอ่ยถามห้วนๆ เป็นภาษาโนเบิล

“หน่วยจู่โจมจับมันได้ตอนออกไปซุ่มโจมตีขบวนเสบียง จากนั้นหัวหน้าลูเวน่าก็สอบสวนมันด้วยตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วมันก็แปรพักตร์ ตอนนี้เรากำลังจะทดสอบความน่าเชื่อใจของมันอยู่ โดยให้มันออกคำสั่งฆ่าพวกเดียวกัน”

ร้อยเอกสายลับสาวตอบเรียบๆ ในขณะที่ชูเน่ตาเหลือกตอบกลับแทบจะตะคอก

“เจอกับ สเปียร์ แอนด์ แฮมเมอร์ ด้วยกำลังที่เสียเปรียบ 2 ต่อ 1 เนี่ยนะ ต่อให้เป็นข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะยันได้เกิน 3 อัสมานิค รึเปล่า”

“ท่านรู้จักกับสองคนนั่นเหรอ”

“ไม่รู้จักได้ยังไง ก็เพราะว่า สเปียร์ คือ อดีตหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการ เซ็กเตอร์ พีเอชอาร์-เอสอี ‘ไชนิ่งครอส’ ส่วน แฮมเมอร์ คือ อดีตหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการ เซ็กเตอร์ พีเอชอาร์-เอสอี ‘ซัพเพรสเซอร์’ เราเคยเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากมาก่อน แต่วันหนึ่ง ริคเคน ส่งไฟล์อะไรสักอย่างไปให้ ริโก้ แล้วหลังจากนั้นกลุ่มปฏิบัติการทั้งสองกลุ่มก็ย้ายข้างไปเข้ากับฝ่ายรัฐบาล ข้าไม่รู้ว่าไฟล์นั่นมีอะไร แต่ข้ารู้ว่าไฟล์นั่นต้องมีอะไรเกี่ยวพันถึงอดีตของพวกเรา ยังไงก็ตาม เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ข้ากล้าพนันหมดตัวเลยว่า ซูเปอร์โซลเจอร์นั่นไม่มีทางชนะสองคนนั้นได้แน่นอน และข้าก็เชื่อว่าตัวมันเองก็รู้ตัวแล้วว่าโอกาสชนะนั้นแทบไม่มี... ยกเว้นมันจะมีอะไรเด็ดๆ ซ่อนอยู่”

“แล้วยังไง”

หลังจากชูเน่ร่ายยาวจบ วาคานะก็เอ่ยถามสิ่งที่เขาพยายามจะบอกเธอ หัวหน้ากลุ่มฟรีด้อมถึงกับเอาฝ่ามือกระแทกหน้าผากตัวเองอย่างกลุ้มๆ ก่อนจะบอกไปตรงๆ ว่า

“ไม่ว่ามันจะชนะหรือแพ้ ท่านไม่มีทางรู้เลยว่ามันแปรพักตร์จริงหรือไม่ แล้วก็ถือเป็นโชคดีของมันที่ดันมาเจอคู่หูมหากาฬคู่นี้ เพราะถ้ามันชนะได้ก็จะเป็นตัวบ่งบอกเด่นชัดว่ามันได้แปรพักตร์แล้วจริงๆ ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะแค่เล่นไปตามน้ำให้พวกเราเชื่อใจ หรือแม้ว่ามันเกิดแพ้ขึ้นมา ก็ไม่มีใครโทษมันได้ เพราะดันเจอคู่ต่อสู้มหาโหดทีเดียว 2 คน ข้าว่าท่านควรจะระวังให้มาก แล้วก็คอยสังเกตจับผิดมันไว้ โอกาสที่มันจะแปรพักตร์จริงหรือแค่หลอกให้ท่านเชื่อใจมันมีพอๆ กัน ถ้าเป็นอย่างหลังข้าก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“ข้าระวังตัวเสมอ ไม่ต้องห่วง”

เมื่อคุยกันจบ ทั้งคู่ก็พากันเดินกลับไปที่ห้องวางแผน ทว่าเมื่อกำลังจะเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้าไปนั้น ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังลอดซอกประตูออกมาอย่างดุเดือดเป็นภาษาของชาวโนเบิล ซึ่งเป็นเสียงผู้หญิง และทุกคนที่อยู่ข้างนอกรู้ดีว่าไม่ใช่เสียงของหัวหน้า การ์เซีย ลูเวน่า หรือใครก็ตามที่ประจำอยู่ในห้องนั้น แต่เมื่อฟังไปได้พักหนึ่ง วาคานะก็บอกกับชูเน่ว่าเธอรู้จักคนที่กำลังโวยวายอยู่ แล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างสุขุมและไม่แสดงอารมณ์อะไรทั้งสิ้น

“ไม่ ข้าไม่มีวันรับคำสั่งจากมันเด็ดขาด และเราไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ โดยเฉพาะจากไอ่ออร์คสวะนั่น”

เจ้าของเสียงกร่นด่าโวยวาย ชี้ไปที่หน้าของเซอร์คอเช่ที่กำลังอารมณ์ขึ้นอยู่เช่นกันผ่านทางมอนิเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของหญิงสาวหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ครึ่งตัว

“ไม่ว่ายังไงท่านก็ต้องฟังคำสั่งจากข้า ท่านไม่รู้หรอกว่าท่านกำลังเจอกับอะไร แถมกำลังพลฝ่ายท่านก็เสียเปรียบอยู่ 2 ต่อ 1 การสั่งการสุ่มสี่สุ่มห้าจะกลายเป็นหายนะ”

“และมันจะเป็นหายนะยิ่งกว่าถ้าข้าอนุมัติให้เจ้าสั่งการแทน จำไว้ว่าเราเป็นผู้ที่เจริญกว่าเจ้ามาก ยุทโธปกรณ์ของเราก็ดีกว่า ถ้าเจอกันซึ่งๆ หน้าต่อให้ 3 หรือ 4 ต่อ 1 เราก็ไม่มีทางแพ้”

“อาจจะจริงของท่าน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกมันไม่ยอมเล่นตามเกมของท่านไง และด้วยกำลังที่ด้อยกว่า 2 ต่อ 1 มีโอกาสสูงมากที่ท่านจะถูกปิดประตูตีแมว แล้วท่านก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดูผู้ใต้บังคับบัญชาถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา”

“อย่าดูถูกพวกเราให้มากนัก เจ้าสวะ ที่ฐานยิงลำแสงโบราณนั่นถูกทำลายลงก็เพราะพวกข้า...”

พูดยังไม่ทันขาดคำ วาคานะก็โพล่งขึ้นปรามทั้งจีแอลสาวและเซอร์คอเช่ เธอมองดูภาพครึ่งตัวที่ปรากฏบนมอนิเตอร์แล้วกวาดตาสำรวจ รูปร่างสมส่วน ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตสีม่วง ผมยาวสีม่วงอมเงินรวบไว้เป็นหางม้า ผิวเหลืองอ่อนจนคล้ายมนุษย์ ว่าแล้วสายลับสาวชาวโนเบิลก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองและคุยอย่างออกอารมณ์จนทำให้เหล่าดราก้อนไนท์รอบๆ ต่างส่งเสียงซุบซิบกันให้แซดกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นใกล้ตัวอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งก็คือ สายลับสาว สังกัดหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ ยศร้อยเอก ผู้ไร้อารมณ์ที่อยู่ด้วยกันมานานแสดงอารมณ์

“สวัสดี ไรซ่า หรือจะให้ข้าเรียกว่า “ควีน ออฟ แอสแสสซิน” ดี ข้าว่าเจ้าอย่าดูถูกพวกดราก้อนไนท์ให้มากดีกว่านะ ข้าอยู่กับพวกเขามานาน ข้ารู้ดีกว่าเจ้าว่าพวกเขาเป็นยังไง ฐานยิงลำแสงที่เหลืออีกสองฐานความจริงแล้วไม่ใช่ฝีมือของกองกำลังฝ่ายเราหรอก แต่เป็นฝีมือของกลุ่มปฏิบัติการกบฏเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น และความสำเร็จของกองกำลังโนเบิลหลายครั้งก็มาจากความช่วยเหลืออย่างลับๆ ของกบฏดราก้อนไนท์”

 

“วาคานะ นั่นเจ้าเหรอ”

หน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์สาวนาม ไรซ่า หรือรหัส คิวโอเอ ร้องเสียงหลงเมื่อพบกับหญิงสาวเผ่าพันธุ์เดียวกันในชุดพลเรือนของฝ่ายศัตรูผ่านทางอุปกรณ์สื่อสาร

“ไหนบอกว่าเจ้าทำงานสายลับอยู่ไง แล้วทำไมถึงมาอยู่กับพวกนี้ได้”

“ทำอยู่ แต่ตอนนี้ข้าไปไหนได้ไม่มากนัก แถมคลื่นสื่อสารพิเศษก็ถูกจับได้แล้วดักฟังอยู่ การจะส่งข่าวอะไรก็ส่งลำบาก ดังนั้นถ้าไม่มีข่าวอะไรสำคัญจริงๆ ข้าจะไม่ออกไปเสี่ยงเด็ดขาด ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทนการทรมานได้รึเปล่า”

“แล้วตอนนี้เจ้ามีข่าวอะไรสำคัญรึเปล่า ฝากข้าก็ได้”

ไรซ่าทำหน้าระรื่นอยู่ได้ไม่นานก็ต้องกลับกลายเป็นความหงุดหงิดขึ้นมาทันใดผสมกันอย่างลงตัวด้วยกำลังใจที่ถดถอย เมื่อวาคานะฝากแจ้งข่าวตามที่ตนบอก

“ตามประวัติศาสตร์ของดาวดวงนี้ ประเทศนี้เคยเป็นมหาอำนาจทางอาวุธนิวเคลียร์อันดับ 1 หรือที่ต่อมาเรียกกันติดปากว่า ‘โอเวอร์บูมเมอร์’ แล้วพวกเรากับกบฏดราก้อนไนท์ไปทำลายฐานยิงลำแสงโบราณพวกนั้นจนหมด ผู้นำของเขตปกครองนี้จึงสั่งให้นำโอเวอร์บูมเมอร์ออกมาใช้ เจ้ารู้จักนิวเคลียร์ใช่ไหม”

“ใช่ ข้ารู้จัก”

ไรซ่าตอบเสียงค่อยลง

“ข่าวดี คือ พวกเจ้าจะไม่ถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ เพราะพื้นที่ที่พวกเจ้าตั้งมั่นอยู่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของกองกำลังรัฐบาล แต่ข่าวร้าย คือ ในไม่ถึง 1 อัสมานิคนี้ เจ้าจะถูกตีกระหนาบด้วยกองกำลังขนาด 2 กองพล ที่มีผู้นำกองกำลังฝีมือขั้นพระกาฬ แถมมีอาวุธใหม่อีกด้วย... หัวหน้า ลูเวน่า ตอนนี้เหลือเวลาเท่าไหร่ก่อนที่ 2 คนนั้นจะเริ่มโจมตี”

ประโยคหลัง วาคานะหันมาถามการ์เซีย เหมือนจงใจจะกดดันเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ให้รีบตัดสินใจ ในขณะที่การ์เซียก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วตอบว่า

“ผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมง... ข้าหมายถึง 30 มานิค”

“มีเวลา 30 มานิค ก่อนที่การโจมตีจะเริ่มขึ้น และข้าแนะนำให้เผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 10 มานิค ที่จะดำเนินกลยุทธ์ตั้งรับก่อนการโจมตีเริ่ม สรุปแล้วเจ้ามีเวลา 20 มานิค ในการตัดสินใจ”

โดนเข้าแบบนี้ จากท่าทางหยิ่งผยองและเชื่อมั่นในแสนยานุภาพฝ่ายตัวอย่างอย่างเต็มพิกัดกลับกลายเป็นอ้ำอึ้ง ถอนหายใจออกเบาๆ อย่างหนักใจ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา