Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  32 วิจารณ์
  37.63K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) Secret service network [Part 2]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เสียงปืนไรเฟิลซุ่มยิงแผดระเบิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้งแต่หาใช่การยิงใส่เป้าหมายใด แต่เป็นการยิงขึ้นฟ้าเพื่อสร้างความแตกตื่น เหล่านักศึกษา ครู และพลเรือนทุกคนพากันส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกพากันวิ่งเข้าหาที่กำบังสุดชีวิต ในขณะที่คนอีกหลายกลุ่มเดินออกมาในที่แจ้งพร้อมกับปืนในมือพร้อมจะยิงใครก็ตามที่คิดต่อกร คนหนึ่งในทุกๆ กลุ่มเหนี่ยวไกสาดกระสุนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขวัญ ในขณะที่บางกลุ่มร่ายเวทมนตร์จู่โจมเข้าใส่รูปเคารพทางศาสนาเพื่อทำลายทิ้ง ในเวลาไม่นานกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มก็จับปืนขึ้นแล้วเข้าจู่โจมกลุ่มกบฏแบบไม่ให้ทันตั้งตัว จากนั้นก็เกิดเป็นการยิงต่อสู้ขึ้นอย่างดุเดือด โดยฝ่ายรัฐบาลส่วนมากเป็นตำรวจ ซึ่งใช้ปืนพกเลเซอร์และปืนพกกลเป็นหลัก รองลงมาก็เป็นทหารหน่วยจอมเวทที่สวมชุดพลเรือนทำหน้าที่เสริมอำนาจการยิงคอยกดหัวนักรบกบฏด้วยเวทมนตร์จู่โจมที่เน้นความรวดเร็ว “แยกพลเรือนออกจากข้าราชการติดอาวุธเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้ที่ต้องระวังจริงๆ ก็มีแต่หน่วยลับกับซูเปอร์โซลเจอร์เท่านั้น” พลแม่นปืนครึ่งเอลฟ์หันกลับมารายงานกับหัวหน้ากลุ่มกบฏท้องถิ่น โทมัสพยักหน้าเนิบๆ ก่อนจะเริ่มใช้วิทยุจิ๋วที่ติดอยู่บริเวณปกเสื้อติดต่อไปยังหัวหน้ากลุ่มกบฏต่างแดน “มาสเตอร์โฮมถึงเกรทวันเดอเรอร์ กำลังจะดำเนินตามแผนขั้นต่อไปพวกคุณพร้อมรึยัง เปลี่ยน” “เกรทวันเดอเรอร์ พวกเราพร้อมเสมอ ดำเนินการขั้นต่อไปได้เลย เปลี่ยน” ขณะที่กำลังพูดกันอยู่ พลแม่นปืนคนหนึ่งก็ผละออกจากตำแหน่งแล้วร่ายเวทเปิดประตูมิติก่อนจะทิ้งเอาไว้แล้วกลับไปประจำตำแหน่งของตน “ดี ทางออกของพวกมันมีทางเดียวคือหน้าต่าง โชคดีนะ ชูเน่” “แกก็เหมือนกัน โทมัส เลิกกัน” ว่าจบนักรบกบฏและกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ที่ถูกส่งมาอย่างละ 2 คนก็เดินออกมาจากประตูมิติแต่ไม่มีอาวุธ โทมัสผายมือไปทางหนึ่ง มีปืนลูกซองอัตโนมัติที่ถอดซองกระสุนเอาไว้ 4 กระบอกวางแยกกันไว้พร้อมซองกระสุน 7 ซอง ระเบิดมือแบบสะเก็ด 3 ลูก ระเบิดเสียงแสง (Flash Bang) และระเบิดควันอย่างละ 2 ลูก และเสื้อกั๊กสำหรับบรรจุยุทโธปกรณ์แบบเดียวกับที่ทหารใช้ แรกสัมผัสของทั้งเรเวนและเบลเฟกอลนั้นรู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับอาวุธของกองทัพโนเบิลอย่างสิ้นเชิงยกเว้นแต่ท่าจับ ทั้งสองจับปืนพลิกไปพลิกมาเพื่อศึกษา โทมัสเห็นดังนั้นก็เป็นต้องอธิบายวิธีใช้สำหรับผู้ไม่คุ้นเคย “เซลด้า เอ็ม 712 เอ 5 หรือรหัสกองทัพเรียกว่า แซดเอ-เอเอส-30 ปืนลูกซองจู่โจมอัตโนมัติขนาด 12 เกจ ใช้กระสุนมาตรฐานเป็นลูกปราย 9 เม็ดสลัดครอบ สามารถเลือกรูปแบบการยิงได้ แบบธรรมดาและแบบลูกระเบิดสาดสะเก็ด พร้อมด้วยเลเซอร์วัดระยะเพื่อส่งข้อมูลไปยังกระสุน บรรจุซองกระสุน 10 นัด ระยะหวังผลไกลสุด 45 เมตร อัตรายิง 240 นัดต่อนาที มีผลึกเวทมนตร์สามารถรองรับการใช้เวทมนตร์เสริมประสิทธิภาพได้...” พูดไปพลางก็ปฏิบัติวิธีใช้ประกอบไปด้วยอย่างคล่องแคล่ว “เวลาจะบรรจุกระสุนใหม่ก็กดปุ่มตรงช่องป้อนกระสุนนี่ แล้วดึงออกมา แล้วก็เอาซองกระสุนซองใหม่ใส่เข้าไปหันด้านที่มีรอยบากไปด้านหน้าจนได้ยินเสียง กรึ๊ก แล้วก็ดึงคันรั้งตรงนี้เพื่อดันกระสุนเข้ารังเพลิงและขึ้นลำ แล้วก็พร้อมยิง ถ้าไม่ต้องการจะยิงให้ผลักก้านเล็กๆ ใกล้ๆ กับด้ามไปที่ตำแหน่งสีแดงจะเป็นการห้ามไก แบบนี้ก็จะเหนี่ยวไกไม่ได้ ถ้าต้องการจะยิงก็ผลักกลับไปที่ตำแหน่งสีเขียวแล้วก็พร้อมยิง แล้วก็ศูนย์กล้องตรงนี้มีระบบตรวจจับความร้อน สามารถตรวจหาความร้อนหลังกำแพงหนาครึ่งฟุตได้ ซึ่งแน่นอนใช้เล็งทะลุฉากควันก็ได้หรือจะปิดระบบกดปุ่มตรงนี้เวลาจะเปิดก็กดปุ่มเดียวกัน เปลี่ยนเป็นศูนย์กล้องธรรมดากำลังขยาย 1.5 เท่า ส่วนเรื่องระเบียบการใช้ปืนและวิธีเล็งพวกคุณคงจะรู้ดีอยู่แล้ว แต่การใช้ปืนแบบนี้รบในพื้นที่จำกัดพวกคุณแทบไม่ต้องเล็งด้วยซ้ำ เพราะวิถีกระสุนจะกระจายออกไปมั่วๆ เป็นม่านกระสุน ดังนั้นแค่หันปืนใส่แล้วเหนี่ยวไกได้เลย ทีนี้ก็ลุยกันเลย” แม้จะบอกว่าให้ลุยไปแล้วแต่เขาก็ชะงักเพราะเกือบลืมบางอย่างไป “เอ่อ ส่วนระเบิดมือปุ่มสีดำกลมๆ ข้างบนมีไว้ตั้งชนวนกดแต่ละครั้งเท่ากับ 1 วินาทีมากที่สุด 5 วินาที ถ้ากดครั้งที่หกจะเป็นระบบกระทบ ถ้าต้องการยกเลิกการตั้งชนวนให้กดแช่เอาไว้ 2 วินาทีแล้วปล่อย ส่วนปุ่มยาวข้างๆ มีไว้ระงับชนวนชั่วคราวกดแช่ไว้นานเท่าไหร่ก็ได้ชนวนจะไม่ทำงาน ถ้าปล่อยมันจะเริ่มทำงาน ลูกหยาบคือระเบิดมือสาดสะเก็ด ลูกเกลี้ยงคือระเบิดควัน ส่วนลูกทรงกระบอกสีดำเป็นระเบิดเสียงแสง” กลอรี่ลอเบอเรเทอร์ทั้งสองทำตามมือเป็นระวิง เกิดความคิดขึ้นในหัวเป็นประโยคเดียวกันว่า ...ยุ่งยากเป็นบ้า... แม้ในความเป็นจริงจะค่อนข้างเรียบง่ายก็ตาม กลับเข้าเหตุการณ์ปัจจุบันโทมัสโบกมือเป็นสัญญาณให้ตามเป็นแถวเรียงเดี่ยว ส่วนเจ้าตัวก็เอาปืนประทับบ่าเอาไว้แต่ไม่ได้เล็งผ่านศูนย์ เรเวนและเบลเฟกอลไม่รู้เรื่องสัญญาณมือเพราะใช้คนละแบบ แต่ปฏิบัติตามได้เพราะดูจากนักรบดราก้อนไนท์สองคนเบื้องหน้า เมื่อโทมัสเดินเข้าใกล้ประตูอัตโนมัติที่จะเปิดเมื่อมีคนผ่านเซนเซอร์ แต่มันกลับไม่เปิด เขาจึงถอยไปก้าวหนึ่งก่อนจะใช้ปืนลูกซองยิงใส่ร่องระหว่างบานประตูสองบาน เพียง 2 นัดเท่านั้นก็เกิดเป็นรอยเว้าทั้งสองฝั่ง ประตูอัตโนมัติก็เลื่อนเปิดออกทันที เบื้องหน้าเป็นขั้นบันไดชุดละ 10 ขั้นวนลงไปเรื่อยๆ ทุกสองชุดจะเชื่อมต่อกับชั้นต่างๆ หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏท้องถิ่นนำเข้าไปก่อนตามด้วยดาร์คเอลฟ์หนุ่มในระยะ 3 ฟุตที่หยิบระเบิดมือขึ้นมาเตรียมไว้ ส่วนปืนลูกซองเปลี่ยนไปสะพายแทน ยังไม่ทันที่โทมัสจะไปถึงขั้นล่างสุดของบันไดชุดบนสุด ดาร์คเอลฟ์หนุ่มก็ดึงสลักระเบิดมือออก ในตอนนั้นโทมัสก็ส่งสัญญาณมือไปมายังมนุษย์สาวเบื้องหลังดาร์คเอลฟ์ “ระเบิดมือ!”
 
ในขณะที่หญิงสาวหันมานัดแนะกับผู้มาเยือนจากต่างดาวด้วยเสียงกระซิบ ดาร์คเอลฟ์หนุ่มเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อโยนระเบิดออกไปตรงทางเดินที่ขนานกับบันไดพร้อมกับส่งเสียงเตือน ลูกกลมกระดอนกับพื้น 1-2 ครั้งก่อนที่เปลือกจะหลุดออกจากนั้นม่านควันขุ่นมัวจึงระเบิดออกบดบังทัศนะวิสัยของผู้ที่รออยู่เบื้องหน้าฉากควันจนมิด โทมัสหลบฉากออกเพื่อให้คนที่ตามมาแซงขึ้นหน้า เริ่มด้วยดาร์คเอลฟ์หนุ่มที่เมื่อลงไปถึงทางเดินก็เข้าชิดขอบกำแพงด้านขวาก่อนจะเปิดฉากยิงสุ่มเพื่อกดหัวอีกฝ่าย จากนั้นจึงตามด้วยหญิงสาวและชาวโนเบิลทั้งสอง วิ่งข้ามฝั่งทางเดินตรงไปยังทางเดินที่มีฉากควันปิดอยู่ ทันใดนั้นโทมัสก็เริ่มเปิดฉากยิงเข้าไปยังม่านควันโดยเล็งผ่านกล้องตรวจจับความร้อน เพียง 2 นัดเท่านั้นก็มีเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดตอบกลับมา “ราฟาเซีย กระป๋อง 12 นาฬิกา เรียดพื้น” หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏท้องถิ่นออกคำสั่งอย่างห้วนๆ พลางก้าวลงบันไดมาพร้อมกับระเบิดมือที่ตั้งชนวน 3 วินาที แล้วขว้างข้ามหัวลูกน้องดาร์คเอลฟ์ออกไป ในขณะที่เบลเฟกอลหยิบกระป๋องระเบิดแสงเสียงดังออกมากดๆ แล้วโยนไปเบื้องหน้าในระดับต่ำขณะนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ระเบิดแสงเสียงของเบลเฟกอลตั้งชนวนไว้เร็วกว่าจึงเกิดเป็นเสียงดังเปรี้ยงชวนแสบแก้วหู พร้อมกันนั้นก็เกิดแสงวาบขึ้นออกมาจากม่านควัน ดาร์คเอลฟ์หนุ่มผละจากการยิงกดหัวลงนั่งพักสะบัดหัวกุมขมับอย่างมึนตึงเพราะความสามารถพิเศษของเผ่าพันธุ์ทำพิษ จากนั้นจึงตามด้วยเสียงระเบิดสาดสะเก็ดที่ดังตามมา “ราร์ค หยาบ 12 นาฬิกา เรียดพื้น” โทมัสสั่งการต่อ ก่อนจะหันมาสนใจกับลูกน้องที่ได้รับผลจากระเบิดแสงเสียงจากคำสั่งของตนจนทุพพลภาพชั่วชณะ ส่วนเรเวนก็คว้าเอาระเบิดมือผิวหยาบออกมากดปุ่มตั้งชนวนแล้วโยนออกไปในท่าเดียวกับเบลเฟกอล “เป็นอะไรรึเปล่า เจมส์ บอกแล้วว่าให้ใส่ที่กรองเสียงไว้ทุกครั้งก่อนปฏิบัติการ...” หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการหันไปหาลูกน้องอีกคนอย่างตั้งความหวัง ดาร์คเอลฟ์หนุ่มนามเจมส์ไม่ตอบ ได้แต่แยกเขี้ยวโชว์ฟันขาวสื่อความรู้สึกเอาท่าเดียว “เมกุมิ เธอรับช่วงต่อจากเจมส์ ราร์ค ราฟาเซีย ตั้งแนวยิงสกัดศัตรู ฉันจะรักษาเจมส์ก่อน” ว่าจบเขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปอังไว้บริเวณศีรษะของลูกน้องดาร์คเอลฟ์แล้วทำปากขมุบขมิบท่องมนตร์เพื่อรักษา หญิงสาวพิงกำแพงยื่นหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อดูทิศทางปืนที่ยื่นออกไป ส่วนกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ทั้งสองก็นั่งอยู่ท่าเดิมพลางกดปุ่มเปิดระบบตรวจจับความร้อนของศูนย์กล้องแล้วเล็งปืนเป็นแนวไขว้กัน ในขณะเดียวกัน ในห้องประชุมก็มีการตื่นตระหนกกันบ้าง แต่เป็นเพียงส่วนน้อย และน้อยมากได้แก่ ประธานอภิมุขแห่งสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมซานทินาสผู้เป็นเจ้าบ้าน แต่ก็แค่ร่างกระตุกแบบสะดุ้งเท่านั้นเมื่อได้ยินเสียงปืนปังแรกที่ดังจากภายในอาคาร พยายามเก็บอาการเพราะกลัวเสียหน้า แต่ในขณะเดียวกันเพราะจุดเด่นของเผ่าพันธุ์ที่เธอเป็นทำให้ได้ยินเสียงหัวใจผู้ติดตามที่นั่งอยู่ทางขวาเต้นตูมตาม ...อย่างน้อยก็ไม่ใช่เราคนเดียว... อลิซนึกด้วยความดีใจ เมื่อมองไปยังทุกคนก็ไม่มีใครแสดงอาการอะไรแต่อย่างใดเว้นแต่โรคประจำตัวเท่านั้น ซึ่งได้แสดงออกมาเมื่อประธานาธิบดีโวลก้านำหลอดยาพ่นออกมากดเข้าปากไปหนี่งฟืดสั้นๆ ...ท่านประธานาธิบดีโชมุนเป็นโรคหอบเหรอเนี่ยเพิ่งรู้ แปลว่าคงไม่ต่างไปจากเราเท่าไหร่หรอกมั้ง... ท่านประธานอภิมุขซานทินาสหัวเราะในใจ ส่วนนอกนั้นเห็นจะมีแต่เคร่งขรึมมุ่งความสนใจอยู่ที่การประชุมได้โดยไม่มีการวอกแวก หรืออาจเพราะความเคยชินกับสถานการณ์ก่อนหน้า หรือเพราะเชื่อมั่นในความสามารถของทหารซานทินาส แต่ส่วนมากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในห้องประชุมก็เรื่องหนึ่ง แต่ข้างนอกก็อีกเรื่อง ทุกอย่างในบริเวณมหาวิทยาลัยยกเว้นแต่ห้องประชุมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มีเสียงการสื่อสารด้วยวิทยุดังระงมบรรเลงร่วมกับเสียงปืนที่กำลังยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือดทั้งจากด้านบนและล่าง รวมทั้งจากภายนอก เคอร์ดานและลูซีนแบ่งหน้าที่แยกกันไป โดยเคอร์ดานรับหน้าที่คุมกำลังตำรวจที่รักษาการชั้นบนโดยมีนายตำรวจหลายนายช่วยอยู่ด้วย ส่วนลูซีนตกลงรับผิดชอบชั้นล่าง ทานาทรอสก้าวเท้าขึ้นบันใดมาเกือบจะถึงขั้นบนสุดชะโงกหน้าออกไปนิดหนึ่งก่อนจะโยนระเบิดควันขึ้นไปโดยกะให้กระดอนกับผนังทางขวา จากนั้นอีรีน่าก็ก้าวแซงขึ้นไปยังทางวนแล้วโยนระเบิดมือสาดสะเก็ดเข้าไปในทางเดินเบื้องหน้าก่อนจะรุดขึ้นไปแล้วโยนระเบิดมือสาดสะเก็ดอีกลูกไปทางซ้ายแล้วถอยกลับมาจนถึงขั้นสุดท้ายของชุดบน ระเบิดของทานาทรอสก็ทำงานพอดี จากนั้นวิกเตอร์และชูเน่ก็แซงหน้าขึ้นไปแยกกันยิงคนละทางด้วยปืนลูกซองเหมือนกับทางกลุ่มของโทมัส ส่วนจีแอลสาวอกแบนก็เปิดระบบตรวจจับความร้อนของศูนย์กล้องวิ่งขึ้นบันใดไปแล้วเล็งยิงศัตรูที่อยู่หลังม่านควันไม่เลี้ยง ในขณะเดียวกันทานาทรอสและลูกน้องออร์คของชูเน่ก็รีบรุดขึ้นมาสมทบกับจีแอลจอมอัจฉริยะและหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการ “จัดการพวกมันเสร็จแล้วก็อย่าลืมเอาเก็บกระสุนกับอุปกรณ์เพิ่มด้วยนะ” เสียงใหญ่ๆ ของชูเน่กล่าวกำชับลูกทีมทุกคนขณะกำลังพิงผนังประทับเล็ง “เป็นห่วงพวกกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ที่มากับกลุ่มข้างบนดีกว่า เพราะเรามีกฎกองทัพว่า ห้ามขโมยของจากศัตรูไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ยกเว้นเอกสารสำคัญหรืออะไรทำนองนั้น” วิกเตอร์ว่า “กฎบ้าบออะไรวะ ถ้ากระสุนหมดจะเอาอะไรยิงต่อ” ออร์คลูกน้องเอ่ยแกมหัวเราะอย่างขบขัน “อาวุธของกองทัพเราถ้าไม่ใช้กระสุนเป็นวัตถุต่อให้กดยิงแช่ข้ามชาติกระสุนก็ไม่หมด ตราบใดที่มีโรงไฟฟ้าเคลื่อนที่ เครื่องแปรสภาพพลังงานไม่ผิดปกติ และตัวรับและแปลงพลังงานในปืนแต่ละกระบอกไม่เสีย นั่นทำให้กล่องสรรพาวุธที่เราขนมาด้วยส่วนมากเป็นวัตถุระเบิดและกระสุนพิเศษ นอกนั้นเป็นตัวรับพลังงานสำรองสำหรับอาวุธเบา ซึ่งเหมือนกันหมด”
 
อีรีน่าพูดอธิบายขึ้นเมื่อได้ยินลูกน้องของชูเน่พูดเยาะเย้ยกฎอันสูงส่งของเผ่าพันธุ์ที่สูงส่ง แม้ในใจเธอในตอนนี้กำลังเยาะเย้ยมันอยู่เช่นกัน “นั่นแปลว่าเราแทบจะไม่จำเป็นจะต้องพึ่งอาวุธจากศัตรูเลยตราบใดยังมีอุปกรณ์พวกนี้พร้อมอยู่ และพวกอาวุโสบนโคบัคก็ถือว่าวิทยาการแบบนี้มีแต่ผู้ที่เจริญแล้วจะมีได้ และผู้ที่เจริญแล้วอย่างพวกเรา 3 คนกับอีก 2 คนข้างบนที่โนเบิลแบบพวกเราถือตัวจะต้องใช้แต่เฉพาะของที่ผู้ที่เจริญแล้วอย่างพวกเราทำขึ้นเท่านั้น” วิกเตอร์เสริม “ความจริงต่อให้มีเผ่าพันธุ์ไหนเจริญและสูงส่งกว่าเรา พวกผู้อาวุโสหัวแข็งพวกนั้นก็ถือว่าต่ำต้อยอยู่ดี เพราะพวกนั้นไม่เคยยอมรับใครว่าเจริญกว่าทั้งนั้น แม้ว่าภาพที่ปรากฏออกมามันจะจริงที่สุดก็ตาม เพราะว่าเรามันสูงส่งแต่เกิด” ทานาทรอสเน้นคำว่า “สูงส่ง” ทุกครั้งราวกับจะประชดประชันและตอกย้ำประสบการณ์เกี่ยวกับ ‘ผู้อาวุโสหัวแข็ง’ เมื่อพูดจบทุกคนก็หัวเราะออกมา แม้เหตุการณ์จะชวนตึงเครียดเพราะกำลังยิงต่อสู่กันอยู่ก็ตาม แต่มันก็ชวนขบขันจริงๆ แม้จะเป็นการเสียดสีเผ่าพันธุ์ของตนก็ตาม “นี่พวกรู้กันแค่นี้นะ ว่าฉันนินทาเบื้องสูง” ทานาทรอสว่าต่อด้วยเสียงหัวเราะพลางหลบเปลี่ยนซองกระสุน “แน่นอน ไม่ใช่แค่แกหรอก ฉันกับอีรีน่าก็กำลังจะพูดแบบแกเหมือนกัน ถึงพวกเราจะมาอยู่กับดราก้อนไนท์และร่วมสังคมกับพลเมืองของศัตรูได้ไม่นาน แต่เราก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะ ชาวเอไพด์เมียร์และอาณานิคมส่วนมากของเราไม่ได้ต่ำต้อยอย่างที่พวกเรามอง แต่เป็นเราเองต่างหากที่น่ารังเกียจ สมัยเด็กพ่อแม่ฉันเคยพาฉันไปเที่ยวที่ ‘คีนโนเรีย’...” อัจฉริยะประจำกลุ่มสารภาพอย่างจริงใจ ต่อด้วยการรำลึกอดีตแต่ยังไม่ทันจบ อีรีน่าก็แทรกขึ้นก่อนพร้อมกับหลุดภาษาของตนออกมาว่า “คีนโนเรีย ดาวจอมเวทเหรอ” เนื่องจากถูกเสียงปืนกลบหมดจึงไม่มีใครถือสา เพียงแต่ออร์คหัวหน้ากลุ่มส่งสายตาเตือนมาเท่านั้น ส่วนเจ้าตัวก็สะดุ้งเล็กน้อยอย่างลืมตัว วิกเตอร์พยักหน้าแล้วว่าต่อ “ทีแรกฉันก็นึกดีใจที่มีศักดิ์สูงกว่าคนเหล่านั้น เดินไปไหนมีแต่คนก้มหัวให้ แต่มาถึงตอนนี้ฉันก็ได้รู้ว่าที่พวกเขาก้มหัวให้ไม่ใช่เพราะเคารพหรือยกย่องเรา แต่พวกเขาทำเพื่อหลีกเลี่ยงความบาดหมางและสงคราม พวกเขาถึงได้ยอมจำนนต่อเราโดยดีตอนที่พวกเราไปบุกดาวเขา” “หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ พวกเขาแสร้งทำ เผลอๆ พวกเขาจะเห็นเราไม่มีค่าพอให้เคารพด้วยซ้ำ” ทานาทรอสเสริม ในขณะที่หน่วยจีแอลพลัดหลงกับกองทัพทั้งสามเริ่มจะคุยกันสนุกปากราวกับจะลืมสถานการณ์ปัจจุบันไปแล้วแม้การยิงต่อสู้จะจบลงแล้วก็ตาม ออร์คผู้เป็นลูกน้องก็กระแอมก่อนเอ่ยขัดขึ้นเพื่อย้ำเตือนต่อสิ่งที่เป็นไปในปัจจุบันการณ์ “เฮ่ๆ หยุดคุยกระหนุงกระหนิงกันได้แล้ว ทำงานๆ ยังมีตำรวจและหน่วยรบพิเศษรอต้อนรับเราอยู่ข้างบนอีกนะ” “เรารู้ตัวว่าเราทำอะไร ฟิเดล อย่าห่วงเลย” หน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ทั้งสามตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางเดินแยกกันไปยังศพของตำรวจเพื่อขโมยกระสุน ในขณะที่ฟิเดลไม่พูดตอบอะไรแต่เดินเข้าไปคุยกับชูเน่ ด้านทีมที่ตะลุยฝ่ามาทางชั้นดาดฟ้าเกิดมีปากเสียงกันขึ้นระหว่างหัวหน้าทีมกับลูกทีมชาวโนเบิลทั้งสองเริ่มด้วยเสียงบ่นของเบลเฟกอลว่า “โทมัส นี่คุณคำนวณจำนวนกระสุนมาดีแล้วเหรอ เรามาได้แค่ 3 ชั้นกระสุนใกล้จะหมดแล้วนะ” “ของฉันก็ด้วย เหลืออีก 6 นัดเอง ถ้ากระสุนหมดจะทำยังไงต่อ” เรเวนผสมโรง โทมัสตาเหลือกแทบจะผงะถอยหลังแบบตั้งตัวไม่ติด เขาไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าคำพูดเหล่านั้นจะออกจากปากหน่วยรบพิเศษที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีของเผ่าพันธุ์ที่สูงส่ง ใจหนึ่งก็อยากจะตบกะโหลกให้หน้าทิ่มเพราะความซื่อบื้ออันสูงส่ง (ในมุมมองทั่วไป) แต่ใจหนึ่งก็รั้งร่างกายเอาไว้เพราะอย่างไรตบไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อารมณ์เดือดดาลถูกทำให้เย็นลงแสดงออกมาเป็นการถอนหายใจเบาๆ แต่ยาวจนไม่เป็นที่สังเกต ชายศีรษะล้านแกล้งยิงคำพูดหยั่งเชิงไปว่า “มุขตลกของพวกคุณเจ๋งดีนะ ทำเอาผมเกือบลืมตัวไปเลย” พูดจบก็ตามด้วยเสียงหัวเราะชอบใจที่แสร้งทำในขณะที่แววตากลับเพ่งสังเกตท่าที จีแอลทั้งสองหันมาสบตากันเองเล็กน้อยก่อนที่เรเวนจะว่าตอบอย่างจริงจัง “เราหมายความแบบนั้นจริงๆ” “เฮ้ย!” หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการอุทานเสียงหลงอย่างลืมตัวไปจริงๆ “นี่พวกคุณไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ เหรอ... โอ้ย ตายๆๆ ถามจริงเถอะ เวลาพวกคุณหมดกระสุนกลางสนามรบพวกคุณทำยังไง” น้ำเสียงของโทมัสแทบจะตวาด บัดนี้เขาเริ่มเดือดขึ้นอีกครั้ง “อาวุธของเราแทบจะไม่เคยกระสุนหมดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารราบยิ่งไม่มีเลย”
 
เบลเฟกอลตอบเสียงเรียบๆ อย่างหน้าตาเฉยทำเหมือนยังนึกทางออกเรื่องกระสุนหมดไม่ได้ทำเอาโทมัสจ้องเขม็งเป็นเชิงหาคำตอบ ไม่ใช่เรื่องที่กระสุนปืนของทหารโนเบิลที่ไม่เคยกระสุนหมด แต่เป็นเรื่องทำไมหน่วยรบพิเศษแห่งเผ่าพันธุ์อันสูงส่งถึงได้บื้อขนาดนี้ ซึ่งเรเวนตีโจทย์ผิดจึงเริ่มอธิบายแบบเดียวกับที่อีรีน่าได้อธิบายให้กับกลุ่มของชูเน่ แต่ยังทันได้เข้าเนื้อหาอะไรหัวหน้ากลุ่มก็โบกมือปรามอย่างรำคาญก่อนจะถามต่อห้วนๆ ว่า “อาวุธของพวกคุณไม่มีการกระสุนหมด แล้วยังไงต่อ” เรเวนเงียบในขณะที่เบลเฟกอลเป็นผู้ตอบ “เนื่องจากวิทยาการของพวกเรา พวกเราและเหล่าท่านผู้อาวุโสถือเป็นสิ่งที่มีแต่เผ่าพันธุ์ที่สูงส่งจะมีได้ และเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูง...” “เฮ้ย พอๆๆ ว่ามาตรงๆ เลย” ยังไม่ทันได้พูดจบหัวหน้ากลุ่มก็เอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงแทบจะตะโกนใส่ จีแอลฝ่ายชายเงียบไป ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะพูดถึงกฎห้ามยึด ขโมย หรือเก็บยุทโธปกรณ์หรือสิ่งของใดๆ จากเผ่าพันธุ์ใดๆ ที่ต่ำต้อยกว่า ยกเว้นแต่เป็นวัตถุใดๆ ก็ตามที่มีความสำคัญยิ่งยวด ได้ยินทั้งหมดสมาชิกดราก้อนไนท์ทั้งหมดก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอย่างสามัคคี “เจ๋งเป้งเลยว่ะ” เจมส์พูดประชดกระชากเสียง แต่หน่วยจีแอลทั้งสองกลับซื่อเกินบรรยาย (ในทัศนะของเหล่าดราก้อนไนท์และชาวเอไพด์เมียร์) กล่าวคำขอบคุณเอาดื้อๆ “พวกคุณจะมีกฎบ้าบออะไรก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้พวกคุณไม่ได้อยู่ที่ค่ายหรือเขตของพวกคุณ พวกคุณอยู่ในเขตรับผิดชอบของเรา ช่วยหยุดทำตัวสูงส่งจนกว่าจะมีการเรียกตัวกลับได้รึเปล่า โยนกฎปัญญาอ่อนนั่นทิ้งไปซะ มันทำให้พวกคุณไม่ยืดหยุ่น กระสุนที่ผมเตรียมไว้ให้แต่แรกเป็นแค่ปัจจัยเบื้องต้นให้พวกคุณใช้ฆ่าพวกหน่วยรักษาความปลอดภัย ซึ่งใช้กระสุนแบบเดียวกันหรือขนาดเดียวกัน จากนั้นให้ยึดกระสุนมาใช้เอง แต่ถ้าผมเตรียมแบบให้ยิงถล่มกันได้ทั้งตึกรับรองว่าคนละ 200 นัดก็ไม่พอ ดังนั้นเลิกทำตัวซื่อบื้อได้แล้ว ไปยึดกระสุนของพวกนั้นมาแล้วรีบไปก่อนที่พวกที่เหลือจะวางแผนตั้งรับเราอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้” เป็นการเทศที่แรงและเสียดสีจากหัวหน้ากลุ่มเพราะผสมออกมาจากอารมณ์ขัดเคือง ทำเอาหน่วยรบพิเศษผู้สูงส่งทั้งสองถึงกับผงะก่อนจะกระวีกระวาดรีบแจ้นไปค้นศพเพื่อยึดกระสุนตามคำสั่ง เมื่อกลับมาก็ถูกติอีกรอบเพราะปริมาณที่มากเกินไป เจมส์และเมกุมิเข้ามาปลดกระสุนส่วนเกินออกให้โดยไม่พูดอะไร จากนั้นโทมัสจึงสั่งการเร่งให้เดินหน้าตามแผนต่อ แต่ลูกน้องดาร์คเอลฟ์เอ่ยปรามขึ้นว่า “เฮ้ย เดี๋ยวก่อน!” เจมส์ปรายตามองไปทางชาวโนเบิลทั้งคู่ด้วยสายตาอำมหิตเกิดเสียงขบฟันดังเล็ดลอดออกมาจากช่องปาก คนที่ถูกมองเองก็เริ่มรู้ตัวว่าพวกตนเป็นตัวต้นเหตุ “ม่านหมอกรัตติกาล... มันแน่ๆ เคอร์ดาน อัคคาลมูน... ถ้าท่านผู้เจริญแล้วทั้งสองท่านไม่ได้มาด้วยมันไม่มีโอกาสร่ายมนตร์บทนี้ได้หรอก...” ว่าจบเขาก็หัวเราะออกมากึ่งๆ ชอบใจและชิงชัง “มาเจอกันหน่อย” “ม่านหมอกรัตติกาล เวทมนตร์อะไรไม่เคยได้ยิน” เมกุมิว่าพลางมองเจมส์อย่างฉงน “สมควร เพราะมันเป็นเวทมนตร์โบราณและไม่ค่อยแพร่หลายจนมาถึงปี 2715 ก็เริ่มมีวิทยาลัยเวทมนตร์บางแห่งนำมันมาเปิดสอน นั่นคือ ‘หมอกทมิฬ’ เวทมนตร์บทที่จัดอยู่ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับกลางลงไปมีเกลื่อนกราดสำหรับจอมเวทธาตุมืด ถึงจะระดับสูงก็ยังมีเยอะอยู่ ส่วนระดับยอดฝีมือนับนิ้วเอาได้เลย แต่คนที่พัฒนามันมาเป็นม่านหมอกรัตติกาลได้มีคนเดียว และมันก็เป็นคนตั้งชื่อนี้ด้วย ระดับพื้นฐานแค่สร้างหมอกสีมืดๆ อย่างสีม่วงเข้มหรือดำขึ้นมาบดบังทัศนะวิสัย แต่ก็เหมือนอยู่ในห้องที่มีแสงไฟสลัวๆ ระดับต่ำก็เหมือนกันแต่มีผลทำให้ตัวพร่ามัวเหมือนสายตาสั้น ระดับกลางจะมาเป็นหมอกหนาทึบโดนเข้าไปเหมือนถูกปิดตา ระดับสูงจะไม่ใช่หมอกเข้มๆ แต่อาจเป็นควันจางๆ ถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้หรือถ้ายิ่งกว่านั้นก็จะเรี่ยพื้นมาเลย มีผลคือมันจะอำพรางเสียง ทุกอย่างที่มาจากพวกเดียวกัน ส่วนระดับยอดฝีมือความเข้มจะขนาดไหนไม่สำคัญ แต่มันสำคัญว่ามันอำพรางอะไรบ้าง แต่สำหรับม่านหมอกรัตติกาล สิ่งที่มันทำไม่ใช่การอำพรางอย่างเดียว แต่มันสามารถเล่นกับประสาทสัมผัสบางอย่างของเราได้ด้วย...” เสียงของเจมส์ขาดช่วงไปพลางมองไปยังหน่วยรบพิเศษแห่งเผ่าพันธุ์ผู้เจริญแล้วทั้งสอง “ถ้าพวกคุณเคยโดนเล่นงานด้วยเวทมนตร์บทนี้มาบ้างก็คงจะสงสัยว่าทำไมอุปกรณ์ต้านเวทมนตร์ถึงเอาไม่อยู่ นั่นเพราะมันไม่ได้กระทำพวกคุณทางกายภาพ แต่สิ่งที่มันกระทำคือประสาทสัมผัสของพวกคุณ... ตอนนี้เร่งร้อนไปก็เปล่าประโยชน์ แล้วก็ลืมบอกไป คนที่มีเวทมนตร์ที่สามารถแก้ทางเวทมนตร์ต้นตำหรับของเวทมนตร์บทนี้ได้ทั่วโลกมีอยู่แค่ครึ่งล้านเท่านั้น แต่คนที่สามารถแก้ทางมนตร์บทนี้ได้จริงๆ มีคนเดียว คือ ฉันเอง” “ถ้างั้นก็ลงมือเลยเจมส์ จะบอกว่าไม่เร่งร้อนแต่เวลาเรามีจำกัดนะ” ผู้เร่งคือเมกุมิ แต่เจมส์ก็ออกตัวก่อนแสดงถึงความไม่มั่นใจเต็มที่พลางสบตากับโทมัสเพื่อหยั่งความเห็นจากหัวหน้า “แต่ที่ว่าแก้ได้คือทางทฤษฎีนะ แค่ก่อนสงครามเริ่มเคยลองกับหัวหน้าสมาคมจอมเวทโวลก้า สาขาอิสกาย่า ที่ได้รับการยกย่องอย่างไม่เป็นทางการว่าเป็นสุดยอดจอมเวทสายความมืดที่ไม่ได้เป็นทหาร” “เอาเลยเจมส์ ฉันเชื่อมั่นในตัวแกนะ” โทมัสกล่าวอนุมัติในทันทีพร้อมยกนิ้วหัวแม่มือให้ ลูกน้องดาร์คเอลฟ์ของเขาก็พยักหน้าก่อนนั่งลงขัดสมาธิเริ่มร่ายเวทมนตร์ทันที
 
“ขอวิงวอนต่อองค์เทพแห่งแสงผู้ทรงปัดเป่าความมืดมนทั้งปวงและชี้นำทางสว่างแก่สิ่งมีชีวิตทั้งมวล ขอวิงวอนต่อองค์เทพีแห่งความบริสุทธิ์ผู้ขจัดความโสมมและความหม่นหมองผดุงไว้ซึ่งความเที่ยงแท้ บัดนี้ได้มีความมืดมิดอันทำลายสมดุลกำเนิดขึ้นแล้ว ขอทรงประทานพลังแก่ข้าเพื่อปัดเป่ามันแล้วนำความสมดุลกลับมา... พายุชำระล้าง!” เมื่อการร่ายเวทมนตร์เสร็จสิ้นทุกคนก็ต่างขนลุกตั้งชั้นขึ้นมาทันทีทันใดราวกับมีลมหนาวยะเยือกพัดผ่าน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกปลอดโปร่งเหมือนได้รับความอบอุ่นและอ่อนโยนจากลมหนาวนั้น แม้ภาพที่เห็นจะไม่ได้บ่งบอกอะไรนอกจากความเป็นอยู่ในปัจจุบันของทางเดินในอาคาร ซึ่งเป็นมาตั้งแต่การยิงต่อสู้จบลง ยังคงมีแต่ศพของหน่วยรักษาความปลอดภัย และกลุ่มนักรบร่วมระหว่างดราก้อนไนท์และกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ แต่ในใจนั้นบอกว่ามีบางอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว จอมมหาเวทประจำกลุ่มลุกขึ้นยืนเผยยิ้มออกมาให้เห็นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรียบร้อย ‘ม่านหมอกปิดหูปิดตา’ นั่นไม่มีผลอะไรแล้วทั้งฝ่ายเราและศัตรู และมีข่าวดีว่าเจ้าของเวทมนตร์ม่านหมอกรัตติกาลนั่นไม่รู้เรื่องที่ว่าเวทมนตร์อันแสนภาคภูมิใจของมันถูกคลายฤทธิ์ลงแล้ว” “ไหนๆ ความเร็วของพวกเราก็ตกลงไปเยอะแล้ว พวกมันก็ใจเย็นพอที่จะไม่บุกขึ้นมายิงเรา ยังไงก็ต้องขอบคุณท่านผู้ดีทั้งสองไว้บ้างแล้วกัน ต่อจากนี้เราจะไม่รีบมากจนเกินไป พวกมันเป็นฝ่ายตั้งรับ มีภารกิจมาสกัดเราเท่านั้น และฝ่ายตั้งรับส่วนมากจะไม่รู้ว่าฝ่ายบุกจะมาไม้ไหน ดังนั้นใช้ ‘ยุทธการถ่ายรูปกระชากวิญญาณ’ ไปเลยเจมส์” พูดจบโทมัสก็หัวเราะออกมาให้กับสถานการณ์ที่ทำทีว่าจะร้ายแต่กลายมาเป็นดีเพราะตัวการเดียวกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรเวนและเบลเฟกอลคลายความกระอักกระอวลใจลงเลย แม้น้ำเสียงจะฟังดูจริงใจก็ตาม “โอเค ฟังนะราร์ค ราฟาเซีย หลังจากฉันบอกให้บุกก็ไล่ถล่มให้ไวเลยนะ” เจมส์บอกยิ้มๆ อย่างมีเลศนัย ส่วนจีแอลทั้งสองติดใจอยู่กับคำว่า “ยุทธการถ่ายรูปกระชากวิญญาณ” ทั้งคู่เดาไม่ออกจริงๆ ว่ามันคืออะไร เคอร์ดานนำไรเฟิลซุ่มยิงมากางขาทรายหันกระบอกปืนไปทางบันไดที่กลุ่มปฏิบัติการกบฏจะใช้เป็นทางลงมา หวังจะยิงทุกอย่างที่ไม่ใช่พวกของตนที่โผล่ออกมา ในขณะที่เหล่าตำรวจและทหารอาสาต่างซุ่มหลบอยู่ในห้องทุกห้องตลอดทางเดิน ซูเปอร์โซลเจอร์เอลฟ์หนุ่มมีท่าทีมั่นใจเต็มเปี่ยม เพราะม่านหมอกรัตติกาลที่ตนได้ลงเอาไว้ ซึ่งจะไม่มีอะไรสามารถมองเห็นและได้ยินเสียงจากพวกของตัวเองได้ เขาเฝ้ารออย่างใจเย็น นิ้วชี้ขวาสอดเข้าโก่งไกพร้อมจะเหนี่ยวได้ทุกเมื่อ ส่วนมือซ้ายก็ประคองพานท้ายเอาไว้ ตามองศูนย์กล้องไม่กระพริบ จนกระทั่งสิ่งที่เขาเฝ้ารอก็มาถึง มีฝ่ามือสีเทาอมน้ำเงินเข้มกำลูกบอลสีขาวสว่างไสว แสงของมันสาดส่องไปทั่วบริเวณราวกับดวงตะวัน ด้วยความตกใจเขาจึงเหนี่ยวไกลั่นกระสุนออกไป ทำให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต้องออกจากที่ซ่อน หัวกระสุนพุ่งผ่านหว่างนิ้วระหว่างนิ้วกลางกับนิ้วนางไปอย่างพอดิบพอดีจนเจ้าของมือก็กระตุกกลับด้วยความตกใจยิ่งกว่า ส่วนลูกบอลเวทมนตร์ก็ลอยออกไปจากฝ่ามือได้ระยะหนึ่งมันก็แยกตัวจากกันแล้วพุ่งไปคนละทิศคนละทาง ส่วนเคอร์ดานนั้นยังไม่ทันที่คำสบถจะออกจากปากเขาก็ปล่อยมือจากปืนผลักตัวลุกขึ้นแล้วพุ่งหลบสุดชีวิตเข้าไปในห้องที่ใกล้ที่สุด แต่มันก็สายเกินไป ชิ้นส่วนของลูกบอลระเบิดออกแบบไม่มีเสียงแต่มีแสงสีขาวบริสุทธิ์สาดส่องไปทั่วบริเวณสว่างยิ่งกว่าตอนเป็นลูกบอล แม้จะแค่แวบเดียวแต่ก็ทำเอาทุกคนที่โดนถึงกับครางกันระงม ทั้งตกใจ ทั้งทรมาน เคอร์ดานเองก็ไม่พ้น ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือแสงสว่างวาบจากนั้นก็มืดลงราวกับถูกปิดตาตอนกลางคืนไร้ซึ่งแสงจันทร์ด้วยถุงสีดำ พร้อมด้วยอาการปวดตาอย่างรุนแรง เขารู้ว่าต้องเกิดหายนะขึ้นแน่ๆ เกราะเวทมนตร์จึงถูกกางหุ้มทั้งร่างทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “บุก บุก บุก” สิ้นเสียงก็ตามด้วยเสียงเท้าหลายคู่ย่ำลงมาจากบันไดอย่างเร็วก่อนตามด้วยเสียงปืนลูกซองดังระงม แล้วเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่กลางแผ่นหลังเหมือนถูกกระทุ้งด้วยแท่งโลหะหลายแท่งพร้อมๆ กัน ...ปืนลูกซอง ระยะไม่ถึง 3 เมตร... เคอร์ดานนึกออกแค่นั้น ไม่ว่าใครยิงเขาก็ตามแต่สิ่งที่นึกออกตามมาในเสี้ยววินาทีคือใช้เวทมนตร์บทง่ายๆ หลอกตาศัตรู ซึ่งก็คือแผลเทียมที่เสมือนจริงยิ่งกว่าการแต่งแต้ม เสียงปืนพากันเงียบไป จากความมืดกลายเป็นความพร่ามัว ลมหายใจติดขัดเพราะความเจ็บปวดทำให้ต้องหายใจแรง เขารีบร่ายเวทรักษาดวงตาของเขาทันที “สถิตจันทร์แดง” เคอร์ดานพึมพำออกมา อาการเจ็บจากปืนลูกซองนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง แต่ดวงตาของเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายจากอาการพร่ามัวทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งฟื้นฟูดวงตาไปพลางนั่งนึกอะไรไปตามข้อสงสัย ...สถิตจันทร์แดงรักษาไม่ได้ ม่านหมอกรัตติกาลถูกหักล้างโดยสิ้นเชิง เวทมนตร์ธาตุแสง... เวทมนตร์ธาตุแสงระดับสูง ไม่ใช่คงจะระดับยอดฝีมือเลย... มือนั่น ดาร์คเอลฟ์... ดาร์คเอลฟ์ที่ฉีกกฎจอมเวทเรื่องข้อจำกัดของดาร์คเอลฟ์ที่มีต่อเวทมนตร์ธาตุแสง... มีสองคน คนหนึ่งตายไปแล้ว ส่วนอีกคน... โธ่โว้ย!! ขอให้อย่าใช่เลย ขอให้มีคนที่สามเถอะ... หวังว่าแกคงไม่ได้เข้าร่วมกับพวกดราก้อนไนท์นะไอ่เกลอ เจมส์ แม็กนัส...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา