COS -A- ~มหาศึกศิลาเทวาสุริยัน~

8.0

เขียนโดย ECOS

วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11.08 น.

  8 chapter
  12 วิจารณ์
  17.69K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) [CHAPTER III] : ตัวเชแชงก์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
COS -A-
Crystals Of Solaris –the Alternative-    
 
Chapter III: ตัวเชแชงก์

            ประตูห้องปิดลงเบาๆ ทั้งเซเลสและไมร่านั่งหันหน้าเข้าหากันในห้องพักของเธอแบบเดียวกันกับเมื่อวาน
 
            “ไม่นึกว่าจะมาเร็วขนาดนี้ ได้ไปคุยกับพ่อแม่ของเธอแล้วหรือคะ?” ไมร่าเริ่มด้วยคำถาม
 
            เขาเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้าง “ยังหรอกครับ เมื่อคืนผมกลับไปคิดอะไรหลายอย่าง แต่ว่ายังคิดไม่ออกหมดเพราะว่าขาดข้อมูลน่ะครับ เลยมาขอความช่วยเหลือเรื่องนี้หน่อย” เซเลสสูดหายใจแล้วก็เริ่มพูด “งั้นผมจะเล่าสิ่งที่ผมคิดก่อนเลยละกันนะครับ”
 
            ไมร่าเอนตัวไปพิงเก้าอี้ “ค่ะ ว่ามาได้เลย”
 
            “ขอบอกอีกครั้งว่าผมยังไม่ได้ไปถามพ่อแม่ของเธอหรอกครับ เพราะผมคิดได้ว่า มันไม่น่าจะช่วยอะไร ... เอ ... ผมเริ่มตรงนี้ดีกว่า สำหรับเมื่อวานต้องขอบคุณคำใบ้ของคุณไมร่ามากๆเลย ผมเลยคิดอะไรได้อีกเยอะ เท่าที่ผมนึกออก มีอยู่สามวิธีที่อาจจะทำให้พ่อแม่ของเธออนุญาตให้เธอออกนอกหมู่บ้านไปได้” เขาชูนิ้วชี้ขึ้นมา “วิธีแรกก็คือให้ผมพยายามเกลี้ยกล่อมทางพ่อแม่ของเธอให้ยอมอนุญาต และยอมออกจากหมู่บ้านไปกับผม แต่แน่นอน ผมเองเพิ่งฟื้นได้แค่สองวัน แถมยังเสียความทรงจำไปซะอีก หัวนอนปลายเท้าก็ไม่มีใครรู้จัก ตัวผมเองจึงไม่มีอะไรเลยที่จะไปโน้มน้าวทางบ้านให้อนุญาตได้ ประเด็นนี้ตัดไปได้เลย”
 
            ไมร่าพยักหน้ารับ และเขาก็ยกสองนิ้วขึ้นมาเตรียมพูดต่อ “วิธีที่สอง ก็คือให้ผมไปตีสนิท ช่วยงาน หรือทำอะไรบางอย่างในหมู่บ้านให้เป็นที่รู้จักซักหน่อย แล้วก็พยายามชักชวนให้คนในหมู่บ้านช่วยเรื่องขออนุญาต แต่ว่ากว่าจะทำแบบนี้ได้คงต้องใช้เวลานานเป็นเดือนๆเลยทีเดียว แถมผมเองประพฤติตัวไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านซะด้วย อาจจะโดนมองเป็นคนเพี้ยนๆอีกต่างหาก ก็เลยตัดประเด็นนี้ออกไปได้อีก”
 
            “แล้ววิธีสุดท้ายล่ะคะ” เธอถามอย่างใคร่รู้
 
            “ครับ วิธีสุดท้าย มีส่วนคล้ายวิธีที่สอง แต่เร็วกว่ากันเยอะ โดยให้เธอเอง...“ และเขาก็เน้นเสียงหนัก “แสดงความสามารถครับ” เสียงลดระดับเป็นปกติ “ต้องมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอสามารถแสดงความสามารถให้คนในหมู่บ้าน หรือรวมถึงพ่อแม่ของเธอได้เห็นว่า เธอนั้นเหมาะต่อการรับใช้ราชอาณาจักร และเป็นบุคลากรที่ควรเอาดีทางด้านนั้น”
 
            “อื้ม ดีเลยค่ะ เป็นวิธีที่ใช้ได้เลยล่ะ งั้นแสดงว่าสิ่งที่เธอจะมาถามชั้นก็คือ...” เธอดูจะเห็นด้วยกับวิธีการของเขามาก
 
            “ครับใช่แล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่าซินเธียมีความสามารถอะไร แล้วก็เรื่องการสอบเข้าเป็นทหารประจำอาณาจักรเค้าทำกันยังไง”
 
            “ดาบค่ะ” เธอพูดขึ้นมาเกือบจะทันที “เธอกับพี่เธอ ไซเลส ทั้งคู่ชำนาญการใช้ดาบสองมือ แม้ว่าเธอเองจะยังไม่เคยต่อสู้จริงๆซักครั้ง แต่ว่าชั้นเคยเห็นฝีมือเธอตอนซ้อมดาบค่ะ ฝีมือเธออยู่ในระดับยอดเยี่ยมเลยล่ะ”
 
            “อ่า ดีจังที่เธอมีความสามารถสูงอยู่แล้ว แต่ว่า...” เขานึก ‘ดาบ แปลกดีจริง อาวุธโบราณขนาดนี้เชียวรึเนี่ย’

             “แต่อะไรหรือคะ?...” เธอถามอย่างสงสัย
 
            “เอ้อ เปล่าครับ ไม่มีอะไร งั้นแสดงว่าเราต้องทำให้คนในหมู่บ้านเธอเห็นฝีมือการใช้ดาบของเธอสินะครับเนี่ย” เขาชูประเด็นขึ้นมา
 
            “ค่ะ ก็ใช่อยู่นะ แต่ว่าจะทำยังไงดี” เธอหยุดคิดอยู่พักหนึ่ง “การประลองดีมั้ยคะ” เธอเสนอขึ้น
 
            เซเลสคิดอยู่ครู่เล็กๆ “ไม่ไหวหรอกครับ การประลองต้องใช้อาสาสมัครหลายคน แถมต้องมีเวที และเงินทุนอีกมากอยู่ แบบนี้ต้องใช้เวลานานไม่ใช่น้อย แถมมันจะดูแปลกๆด้วยล่ะครับ ไม่แน่ทางบ้านเธออาจไม่อนุญาตให้เธอลงแข่งอีกต่างหาก”
 
            เธอพยักหน้ารับ “นั่นสิคะ แล้วจะเอาแบบไหนดีน้า~”
 
            “ผมพอคิดออกแล้วล่ะ จัดฉากไงครับ” เขาโพล่งขึ้นมา
 
            “จัดฉาก? ช่วยอธิบายเพิ่มทีค่ะ” เธอถามอย่างสงสัย
 
            “ก็คือ เราทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรซักอย่างที่เธอจำเป็นต้องงัดความสามารถมาใช้ แบบฉุกละหุกหน่อยก็ดี เพื่อจะได้ให้เธอแสดงทั้งความสามารถและการแก้ปัญหาได้อย่างเต็มที่เลย” เขาดูจะชื่นชอบแนวคิดนี้มากทีเดียว
 
            “ออกจะเป็นวิธีที่แปลกอยู่เหมือนกันนะคะ แบบนี้จะไม่ทำให้เธอหรือคนในหมู่บ้านบาดเจ็บรึคะ? มันอันตรายเกินไปรึเปล่า” เธอแนะให้
 
            “โฮโลแกรมไงครับ หรือการจำลองภาพซักวิธีนึง” เขาพูดอย่างมั่นใจ แต่ดูเหมือนไมร่าจะไม่เข้าใจที่เขาพูดเลย หน้าเธอแฝงด้วยความไม่เข้าใจอย่างมาก และเขาก็นึกขึ้นได้ ‘ตายล่ะ ที่นี่ไม่มีเทคโนโลยีนี่นา เป็นไปได้ว่าไม่รู้จักคำนี้เลยด้วยซ้ำไป’ เขารีบแก้ลำทันที “อ่ะ คือไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่จำลองสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นเท่านั้นเองครับ” ในเมื่อเขาเพิ่งรู้ตัวว่าโลกนี้เหมือนจะไม่มีเทคโนโลยี ระหว่างรอการตอบโต้จากไมร่า เขารีบพยายามคิดหาคำอธิบายและแผนการณ์ใหม่อย่างร้อนรน
 
            “ค่ะ แต่ชั้นสงสัยอย่างนึง ที่บอกว่าฉุกเฉินเนี่ย อืม...ชั้นพอเข้าใจอยู่นะคะ แต่ว่าการสร้างสถานการณ์ลักษณะแบบนั้นก็เหมือนวิธีที่สองนี่นา ต้องใช้ทุน วัสดุ และอาจใช้เวลาอีกด้วยนะคะ” เธอขมวดคิ้วถาม
 
            “ครับๆ” เขาตอบรับทันที “คือผมคิดว่าแบบนี้นะ...” เขาโน้มตัวเข้ามา เธอก็เช่นกัน แต่เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไร เกือบครึ่งนาทีที่ห้องพักของเธอเงียบเชียบ เขายังคงเค้นความคิดเต็มที่เพื่อตอบรับ และทันใดนั้น ความคิดที่ดูเหมือนจะใช้ได้ก็วิ่งเข้ามา
 
            “เหตุร้ายครับ การต่อสู้กับใครซักคน หรือการบุกของสัตว์ร้ายก็ได้!” เขาโพล่งขึ้นมา และเขาก็รู้สึกตัวอีกครั้งในคำพูดที่เขาพูดไป ‘ซวยล่ะสิ เราพูดไปมีแต่เรื่องร้ายๆทั้งนั้นเลย เธอเป็นนักบุญแล้วเราพูดแบบนี้ออกไปได้ยังไงเนี่ย โดนว่าแน่ๆ’ เขาตีหน้าเครียด แล้วก็ค่อยๆชายตาไปมองเธอ
 
            หน้าเธอดูนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยอย่างตื่นเต้นด้วยแววตาเป็นประกาย “จริงด้วย วิธีแบบนี้ก็มีด้วยนี่นา เยี่ยมไปเลยล่ะค่ะ”
 
            เขาอึ้งกับการตอบรับเหนือคาดแบบนี้ และถามออกไปอย่างสุภาพ “เอ่อ คุณไมร่าไม่ว่าผมว่าคิดอะไรไม่เหมาะสมหรือครับเนี่ย”
 
            เธอยิ้มร่า “ไม่หรอกค่ะ เป็นความคิดที่ดีออกจะตายไป” เธอค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ และลดเสียงเบาลงจนเป็นเสียงกระซิบ “ชั้นเองไม่ใช่คนที่ทำตามระเบียบของสำนักศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์นักหรอกค่ะ บางครั้งต้องทำอะไรที่อยู่นอกเหนือคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าก็มีบ้างค่ะ อ๊ะ แล้วก็เรื่องนี้เป็นความลับนะคะ ชั้นเองเป็นนักบุญเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ไถ่บาปให้ตัวเอง ไม่ใช่เพื่อบูชาเทพเจ้าหรือทำพิธีกรรมทางศาสนาหรอกค่ะ”
 
            เขาเออออด้วยเป็นอย่างดี อย่างน้อยเซเลสก็พบคนที่สามารถคุยได้อย่างอิสระมากขึ้นในเรื่องต่างๆ “ครับ งั้น... วิธีของเราคือสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา ทีนี้เอายังไงต่อดี จัดฉากให้เกิดอะไรดีล่ะครับเนี่ย”
 
            ไมร่าเบ้ปาก “ชั้นนึกไม่ออกเลยล่ะค่ะ การจะทำอะไรแบบนั้นยากอยู่ทีเดียวค่ะ”
 
            “เพราะว่า?” น้ำเสียงเซเลสแสดงความสงสัย
 
            “หมู่บ้านเซริกเป็นหมู่บ้านชายแดนของราชอาณาจักร ถึงไม่ใช่ทางผ่านหรือเส้นทางบุกสำคัญของอาณาจักรอริก็ตาม ทั่วหมู่บ้านจะมีการจัดทหารและอาสาสมัครดูแลหมู่บ้านหลายสิบคนค่ะ การจะทำอะไรข้างใน ยิ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักจะลำบากออกซักหน่อย” เธออธิบาย
 
            “อ้อ แบบนี้นี่เอง ถ้างั้นทางออกคือต้องจัดฉากนอกหมู่บ้านสินะครับ” เขาเสนอ
 
            “ยากอยู่ดีค่ะ เพราะถ้าเหตุเกิดอยู่ไกล ซินเธียจะไม่สามารถออกไปทำอะไรได้เลย นอกหมู่บ้านต้องมีคนคอยคุมเข้า-ออกอยู่เสมอ แล้วก็ยังมีกองกำลังป้องกันหมู่บ้านอย่างที่ว่า เข้าระงับเหตุก่อนอยู่ดี” เธอแย้งพร้อมอธิบายเหตุผล
 
            “อืมมม” เขาครุ่นคิด แล้วก็เสนอแนวคิดขึ้นมาอีก “เป็นแค่ความคิดนะครับ ในเมื่อทำในหมู่บ้านไม่ได้ตั้งแต่แรก ทำนอกหมู่บ้านก็ไม่ถึงตัวเธอ งั้นเราก็ทำนอกหมู่บ้าน แล้วลากเหตุการณ์นั้นมาหาเธอในหมู่บ้านแทน”
 
            “หมายถึงอะ...” เธอสงสัย แต่ยังไม่ได้ทันได้ถามจนจบ เซเลสก็พูดความคิดของเขาต่อ
 
            “การจะทำให้เหตุการณ์เคลื่อนที่ได้คงไม่สามารถทำเป็นอุบัติเหตุหรือภัยธรรมชาติจำลองได้ ดังนั้นเหลือทางเลือกเดียว คือการต่อสู้กับสิ่งมีชิวิตหรือคน เพราะสามารถคุกคามและเคลื่อนที่ได้เร็ว... น่ะครับ” เขาทิ้งท้ายด้วยความไม่แน่ใจ มันดูจะอันตรายทีเดียว “ซินเธียเธอมีความสามารถพอที่จะปกป้องตัวเองและคนรอบข้างหรือเปล่าครับเมื่อเจออะไรแบบนั้น” เขาจริงจังกับคำถามพอสมควร
 
            “จากที่ชั้นรู้ ไม่น่ามีปัญหาค่ะ ฝีมือดาบของเธอใช้ได้ดี” เธอตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “ขอชั้นนึกถึงมอนสเตอร์แถวนี้ก่อนนะคะ” เธอเอียงคอไปทางหน้าต่าง และครุ่นคิด
 
            “เอ๋ มอนสเตอร์รึครับ?” เซเลสโพล่งขึ้นมา
 
            “ค่ะ สิ่งมีชีวิตจากเทพผู้สร้าง มอนสเตอร์ ถ้าคุณเสียความทรงจำเรื่องนี้ไปด้วย มอนสเตอร์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างและขนาดต่างๆกันไป แต่ละชนิดมีความสามารถและการโจมตีเฉพาะแบบ แถวหมู่บ้านเราก็มีอยู่หลายชนิดพอควรค่ะ” เธออธิบาย
 
            เขาพยักหน้ารับนิดๆ แต่ยังคงสงสัยว่าทำไมเธอใช้มอนสเตอร์แทนที่จะเป็นคน ระหว่างที่เขาครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยถึงคำว่ามอนสเตอร์ ไมร่าเองก็เหมือนจะนึกอะไรออกแล้ว
 
            “อาจจะดีก็ได้ เสี่ยงอยู่เหมือนกันแฮะ” เธอพูดลอยๆ
 
            “อะไรหรือครับไมร่า” เขาถามออกไปลอยๆเช่นกัน
 
            “มอนสเตอร์ป่า เชแชงก์ ค่ะ”
 
......................................................................................................
 
            ไมร่าและเซเลสเดินลัดเลาะไปตามทางเดินที่มีต้นไม้ประปรายจากด้านหลังของโบสถ์ ประตูทางออกของหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลนัก มันเป็นประตูไม้หนาใหญ่โต สูงหลายเมตร ตั้งตระหง่านอยู่พร้อมกับกำแพงหินที่เป็นเขตแดนของหมู่บ้านยาวไปทั้งสองด้านสุดลูกหูลูกตา ดอกไม้และแมลงแปลกประหลาดหลายชนิดมีให้เห็นอยู่เนืองๆ ไมร่าเดินประกบมือไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อย ส่วนเซเลสก็เดินมองซ้ายมองขวาไม่หยุดอย่างเคย
 
            “ก่อนออกจากหมู่บ้านไป ขอให้อย่าเพิ่งพูดอะไรนะคะ ชั้นจัดการเองค่ะ” เธอหันมาพูด
 
            “ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ และเดินตามเธอไปไม่ห่าง
 
            “สวัสดีครับท่านนักบุญ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ยามเฝ้าทางออกคนหนึ่งถามขึ้น และทั้งสี่คนตรงนั้นโค้งให้เธอ
 
            เธอโค้งตอบอย่างสุภาพ และเอ่ยขึ้นอย่างเรียบร้อย “ค่ะ ชั้นพาคนที่ต้องรับการรักษาออกมาจากเซนต์มิสทริก มีสมุนไพรที่ต้องไปเอาจากในป่าค่ะ พอดีว่ามันเป็นสมุนไพรที่ต้องปรุงทันที เลยต้องพาท่านนี้ออกมาด้วยน่ะค่ะ” เธอผายมือไปที่เซเลส
 
            “สมุนไพรอะไรหรือครับ เมื่อครู่หน่วยสมุนไพรเพิ่งเก็บพืชมา อาจจะยังมีสดอยู่ก็ได้” ยามอีกคนเอ่ยขึ้น
 
            “เฮอร์บลัสค่ะ มีหรือเปล่าคะ” เธอถามไปอย่างสุภาพ
 
            “โห สมุนไพรหายากเสียด้วย หน่วยเก็บไม่ได้เก็บมาหรอกครับ” เขาตอบกลับมา
 
            “ค่ะ ไม่เป็นไร ชั้นออกไปหาเองได้ค่ะ ดิชั้น เชียกา ไมร่า นักบุญสายรักษาและการแพทย์ระดับ 4 ค่ะ” เธอแนะนำตัวเอง
 
            ทั้งสี่คนโค้งให้เธออีกรอบ ดูเหมือนเธอจะมีฐานะในโบสถ์อยู่ไม่น้อย ทั้งสี่หมุนกว้านเลื่อนประตูให้เปิดแง้มออกด้านหนึ่ง
 
            “เชิญครับท่านนักบุญ เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ” ทั้งสี่พูดเกือบจะพร้อมกัน
 
            “ขอบคุณมากค่ะทุกท่าน” เธอโค้งและเดินอย่างช้าๆออกไป เซเลสก็เช่นกัน
 
            ประตูปิดลง ทั้งคู่ข้ามทางเดินรอบหมู่บ้านไปยังป่า สภาพในป่าแตกต่างจากสวนดอกไม้ในเมืองมากทีเดียว เถาวัลย์ ต้นไม้สูงใหญ่ เศษใบไม้หลากสีและกิ่งก้านของต้นไม้มากมายทำให้ในนั้นชื้นและสลัวพอดู แม้จะเป็นกลางวันก็ตาม ไมร่าเดินนำเขาไปเรื่อยๆผ่านร่องรอยเล็กๆที่พวกคนเดินป่าทิ้งเอาไว้
 
            “โทษนะครับไมร่า ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากก้มหลบกิ่งไม้ใหญ่กิ่งหนึ่ง
 
            “คะ? มีอะไรหรอ” เธอตอบรับโดยไม่ได้หันกลับมา ทั้งคู่ยังเดินลัดเลี้ยวผ่านป่าต่อไป
 
            “เอ่อ ไมร่าครับ นักบุญ ระดับ 4 นั่นหมายถึงอะไรหรือครับ”
 
            “มันเป็นระดับการสอบน่ะค่ะ นักบุญแต่ละคนต้องได้รับการทดสอบทั้งในเรื่องบทสวด การบำบัด และความสามารถในด้านต่างๆ ก่อนจะมาประจำตามโบสถ์และช่วยเหลือคนได้ค่ะ ของราชอาณาจักรเรามีอยู่ทั้งหมด 7 ระดับค่ะ” เธอบรรยายไป
 
            “แบบนี้นี่เอง แล้วคนในโบสถ์มิสทริกแต่ละคนเป็นยังไงกันบ้างครับ เรื่องระดับพวกนี้” เขาถามไปลอยๆ
 
            เธอเงียบอยู่พักนึง ทั้งคู่เดินเลี้ยวหลบไม้หนามต้นใหญ่ และเธอก็ตอบกลับมา “ส่วนใหญ่เป็นระดับ 1 และ 2 ค่ะ ส่วนท่านหัวหน้านักบุญเมโร เป็นนักบุญสายพิธีการระดับ 4 ค่ะ”
 
            “โอโห แบบนี้ไมร่าก็ระดับสูงที่สุดในโบสถ์เท่าๆกับหัวหน้านักบุญเลยสิครับเนี่ย” เขาตอบรับอย่างตื่นเต้น “งั้นที่จริงไมร่าเองก็เป็นหัวหน้านักบุญในโบสถ์อื่นได้เลยสิครับแบบนี้?” เขาถามต่อไป
 
            “ค่ะ ก็ใช่อยู่ แต่ว่าชั้นเพิ่งเข้ารับใช้ศาสนจักรแห่งราชอาณาจักรได้แค่สองปีเอง เลยยังไม่ได้เป็นหัวหน้าหรอกค่ะ แล้วชั้นเองก็เลือกมาอยู่ที่นี่ด้วย” เธอตอบ
 
            “ครับ ทำไมถึงได้มาที่หมู่บ้านชายแดนล่ะครับ อยู่ใกล้ใจกลางอาณาจักรอาจจะรุ่งกว่าก็ได้นะครับ” เขาแนะเล่นๆ
 
            “ก็มีหลายเหตุผลนะคะ อากาศดี ผู้คนก็ดี ชั้นไม่ชอบการแข่งขันในการเมืองของอาณาจักรน่ะค่ะ ขนาดศาสนจักรเองก็ยังมีเลย”
 
            เขาตอบรับเรียบๆไป ตอนนี้ทั้งคู่ดูจะมาถึงตีนเขาลูกที่เซเลสมองเห็นจากหน้าต่างบ้านของซินเธียเมื่อวาน ทั้งคู่เดินผ่านทางชันเล็กน้อยไปอีกระยะ ก็พบกับทุ่งหญ้าโล่งๆ มีต้นไม้ประปรายไม่หนาแน่นเหมือนในป่าก่อนหน้า เมื่อหันหลังกลับไป กำแพงหมู่บ้านสีเนื้ออมส้มมองเห็นได้เด่นชัด หลังคาเหลี่ยมสีแดงของโบสถ์เซนต์มิสทริกตั้งตระหง่านอยู่ มันยังคงดูใหญ่โต เขาชื่นชมทัศนียภาพอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ไมร่าจะกวักมือเรียกเขาไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไกลออกไปไม่มากนัก
 
            เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นไม้ต้นนั้น เขาก็พบกับสัตว์รูปร่างแปลกตาสีส้มเหลืองตัวหนึ่ง เมื่อค่อยๆกวาดสายตาไปก็พบพวกมันอีกหลายตัว มันเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายหนูทะเลทรายตัวใหญ่ ตัวสูงกว่าหัวเข่าเล็กน้อย ลำตัวยาวราวหนึ่งเมตรเศษ ยืนสี่ขา ตลอดหลังคอไปจนถึงปลายหางปกคลุมด้วยเกล็ดขนาดใหญ่จนดูเหมือนเป็นหนามที่พับลู่ไปทางหางของมัน หัวรีๆขนาดลูกตะกร้อของมันมีลายสีแดงพาดจากใต้ตาไปถึงคอ ตากลมๆรูปวอลนัทที่ดูจะเป็นมิตรจ้องอยู่กับเขา
 
            “เอ่อ นี่หรือครับ มอนสเตอร์ที่ว่า” เขาค่อยๆยื่นมือแบบกล้าๆกลัวๆเพื่อจะลูบหัวพวกมัน แต่ทันทีที่ทำเช่นนั้น มันก็รีบหดหัวและม้วนตัวแน่น กลายเป็นเหมือนก้อนหินหนามกลมๆ เซเลสตกใจจนรีบหดมือกลับ ก้อนกลมนั่นยังคงม้วนตัวแน่นอยู่แบบนั้น
 
            “อ๊ะ ระวังด้วยนะคะ มันขี้อายพอดูทีเดียวล่ะค่ะ เจ้าพวกนี้คือตัวเชแชงที่ชั้นพูดถึง โดยพื้นฐานแล้วพวกมันแกร่งที่สุดในบรรดามอนสเตอร์ละแวกนี้ แต่ก็ไม่น่าจะเกินกว่าฝีมือของซินเธียไปได้” เธอนั่งชันเข่า ลูบหัวตัวเชแชงก์ที่อยู่ใกล้ๆตัวหนึ่งอยู่
 
            “ครับ เอ่อ ว่าแต่ไมร่าเองคุ้นเคยกับพวกมันดีจังเลยนะครับ” เชแชงก์ข้างหน้าเขายังม้วนตัวกลมอยู่
 
            เธอค่อยๆลุกมาหาเขา และยื่นของคล้ายๆขนมปังก้อนขนาดพอดีมือมาให้เขา กลิ่นค่อนข้างเข้มของมันคล้ายกลิ่นชีส ทันใดนั้นตัวเชแชงก์ที่ม้วนตัวอยู่เหมือนจะเริ่มคล้ายตัว
 
            “ขนมปังอบพิเศษค่ะ เมื่อกี้ชั้นเพิ่งโรยผงสกัดจากดอกริริก มันทำให้กลิ่นเป็นแบบนี้ แล้วก็เพิ่มรสมันๆด้วยล่ะค่ะ พวกเชแชงก์ชอบนักเลยล่ะ” เธอยื่นขนมปังอันหนึ่งให้เขา
 
            เซเลสรับมันจากเธอมา กลิ่นของมันหอมจนเขาอยากจะลองชิมดูเองสักชิ้น แต่เมื่อเขามองลงไป ตัวเชแชงก์เมื่อครู่ก็ยืนเงยหน้ามาหาเขา แววตามันทำให้เขารู้ถึงสิ่งที่มันต้องการได้ทันที เขาจึงฉีกขนมปังและค่อยๆยื่นให้กับมัน มอนสเตอร์ตัวนั้นดูกล้าๆกลัวๆนิดหน่อย แต่มันก็งับชิ้นขนมปังไปกินอย่างเอร็ดอร่อย แค่แป๊บเดียวมันก็เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อขอชิ้นต่อไป
 
            เซเลสดูจะชอบอยู่ไม่น้อย เขาเดินให้อาหารเชแชงก์ตัวแล้วตัวเล่าอย่างมีความสุข มอนสเตอร์ฝูงนี้ดูจะปรับตัวเข้าหาคนได้เป็นอย่างดี หลังจากเซเลสไปถึงไม่กี่สิบนาที ทั้งหมดก็ยอมให้เขาจับต้องตัวและลูบหัวได้อย่างเป็นปกติ
 
            “น่ารักจังเลยนะครับ พวกนี้เป็นมอนสเตอร์ที่เก่งกาจจริงๆหรือครับเนี่ย” เซเลสเดินไปนั่งใต้ต้นไม้บนหินก้อนใหญ่ข้างๆเธอ ล้อมรอบด้วยตัวเชแชงก์เป็นโหลที่มารุมล้อมเพื่อรออาหาร
 
            เธอเหลือขนมปังอีกสองก้อนพอดี ทั้งคู่ผลัดกันแจกจ่ายอาหารให้ตัวโน้นทีตัวนี้ทีอย่างพออกพอใจ “ค่ะ เก่งที่สุดเลยล่ะ พวกเชแชงก์มีทั้งการป้องกันที่ดี แล้วก็โจมตีได้รุนแรงด้วย”
 
            “แย่เหมือนกันแฮะ ที่จะต้องทำให้มอนสเตอร์น่ารักแบบนี้บุกเข้าไปในหมู่บ้าน” เขาพูดอย่างเห็นใจ
 
            “จริงด้วย ชั้นลืมบอกไปเลยค่ะ” เธอหันมาหาเขา “เจ้าเชแชงก์เนี่ย มันเป็นมอนสเตอร์ที่ขี้อายและรักสงบ พวกมันแทบไม่เคยมีประวัติทำร้ายคนเลย ดังนั้นยามหมู่บ้านและชาวบ้านเลยปล่อยให้มันเป็นมอนสเตอร์หนึ่งในน้อยชนิดที่เข้าไปหาอาหารใกล้กำแพงหมู่บ้านได้ จากที่ว่ามา ทำให้เจ้าเชแชงก์น่าจะเป็นมอนสเตอร์ที่น่าจะเชื่อมเข้าไปยังหมู่บ้านได้ง่ายที่สุดน่ะค่ะ”
 
            “งั้นแสดงว่าผมต้องทำให้มันก้าวร้าวรึครับเนี่ย ไม่ใช่ง่ายๆเลย” เขาบ่น ทั้งคู่ยังให้อาหารเชแชงก์ต่อไป
 
            “ค่ะใช่แล้ว และชั้นก็... ขอให้คุณทำอย่างระมัดระวังที่สุดนะคะ ถ้าชั้นช่วยอะไรได้จะทำเต็มที่เลยค่ะ ชั้นเองก็ไม่อยากให้ทั้งเชแชงก์ ซินเธีย แล้วก็คนในหมู่บ้านบาดเจ็บเลย ถึงชั้นจะรักษาได้บ้างก็เถอะ” เธอกำชับและแนะให้
 
            “ครับแน่นอน ผมจะทำให้รัดกุมที่สุด แต่ก่อนอื่นเลย ผมต้องวางแผนให้ดีซะก่อน ดังนั้นผมก็มีเรื่องที่จะต้องขอร้องแล้วล่ะครับ” เขาให้ขนมปังชิ้นสุดท้ายกับเชแชงก์ไปเรียบร้อย
 
            “ค่ะ มีอะไรให้ช่วยหรือคะ” ไมร่าก็ให้ชิ้นสุดท้ายไปเช่นกัน เชแชงก์ทั้งหมดหลังจากกินเสร็จก็เดินๆนั่งๆอยู่บริเวณนั้น
 
            “ผมจำเป็นต้องศึกษาพฤติกรรมของมันอย่างละเอียดครับ ว่ามันมีหัวหน้าฝูงรึเปล่า เคลื่อนที่เร็วรึเปล่า ไม่ก็พวกมันจะโกรธหรือก้าวร้าวได้ด้วยสาเหตุอะไรกันแน่” เขาชี้แจงกับเธอ
 
            “ค่ะ ได้เลย งั้นวันพรุ่งนี้ชั้นเองจะทำเรื่องให้คุณออกนอกเขตประตูเมืองได้ทั้งวันตั้งแต่เช้าเลย แล้วก็บอกซินเธียด้วยว่าจะทำการตรวจใหญ่นานซักหน่อย ชั้นเขียนจดหมายรับรองให้เอง แล้วก็เอาไปให้กับเธอ แบบนี้โอเคมั้ยคะ?” ไมร่ารับคำไหว้วานเป็นอย่างดี
 
            เขายิ้มร่า “เยี่ยมเลยครับ ขอบคุณมากๆ”
 
            ทั้งคู่นั่งคุยกันอีกพักหนึ่ง ไมร่าเองก็แวะไปเก็บสมุนไพรเฮอร์บลัสซี่งเธอรู้ที่เกิดของมันอยู่แล้ว จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าหมู่บ้านไป เซเลสลาไมร่ากลับไปยังบ้านของซินเธีย และคิดแผนเตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้น
 
 
............................................................................................
 
            ตอนเย็นที่บ้านของซินเธีย... เธอ เซเลสและครอบครัวก็นั่งรับประทานอาหารกันที่ชั้นล่างของบ้านตามเคย เมนูหลากหลายที่มาไม่ซ้ำกันในแต่ละวันทำให้เขารู้สึกลุ้นทุกครั้งก่อนถึงเวลาทานอาหาร เมนูวันนี้ส่วนใหญ่เป็นปลา ทั้งปลาเซบิตัวยาวเรียว ปลาเวกาที่อุดมไขมัน และปลาไทเมบัสรสเค็มนิดหน่อย
 
            “น่ากินอีกแล้วนะครับวันนี้ คุณแม่นี่ทำอาหารเก่งจริงๆ” เซเลสจ้องอาหารตรงหน้าตาเป็นประกาย
 
            “เซเลสเนี่ยกินได้ทุกอย่างเลยน้า ไม่เหมือนซินเธีย เลือกกินจริงๆเลย” แม่ตอบกลับมา ซินเธียที่กำลังเขี่ยผักสีเขียวเข้มเหมือนสาหร่ายทะเลที่โปะทับปลาเซบิออกอยู่สะดุ้งเล็กน้อย
 
            “โถ่แม่ ก็ของมันไม่อร่อยนี่นา” ซินเธียบ่นเสียงอู้อี้
 
            “เอาน่าซินเธีย กินอาหารไปให้ครบๆ จะได้แข็งแรง แล้วก็สวยๆขึ้นกว่านี้ด้วยนะ” เขาชี้ปลายตะเกียบไปที่ผักซึ่งเธอเพิ่งเขี่ยออกไป
 
            ซินเธียหน้าแดงเล็กน้อย เธอฉกลูกชิ้นสีเนื้อจากตะเกียบของเซเลสมา “ว่าชั้นเรอะไง!”
 
            “อ้าว ซะงั้น เอามานี่นะ” เขาพยายามแย่งลูกชิ้นเนื้อจากเธอ แต่เธอถนัดการใช้ตะเกียบกว่าเขามาก สุดท้ายลูกชิ้นนั่นก็เข้าปากเธอไป
 
            “หนอยแน่ งั้นเอานี่ไป” เขาคีบสาหร่ายยื่นใส่ปากเธอ ทั้งคู่ยื้อกันไปมา
 
            “ฮ่าๆๆ” พ่อของเธอหัวเราะ “สองคนนี้ทะเลาะกันได้น่ารักดีนะ” ทั้งคู่เพิ่งรู้ตัวว่าทั้งแม่และพ่อกำลังดูพวกเขาอย่างสนุกสนานเหมือนดูละครริมถนนอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นทั้งสองจึงหยุด และหันมารับประทานอาหารกันต่อ
 
            เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีกสองสามครั้งตลอดช่วงอาหารเย็น ทั้งสี่คุยกันอย่างเป็นกันเองและสนุกสนานจนถึงช่วงหัวค่ำ จากนั้นก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ทั้งคู่เดินผ่านห้องของซินเธียซึ่งอยู่ก่อนถึงห้องที่เขาฟื้นขึ้นมาครั้งแรก ตอนนี้ห้องนั้นกลายเป็นห้องนอนของเขาไปเสียแล้ว
 
            “ดวงจันทร์สวยจังเลยนะ” เขามองออกไปยังดวงจันทร์เล็กๆสองดวงที่อยู่ไม่ห่างกัน ทั้งสองดวงมีส่วนเว้าเล็กน้อยเหมือนดวงจันทร์แรมแรกๆ ทัศนียภาพกลางคืนของเมืองช่างเงียบสงัด มีแสงไฟเพียงเล็กน้อย แต่ทั่วบริเวณก็สว่างด้วยแสงนวลขาวของดวงจันทร์ทั้งสอง ภูเขาที่เขาและไมร่าไปหาฝูงตัวเชแชงก์มืดสนิทดูเหมือนไร้ชีวิตในครานี้
 
            เธอตอบรับ “นั่นสิ สวยจริงๆ” ซินเธียใส่เสื้อนอนสีขาวอยู่ ลมที่ผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ผมสีทองต้องแสงจันทร์ของเธอพริ้วไหว ดูงดงามเหลือเกิน
 
            “นี่เธอจะใส่ชุดประหลาดๆนั่นไปถึงเมื่อไหร่กันนะ” เธอมองเขาอยู่ ตลอดสองวันที่ผ่านมาแม้เซเลสจะใส่เสื้อนอกหลายชุด แต่เขาไม่เคยถอดชุดชีวภาพของเขาเลย เว้นเฉพาะตอนอาบน้ำเท่านั้น
 
            “ไม่รู้สิ มันสำคัญกับผมนี่นา ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” ทั้งคู่ยังคงยืนคู่กันและมองวิวนอกหน้าต่างห้อง
 
            “มันดูตลกจะตาย คนอื่นเห็นก็คงคิดเหมือนชั้นแหละ” เธอหัวเราะคิกคัก เขาไม่ได้ตอบสนองอะไรมากนัก
 
     ครู่ต่อมาเขาก็หันไปหาเธอ “นี่ซินเธีย ขอถามอะไรหน่อยสิ”
 
            “ได้สิ อะไรหรอ” เธอตอบ
 
            “สองวันมานี่ ไม่เห็นมีใครมาใช้ห้องนี้เลย ในบ้านนี้ห้องนี้เป็นห้องของใครกันหรอ มันมีเตียงอยู่ด้วยนี่นา” เขาถามอย่างใคร่รู้ ที่จริงเขาเองพอทราบคำตอบอยู่บ้างแล้ว
 
            สีหน้าเธอเปลี่ยนไปทันทีทันใด ดูเศร้าลงมาก เซเลสรีบขัดขึ้น “เอ่อ... ไม่เป็นไร ไม่ต้องบอกผมก็ได้”
 
            เธอเอามือเท้าคาง ถอนหายใจและเริ่มพูดออกมา “ไม่หรอก ชั้นควรจะบอกเธออยู่แล้วล่ะ” และเธอก็กลับหลังไปนั่งอยู่ที่ริมเตียง ลูบผ้าคลุมเตียงเบาๆจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “นี่คือห้องของพี่ชายชั้นเอง ไลเคล่า ไซเลส”
 
            เซเลสหันไปหาเธอ และค่อยๆไถลตัวนั่งลงริมหน้าต่าง ซินเธียเล่าสิ่งต่างๆที่เหมือนกับสิ่งที่ไมร่าเล่าให้ฟังเกี่ยวกับพี่ชายของเธอ เพียงแต่ละเอียดกว่าและมีอารมณ์ร่วมมากกว่ากันมาก
 
            เขารับรู้เรื่องอย่างเห็นใจ และคอยปลอบใจเธอเป็นระยะๆ เธอเองก็ดูจะรู้สึกดีขึ้นที่ได้ระบายเรื่องราวต่างๆให้กับเขาฟัง แม้ว่าจะไม่ได้พูดถึงการขอรับการสอบเข้าเป็นทหารแห่งราชอาณาจักรก็ตาม
 
            “เสียใจด้วยนะ ซินเธีย” เขาพูดอย่างอ่อนโยน เธอเองก็พยักหน้ารับนิดๆ
 
            “แล้วไม่ว่าอะไรผมหรือเนี่ย ที่มาใช้ห้องของพี่หลับนอนแบบนี้น่ะ” เขาถาม
 
            “ไม่หรอก ห้องนี้ถ้าไม่มีเธออยู่ก็คงถูกปล่อยไว้เฉยๆ มีคนอย่างเธออยู่ดีกว่าอยู่แล้วล่ะ” เธอยิ้มเล็กน้อย
 
            “อีกนิดนะ พี่เธอได้เป็นทหารรบแนวหน้าของราชอาณาจักรเชียว เก่งหน้าดู เขาถนัดใช้อาวุธอะไรหรอ”
 
            “ดาบน่ะ ชั้นเองเคยฝึกกับพี่อยู่บ่อยๆ พี่ชำนาญมันมากเลย บางทีชั้นเองยังแอบฝึกดาบไม้นอกบ้านตอนดึกๆอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังทำไม่ได้ดีซักที สงสัยไม่มีพรสวรรค์เหมือนพี่ เหะๆ” เธอลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นเรียกเขาให้มาช่วยพลิกฟูกที่นอนขึ้น
 
            “ว้าว สวยจัง นี่หรอดาบของพี่เธอ” เซเลสอุทาน ดาบใหญ่สีเงินเป็นเงามันวางอยู่ ด้ามจับสีทองขนาดเหมาะมือ ทรงกลมแก้วขุ่นๆขนาดประมาณลูกเทนนิสติดอยู่ระหว่างด้ามจับและตัวดาบ ปีกดาบตรงๆอยู่ติดกับบอลแก้วนั้น ตัวดาบตรงยาวออกไปก่อนจะเริ่มโค้งบรรจบกัน ส่วนกลางของดาบตั้งแต่บอลแก้วขึ้นไปมีร่องว่างๆรูปร่างเดียวกับตัวดาบ เลยดูเหมือนดาบนั้นถูกเซาะเป็นร่องตรงกลางอย่างเรียบร้อย ทั้งดาบยาวรวมประมาณหนึ่งเมตร 
 
            “ใช่แล้ว มันมีชื่อว่า อิกไนเตอร์ เป็นอาวุธคู่กายของพี่ชั้น” เธอดูมันอย่างคิดถึง
 
            “ผมขออนุญาตถือหน่อยนะ ซินเธีย” เขาขออนุญาต เมื่อเห็นเธอพยักหน้าเขาก็ยื่นมือซ้ายที่ไม่ได้จับขอบฟูกไปหยิบมันขึ้นมา
 
            มันรู้สึกได้ทันทีถึงน้ำหนักของโลหะ ดาบอิกไนเตอร์นี้หนักทีเดียว เขาเกร็งมือเพื่อจะยกมันขึ้นมา และทั้งคู่ก็วางฟูกลง
 
            “หนักนะเนี่ย ดูใกล้ๆยิ่งเยี่ยมไปเลยล่ะ” มือซ้ายของเซเลสยังคงกำแน่นอยู่กับมัน พาดปลายดาบไว้บนมือขวาของเขา
 
            ซินเธียทำท่าจะขอถือด้วย เขาเลยส่งอิกไนเตอร์ให้เธอ เมื่อเธอรับมันไปก็เริ่มกวัดแกว่งดาบไปมาอย่างคล่องแคล่ว “โอ้โห ดูเธอจะถนัดมันอยู่ไม่น้อยเลยนะเนี่ย” เขาชมเธอ
 
            “เปล่าหรอกๆ ชั้นไม่เคยใช้งานมันจริงๆเลยต่างหากล่ะ” เธอเหวี่ยงดาบมาจ่อคอหอยเซเลส ทำเอาเขายืนตัวเกร็ง ทั้งตกใจสุดๆ
 
            เธอลดดาบลง และเอามันไปไว้ใต้ฟูกตามเดิม “เล่นอะไรน่ากลัวจริง ถ้ามันตัดคอผมล่ะจะทำไงเนี่ย” เซเลสปาดเหงื่อ
 
            “เอาน่าๆ” เธอพูดอย่างยิ้มแย้ม หลังเก็บดาบเสร็จก็เดินไปยังประตู “งั้นราตรีสวัสดิ์จ้ะ เจอกันพรุ่งนี้” เธอยิ้มให้และจากไป
 
            เขาเข้านอน เซเลสยิ้มน้อยๆให้กับตัวเอง นอนนึกถึงเรื่องที่ได้คุยกับเธอ และความสามารถในการใช้ดาบที่เธอแสดงให้เห็นวันนี้ ‘ไมร่าพูดถูก ฝีมือดาบเธอเยี่ยมเลย’ เขาครุ่นคิดเรื่องต่างๆต่อไป ก่อนจะเข้าสู่นิทรา
 
บทต่อไป...
Chapter IV: แผนการณ์
###ลิ้งค์รวมนิยายทุกตอนครับ จิ้มเลย
ข้อมูลตัวละคร

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา