เนตรสังหารนักล่าวิญญาณ
10.0
1) เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ท่ามกลางความเงียบสงบของค่ำคืนในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟตลอดเวลา แต่ทุกอย่างกลับนิ่งเงียบราวกับว่าที่นี่เป็นเหมือนดังสถานที่รกร้าง ถึงแม้แสงไฟจะส่องสว่างตลอดเวลาก็ตาม แต่มองไปทางใดก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่าและความเงียบสงัดที่รายล้อมไปด้วยความหนาวเย็นของกระแสลมที่พัดผ่านไปอย่างช้าๆ..... แต่มันหนาวเหน็บเข้าไปจนถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว ชาญ ชายหนุ่มผู้ที่เดินร่อนเร่ร่อนมาจากแดนไกลหลังจากเกิดปัญหาบางอย่างทำให้เขาตัดสินใจหนีปัญหาออกมาเผชิญโลกแห่งความจริงด้วยตัวเองเพียงลำพัง บนตัวของเขามีเพียงกระเป๋าเป้เดินทางเพียงใบเดียวที่เป็นสมบัติติดตัวของเขาที่มีอยู่ในตอนนี้ ในตอนนี้ความหนาวเหน็บได้แผ่ซ่านเข้าไปภายในตัวของชาญจนขนแขนของเขาลุกเกรียวทั้งแขน
“ให้ตายสิหนาวอะไรขนาดนี้นะเนี่ย นี่มันกลางเดือนเมษาแท้ๆนะเนี่ย”ชาญพูดขึ้นในขณะที่ใช้มือของตัวเองลูบแขนเอาไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายเท่าที่พอจะทำได้
ในขณะเดียวกัน ดวงตาของอยู่ก็เกิดพร่ามัวลงจนทำให้เขามองอะไรต่างได้ไม่ชัดเจนอย่างไม่มีสาเหตุ
“บ้าเอ้ยเป็นอะไรไปอีกเนี่ย”ชาญใช้มือกุมปิดบริเวณใบหน้าของเขาพร้อมกับก้มศรีษะลงเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ชาญพยายามลืมตาเพื่อมองดูอีกครั้ง มันทำให้เขาต้องตกใจสุดขีดกับสิ่งที่ได้พบเห็น ผู้คนจำนวนมากเดินไปเดินมาผิดกับก่อนหน้านี้ราวกับว่าเป็นคนละที่กัน
“นี่มันอะไรกันเนี่ยเมื่อกี้ยังเงียบอย่างกับป่าช้าอยู่เลยแล้วคนพวกนี้มาจากไหนกัน แล้วทำไมเราถึงไม่ได้รู้สึกเลยล่ะว่าคนพวกนี้อยู่ที่นี้ตั้งแต่เมื่อกี้นี้”คำถามที่ผุดขึ้นราวกับกระสุนปืน M16 ที่ถูกยิ่งกระหน่ำออกจากปากลำกล้องอย่างต่อเนื่อง สติของชาญฟุ้งซานไปจนเกินที่เขาจะรับเอาไว้ได้ทันทำให้ภายในสมองของเขาเกิดความสับสนจนทำให้เขาเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ด้วยความเจ็บปวดนั้นชาญถึงกับทรุดตัวลงไปคุกเข่าอยู่ที่ตรงพื้น เขานิ่งไปซักพักนึง อาการปวดหัวก็เริ่มผ่อนคลายลงจนทำให้เขามีแรงที่จะลุกขึ้นมาได้ต่อ แต่นั้นก็เหมือนกับว่าเรื่องราวมันกลับตาลปัตรเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้กลับ กลายไปเป็นความว่างเปล่าที่เงียบสงัดดังเช่นเดิม ด้วยสัญชาตญาณที่อยู่ภายในตัวของเขามันส่งสัญญาณออกมาว่าเขาค้องวิ่งไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด ชาญใช้มือกุมกระเป๋าเป้เอาไว้ให้แน่นก่อนจะวิ่งออกไปโดยไม่คิดอะไรอีกแล้ว มีชายคนหนึ่งที่เฝ้าดูพฤติกรรมของชาญตั้งแต่แรกเดินเข้ามา จนกระทั่งเขาวิ่งออกไป อย่างห่างๆ คนมีชื่อว่า มิราชิ เป็นชาวญี่ปุ่นที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานแล้วหลายปี
“เจ้าเด็กนี่มีพลังของเนตรส่องวิญญาณด้วยงั้นเหรอ น่าสนใจดีนิ ไม่คิดว่าในประเทศนี้จะมีผู้ที่มีพลังของเนตรส่องวิญญาณอยู่ด้วย”มิราชิยืนกอดอกโดยที่หลังพิงกับเสาไฟฟ้ามองดู ชาญ วิ่งหนีหายไป
แต่ทว่าเรื่องราวผิดปกติที่ชาญได้เจอมันยังไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น หลังจากวิ่งออกมาได้ซักพักหนึ่งชาญก็เหนื่อยจนต้องหยุดพักเหนื่อยครู่หนึ่งถึงแม้ว่าใจเขาจะอยากที่จะออกไปจากที่นี่แต่ร่างกายมันกลับไม่มีแรงมากพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการของเขา ชาญ จึงได้มาหยุดหอบอยู่ตรงที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัยที่สุดคือใต้เสาไฟที่ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ
“แฮก.... แฮกกก...”เสียงสูดลมหายใจเข้าออกอย่างรวดเร็วของชาญดังขึ้นถี่รัวอย่างไม่เป็นจังหวะ
ถัดจากตัวเขาไปไม่ไกลมากนัก ภายในมุมมืดมีเงาดำที่ซ่อนตัวอยู่ภายในความมืดนั่น ค่อยคืบคลานออกมาจากความมืดทีละเล็กน้อย อย่างเชื่องช้าและใจเย็นมากที่สุด ซึ่งมิราชิเองก็รับรู้ได้ถึงการปรากฏของสิ่งดังกล่าวด้วย
“มาจนได้สินะ คงจะตามกลิ่นเจ้าเด็กนี่มาสินะ”มิราชิพูดขึ้นพร้อมค่อยๆเดินเข้ามาหาชาญอย่างใจเย็นเช่นกัน ซึ่งในตัวของเขามีดาบแบบซามูไรญี่ปุ่นติดตัวอยู่ด้วย และเขาเองก็ค่อยชักมันออกมาอย่างช้าๆแต่เต็มไปด้วยท่าทีที่น่าเกรงขามยิ่งนัก ชาญเห็นมิราชิถือดาบกำลังจะเข้ามาจึงได้ค่อยเดินถอยหลังหนีไปทีละก้าว
“ไม่นะ อย่า! อย่าเข้ามานะ!”ชาญพูดพร้อมกับโบกไม้โบกมือไม่ให้มิราชิเข้ามาใกล้ตัวเขา ก่อนที่จะค่อยเดินถอยหลังไปทีละก้าวจนกระทั่งถอยไปติดกับสิ่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดเพราะไม่สามารถถอยไปได้ต่อไปอีกแล้ว มิราชิเองเห็นดังนี้ก็วิ่งกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับพุ่งปลายดาบที่แสนจะแหลมคมของเขาตรงเขาใส่ยังตัวของชาญ
“ไม่นะ ไม่!”ชาญใช้มืดปกปิดบริเวณใบหน้าเพื่อป้องกันตามสัญชาตญาณ มีของเหลวสีแดงไหลผ่านแขนของเขาและย้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกตกไปยังที่พื้น ชาญในตอนนี้คิดว่าตัวเขาเองคงไม่รอดแล้วแต่ทว่าเขากลับไม่มีบาดแผลอะไรเลยแม้แต่น้อย
“แผลไม่มี แล้วเลือดนี่มันมาจากไหนกัน”ชาญพูดขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนก่อนจะพูดออกมาว่า
“เฮ้ยนี่มันตัวบ้าอะไรกันทำไมถึงได้น่าเกลียดน่ากลัวแบบนี้”ชาญพูดแล้วรีบผละตัวออกห่างจากสิ่งที่เขาเห็นในทันที
“(นี่มีพลังมากพอที่จะเห็นเจ้าพวกนี้ด้วยงั้นเหรอเจ้านี่ไม่ใช่เด็กธรรมดาซะแล้วสิ) อย่าโวยวายไปเจ้าหนู”มิราชิพูดค่อยเก็บดาบใส่คืนฝักดาบ
“นี่คุณเป็นใคร”เป็นคำถามแรกที่ชาญถามไปยังมิราชิ
“นักล่าวิญญาณอย่างไงล่ะเจ้าหนู”มิราชิพูดก่อนจะเดินสวนชาญออกไปโดยไม่ได้สนใจอะไร
“เดี๋ยวก่อนอย่ามาล้อเล่นน่าเรื่องแบบนี้มันมีจริงซะที่ไหนกันล่ะ”ชาญรีบหันกลับไปโต้เถียงกับมิราชิ
“ชั้นก็ไม่ได้บอกให้ต้องเชื่อชั้นซักหน่อยนิเจ้าหนู”มิราชิเดินไป ดาบซามูไรที่คาดติดเอวของมิราชิเองก็ได้สลายหายไปต่อหน้าต่อตาของชาญ และตัวประหลาดที่พบเจอก็ค่อยสลายตัวเป็นผงละอองลายไปกับสายลม ชาญเอามือขยี้ตา พร้อมกับใช้มือตบไปที่ใบหน้าของเขา
“โอ้ยเจ็บ! นี่เราไม่ได้ฟันไปงั้นเหรอเนี่ย นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับชั้นเนี่ย โถ่โว้ย!”ชาญพูดแล้วตะโกนลั่นออกมา มิราชิหยุดเดินก่อนจะพูดออกมา
“จริงสิเจ้าหนูดูสภาพแล้วนายคงจะหนีออกมางั้นสินะ แล้วมีที่จะไปแล้วงั้นเหรอ”
“ยังหรอกน่า”ชาญพูดตอบกลับไป
“ถ้าอยากมีที่พักแล้วก็อยากรู้เรื่องราวที่มันเกิดขึ้นกับนายคืนนี้ก็ตามชั้นมา แต่ถ้าไม่สนใจนั่นมันก็เป็นเรื่องของนายไม่เกี่ยวกับชั้น”มิราชิเอามือลวงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกจนเกือบจะลับสายตาของชาญ
“ด......ดะ........เดี๋ยวก่อน รอผมด้วย(อย่างน้อยก็ให้มันผ่านพ้นคือนี้ไปก่อนเถอะ)”ชาญพูดออกไป และก็คิดในใจ ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ใจมิราชิมากเท่าไรนัก
“ให้ตายสิหนาวอะไรขนาดนี้นะเนี่ย นี่มันกลางเดือนเมษาแท้ๆนะเนี่ย”ชาญพูดขึ้นในขณะที่ใช้มือของตัวเองลูบแขนเอาไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายเท่าที่พอจะทำได้
ในขณะเดียวกัน ดวงตาของอยู่ก็เกิดพร่ามัวลงจนทำให้เขามองอะไรต่างได้ไม่ชัดเจนอย่างไม่มีสาเหตุ
“บ้าเอ้ยเป็นอะไรไปอีกเนี่ย”ชาญใช้มือกุมปิดบริเวณใบหน้าของเขาพร้อมกับก้มศรีษะลงเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ชาญพยายามลืมตาเพื่อมองดูอีกครั้ง มันทำให้เขาต้องตกใจสุดขีดกับสิ่งที่ได้พบเห็น ผู้คนจำนวนมากเดินไปเดินมาผิดกับก่อนหน้านี้ราวกับว่าเป็นคนละที่กัน
“นี่มันอะไรกันเนี่ยเมื่อกี้ยังเงียบอย่างกับป่าช้าอยู่เลยแล้วคนพวกนี้มาจากไหนกัน แล้วทำไมเราถึงไม่ได้รู้สึกเลยล่ะว่าคนพวกนี้อยู่ที่นี้ตั้งแต่เมื่อกี้นี้”คำถามที่ผุดขึ้นราวกับกระสุนปืน M16 ที่ถูกยิ่งกระหน่ำออกจากปากลำกล้องอย่างต่อเนื่อง สติของชาญฟุ้งซานไปจนเกินที่เขาจะรับเอาไว้ได้ทันทำให้ภายในสมองของเขาเกิดความสับสนจนทำให้เขาเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ด้วยความเจ็บปวดนั้นชาญถึงกับทรุดตัวลงไปคุกเข่าอยู่ที่ตรงพื้น เขานิ่งไปซักพักนึง อาการปวดหัวก็เริ่มผ่อนคลายลงจนทำให้เขามีแรงที่จะลุกขึ้นมาได้ต่อ แต่นั้นก็เหมือนกับว่าเรื่องราวมันกลับตาลปัตรเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้กลับ กลายไปเป็นความว่างเปล่าที่เงียบสงัดดังเช่นเดิม ด้วยสัญชาตญาณที่อยู่ภายในตัวของเขามันส่งสัญญาณออกมาว่าเขาค้องวิ่งไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด ชาญใช้มือกุมกระเป๋าเป้เอาไว้ให้แน่นก่อนจะวิ่งออกไปโดยไม่คิดอะไรอีกแล้ว มีชายคนหนึ่งที่เฝ้าดูพฤติกรรมของชาญตั้งแต่แรกเดินเข้ามา จนกระทั่งเขาวิ่งออกไป อย่างห่างๆ คนมีชื่อว่า มิราชิ เป็นชาวญี่ปุ่นที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานแล้วหลายปี
“เจ้าเด็กนี่มีพลังของเนตรส่องวิญญาณด้วยงั้นเหรอ น่าสนใจดีนิ ไม่คิดว่าในประเทศนี้จะมีผู้ที่มีพลังของเนตรส่องวิญญาณอยู่ด้วย”มิราชิยืนกอดอกโดยที่หลังพิงกับเสาไฟฟ้ามองดู ชาญ วิ่งหนีหายไป
แต่ทว่าเรื่องราวผิดปกติที่ชาญได้เจอมันยังไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น หลังจากวิ่งออกมาได้ซักพักหนึ่งชาญก็เหนื่อยจนต้องหยุดพักเหนื่อยครู่หนึ่งถึงแม้ว่าใจเขาจะอยากที่จะออกไปจากที่นี่แต่ร่างกายมันกลับไม่มีแรงมากพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการของเขา ชาญ จึงได้มาหยุดหอบอยู่ตรงที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัยที่สุดคือใต้เสาไฟที่ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ
“แฮก.... แฮกกก...”เสียงสูดลมหายใจเข้าออกอย่างรวดเร็วของชาญดังขึ้นถี่รัวอย่างไม่เป็นจังหวะ
ถัดจากตัวเขาไปไม่ไกลมากนัก ภายในมุมมืดมีเงาดำที่ซ่อนตัวอยู่ภายในความมืดนั่น ค่อยคืบคลานออกมาจากความมืดทีละเล็กน้อย อย่างเชื่องช้าและใจเย็นมากที่สุด ซึ่งมิราชิเองก็รับรู้ได้ถึงการปรากฏของสิ่งดังกล่าวด้วย
“มาจนได้สินะ คงจะตามกลิ่นเจ้าเด็กนี่มาสินะ”มิราชิพูดขึ้นพร้อมค่อยๆเดินเข้ามาหาชาญอย่างใจเย็นเช่นกัน ซึ่งในตัวของเขามีดาบแบบซามูไรญี่ปุ่นติดตัวอยู่ด้วย และเขาเองก็ค่อยชักมันออกมาอย่างช้าๆแต่เต็มไปด้วยท่าทีที่น่าเกรงขามยิ่งนัก ชาญเห็นมิราชิถือดาบกำลังจะเข้ามาจึงได้ค่อยเดินถอยหลังหนีไปทีละก้าว
“ไม่นะ อย่า! อย่าเข้ามานะ!”ชาญพูดพร้อมกับโบกไม้โบกมือไม่ให้มิราชิเข้ามาใกล้ตัวเขา ก่อนที่จะค่อยเดินถอยหลังไปทีละก้าวจนกระทั่งถอยไปติดกับสิ่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดเพราะไม่สามารถถอยไปได้ต่อไปอีกแล้ว มิราชิเองเห็นดังนี้ก็วิ่งกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับพุ่งปลายดาบที่แสนจะแหลมคมของเขาตรงเขาใส่ยังตัวของชาญ
“ไม่นะ ไม่!”ชาญใช้มืดปกปิดบริเวณใบหน้าเพื่อป้องกันตามสัญชาตญาณ มีของเหลวสีแดงไหลผ่านแขนของเขาและย้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกตกไปยังที่พื้น ชาญในตอนนี้คิดว่าตัวเขาเองคงไม่รอดแล้วแต่ทว่าเขากลับไม่มีบาดแผลอะไรเลยแม้แต่น้อย
“แผลไม่มี แล้วเลือดนี่มันมาจากไหนกัน”ชาญพูดขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนก่อนจะพูดออกมาว่า
“เฮ้ยนี่มันตัวบ้าอะไรกันทำไมถึงได้น่าเกลียดน่ากลัวแบบนี้”ชาญพูดแล้วรีบผละตัวออกห่างจากสิ่งที่เขาเห็นในทันที
“(นี่มีพลังมากพอที่จะเห็นเจ้าพวกนี้ด้วยงั้นเหรอเจ้านี่ไม่ใช่เด็กธรรมดาซะแล้วสิ) อย่าโวยวายไปเจ้าหนู”มิราชิพูดค่อยเก็บดาบใส่คืนฝักดาบ
“นี่คุณเป็นใคร”เป็นคำถามแรกที่ชาญถามไปยังมิราชิ
“นักล่าวิญญาณอย่างไงล่ะเจ้าหนู”มิราชิพูดก่อนจะเดินสวนชาญออกไปโดยไม่ได้สนใจอะไร
“เดี๋ยวก่อนอย่ามาล้อเล่นน่าเรื่องแบบนี้มันมีจริงซะที่ไหนกันล่ะ”ชาญรีบหันกลับไปโต้เถียงกับมิราชิ
“ชั้นก็ไม่ได้บอกให้ต้องเชื่อชั้นซักหน่อยนิเจ้าหนู”มิราชิเดินไป ดาบซามูไรที่คาดติดเอวของมิราชิเองก็ได้สลายหายไปต่อหน้าต่อตาของชาญ และตัวประหลาดที่พบเจอก็ค่อยสลายตัวเป็นผงละอองลายไปกับสายลม ชาญเอามือขยี้ตา พร้อมกับใช้มือตบไปที่ใบหน้าของเขา
“โอ้ยเจ็บ! นี่เราไม่ได้ฟันไปงั้นเหรอเนี่ย นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับชั้นเนี่ย โถ่โว้ย!”ชาญพูดแล้วตะโกนลั่นออกมา มิราชิหยุดเดินก่อนจะพูดออกมา
“จริงสิเจ้าหนูดูสภาพแล้วนายคงจะหนีออกมางั้นสินะ แล้วมีที่จะไปแล้วงั้นเหรอ”
“ยังหรอกน่า”ชาญพูดตอบกลับไป
“ถ้าอยากมีที่พักแล้วก็อยากรู้เรื่องราวที่มันเกิดขึ้นกับนายคืนนี้ก็ตามชั้นมา แต่ถ้าไม่สนใจนั่นมันก็เป็นเรื่องของนายไม่เกี่ยวกับชั้น”มิราชิเอามือลวงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกจนเกือบจะลับสายตาของชาญ
“ด......ดะ........เดี๋ยวก่อน รอผมด้วย(อย่างน้อยก็ให้มันผ่านพ้นคือนี้ไปก่อนเถอะ)”ชาญพูดออกไป และก็คิดในใจ ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ใจมิราชิมากเท่าไรนัก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ