[Fanfic] Phantasy Star Online 2: Another Episode Part 1
-
เขียนโดย LunaRRabbit
วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เวลา 13.10 น.
5 บท
0 วิจารณ์
6,168 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 13.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
4) ความลับ[Gore warning]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสุดท้ายผมก็ได้กลับมารวมกลุ่มกับอาฟินและมาโตอิ พวกเราอยู่ในโพรงถ้ำเล็กๆจุดกองไฟกองหนึ่งเพื่อให้ความอบอุ่นท่ามกลางหิมะหนาวเย็นที่ตอนนี้กลายเป็นพายุลูกใหญ่อีกครั้ง อาฟินขดตัวอยู่ใกล้ๆกองไฟส่วนมาโตอิกับมาโกะก็หลับปุ๋ยไปแล้ว ผมยังคงตื่นอยู่ในฐานะยามรักษาความปลอดภัยกับอาฟินเพื่อไม่ให้พวกDarkerเข้ามาทำร้ายพวกเราและด้วยสภาพอากาศแบบนี้การตามหาคุณเดวิดก็เลยถูกชะงักไว้ก่อน อีกอย่างคือ...ที่พวกเราติดแหง่กอยู่แบบนี้ก้เพราะคำขอยกเลิกภารกิจถูกปฏิเสธเนี่ยสิ...
"หาว...."
ผมหาวออกมาวอดใหญ่ ผมนึกคิดไปถึงเรื่องของคุโระว่าในสภาพอากาศแบบนี้ตัวเขาเพียงตัวคนเดียวจะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่แต่ว่าถ้าพายุลูกแรกเขาผ่านมาได้พายุลูกที่สองก็คงผ่านได้เหมือนกันแหละ...
"นี่คู่หู คิดว่าพายุจะสงบลงเมื่อไหร่หรอ?"
อาฟินทำลายความเงียบด้วยคำถามน้ำเสียงสั่นๆของเขา
"คงอีกพักใหญ่ๆเลยมั้ง?"
ผมตอบอาฟินในขณะที่ใส่ฟืนที่พอจะเก็บมาได้เข้าไปในกองไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้มากขึ้นในขณะนั้นก็ถามออกไป
"นี่อาฟินทำไมตอนที่ฉันตกลงไปด้านล่างไม่มีใครติดต่อมาเลยล่ะ?"
"อ๋อ เรื่องนั้นน่ะพวกเราพยายามติดต่อนายแล้วแต่ว่าติดต่อไม่ได้เลยเหมือนจะเชื่อมต่อไม่ได้อะไรแบบนั้น"
"เชื่อมต่อไม่ได้?"
ผมขมวดคิ้วมุ่น ทั้งๆที่ระบบการสื่อสารก็สามารถติดต่อกันได้ทั้งดาวแต่ว่าสัญญาณของผมกับอาฟินกลับเชื่อมต่อกันไม่ได้เนี่ยนะ? ผมได้แต่สงสัยแต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าบางทีที่ที่ผมตกลงไปอาจจะเป็นพื้นที่อับสัญญาณก็ได้
เสียงสายลมหวนไม่มีท่าทีจะหยุดลง อาฟินเริ่มที่จะเหนื่อยล้าไม่ต่างจากผมในตอนนี้ท้องฟ้าเองก็ปกคลุมด้วยเมฆจนมืดไปหมดพวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน ผมมองออกไปด้านนอกแล้ว....
"นั่นมัน..."
ร่างของใครบางคนยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ แม้จะมองไม่ชัดมากแต่ก็มั่นใจได้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือคุโระไม่ผิดแน่ ไปยืนอยู่กลางพายุหิมะแบบนั้นมันอันตรายแท้ๆยิ่งรายนั้นเป้นคนแปลกๆอยู่ก็จริงแต่แบบนี้มนไม่ใช่
"โอย! คุโระยินอยู่กลางหิมะแบบนั้นไม่ได้นะ!!"
ผมลุกขึ้นกำลังจะออกไปพาเจ้านั่นมาหลบพายุให้ได้แต่ว่า
"เดี๋ยวก่อนคู่หูจะไปไหนน่ะ!"
อาฟินพูดท้วงขึ้นมาด้วยความตกใจ
"คนรู้จักน่ะไปยืนอยู่กลางพายุแบบนั้นต้องพามาที่นี่ก่อน!"
ผมอธิบายแล้ววิ่งออกไปหวังจะพาเจ้านั่นเข้ามาหลบในโพรงถ้ำให้ได้
"เดี๋ยวก่อนสิคูหู! ตรงนั้นน่ะ! ฉัน..มองไม่เห็น..ใคร...เลย..นะ...วิ่งไปแล้ว เฮ้อ!"
ถึงอาฟินจะพูดออกมาแต่ในตอนนี้ผมก็อยู่ห่าเกินไปที่จะได้ยินแล้ว ผมวิ่งออกไปทั้งๆที่ลมพายุก็ยังไม่สงบแถมมีท่าทีจะแรงขึ้นผมยกแขนบังใบหน้าของตัวเองจากลมหนาวเอาไว้ เงาของคนที่รู้จักเริ่มใกล้ขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ผมย่ำเท้าลงไปบนพื้นหิมะแต่ว่าเขากลับหันหน้าไปทางอื่นแล้วก้เริ่มเดินออกไป
"จะไปไหนน่ะ!"
ผมตะโกนออกไป ในตอนนี้ผมควรที่จะหยุดเดินแล้วกลับไปหาพวกอาฟินแต่ว่าสัญชาตญาณมันบอกให้ผมเดินตามคุโระไปด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแต่ถึงแบบนั้นผมก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะกลับไปหรือจะตามไป แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับสัญชาตญาณของตัวเองที่บอกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ต้องตามเขาไป
ผมย้ำเท้าลงบนพื้นหิมะนุ่มอย่างมั่นคงเพื่อไม่ให้ตัวเองปลิวไปกับพายุหิมะ มันหนาวเย็นก็จริงแต่มันกลับหยุดความต้องการที่จะเดินหน้าของผมไปไม่ได้เลยขอแค่สองเท้ายังมีแรงเดินไปตามพื้นิมะนี่ก็พอ เงาของคุโระไกลออกไปเรื่อยๆผมเองก็พยายามตามไปสุดความสามารถจนกระทั่งผมเข้าใกล้เงาของเขาเรื่อยๆก็พบกับบางสิ่งที่ผิดปรกติ รอยสีแดงตัดกับสีขาวบนพื้นหิมะผมมองตามมันไปผมก็พบกับบางอย่างที่ไม่น่ามอง มันคือส่วนแขนที่ถูกตัดออกมามันยังคงกำอาวุธเอาไว้แน่นมันคือDouble Saberที่พังแล้วถัดไปคือร่างของคนที่รู้จัก ร่างที่ถูกของมีคนฟันจนขาดเป็นท่อนเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแยกส่วน ใบหน้าของเจ้าของร่างยังคงค้างอยู่ในสภาพหวาดกลัวสุดขีด ใช่แล้ว นั่นคือศพที่ถูกหันเป็นชิ้นๆของคุณเดวิด หัวหน้าทีมของพวกเราในวันนี้
"อุ๊บ!"
สภาพที่ไม่น่ามองนั่นทำเอาผมแทบอาเจียน ผมจึงพยายามไม่มองมันแล้วมองไปทางอื่นแทน ที่หางตาของผมเห็นอะไรบางอย่างขยับแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรมันไวเสียจนมองไม่ทัน...ไม่สิต้องเรียกว่ามันหายไปอย่างรวดเร็วแต่กระนั้นไม่ว่ามันคืออะไรก็ตามมันทำให้ผมเห้นร่างของคุโระที่ดูสะบักสะบอมไม่เหมือนในตอนแรกที่เจอกันเขายืนอยู่ที่หน้าปากถ้ำมือของเขายกขึ้นช้าๆชี้ไปทางปากถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเขา
"คุโระ อะไรน่ะเดี๋ยวก่อนสิ!"
ผมตะโกนออกไป สายลมกรรโชกแรงขึ้นวูบใหญ่ผมต้องเอาแขนทั้งสองข้ากันใบหน้าของตนหลับตาให้แน่นเพื่อป้องกันสายตาของตนเองไม่นานนักลมก็สงบลง ผมค่อยๆลดแขนลงแล้วลืมตาขึ้น
ชายหนุ่มสีดำที่ชื่อว่า คุโระ ก็หายไปแล้ว
"ประหลาดชะมัด...หนีหลบด้านในแล้วหรือยังไงนะ...?"
ผมคิดว่าเขาคงอยากให้ผมเข้าไปหลบกับเขาหรืออะไรสักอย่าง แต่ว่าถ้าแบบนั้นคงไม่เอาแต่ใจไปหน่อยหรือยังไง?ตอนนี้ผมไม่มีทางเลือกคือต้องเข้าไปเพราะผมอยู่ห่างจากจุดของพวกอาฟินมากเกินไปแล้ว ผมเลยตัดสินใจเดินเข้าไปในถ้ำนั่น มันใหญ่มากกว่าถ้ำทั่วไปที่ผมเจอแถมความลึกก็ลึกมากกว่าด้วย และใช่ในที่นี่สัญชาตญาณของผมมันก็บอกให้ผมเดินเข้าไปด้านในให้ลึกขึ้นกว่าเดิมราวกับว่ามีอะไรดึงดูดผมให้เข้าไป ไม่สิ ความรู้สึกต่างๆบอกผมว่าผม'ต้อง'เข้าไปด้านใน ผมเดินเข้าไปลึกขึ้นลึกขึ้นตามสัญชาตญาณของตัวเองและสิ่งที่ผมได้พบ คือคริสตัลขนาดใหญ่และคุโระที่ดูเหมือนไม่ใช่คุโระ สีของเส้นผมหรือดวงตาก็เหมือนกันแต่ว่าที่แก้มซ้ายลงไปถึงคอของเขามีรอยแผลเป็นและเสื้อผ้าของเขาบางส่วนมีรอยขาดอยู่ที่สำคัญชุดนั่นไม่ใช่ชุดที่คุโระใส่ในตอนแรกที่ผมเจอกันมันเป็นชุดฮากามะสีดำขาวดูโทรมๆ ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์และจ้องมองมาที่ผมด้วยดวงตาสีม่วงว่างเปล่าก่อนจะหันไปมองที่คริสตัลนั่น
"นี่นาย...อยากให้ฉัน...?"
ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น เขามองมาที่ผมอกครั้งโดยที่ไม่พูดอะไรแต่ผมกลับพอจะเดาได้ว่าเขาอยากให้ผมทำอะไรกับเจ้าคริสตัลสีฟ้าส่องสว่างนี่ เขาคงอยากให้ผมเข้าไปใกล้มันมากกว่านี้ซึ่งมันคงจะมีวิธีเดียวผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสคริสตัลนั่น มันส่องสว่างจนผมต้องหลับตาหนีเมื่อผมลืมตาเจ้าสิ่งนั้นมันก็กลายเป็นอาวุธประเภทไม้เท้าสีขาาวที่ส่วนยอกของมันเป็นทรงกลมภายในบรรจุคริสตัลสีฟ้าเล็กๆเอาไว้ดูแล้วรูปทรงมันคล้ายกับดาวเคราะห์ที่มีแกนกลางเป็นคริสตัลนั่น ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนอาวุธที่แปลกขนาดนี้ ผมถือมันแล้วก็พบว่าสิ่งนี้มันใช้งานไม่ได้เหมือนว่าจะพังแล้ว
"คุโระนี่นายให้ฉัน...?"
ผมกำลังจะหันไปถามคนที่อยู่ใกล้ๆก่อนหน้านี้แต่ก็พบว่าเขาหายไปเสียแล้ว ผลจึงถอนหายใจแล้วคิดว่าตัวเองน่าจะโดนเจ้าที่ไม่ก็อะไรหลอกแบบที่มาโกะเคยเล่าให้ฟังเมื่อนานมาแล้วแน่ๆ ในขณะที่ผมเดินออกไปยังปากถ้ำพร้อมกับเจ้าอาวุธขนาดใหญ่นี่ผมก็พบว่าพายุสงบลงแล้วแม้ท้องฟ้าจะมีเมฆบังอยู่บ้างแต่ก็บอกได้ว่ามันยังเป็นตอนเช้า ผมน่าจะใช้เวลาออกมานานมากจนตอนนี้เช้าเสียแล้วไม่ก็มันอาจจะเช้าแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ได้ผมเองก็ไม่มั่นใจแต่ที่รู้ๆคือเครื่องมือสื่อสารดังขึ้นและมันมาจากอาฟิน
["คู่หู! ในที่สุดก็ติดต่อได้!"]
เสียงของอาฟินดูโล่งใจเมื่อติดต่อผมได้แต่เบื้อหลังเสียงของอาฟินผมได้ยอนเสียงของมาโกะกำลังโวยวายอะไรบางอย่างอยู่ เพราะว่าผมเข้าไปในถ้ำกระมังเขาจึงติดต่อผมไม่ได้?
"ขอโทษด้วยนะพอดีว่าเดินตามเจ้านั่นไปแล้วเจอกับอาวุธแปลกๆที่พังแล้วเข้าให้..."
["เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วคุณเดวิดล่ะ?"]
อาฟินพูดต่อด้วยน้ำเสียงรีบร้อนเสียงของมาโกะก็เริ่มโวยวายชัดขึ้นและดังขึ้นเหมือนว่าจะมีอะไรหายไป?
"เจอตัวแล้วแต่ว่า..เขาไม่รอด... แล้วมาโกะล่ะ?"
["ไม่นะ...มันทำให้ตอนนี้แย่กว่าเดิมอีก เหวอ!!"]
อาฟินร้องเหวอออกมาลั่นมีเสียงกุกกักเล็กน้อยมีเสียงของมาโกะกับอาฟินแทรกมาเป็นระยะๆไม่ได้ศัพท์
"อาฟินเกิดอะไรขึ้น?"
ผมถามออกไปแต่ครั้งนี้คนที่ตอบกลับไม่ใช่อาฟิน แต่เป็นมาโกะ
["เจ้าพี่บ้า! หายหัวไปแล้วปล่อยให้พวกหนูอยู่ลำพังแถมตอนนี้ก็เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!]
เธอพูดด้วยน้ำเสียงปนโมโหแถมตะคอกใส่ผมเสียงดังอีกต่างหาก
"เดี๋ยวก่อนมาโกะใจเย็นๆค่อยๆพูดกันก็ได้"
["ใจเย็นกับผีสิพี่! มาโตอิหายตัวไปแล้ว!!"]
"ห๊ะ!?"
มาโกะพูดด้วยอารมณ์โกรธจัดก่อนจะกลายเป็นเสียงของเธอที่ห่างออกไปเหมือนกำลังโวยวายเรื่องนี้อยู่ ผมเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
"แล้วติดต่อเธอได้ไหม?"
["ไม่เลยคู่หูติดต่อไม่ได้เลย"]
คราวนี้อาฟินตอบผมแทนมาโกะที่กำลังหัวเสีย ทางเดียวที่จะทำได้ตอนนี้คือต้องรีบตามหามาโตอิ
"นี่ไม่ใช่เวลามาหัวเสียกันนะ รีบแยกย้ายกันหามาโตอิกันก่อน!"
ผมกล่าวกับทั้งสองคนผ่านเครื่องมือสื่อสารซึ่งอาฟินก็เห็นด้วย
["นะ-นั่นสิ! คู่หูมาโกะรีบไปหามาโตอิกันก่อน!!!"]
สายก็ถูกตัดไปตัวผมก็รีบวิ่งออกจากถ้ำไปได้แต่ภาวนาว่าผมจะจำทางที่วิ่งมาได้ ผมวิ่งออกไปเป็นเส้นตรงตามสัญชาตญาณที่นำทางผมไป วิ่งไปบนทุ่งสีขาวโพลนเปิดแผนที่ขึ้นมาตามเส้นทางไปผ่านโพรงถ้ำที่พวกอาฟินเคยอยู่ ผมติดต่ออาฟินและมาโกะกันเป็นระยะๆแต่กลับไม่มีความคืบหน้าอะไร ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนั้นจะไปที่ไหนกัน
"อะไรกัน..."
สัญญาณของแผนที่ถูกตัดผมไม่สามารถใช้แผนที่ได้อีกต่อไป ตอนนี้ผมอยู่ท่ามกลางทุ่งน้ำแข็งที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรที่สามารถใช้เป็นจุดสังเกตได้เลยแม้แต่น้อย
มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสัญญาณถึงไม่มีกัน
เสียงเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามาใกล้ ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจคนที่อยู่ตรงหน้านั่นผมสีขาวและใบหน้าหวานที่คุ้นเคยเธอคนนั้นคือมาโตอิไม่ผิดแน่
"มาโตอิ!!!!"
ผมตะโกนเรียกเธอแต่เหมือนว่าเธอจะไม่ได้ยิน เธอดูเหม่อลอยไม่เหมือนทุกครั้งไม่รอช้าผมรีบวิ่งตามเธอไป ระหว่างนั้นผมก็สังเกตได้ว่าที่เดินอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เธอคนเดียวแต่มีคนอื่นๆอยู่ด้วยARKSที่เหลือมีอาการเหมือนเธอพวกเขาเหม่อลอยบางคนก็ล้มลงแน่นิ่งตรงนั้น
แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ
ผมกำลังจะคว้าตัวมาโตอิเอาไว้แต่เธอก็หลุดเข้าไปในทิวทัศน์ราวกับเข้าไปอีกมิติหนึ่งและใช่...ผมก็หลุดเข้าไปด้วยแถมเกือบล้มหน้าคะมำเพราะพื้นที่ต่างระดับอีกต่างหาก รอบๆตัวผมในตอนนี้คือโบรณสถานที่อยู่ท่ามกลางน้ำมีหญ้าและดอกไม้ปกคลุมตรงกลางคือเส้าประหลาดหลากสีสันรูปร่างของมันเหมือนกับต้นไม้สูงเสียดฟ้าเรียกได้ว่าในตอนนี้มันเหมือนกับผมอยู่คนละที่กับทุนดร้าในตอนแรก
"มาโตอิ!"
ผมจับไหล่เล็กของเธอเพื่อให้เธอได้สติ เธอสะดุ้งแล้วมองไปรอบๆด้วความตกใจ
"ม-มิโคโตะ? แล้วฉันมาที่นี่ได้ยังไงกัน?"
"เดี๋ยวค่อยอธิบายทีหลังตอนนี้กลับกันก่อนเถอะ"
"อะ อืม"
ในขณะที่ผมกำลังจะพามาโตอิออกไป เธอก็มีอาการเหม่อลอยอีกครั้งเธอจ้องมองไปยังเสาต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้อหน้าเส้าที่เหมือนกับต้นไม้นั่นไม่วางตา
"มาโตอิ? เป็นอะไรไปรับไปกันเถอะ"
ผมเดินเข้าไปใกล้มาโตอิแต่เธอกลับเดินห่างออกไปจากผมเข้าใกล้เจ้าเสานั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางจะไม่ดีแน่ๆผมพยายามตามเธอไปแต่ว่า...
ผัวะ!
อะไรบางอย่าง...ไม่สิใครบางคนโจมตีใส่เธอด้วยการฟาดเข้าที่ท้ายทอย ร่างนั่นคือแคสต์บอดีสีเหลืองพาร์ทผมสีน้ำเงินใส่ผ้าปิดปากสีดำ
"มาโตอิ!!!!"
ผมร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจถ้าเธอคนนั้นเป็นอะไรไปโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้นี่มัน... ผมรีบคว้าหอกออกมาแต่แคสต์คนนั้นก็ใช้หอกของเธอรับหอกของผมไว้ได้พอดี ฝีมือแบบนี้นี่มันอะไรกัน
"แค่ทำให้เธอสลบไปเท่านั้น วางอาวุธลงซะ"
ถ้าในสถานการณ์แบบนี้กับแรงกดดันที่ออกมาจากแคสต์คนนั้นผมต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน...แต่ด้วยความหัวดื้อของผมไม่มีทางหรอกที่ผมจะลดอาวุธลง
"คุณเป็นใครกัน?"
"นั่นเป็นคำถามของฉันมากกว่า นายน่ะก็เป็นARKSไม่ใช่หรืออย่างไร?"
พอได้ยินเช่นนั้นผมก็รู้ได้ว่าเธอคนนี้ไม่ได้อยากสู้กับผมเท่าไหร่เหมือนกันแม้ความกดดันนั่นจะไม่ลดลงเลยก็ตามพอเป็นเช่นนั้นผมและเธอจงยอมลดอาวุธลงเพราะต่างฝ่ายก็ไม่อยากต่อสู้เช่นกัน แคสต์ตอนนั้นเป็นคนเริ่มถาม
"เธอเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร? รับคำสั่งจากใครมาหรือ?"
"ผมหลงทางเข้ามาที่นี่ ไม่มีใครสั่งผมหรอก"
ผมตอบไปตามความเป็นจริงซึ่งเธอก็ถามผมอีกครั้ง
"เป็นไปไม่ได้ ที่นี่น่ะไม่มีใครสามารถเข้ามาได้...หืม?"
เธอมองไปยังมาโตอิแล้วทำทีเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ว่าทำไมต้องมาโตอิล่ะ?
"ถ้าแบบนั้นก็คงเป็นเพราะเจ้านั่นพาพวกเธอมาที่นี่สินะ"
เธอก้มลงแล้วอุ้มมาโตอิขึ้นมาก่อนจะมองไปยังเสาขนาดใหญ่นั่น
"ถ้ามาช้าไปกว่านี้เด็กคนนี้น่ะก็คง..."
ผมมองตามเธอไป ผมเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนั่นเนื้อแท้ของเจ้าเสารูปต้นไม้ที่ดูสวยงามนั่นคือรูปร่างของมนุษย์จำนวนมาที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวราวกับตะเกียดตะกายไปยังยอดของต้นไม้นั่น
ถ้าผมช้ากว่านี้มาโตอิคงเป็นหนึ่งในนั้น...
"ที่นี่มัน...อะไรกันน่ะ"
"ฉันคงปิดความลับอะไม่ได้...แล้วก็ชื่อน่ะคือ มาเรีย เป็นหนึ่งใน6เสาหลักของARKS"
เหมือนว่าผมจะพาตัวเองมาเจออะไรที่ไม่ควรเจอจนได้แถมคนตรงหน้ายังเป็นหนึ่งใน6เสาหลักอีก เรื่องราวของ6เสาหลักที่เคยฟังเมื่อนานมาแล้วคือการปราบDark Falz(ดาร์ก ฟอลซ์)ลงได้อย่างสมบูรณ์แบบมันคือตำนานของARKSผู้สมบูรณ์พร้อมทุกประการเป็นARKSในอุดมคติของหลายๆคน และตอนนี้หนึ่งในนั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม
"ในเมื่อรู้ขนาดนี้แล้วจะเล่าให้ฟัง ที่นี่คือผนึกหินที่สร้างขึ้นเมื่อ40ปีก่อนแน่นอนว่าคือเรื่องที่พวกเราต่อสู้กับDark FalzสละชีพARKSไปมากมายจนได้รับชัยชนะมา แต่ว่านั่นไม่ใช่ความจริงหรอก"
"ไม่ใช่...ความจริง?"
"ความจริงก็คือพวกเราไม่เคยชนะDark Falzแต่ทำได้เพียงผนึกมันไว้เท่านั้น ส่วนเสานี่คือผลลัพธ์จากการที่มันเรียกARKSทั้งหมดมาหลอมรวมกันเป็นพลังเก็บไว้จนกว่ามันจะคืนชีพ"
แต่ว่าในเมื่อเรื่องอันตรายขนาดนั้น...
"ทำไมถึงไม่พูดความจริงกันล่ะครับ?"
"ก็เพราะตำนานของ6เสาหลักหรือARKSที่สมบูรณ์แบบ จะพังทลายยังไงล่ะเจ้าหนู"
มาเรียตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเองก็พูดไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนั้น
Dark Falzยังมีชีวิตอยู่ ยังคงรอวันที่จะได้หวนคืนสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง ยังคงรอจนถึงตอนนี้....
ในขณะที่พวกเรากำลังจะกลับออกไปด้านนอกโดยมาเรียอาสาจะช่วยพามาโตอิออกไปจากที่นี่เอง ผมก็ได้พบกับชายหนุ่มสีดำที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมอีกครั้ง ปากของเขาขยับเป็นคำพูดอะไรบางอย่าง
ไป หา _____
ผมไม่สามารถแกะคำพูดสุดท้ายได้ก่อนที่เขาจะหายไปในพริบตาเดียว....คนคนนั้นคือคุโระอย่างนั้นหรือ?หรือว่าจะเป็นน้องชายที่เขาพูดถึง ในขณะที่ผมกำลังกลับไปรวมกลุ่มกับทุกคนผมก็ได้แต่คิดคำถามนี้ซ้ำไปซ้ำมา.....
"หาว...."
ผมหาวออกมาวอดใหญ่ ผมนึกคิดไปถึงเรื่องของคุโระว่าในสภาพอากาศแบบนี้ตัวเขาเพียงตัวคนเดียวจะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่แต่ว่าถ้าพายุลูกแรกเขาผ่านมาได้พายุลูกที่สองก็คงผ่านได้เหมือนกันแหละ...
"นี่คู่หู คิดว่าพายุจะสงบลงเมื่อไหร่หรอ?"
อาฟินทำลายความเงียบด้วยคำถามน้ำเสียงสั่นๆของเขา
"คงอีกพักใหญ่ๆเลยมั้ง?"
ผมตอบอาฟินในขณะที่ใส่ฟืนที่พอจะเก็บมาได้เข้าไปในกองไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้มากขึ้นในขณะนั้นก็ถามออกไป
"นี่อาฟินทำไมตอนที่ฉันตกลงไปด้านล่างไม่มีใครติดต่อมาเลยล่ะ?"
"อ๋อ เรื่องนั้นน่ะพวกเราพยายามติดต่อนายแล้วแต่ว่าติดต่อไม่ได้เลยเหมือนจะเชื่อมต่อไม่ได้อะไรแบบนั้น"
"เชื่อมต่อไม่ได้?"
ผมขมวดคิ้วมุ่น ทั้งๆที่ระบบการสื่อสารก็สามารถติดต่อกันได้ทั้งดาวแต่ว่าสัญญาณของผมกับอาฟินกลับเชื่อมต่อกันไม่ได้เนี่ยนะ? ผมได้แต่สงสัยแต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าบางทีที่ที่ผมตกลงไปอาจจะเป็นพื้นที่อับสัญญาณก็ได้
เสียงสายลมหวนไม่มีท่าทีจะหยุดลง อาฟินเริ่มที่จะเหนื่อยล้าไม่ต่างจากผมในตอนนี้ท้องฟ้าเองก็ปกคลุมด้วยเมฆจนมืดไปหมดพวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน ผมมองออกไปด้านนอกแล้ว....
"นั่นมัน..."
ร่างของใครบางคนยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ แม้จะมองไม่ชัดมากแต่ก็มั่นใจได้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือคุโระไม่ผิดแน่ ไปยืนอยู่กลางพายุหิมะแบบนั้นมันอันตรายแท้ๆยิ่งรายนั้นเป้นคนแปลกๆอยู่ก็จริงแต่แบบนี้มนไม่ใช่
"โอย! คุโระยินอยู่กลางหิมะแบบนั้นไม่ได้นะ!!"
ผมลุกขึ้นกำลังจะออกไปพาเจ้านั่นมาหลบพายุให้ได้แต่ว่า
"เดี๋ยวก่อนคู่หูจะไปไหนน่ะ!"
อาฟินพูดท้วงขึ้นมาด้วยความตกใจ
"คนรู้จักน่ะไปยืนอยู่กลางพายุแบบนั้นต้องพามาที่นี่ก่อน!"
ผมอธิบายแล้ววิ่งออกไปหวังจะพาเจ้านั่นเข้ามาหลบในโพรงถ้ำให้ได้
"เดี๋ยวก่อนสิคูหู! ตรงนั้นน่ะ! ฉัน..มองไม่เห็น..ใคร...เลย..นะ...วิ่งไปแล้ว เฮ้อ!"
ถึงอาฟินจะพูดออกมาแต่ในตอนนี้ผมก็อยู่ห่าเกินไปที่จะได้ยินแล้ว ผมวิ่งออกไปทั้งๆที่ลมพายุก็ยังไม่สงบแถมมีท่าทีจะแรงขึ้นผมยกแขนบังใบหน้าของตัวเองจากลมหนาวเอาไว้ เงาของคนที่รู้จักเริ่มใกล้ขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ผมย่ำเท้าลงไปบนพื้นหิมะแต่ว่าเขากลับหันหน้าไปทางอื่นแล้วก้เริ่มเดินออกไป
"จะไปไหนน่ะ!"
ผมตะโกนออกไป ในตอนนี้ผมควรที่จะหยุดเดินแล้วกลับไปหาพวกอาฟินแต่ว่าสัญชาตญาณมันบอกให้ผมเดินตามคุโระไปด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแต่ถึงแบบนั้นผมก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะกลับไปหรือจะตามไป แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับสัญชาตญาณของตัวเองที่บอกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ต้องตามเขาไป
ผมย้ำเท้าลงบนพื้นหิมะนุ่มอย่างมั่นคงเพื่อไม่ให้ตัวเองปลิวไปกับพายุหิมะ มันหนาวเย็นก็จริงแต่มันกลับหยุดความต้องการที่จะเดินหน้าของผมไปไม่ได้เลยขอแค่สองเท้ายังมีแรงเดินไปตามพื้นิมะนี่ก็พอ เงาของคุโระไกลออกไปเรื่อยๆผมเองก็พยายามตามไปสุดความสามารถจนกระทั่งผมเข้าใกล้เงาของเขาเรื่อยๆก็พบกับบางสิ่งที่ผิดปรกติ รอยสีแดงตัดกับสีขาวบนพื้นหิมะผมมองตามมันไปผมก็พบกับบางอย่างที่ไม่น่ามอง มันคือส่วนแขนที่ถูกตัดออกมามันยังคงกำอาวุธเอาไว้แน่นมันคือDouble Saberที่พังแล้วถัดไปคือร่างของคนที่รู้จัก ร่างที่ถูกของมีคนฟันจนขาดเป็นท่อนเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแยกส่วน ใบหน้าของเจ้าของร่างยังคงค้างอยู่ในสภาพหวาดกลัวสุดขีด ใช่แล้ว นั่นคือศพที่ถูกหันเป็นชิ้นๆของคุณเดวิด หัวหน้าทีมของพวกเราในวันนี้
"อุ๊บ!"
สภาพที่ไม่น่ามองนั่นทำเอาผมแทบอาเจียน ผมจึงพยายามไม่มองมันแล้วมองไปทางอื่นแทน ที่หางตาของผมเห็นอะไรบางอย่างขยับแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรมันไวเสียจนมองไม่ทัน...ไม่สิต้องเรียกว่ามันหายไปอย่างรวดเร็วแต่กระนั้นไม่ว่ามันคืออะไรก็ตามมันทำให้ผมเห้นร่างของคุโระที่ดูสะบักสะบอมไม่เหมือนในตอนแรกที่เจอกันเขายืนอยู่ที่หน้าปากถ้ำมือของเขายกขึ้นช้าๆชี้ไปทางปากถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเขา
"คุโระ อะไรน่ะเดี๋ยวก่อนสิ!"
ผมตะโกนออกไป สายลมกรรโชกแรงขึ้นวูบใหญ่ผมต้องเอาแขนทั้งสองข้ากันใบหน้าของตนหลับตาให้แน่นเพื่อป้องกันสายตาของตนเองไม่นานนักลมก็สงบลง ผมค่อยๆลดแขนลงแล้วลืมตาขึ้น
ชายหนุ่มสีดำที่ชื่อว่า คุโระ ก็หายไปแล้ว
"ประหลาดชะมัด...หนีหลบด้านในแล้วหรือยังไงนะ...?"
ผมคิดว่าเขาคงอยากให้ผมเข้าไปหลบกับเขาหรืออะไรสักอย่าง แต่ว่าถ้าแบบนั้นคงไม่เอาแต่ใจไปหน่อยหรือยังไง?ตอนนี้ผมไม่มีทางเลือกคือต้องเข้าไปเพราะผมอยู่ห่างจากจุดของพวกอาฟินมากเกินไปแล้ว ผมเลยตัดสินใจเดินเข้าไปในถ้ำนั่น มันใหญ่มากกว่าถ้ำทั่วไปที่ผมเจอแถมความลึกก็ลึกมากกว่าด้วย และใช่ในที่นี่สัญชาตญาณของผมมันก็บอกให้ผมเดินเข้าไปด้านในให้ลึกขึ้นกว่าเดิมราวกับว่ามีอะไรดึงดูดผมให้เข้าไป ไม่สิ ความรู้สึกต่างๆบอกผมว่าผม'ต้อง'เข้าไปด้านใน ผมเดินเข้าไปลึกขึ้นลึกขึ้นตามสัญชาตญาณของตัวเองและสิ่งที่ผมได้พบ คือคริสตัลขนาดใหญ่และคุโระที่ดูเหมือนไม่ใช่คุโระ สีของเส้นผมหรือดวงตาก็เหมือนกันแต่ว่าที่แก้มซ้ายลงไปถึงคอของเขามีรอยแผลเป็นและเสื้อผ้าของเขาบางส่วนมีรอยขาดอยู่ที่สำคัญชุดนั่นไม่ใช่ชุดที่คุโระใส่ในตอนแรกที่ผมเจอกันมันเป็นชุดฮากามะสีดำขาวดูโทรมๆ ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์และจ้องมองมาที่ผมด้วยดวงตาสีม่วงว่างเปล่าก่อนจะหันไปมองที่คริสตัลนั่น
"นี่นาย...อยากให้ฉัน...?"
ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น เขามองมาที่ผมอกครั้งโดยที่ไม่พูดอะไรแต่ผมกลับพอจะเดาได้ว่าเขาอยากให้ผมทำอะไรกับเจ้าคริสตัลสีฟ้าส่องสว่างนี่ เขาคงอยากให้ผมเข้าไปใกล้มันมากกว่านี้ซึ่งมันคงจะมีวิธีเดียวผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสคริสตัลนั่น มันส่องสว่างจนผมต้องหลับตาหนีเมื่อผมลืมตาเจ้าสิ่งนั้นมันก็กลายเป็นอาวุธประเภทไม้เท้าสีขาาวที่ส่วนยอกของมันเป็นทรงกลมภายในบรรจุคริสตัลสีฟ้าเล็กๆเอาไว้ดูแล้วรูปทรงมันคล้ายกับดาวเคราะห์ที่มีแกนกลางเป็นคริสตัลนั่น ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนอาวุธที่แปลกขนาดนี้ ผมถือมันแล้วก็พบว่าสิ่งนี้มันใช้งานไม่ได้เหมือนว่าจะพังแล้ว
"คุโระนี่นายให้ฉัน...?"
ผมกำลังจะหันไปถามคนที่อยู่ใกล้ๆก่อนหน้านี้แต่ก็พบว่าเขาหายไปเสียแล้ว ผลจึงถอนหายใจแล้วคิดว่าตัวเองน่าจะโดนเจ้าที่ไม่ก็อะไรหลอกแบบที่มาโกะเคยเล่าให้ฟังเมื่อนานมาแล้วแน่ๆ ในขณะที่ผมเดินออกไปยังปากถ้ำพร้อมกับเจ้าอาวุธขนาดใหญ่นี่ผมก็พบว่าพายุสงบลงแล้วแม้ท้องฟ้าจะมีเมฆบังอยู่บ้างแต่ก็บอกได้ว่ามันยังเป็นตอนเช้า ผมน่าจะใช้เวลาออกมานานมากจนตอนนี้เช้าเสียแล้วไม่ก็มันอาจจะเช้าแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ได้ผมเองก็ไม่มั่นใจแต่ที่รู้ๆคือเครื่องมือสื่อสารดังขึ้นและมันมาจากอาฟิน
["คู่หู! ในที่สุดก็ติดต่อได้!"]
เสียงของอาฟินดูโล่งใจเมื่อติดต่อผมได้แต่เบื้อหลังเสียงของอาฟินผมได้ยอนเสียงของมาโกะกำลังโวยวายอะไรบางอย่างอยู่ เพราะว่าผมเข้าไปในถ้ำกระมังเขาจึงติดต่อผมไม่ได้?
"ขอโทษด้วยนะพอดีว่าเดินตามเจ้านั่นไปแล้วเจอกับอาวุธแปลกๆที่พังแล้วเข้าให้..."
["เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วคุณเดวิดล่ะ?"]
อาฟินพูดต่อด้วยน้ำเสียงรีบร้อนเสียงของมาโกะก็เริ่มโวยวายชัดขึ้นและดังขึ้นเหมือนว่าจะมีอะไรหายไป?
"เจอตัวแล้วแต่ว่า..เขาไม่รอด... แล้วมาโกะล่ะ?"
["ไม่นะ...มันทำให้ตอนนี้แย่กว่าเดิมอีก เหวอ!!"]
อาฟินร้องเหวอออกมาลั่นมีเสียงกุกกักเล็กน้อยมีเสียงของมาโกะกับอาฟินแทรกมาเป็นระยะๆไม่ได้ศัพท์
"อาฟินเกิดอะไรขึ้น?"
ผมถามออกไปแต่ครั้งนี้คนที่ตอบกลับไม่ใช่อาฟิน แต่เป็นมาโกะ
["เจ้าพี่บ้า! หายหัวไปแล้วปล่อยให้พวกหนูอยู่ลำพังแถมตอนนี้ก็เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!]
เธอพูดด้วยน้ำเสียงปนโมโหแถมตะคอกใส่ผมเสียงดังอีกต่างหาก
"เดี๋ยวก่อนมาโกะใจเย็นๆค่อยๆพูดกันก็ได้"
["ใจเย็นกับผีสิพี่! มาโตอิหายตัวไปแล้ว!!"]
"ห๊ะ!?"
มาโกะพูดด้วยอารมณ์โกรธจัดก่อนจะกลายเป็นเสียงของเธอที่ห่างออกไปเหมือนกำลังโวยวายเรื่องนี้อยู่ ผมเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
"แล้วติดต่อเธอได้ไหม?"
["ไม่เลยคู่หูติดต่อไม่ได้เลย"]
คราวนี้อาฟินตอบผมแทนมาโกะที่กำลังหัวเสีย ทางเดียวที่จะทำได้ตอนนี้คือต้องรีบตามหามาโตอิ
"นี่ไม่ใช่เวลามาหัวเสียกันนะ รีบแยกย้ายกันหามาโตอิกันก่อน!"
ผมกล่าวกับทั้งสองคนผ่านเครื่องมือสื่อสารซึ่งอาฟินก็เห็นด้วย
["นะ-นั่นสิ! คู่หูมาโกะรีบไปหามาโตอิกันก่อน!!!"]
สายก็ถูกตัดไปตัวผมก็รีบวิ่งออกจากถ้ำไปได้แต่ภาวนาว่าผมจะจำทางที่วิ่งมาได้ ผมวิ่งออกไปเป็นเส้นตรงตามสัญชาตญาณที่นำทางผมไป วิ่งไปบนทุ่งสีขาวโพลนเปิดแผนที่ขึ้นมาตามเส้นทางไปผ่านโพรงถ้ำที่พวกอาฟินเคยอยู่ ผมติดต่ออาฟินและมาโกะกันเป็นระยะๆแต่กลับไม่มีความคืบหน้าอะไร ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนั้นจะไปที่ไหนกัน
"อะไรกัน..."
สัญญาณของแผนที่ถูกตัดผมไม่สามารถใช้แผนที่ได้อีกต่อไป ตอนนี้ผมอยู่ท่ามกลางทุ่งน้ำแข็งที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรที่สามารถใช้เป็นจุดสังเกตได้เลยแม้แต่น้อย
มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสัญญาณถึงไม่มีกัน
เสียงเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามาใกล้ ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจคนที่อยู่ตรงหน้านั่นผมสีขาวและใบหน้าหวานที่คุ้นเคยเธอคนนั้นคือมาโตอิไม่ผิดแน่
"มาโตอิ!!!!"
ผมตะโกนเรียกเธอแต่เหมือนว่าเธอจะไม่ได้ยิน เธอดูเหม่อลอยไม่เหมือนทุกครั้งไม่รอช้าผมรีบวิ่งตามเธอไป ระหว่างนั้นผมก็สังเกตได้ว่าที่เดินอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เธอคนเดียวแต่มีคนอื่นๆอยู่ด้วยARKSที่เหลือมีอาการเหมือนเธอพวกเขาเหม่อลอยบางคนก็ล้มลงแน่นิ่งตรงนั้น
แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ
ผมกำลังจะคว้าตัวมาโตอิเอาไว้แต่เธอก็หลุดเข้าไปในทิวทัศน์ราวกับเข้าไปอีกมิติหนึ่งและใช่...ผมก็หลุดเข้าไปด้วยแถมเกือบล้มหน้าคะมำเพราะพื้นที่ต่างระดับอีกต่างหาก รอบๆตัวผมในตอนนี้คือโบรณสถานที่อยู่ท่ามกลางน้ำมีหญ้าและดอกไม้ปกคลุมตรงกลางคือเส้าประหลาดหลากสีสันรูปร่างของมันเหมือนกับต้นไม้สูงเสียดฟ้าเรียกได้ว่าในตอนนี้มันเหมือนกับผมอยู่คนละที่กับทุนดร้าในตอนแรก
"มาโตอิ!"
ผมจับไหล่เล็กของเธอเพื่อให้เธอได้สติ เธอสะดุ้งแล้วมองไปรอบๆด้วความตกใจ
"ม-มิโคโตะ? แล้วฉันมาที่นี่ได้ยังไงกัน?"
"เดี๋ยวค่อยอธิบายทีหลังตอนนี้กลับกันก่อนเถอะ"
"อะ อืม"
ในขณะที่ผมกำลังจะพามาโตอิออกไป เธอก็มีอาการเหม่อลอยอีกครั้งเธอจ้องมองไปยังเสาต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้อหน้าเส้าที่เหมือนกับต้นไม้นั่นไม่วางตา
"มาโตอิ? เป็นอะไรไปรับไปกันเถอะ"
ผมเดินเข้าไปใกล้มาโตอิแต่เธอกลับเดินห่างออกไปจากผมเข้าใกล้เจ้าเสานั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางจะไม่ดีแน่ๆผมพยายามตามเธอไปแต่ว่า...
ผัวะ!
อะไรบางอย่าง...ไม่สิใครบางคนโจมตีใส่เธอด้วยการฟาดเข้าที่ท้ายทอย ร่างนั่นคือแคสต์บอดีสีเหลืองพาร์ทผมสีน้ำเงินใส่ผ้าปิดปากสีดำ
"มาโตอิ!!!!"
ผมร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจถ้าเธอคนนั้นเป็นอะไรไปโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้นี่มัน... ผมรีบคว้าหอกออกมาแต่แคสต์คนนั้นก็ใช้หอกของเธอรับหอกของผมไว้ได้พอดี ฝีมือแบบนี้นี่มันอะไรกัน
"แค่ทำให้เธอสลบไปเท่านั้น วางอาวุธลงซะ"
ถ้าในสถานการณ์แบบนี้กับแรงกดดันที่ออกมาจากแคสต์คนนั้นผมต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน...แต่ด้วยความหัวดื้อของผมไม่มีทางหรอกที่ผมจะลดอาวุธลง
"คุณเป็นใครกัน?"
"นั่นเป็นคำถามของฉันมากกว่า นายน่ะก็เป็นARKSไม่ใช่หรืออย่างไร?"
พอได้ยินเช่นนั้นผมก็รู้ได้ว่าเธอคนนี้ไม่ได้อยากสู้กับผมเท่าไหร่เหมือนกันแม้ความกดดันนั่นจะไม่ลดลงเลยก็ตามพอเป็นเช่นนั้นผมและเธอจงยอมลดอาวุธลงเพราะต่างฝ่ายก็ไม่อยากต่อสู้เช่นกัน แคสต์ตอนนั้นเป็นคนเริ่มถาม
"เธอเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร? รับคำสั่งจากใครมาหรือ?"
"ผมหลงทางเข้ามาที่นี่ ไม่มีใครสั่งผมหรอก"
ผมตอบไปตามความเป็นจริงซึ่งเธอก็ถามผมอีกครั้ง
"เป็นไปไม่ได้ ที่นี่น่ะไม่มีใครสามารถเข้ามาได้...หืม?"
เธอมองไปยังมาโตอิแล้วทำทีเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ว่าทำไมต้องมาโตอิล่ะ?
"ถ้าแบบนั้นก็คงเป็นเพราะเจ้านั่นพาพวกเธอมาที่นี่สินะ"
เธอก้มลงแล้วอุ้มมาโตอิขึ้นมาก่อนจะมองไปยังเสาขนาดใหญ่นั่น
"ถ้ามาช้าไปกว่านี้เด็กคนนี้น่ะก็คง..."
ผมมองตามเธอไป ผมเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนั่นเนื้อแท้ของเจ้าเสารูปต้นไม้ที่ดูสวยงามนั่นคือรูปร่างของมนุษย์จำนวนมาที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวราวกับตะเกียดตะกายไปยังยอดของต้นไม้นั่น
ถ้าผมช้ากว่านี้มาโตอิคงเป็นหนึ่งในนั้น...
"ที่นี่มัน...อะไรกันน่ะ"
"ฉันคงปิดความลับอะไม่ได้...แล้วก็ชื่อน่ะคือ มาเรีย เป็นหนึ่งใน6เสาหลักของARKS"
เหมือนว่าผมจะพาตัวเองมาเจออะไรที่ไม่ควรเจอจนได้แถมคนตรงหน้ายังเป็นหนึ่งใน6เสาหลักอีก เรื่องราวของ6เสาหลักที่เคยฟังเมื่อนานมาแล้วคือการปราบDark Falz(ดาร์ก ฟอลซ์)ลงได้อย่างสมบูรณ์แบบมันคือตำนานของARKSผู้สมบูรณ์พร้อมทุกประการเป็นARKSในอุดมคติของหลายๆคน และตอนนี้หนึ่งในนั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม
"ในเมื่อรู้ขนาดนี้แล้วจะเล่าให้ฟัง ที่นี่คือผนึกหินที่สร้างขึ้นเมื่อ40ปีก่อนแน่นอนว่าคือเรื่องที่พวกเราต่อสู้กับDark FalzสละชีพARKSไปมากมายจนได้รับชัยชนะมา แต่ว่านั่นไม่ใช่ความจริงหรอก"
"ไม่ใช่...ความจริง?"
"ความจริงก็คือพวกเราไม่เคยชนะDark Falzแต่ทำได้เพียงผนึกมันไว้เท่านั้น ส่วนเสานี่คือผลลัพธ์จากการที่มันเรียกARKSทั้งหมดมาหลอมรวมกันเป็นพลังเก็บไว้จนกว่ามันจะคืนชีพ"
แต่ว่าในเมื่อเรื่องอันตรายขนาดนั้น...
"ทำไมถึงไม่พูดความจริงกันล่ะครับ?"
"ก็เพราะตำนานของ6เสาหลักหรือARKSที่สมบูรณ์แบบ จะพังทลายยังไงล่ะเจ้าหนู"
มาเรียตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเองก็พูดไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนั้น
Dark Falzยังมีชีวิตอยู่ ยังคงรอวันที่จะได้หวนคืนสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง ยังคงรอจนถึงตอนนี้....
ในขณะที่พวกเรากำลังจะกลับออกไปด้านนอกโดยมาเรียอาสาจะช่วยพามาโตอิออกไปจากที่นี่เอง ผมก็ได้พบกับชายหนุ่มสีดำที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมอีกครั้ง ปากของเขาขยับเป็นคำพูดอะไรบางอย่าง
ไป หา _____
ผมไม่สามารถแกะคำพูดสุดท้ายได้ก่อนที่เขาจะหายไปในพริบตาเดียว....คนคนนั้นคือคุโระอย่างนั้นหรือ?หรือว่าจะเป็นน้องชายที่เขาพูดถึง ในขณะที่ผมกำลังกลับไปรวมกลุ่มกับทุกคนผมก็ได้แต่คิดคำถามนี้ซ้ำไปซ้ำมา.....
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
✓ เรื่องนี้ไม่มีเจตนาทำให้บุคคลที่อ้างถึงเสียชื่อเสียง และฉันจะยอมรับผิดเมื่อบุคคลนั้นตำหนิหรือเตื่อนมา
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ