(Inuyasha Fanfiction) Forever Love Sesshomaru&Rin
8.5
เขียนโดย MomijiNI
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.38 น.
16 ตอน
6 วิจารณ์
36.44K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2560 00.18 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
11) มือที่สาม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังจากวันที่เกิดสงครามผ่านโทรจิตระหว่างเส็ตโชมารูกับมาซาฮิโระได้เดือนกว่าๆ เส็ตโชมารูก็ไปรับไปส่งรินไปที่ถ้ำจอมเวทนั้นทุกวันไม่เคยขาด จนมาซาฮิโระเองแทบจะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับริน นอกจากเวลาที่รินอยู่ที่ถ้ำ และวันนี้ก็เป็นอีกวัน..
“ท่านเส็ตโชมารู” รินยิ้มให้อสูรหนุ่ม
“เจ้ารอข้านานรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ รินออกมาเมื่อครู่เอง”
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
“เอ่อ...ท่านเส็ตโชมารูคะ”
“อะไรรึ?”
“รินอยากไปเยี่ยมสุสานท่านคาเอเดะน่ะค่ะ ให้รินไปได้ไหมคะ?”
“ได้สิ ข้าจะไปด้วย”
รินและเส็ตโชมารูขี่อะอุนทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านของมนุษย์ที่คุ้นเคยดี เมื่อถึงที่หมายทั้งคู่ก็บังคับอะอุนลงไปที่ป่าใกล้ๆ ก่อนจะลงจากหลังของอะอุน โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
“งั้นท่านรอที่นี่นะคะ เดี๋ยวรินกลับมา ไม่นานหรอกค่ะ”
“อืม”
อสูรสาวผมยาวสลวยสีขาวสะอาดตา กับนัยน์ตาหวานสีทอง และริมฝีปากสีชาด สวมชุดกิโมโนที่ดูก็รู้ว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ กำลังยืนซุ่มมองอสูรหนุ่มอยู่หลังต้นไม้ในป่าหนาทึบอย่างเงียบเชียบ
“ท่านผู้นี้รึชื่อเส็ตโชมารู รูปงามสมคำล่ำลือในหมู่ปีศาจจริงๆ”
เปรี้ยง!!
แซ่พิษถูกเรียกใช้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่อสูรหนุ่มรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ด้านหลัง แต่ก็ยังรวดเร็วไม่เท่าผู้ที่ถูกโจมตี ที่บัดนี้หายตัวไปเสียแล้ว
“หึ! หนีไปได้งั้นรึ?” เขาสบถพลางเหลือบมองทางด้านหลัง แต่ทางด้านหน้าสาวน้อยผู้เป็นภรรยาก็เดินกลับมาจากการไปเยี่ยมสุสานเรียบร้อยแล้ว เห็นสามีท่าทางแปลกๆ จึงเอ่ยถาม
“ท่านมองหาอะไรงั้นหรือคะ?”
“เปล่าหรอก ไปกันได้แล้ว”
“ค่ะ”
-------------------------------------------------
ณ ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ ที่นอกจากทางฝั่งตะวันตกจะมีอาณาจักรสุนัขอสูรจิ้งจอกเงินที่ยิ่งใหญ่แล้ว ทางฝั่งตะวันออกนั้น ก็มีอาณาจักรสุนัขอสูรจิ้งจอกขาวจากแผ่นดินใหญ่ ที่มีความยิ่งใหญ่ไม่ย่อหย่อนไปกว่ากันเลย แต่หากนั่นเป็นเรื่องจริงเมื่อนานมาแล้ว ปัจจุบันอาณาจักรนี้เสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากปัญหาภายในที่หัวหน้าเผ่าเองไม่มีบุตรชายสืบทอดราชบัลลังก์ ส่วนลูกสาวที่มีมากมายนั้นก็ได้คู่ครองที่เป็นมนุษย์ไปเสียหมดทุกคน ถึงอาณาจักรนี้จะถือครองดินแดนในแถบตะวันออกอยู่มากดังเดิม แต่เผ่าที่ขาดผู้ที่จะมาเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูอาณาจักรเช่นนี้ ถ้าถูกรุกรานขึ้นมา ก็มิอาจจะต่อกรใดๆ ได้เช่นกัน เพราะแม่ทัพที่เคยแข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดสามารถล้มได้ บัดนี้ก็ชราภาพไปเต็มทีแล้ว
ประตูหน้าปราสาทถูกเปิดออก ปรากฏร่างอสูรสาวนัยน์ตาสีทอง กำลังย่างก้าวเข้ามาในปราสาทอย่างสง่างาม ท่ามกลางข้ารับใช้ที่ก้มเคารพขนาบอยู่ทั้งสองข้างทาง บ่งบอกฐานะองค์หญิงที่ยิ่งใหญ่ของเธอ อสูรสาวเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าบัลลังก์สีทองอันโอฬาร ก่อนจะนั่งลงเพื่อเคารพผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นอย่างนอบน้อม อสูรสูงวัยนัยน์ตาสีทอง ที่มีใบหน้าราวกับถอดพิมพ์เดียวกันมากับคนตรงหน้า ติดจะแตกต่างก็เพียงเพศและความชราภาพเท่านั้น
“ไงล่ะ คาโอริ ได้ทำตามที่ข้าสั่งหรือยัง?” อสูรสูงวัยเอ่ยถามลูกสาวคนสุดท้องของตระกูล
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้าเห็นอสูรที่ชื่อเส็ตโชมารูนั่นแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าข้าได้ข่าวมาแว่วๆ ว่าเส็ตโชมารูนั่น แต่งงานไปแล้วนะเจ้าคะ แถมยังเป็นมนุษย์อีกด้วยเจ้าค่ะ”
“เรื่องนั้นข้าไม่เห็นรู้มาก่อน เจ้านั่นมันเกลียดมนุษย์ไม่ใช่รึไงกันนะ? หึ! แต่แบบนี้สิถึงจะสนุก! มนุษย์งั้นรึ? มันก็แค่มนุษย์ งั้นก็ดี จัดการเอามันมาเป็นของเจ้าให้ได้ ทำวิธีใดก็ได้ ให้มันแต่งตั้งเจ้าให้เป็นชายาแทนมนุษย์นั่น เพื่ออาณาจักรของเรา”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
-------------------------------------------------
ณ ปราสาทอะจิไซ
**********
“ออกไปจากปราสาทของข้าเดี๋ยวนี้!!”
“...”
“ข้าบอกให้ออกไป!!!”
**********
“ฝันแบบนี้อีกแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นอีกรึเปล่านะ?...” รินลืมตาตื่นอย่างเงียบๆ แล้วคิดในใจพลางหันไปมองใบหน้ายามหลับของสามีที่นอนอยู่ฟูกข้างๆ อย่างกังวลใจ ทุกครั้งที่ฝันมักไม่ใช่เรื่องดี รินได้แต่นอนคิด ก่อนจะข่มตาหลับลงไปอีกครั้ง
-------------------------------------------------
ณ ถ้ำจอมเวท
“ตอนเย็นข้าจะมารับเหมือนเดิม” อสูรหนุ่มพูดพลางมองมาซาฮิโระที่ยืนอยู่ปากถ้ำนอกเขตอาคม จนรินเองต้องมองตามอย่างสงสัยว่าทำไมทั้งสองถึงต้องจ้องกันราวกับจะฆ่ากันให้ตายแบบนั้นด้วย แต่ก็ปล่อยผ่านไป เพราะตอนนี้ก็ยังไม่ได้จะฆ่ากัน คงไม่ต้องใส่ใจมาก
“ค่ะ ท่านเส็ตโชมารู” พูดจบอสูรหนุ่มก็ขี่อะอุนทะยานขึ้นฟ้าไปเหมือนกับทุกครั้ง รินเดินเข้าไปทักทายบุคคลที่มักจะรอเธออยู่ปากถ้ำเป็นประจำทุกวัน ด้วยน้ำเสียงที่สดใส
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านมาซาฮิโระ”
“อรุณสวัสดิ์ครับท่านริน ท่านพ่อเรียกหาแหนะครับ”
“มีเรื่องสำคัญอะไรรึเปล่าคะ?” รินสงสัย
“มีแน่นอนครับ ตามข้ามาสิครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้ พร้อมกับผายมือเชื้อเชิญรินเข้าไปด้านในถ้ำ เดินมาไม่นานก็ปรากฏพบชายชราที่คุ้นเคย นั่งอยู่กับสาวน้อยผู้เป็นลูกสาว พร้อมกับกล่องกำปั่นขนาดไม่ใหญ่มากสีทองอร่าม วางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงใหญ่
“อ้าว เจ้าริน มาแล้วรึ? มานี่ซิ” ชายชราเอ่ยทัก
“นี่..อะไรคะ?” รินนั่งลงบนเบาะตรงข้ามกับวากานะ แล้วชี้ไปที่กล่องอย่างสงสัย
“นี่เป็นกำปั่นที่ใช้เก็บอัญมณีที่ไว้ใช้ถ่ายทอดพลังเวทเหมือนกับของข้า” ชายชราพูดพลางชี้ไปที่อัญมณีทรงกลม ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นมือไม่มาก และไม่มีสี บนคฑาของตน ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัญมณีที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นั่นคือศิลาคงโง(เพชร)
“เอ๊ะ? นี่ไม่ใช่คฑาหรอคะ?”
“ตัวคฑาน่ะข้าทำขึ้นมาทีหลัง เพราะอัญมณีมันใหญ่ แล้วข้าต้องเก็บเอาไว้ไม่ให้ห่างตัว แท้จริงแล้วพลังมันอยู่ในนี้ต่างหาก ของวากานะกับมาซาฮิโระก็มีนะ” ชายชราพูด พลางหันมองบุตรทั้งสอง เพื่อบอกให้หยิบอัญมณีของแต่คนให้รินดู
วากานะล้วงหยิบสร้อยที่คล้องคอในกิโมโนออกมาให้รินดู สร้อยนั้นมีอัญมณีสีม่วง(อเมทิสต์) ทรงกลม ขนาดเท่าลูกนัยน์ตา ส่วนมาซาฮิโระก็หยิบดาบที่เหน็บข้างเอวของตนออกมา อัญมณีสีเขียว(มรกต) แท่งยาว ถูกพันไว้ด้วยผ้าและหนังสัตว์ เพื่อทำเป็นที่จับดาบคู่กายของเขา
“พวกข้าเป็นตระกูลจอมเวทอยู่แล้ว พลังในตัวของพวกข้ามันก็มีตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้คฑาเหมือนนักเวททั่วไป แต่ก็ต้องมีอัญมณีนี้ไว้ใช้กักเก็บพลังเวท เผื่อยามจำเป็นครับ” ชายหนุ่มอธิบายให้รินฟัง
“แต่เจ้าไม่เหมือนพวกข้า...แต่กลับมีพลังมากมาย นั่นคงจะเป็นโชคชะตาบางอย่าง เจ้าถึงได้รับพลังนั้นมา” ชายชราเอ่ยทัก
“โชคชะตาหรอคะ?”
“พวกที่มีพลังเวทมักจะมีความสามารถพิเศษบางอย่างติดตัวมาด้วย อย่างของมาซาฮิโระก็สามารถอ่านความคิด แล้วก็มองอดีตใครก็ได้ ถ้าอยากจะทำ ส่วนวากานะนางน่ะสามารถคลายมนตร์ชั่วร้ายได้ แล้วก็ทำให้คนที่ใกล้ตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ แต่ก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และต้องใกล้จะตายเท่านั้นด้วย”
“โห สุดยอดเลยนะคะ” รินพูดพลางเบิกตากว้างอย่างสนใจในพลังของทั้งคู่ โดยเฉพาะพลังของวากานะ ที่เธอเองก็พึ่งรู้วันนี้ แต่แล้วเธอก็ต้องกลับมาสงสัยกับคำถามของชายชราอีกครั้ง
“แล้วเจ้าล่ะริน”
“เอ๊ะ?”
“เจ้าไม่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเจ้าบ้างรึ?”
“...” รินครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธอฝัน ฝันที่มักจะเป็นลางบอกเหตุของเธอ มันจะเกี่ยวอะไรกับพลังรึเปล่านะ? แต่แล้วมาซาฮิโระก็พูดสิ่งที่เธอกำลังคิดออกมา
“ฝันของท่านรินอาจจะเป็นลางบอกเหตุ พูดง่ายๆ คือ ท่านรินมีญานหยั่งรู้ สามารถล่วงรู้อนาคต โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เลวร้าย หรือเหตุการณ์ที่เป็นอันตราย ข้าว่านั่นคงจะเป็นความสามารถพิเศษของท่านรินครับ” เขาพูดแล้วยิ้มพลางมองไปที่ริน
“เอ่อ..ค่ะ..” รินมองกลับอย่างอึ้งๆ เล็กน้อย ที่มาซาฮิโระยังสามารถอ่านใจเธอได้ฉมังดีเหมือนเดิม
“งั้นก็ดี มาเลือกอัญมณีของเจ้าเถอะ จริงๆ แล้วนี่เป็นของตระกูลของข้า แต่สำหรับศิษย์เอกของข้า ข้าจะมอบให้ซักอัน จะได้มีไว้ใช้ไม่ต้องไปตามหาเอง เพราะมันก็คงจะหายากน่าดู” ชายชราพูดพลางเปิดกล่องกำปั่นนั้นอย่างเบามือ
เมื่อเปิดออกก็พบอัญมณีขนาดเท่าๆ กันกับของวากานะ วางเรียงกันอยู่สามชิ้น บนผ้ากำมะหยี่สีแดงสด รินมองความสวยงามของมันอยู่ซักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบชายชราตรงหน้า
“แต่รินเกรงใจหนิคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะท่านริน ท่านพ่อน่ะถ้าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว” วากานะบอก
“อธิษฐานสิครับ เหมือนกับที่ท่านเคยเลือกคฑาเวท” มาซาฮิโระพูดบอกรินอีกคน
รินพยักหน้ารับ ก่อนจะหลับตา แล้วตั้งสมาธิ ไม่นานแสงสว่างก็ปรากฏจนเล็ดรอดเข้าไปในเปลือกตาที่ปิดอยู่ของริน เมื่อรินลืมตาสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ อัญมณีสีรุ้ง(โอปอล์) ทรงรี ลอยอยู่เบื้องหน้า พร้อมส่องประกายสวยงามระยิบระยับ รินเอื้อมมือไปหยิบสิ่งนั้นมาไว้ในมือ แต่ขนาดของมันดูจะใหญ่ขึ้นมาหน่อยพอมาอยู่ในมือของเธอ
“สวยจังเลยค่ะ...”
“อืม..ก็เหมาะกับเป็นเจ้าดี ถ้าฝึกฝนเรื่อยๆ อัญมณีนั้นก็จะใหญ่ขึ้นจนพอๆ กับของข้าเลยล่ะนะ” ชายชราพูด
“จริงหรอคะ?” รินถามอย่างสนใจ
“จริงสิครับท่านริน” มาซาฮิโระตอบ
“งั้นก็ฝึกเลยแล้วกัน ฝึกทำกับข้าวให้ข้า เพราะข้าเริ่มจะหิวแล้ว ฮ่าๆ เอาฝีมือเจ้านะเจ้าริน รสมือเจ้าดีข้าชอบ” ชายชราพูดพลางขำเบาๆ แต่ลูกสาวของเขาดูท่าจะไม่ขำด้วย
“เอ๊ะ? ท่านพ่อหมายความว่าข้ารสมือแย่รึคะ?” วากานะหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อถาม พลางมองไปที่บิดาของตนอย่างสงสัย
“ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้นซักนิด ไปๆ แยกย้ายไปทำได้แล้ว” ชายชราพูดก่อนจะเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไป ปล่อยให้ทั้งสามยืนมองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนที่สาวๆ จะแยกย้ายกันไปทำอาหาร ส่วนมาซาฮิโระก็เดินตามบิดาออกไป
-------------------------------------------------
ณ ปราสาทของอาณาจักรสุนัขอสูรจิ้งจอกเงิน
เส็ตโชมารูนั่งอ่านสาส์นตั้งแต่เช้า จนตอนนี้เข้าสู่เที่ยงวันแล้ว เขาเองไม่มีท่าทีที่จะหยุดอ่านเลยซักนิด อาจจะเพราะมีจุดมุ่งหมายเป็นภรรยาสาวที่ตอนนี้อยู่ที่ถ้ำจอมเวทกับคนที่มักจะทำให้เขาหงุดหงิดทุกครั้งเวลาเจอหน้า จนพักหลังๆ มา เขาเองก็เหมือนจะมีความสามารถพิเศษใหม่ นั่นคือสามารถสะสางกองสาส์นที่มากมายตรงหน้าได้ในเวลาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น เพราะอยากจะลงไปรับภรรยากลับปราสาทแทบใจจะขาด ก่อนที่มาซาฮิโระจะทำอะไรรินตอนที่เขาไม่อยู่
แต่วันนี้กองสาส์นมันดันมากกว่าทุกวัน เพราะมีของนายหญิงของปราสาท ที่บัดนี้เดินทางกลับไปที่บ้านเกิดทางเหนือ กว่าจะกลับมาก็คงอีกหลายเดือน เขาเองได้แต่ถอดถอนใจ ที่จะต้องรับภาระที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขามาเพิ่มอย่างปฏิเสธไม่ได้
จาเค็นที่ช่วยงานอยู่ในห้องทำงานเห็นท่าทีเจ้านายดูเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะกลัวจะไปรบกวนสมาธิในการอ่านสาส์น แต่แล้วมันก็ได้กลิ่นบางอย่างมาจากหน้าประตูห้องทำงาน จาเค็นจึงเดินออกไปดู ก็พบบ่าวไพร่คนหนึ่งที่มันเองก็ไม่คุ้นหน้ายกอาหารว่างมา ทั้งที่เจ้านายหรือมันเองก็ไม่ได้สั่ง
“แต่จะว่าไปท่านเส็ตโชมารูก็ดูจะอ่อนล้า ไปบอกท่านดีไหมนะ? เผื่อท่านอยากจะรับซักหน่อย” จาเค็นคิดพลางเดินกลับไปหาเจ้านายของมัน
“เอ่อ..ท่าเส็ตโชมารูขอรับ”
“อะไร” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“คือ..ข้ารับใช้ยกน้ำชากับขนมมาให้ขอรับ ท่านจะรับไหมขอรับ”
“...” ความเงียบเป็นสัญญาณที่คนสนิทอย่างจาเค็นรู้ดีว่าเส็ตโชมารูปฏิเสธแน่นอน เพราะตั้งแต่รินทำอาหารให้เขาทาน เส็ตโชมารูก็ไม่เคยรับอาหารที่นี่เลยซักครั้ง มันจึงตัดสินใจเดินไปที่ประตูเพื่อบอกให้บ่าวเอาอาหารว่างนั้นกลับไป
เส็ตโชมารูไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากกองงานตรงหน้า แต่ทว่า...กลิ่นแบบนี้..หอมเหมือนกับอาหารของริน...กลิ่นนั้นเกิดทำให้เขาอยากอาหารขึ้นมาเสียเฉยๆ ฉับพลันเขาก็เอ่ยเรียกจาเค็นก่อนที่มันจะเดินไปถึงประตู
“จาเค็น!”
“ขอรับ”
“ให้เอาเข้ามาได้” จาเค็นอึ้งกับการกระทำของเจ้านาย แต่ก็ไม่ได้กล่าวท้วงอะไร พลางเดินไปที่ประตู เพื่อบอกให้บ่าวยกอาหารว่างเข้ามา
ข้ารับใช้สาวคลานถือถาดที่มีขนมและน้ำชาเข้ามาอย่างช้าๆ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานของเส็ตโชมารูมากนัก
“นี่เจ้าค่ะ”
“ออกไปได้แล้ว ทั้งคู่!”
“เอ่อ...ขอรับ/เจ้าค่ะ”
เส็ตโชมารูลุกจากโต๊ะทำงานมานั่งตรงโต๊ะเล็ก ที่บัดนี้มีขนมและน้ำชาที่เป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคย แต่เมื่อมองดูแล้วทั้งขนมและน้ำชานั้นก็ดูจะธรรมดาๆ ไม่เหมือนกับของที่รินทำ แต่ทำไม..กลิ่นนี้มันถึง..
เขายกชาขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ เพียงแค่จิบเดียวเท่านั้น มันทำให้ความรู้สึกของเขาราวกับต้องการอะไรบางอย่าง และพร้อมที่จะลืมเลือนบางอย่าง โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่นานน้ำชาและขนมก็ถูกนำเข้าปากเรียวนั้นจนหมดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ก่อนที่สุดท้ายเส็ตโชมารูจะฟุบหลับบนโต๊ะเล็กนั้นไปในที่สุด
ข้ารับใช้สาวคลานออกจากห้องทำงานมา แล้วเดินอยู่แถวระเบียงทางเดิน ชุดบ่าวที่สวมนั้นกลายกลับไปเป็นกิโมโนเนื้อดีที่สวมใส่ประจำ อสูรสาวนัยน์ตาสีทอง ริมฝีปากสีชาดนั้นแสยะยิ้มอย่างพึงใจในแผนที่วางไว้
“อีกไม่นานหรอก ท่านเส็ตโชมารู ท่านจะได้เป็นของข้า แล้วอาณาจักรของท่านพ่อจะได้กลับมายิ่งใหญ่ดังเดิมเสียที”
-------------------------------------------------
ณ ถ้ำจอมเวท
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านริน วันนี้มาเร็วจังเลยนะคะ”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เอ่อ...พอดีวันนี้ท่านเส็ตโชมารูท่านรีบๆ น่ะ ท่านก็เลยมาส่งเร็วหน่อย” รินตอบอย่างเลี่ยงๆ
“คงจะรีบน่าดูเลยนะเนี่ย นี่ยังไม่ทันจะเช้าดีเลย” วากานะคิดในใจพลางมองออกไปนอกถ้ำ ที่ท้องฟ้ายังไม่ทอแสงตะวันใดๆ
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เส็ตโชมารูมีท่าทีที่แปลกไป ถึงเขาจะยังมารับมาส่งรินตามปกติ แต่เขาแทบจะไม่พูดคุยกับเธอเลย เมื่อกลับถึงปราสาทเขาจะอาบน้ำแล้วเข้านอนก่อนเธอ รุ่งเช้าเขาจะตื่นก่อนเธอ ไม่ทานอาหารเช้าแบบที่เธอเคยทำให้ทุกวัน แต่กลับนั่งเหม่อลอย ถามอะไรก็เงียบ ราวกับมีเพียงแค่ร่างแต่ไร้ซึ่งวิญญาณมาสถิตย์ เธอเองก็อยากจะถามจาเค็นคนสนิทที่น่าจะรู้อาการของเจ้านายของมัน แต่ก็ไม่ได้กลับมาที่ปราสาทอะจิไซเลย อาจจะเพราะเส็ตโชมารูให้เฝ้าปราสาทใหญ่ไว้ เพราะนายหญิงของปราสาทไม่อยู่ ยิ่งวันนี้ยิ่งรู้สึกว่าแปลกกว่าทุกวัน ที่ดูรีบและร้อนรน มาส่งเธอทั้งที่ตะวันยังไม่ทันจะขึ้นจากขอบฟ้าดี หรือว่าที่ปราสาทใหญ่มีอะไรรึเปล่านะ?
“แล้วท่านอาจารย์ กับท่านมาซาฮิโระล่ะ”
“ท่านพ่อนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องเวทน่ะค่ะ ท่านทำทุกวันอยู่แล้ว ส่วนท่านพี่อีกใกล้ๆ เช้าก็จะออกมาจากห้องเองแหละค่ะ เวลาประจำอยู่แล้ว”
“เวลาประจำ?” รินขมวดคิ้วสงสัย
“ก็เวลาที่ท่านรินจะมาไงล่ะคะ” วากานะยิ้ม
“งั้น..หรอ?” รินพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“ท่านรินเนี่ยเป็นคนที่วิเศษไปเลยนะคะ ที่ทำให้ท่านพี่ของข้าที่จากเป็นคนเงียบๆ พูดมากได้ขนาดนี้”
“ท่านมาซาฮิโระเนี่ยนะเป็นคนเงียบๆ” รินแทบไม่เชื่อ เพราะปกติก็เห็นเขาออกจะพูดมากเสียด้วยซ้ำ
“จริงๆ นะคะ ขนาดกับข้าเองท่านพี่ยังพูดแทบจะนับคำได้ ไม่ว่าลูกศิษย์ของท่านพ่อจะมาซักกี่คน ท่านพี่ก็ไม่เคยสนใจ ออกจะเก็บตัวอยู่แต่ในถ้ำเสียด้วยซ้ำ”
“...” รินตั้งใจฟังที่วากานะพูดอย่างเงียบๆ
“แต่พอท่านรินมา ท่านพี่ก็ออกมาต้อนรับท่านเองเลย แถมยังช่วยฝึกเวทให้ท่านด้วย เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นตั้งแต่เกิดมาเนี่ยแหละค่ะ” วากานะขำออกมาเบาๆ แต่การสนทนานั้นก็ต้องหยุดลง เมื่อชายที่วากานะกล่าวถึงโผล่มายืนอยู่ด้านหลังของเธอ
“อะแฮ่ม! แล้วเจ้าชอบให้ข้าเป็นแบบไหนล่ะ? แบบเงียบๆ หรือแบบพูดมาก หึ!” ชายหนุ่มนัยน์ตาสีไพลินจ้องมองน้องสาวราวกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาได้ยินที่เธอพูดทุกอย่างแล้ว
“เอ่อ...ก็ชอบทั้งคู่แหละค่ะ แล้วแต่สถานการณ์” วากานะผงะเล็กน้อยก่อนจะตอบพี่ชาย
“แต่วันนี้เจ้าน่ะพูดมากไปแล้วนะ ว่าไหมครับท่านริน” ชายหนุ่มพูด แล้วหันไปยิ้มให้ริน
“ข้าว่าก็ดีนะคะ นานๆ วากานะจะพูดซักที ดูสดใสดีออก” รินยิ้ม
“งั้นข้าไม่กวนพวกท่านดีกว่า ข้าขอตัวไปเตรียมอาหารนะคะ” วากานะพูดจบแล้วเดินออกจากตรงนั้นทันที เหลือไว้เพียงรินและพี่ชายของเขาที่กำลังแอบมองใบหน้าของรินอยู่อย่างเงียบๆ โดยที่รินกำลังมองตามหลังวากานะอยู่
“ครอบครัวของท่านดูอบอุ่นดีนะคะ” รินเอ่ยชม
“ก็เพิ่งจะมาเป็นช่วงหลังๆ นี่แหละครับ ช่วงที่ท่านรินมา ที่นี่ก็ดูครึกครื้นขึ้น วากานะเองก็คงจะอยากได้พี่สาว…”
“...” รินหันมองหน้าชายหนุ่มอย่างสงสัย
“คือ..หมายถึง..เอ่อ.. ข้ากับท่านพ่อเองก็เป็นบุรุษ ก็ไม่อาจจะเข้าใจจิตใจของอิสตรีได้ดีกว่าอิสตรีด้วยกันเองน่ะครับ” ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ เพราะคำพูดของเขาอาจจะทำให้รินจับความในใจของเขาที่มีต่อรินได้
“นั้นสินะคะ ข้าเองก็เคยมีพี่ชาย ข้าก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของวากานะดี” รินยิ้มบางๆ พลางก้มหน้าลงด้วยสีหน้าที่หมองลงเล็กน้อย
“...” มาซาฮิโระที่เห็นใบหน้าของรินก็เข้าใจทันที ความสุขที่เคยมีของรินก่อนที่พ่อ แม่ และพี่ชายจะถูกโจรป่าฆ่าตายทั้งที่เธอเองยังเด็ก มันหายไป ถึงให้นึกย้อนถึงแค่ไหนมันก็คงไม่กลับมา เมื่อรินเงยหน้าขึ้นก็พบกับชายชราที่คุ้นเคย ใบหน้านั้นกลับมายิ้มแย้มอีกครั้งก่อนจะเอ่ยทักคนตรงหน้า
“อ้าว..ท่านอาจารย์ อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“ไงเจ้าริน วันนี้จะฝึกหนักหน่อยนะ ได้อัญมณีไปแล้วต้องลองฝึกใช้ดูซักหน่อย”
“ยังไงก็ได้ค่ะ ข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”
“มาซาฮิโระก็ช่วยๆ กันหน่อยล่ะ”
“ครับ ท่านพ่อ”
รินถูกฝึกให้ใช้พลังเวทผ่านอัญมณีที่เธอได้รับ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรสำหรับรินนัก เพราะเธอเป็นคนที่เรียนรู้อะไรได้รวดเร็วอยู่แล้ว เวลาฝึกที่เนินนาน บัดนี้เข้าสู่เที่ยงวันจนจะคล้อยบ่ายแล้ว มาซาฮิโระเองก็ขอตัวแยกออกไปฝึกดาบในป่าใกล้ๆ เหลือแต่เพียงชายชราและรินที่ตอนนี้นั่งอ่านตำราเวทอยู่
“เจ้าริน” ชายชราเอ่ย
“คะ ท่านอาจารย์”
“ข้าถามเจ้าจริงๆ นะ ที่เจ้ามาฝึกใช้เวทกับข้า เจ้าจะเอาพลังไปใช้ทำอะไรรึ?”
“ข้า...อยากเอาพลังไปปกป้องท่านเส็ตโชมารูน่ะค่ะ แล้วก็ปกป้องตัวข้าเองด้วย” รินตอบในสิ่งที่เธอคิดมาตลอด
“เอาพลังไปปกป้องอสูรเนี่ยนะ! เจ้าเนี่ยคิดอะไรแปลกๆ”
“ก็ท่านลำบากเพราะข้ามามากแล้วหนิคะ ข้าก็อยากจะช่วยแบ่งเบาความลำบาก ที่ข้าเป็นคนนำพามาให้ท่านบ้าง อีกอย่างข้า..คงทนไม่ได้ที่จะเห็นท่านตายไปต่อหน้าต่อตา เพราะต้องมาคอยช่วยข้า”
“แล้วถ้าเจ้าตาย แทนที่จะเป็นคนรักของเจ้าล่ะ?” ชายชราถามเพราะอยากให้รินลองมองอีกมุม เพราะเห็นรินมักจะทุ่มเทเพื่อเส็ตโชมารูตลอด โดยที่ไม่เคยห่วงตัวเองเลย
“...” ตั้งแต่รู้ว่าชีวิตจะต้องเจอกับอะไร รินเองแทบจะไม่เคยคิดเรื่องตายเลย ว่าเธอจะตายยังไง เพราะอายุขัยของเธอก็ไม่ได้ยืนยาวอะไร ยังไงซักวันเธอก็ต้องตายอยู่ดี แต่ที่ทำมาทั้งหมดก็เพียงเพราะแค่อยากให้คนที่เธอรักมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่ต้องมาจบชีวิตลงเหมือนพ่อของเขา ที่จะต้องมาตายเพราะช่วยมนุษย์อย่างเธอ ความคิดของรินนั้นถึงจะไม่ได้พูดออกมา แต่ชายชราตรงหน้าก็ล่วงรู้ได้ทันที ชายชราจึงตัดสินใจว่าจะให้เธอล่วงรู้บางอย่างจากเขาบ้าง
“ตามข้ามาสิ ข้าจะให้ดูอะไร”
รินเดินตามชายชรามาในห้องๆ หนึ่งที่มีการลงเขตอาคมไว้อย่างแน่นหนา ดูราวกับเป็นห้องเก็บสมบัติล้ำค่า ชายชราร่ายมนตร์เพื่อปลดเขตอาคมนั้น ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เมื่อเข้ามาก็เป็นอย่างที่รินคิด ในห้องนั้นมีบรรดาเงินทองของมีค่ามากมายกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงก็มีเก็บสะสมไว้ในนี้ แต่สิ่งที่สะดุดตารินนั้นไม่ของที่กล่าวมา แต่เป็นศิลาแผ่นหนาสองนิ้ว ขนาดเท่าเบาะรองนั่ง ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง บนศิลาถูกสลักเป็นอักษรที่เธอพอจะอ่านออก ชายชราที่เห็นรินดูจะสนใจในสิ่งที่เขาตั้งใจจะให้เธอดู เขาจึงตัดสินใจเล่าบางอย่างให้เธอฟัง
“นี่เป็นศิลาที่จารึกมนตร์ปราบปีศาจขั้นสูง สูงมากๆ ที่ข้าเป็นคนคิดขึ้นมาเอง แต่คนที่ใช้คือภรรยาของข้า เมื่อประมาณ 70 ปีก่อน ปีศาจมากมายหมายจะเอาชีวิตของข้า เพราะมันโกรธแค้น ที่ข้าไปปราบพวกมัน ช่วงจังหวะหนึ่งที่พลังของข้าอ่อนแรงลง ปีศาจเหล่านั้นก็ลอบเข้ามาทำร้ายข้า ข้าลังเลอยู่นานที่คิดจะหยิบศิลานี่ขึ้นมาใช้ แต่ภรรยาของข้า..นางไม่ลังเลเลยซักนิด นางอยู่กับข้าตลอดเวลา แน่นอนว่านางย่อมรู้วิธีใช้มนตร์นี้ดี ไม่นานปีศาจที่มากมายจนท่วมท้นนภาก็พลันหายลับ เหลือไว้แต่เพียงศิลาแผ่นนี้ เพียงเพื่อจะปกป้องข้า นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นางจากโลกนี้ไป” ชายชราเล่าพลางนึกถึงเหตุการณ์นั้นด้วยใบหน้าที่เศร้าเล็กน้อย
“ทำไมล่ะคะ? ทำไมภรรยาของท่านถึง...ก็แค่ใช้มนตร์เองนะคะ”
“มนตร์บางบทมันก็เหมือนดาบสองคมนะเจ้าริน ภรรยาของข้า มีพลังไม่พอที่จะใช้มนตร์บทนี้ ร่างกายของนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้มนตร์บทนั้นสัมฤทธิ์ผลไปในทันที…”
“...” จากที่ชายชราเล่า รินรับรู้ได้ถึงความเศร้าใจอย่างที่สุดของคนตรงหน้า รวมไปถึงความเสียสละอันแรงกล้าของภรรยาของเขาด้วย
ชายชรามองรินซักพัก ก่อนจะลองยื่นข้อเสนอบางอย่าง ที่เขาคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับริน สิ่งที่ชายชราเองได้เห็นก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชะตากรรมของรินและเส็ตโชมารูในอนาคตอันใกล้นี้ อาจจะอีกปี หรือสองปี เขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ถ้าได้เห็นเช่นนี้แล้ว สำหรับเขาเอง ยังไงมันก็คงต้องเกิดขึ้นเป็นแน่ แต่ก็ไม่ได้บอกให้รินรับรู้แต่อย่างใด
“ที่ข้าให้เจ้ามาดูก็ไม่ใช่อะไร ข้าแค่คิดว่าตัวเจ้าน่าจะใช้มนตร์บทนี้ได้ เพราะพลังในตัวเจ้ามีมากกว่าภรรยาของข้ามากนัก ถ้าเจ้าสนใจข้าจะ…” ยังไม่ทันพูดจบเสียงที่ดูจริงจังของสาวน้อยก็ดังขึ้น
“ข้าสนใจค่ะ ถ้าท่านอาจารย์จะกรุณาสอนให้ข้า!”
“ได้สิ ถ้าเจ้าต้องการ แต่ว่า..ข้ามีข้อแม้บางอย่าง”
“ข้อแม้หรือคะ?”
“ถึงแม้เจ้าจะมีพลังมากก็จริง แต่ก็ยังมีขีดจำกัดของเวลา พลังของเจ้ายังไม่สามารถใช้ได้เต็มที่ จนกว่าจะเข้าสู่วัยเบญจเพส เพราะฉะนั้นถึงตอนนี้เจ้าจะสามารถสร้างมนตร์ของเจ้าเองขึ้นมาได้ แต่ก็ยังไม่สามารถใช้ได้ จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร เข้าใจใช่ไหมเจ้าริน”
“ค่ะ” รินรับปากอย่างว่าง่าย
“งั้นก็ดี”
เมื่อจบบทสนทนาของทั้งสอง เซย์เมย์ก็เริ่มการสอนสร้างมนตร์ขั้นสูงต่างๆ ให้กับรินทันที รินเองก็ดูจะมีสมาธิมากเป็นพิเศษ สนใจกับสิ่งที่เซย์เมย์สอน จนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็เย็นจนจะย่ำค่ำแล้ว รินรีบร้อนเก็บของแล้วเดินออกมานอกถ้ำทันที เพราะป่านนี้เส็ตโชมารูคงจะมารอเธอนานแล้ว แต่ทว่า..นอกเขตอาคมของถ้ำ ที่ๆ เส็ตโชมารูมักจะมารอเธอประจำพร้อมกับอะอุน บัดนี้ไม่มีผู้ใดเลย รินยืนรออยู่พักใหญ่ จนมาซาฮิโระเองที่ยืนมองรินอยู่ด้วยความเป็นห่วง ต้องเดินออกจากเขตอาคมมาหาเธอ
“นี่ก็เย็นมากแล้วนะครับท่านริน ให้ข้าไปส่งดีกว่าไหมครับ”
“เอ่อ..ข้ากลัวจะสวนทางกันน่ะค่ะ เผื่อท่านเส็ตโชมารูอาจจะมีธุระ ข้าจะรอก่อนก็แล้วกันค่ะ”
มาซาฮิโระยิ้มบางๆ และพยักหน้ารับทราบเบาๆ เขายืนรอเป็นเพื่อนริน จนรับรู้ได้ถึงความเนิ่นนานจากท้องฟ้าที่เปลี่ยนจากสีฟ้าอมส้ม จนบัดนี้มันเปลี่ยนเป็นสีครามจนจะเกือบจะดำสนิทแล้ว
“ให้ข้าไปส่งเถอะนะครับท่านริน นี่ก็จะค่ำแล้ว เดินทางกลางคืนมันจะอันตรายนะครับ” ชายหนุ่มพูดกับรินอีกครั้ง รินเองที่ได้ฟังก็รับคำอย่างเกรงใจ
“งั้นข้ารบกวนด้วยนะคะ” ในใจของรินตอนนี้มีแต่ความเป็นห่วงอสูรหนุ่ม หลายวันที่เขาทำท่าทีแปลกๆ นั่น ยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเส็ตโชมารูรึเปล่านะ?
-------------------------------------------------
ณ ปราสาทของอาณาจักรสุนัขอสูรจิ้งจอกเงิน
ปราสาทที่เงียบสงัด เพราะนายหญิงของปราสาทไม่อยู่ มีแต่เพียงอสูรหนุ่มตรงหน้าที่มันกำลังเดินตามหลังเพื่อไปส่งเจ้านายที่ลานหน้าปราสาท เพราะมันยังต้องอยู่เฝ้าปราสาทใหญ่จนกว่านายหญิงจะกลับมา
สำหรับจาเค็นแล้วตอนนี้เส็ตโชมารูราวกับถูกผีสิง หลายวันที่ผ่านมางานกองยักษ์ถูกโยนมาให้มันทำทั้งหมด โดยที่เจ้านายมันไม่ทำอะไรเลย นอกจากเอาแต่นั่งพะเน้าพะนอคลอเคลียบ่าวสาวที่มันไม่คุ้นหน้าคนนั้นอย่างผิดวิสัย ขนาดว่าอยากอยู่กับรินมากแค่ไหน เจ้านายของมันก็ยังไม่เคยซักครั้งที่จะขาดความรับผิดชอบได้ขนาดนี้ จาเค็นได้แต่ส่ายหัว นี่ไม่ใช่เจ้านายของมันแน่ๆ แล้วเจ้ารินจะเป็นยังไงบ้างนะ เจ้ารินจะรู้สึกเหมือนข้ารึเปล่า? รู้สึกถึงความแปลกไปของเส็ตโชมารู..
มันเดินตามหลังเจ้านายมันซักพักจนมาถึงลานหน้าปราสาท มันถอนหายใจก่อนจะเอ่ยถามอย่างจริงจัง ถึงสิ่งที่เจ้านายของมันจะทำต่อจากนี้
“ท่านเส็ตโชมารูขอรับ”
“อะไร!”
“ท่านจะเอาบ่าวคนนั้นกลับไปปราสาทด้วยจริงๆ รึขอรับ?”
“หุบปากซะ จาเค็น อย่าให้ข้าได้ยินว่าเจ้าเรียกนางว่าบ่าวเช่นนี้อีก ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
“...” จาเค็นเบิกตากว้างอย่างตกใจในคำพูดของเจ้านาย นี่ไม่ใช่เจ้านายของมันจริงๆ ด้วย เส็ตโชมารูคนที่หายใจเข้าออกก็เป็นริน ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว แต่แล้วบ่าวสาวคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้น พลางเกี่ยวแขนเส็ตโชมารูไว้แน่น ก่อนจะหันมาหามัน
“ถ้าไม่รู้ว่าจะเรียกข้าว่าอะไร ก็เรียกข้าว่าท่านคาโอริสิ เรียก!!” สิ้นเสียงนั้น กลิ่นหอมหวนก็ลอยเตะจมูกของจาเค็น กลิ่นนั้นพลางทำให้สติขาวโพลนราวกับถูกสะกดจิต ก่อนที่จาเค็นจะพูดออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว
“ขอรับ ท่านคาโอริ”
ไม่นานนักจาเค็นก็คืนสติได้ เหมือนความจำมันหายไปช่วงหนึ่ง เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นนะ แล้วเส็ตโชมารูกับบ่าวคนนั้นหายไปไหน ถ้าลงไปปราสาทจริงๆ แล้วเจ้ารินล่ะ? จาเค็นได้แต่เดินกระวนกระวายอยู่ลานหน้าปราสาทนั้น ก่อนที่จะต้องทำใจเพราะยังไงมันก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี แต่อย่างน้อยๆ ก็ขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรเลย..
-------------------------------------------------
ณ ปราสาทอะจิไซ
รินกับมาซาฮิโระเดินทางกลับมาถึงปราสาทพร้อมกับอาชาสวรรค์พาหนะคู่ใจของชายหนุ่ม โดยที่หอบหิ้วผักผลไม้ และของป่าหลายต่อหลายมัดที่ได้มาเป็นของตอบแทน จากการที่พบคนบาดเจ็บในป่าระหว่างทาง รินจึงช่วยรักษาและพาไปส่งที่หมู่บ้าน ซึ่งสำหรับมาซาฮิโระแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเมื่อก่อนที่เคยได้มาส่งริน ระหว่างทางรินก็มักจะช่วยเหลือคนอื่นแบบนี้เสมอ
“สมกับเป็นท่านรินนะครับเนี่ย ได้ของกินมาเยอะเลย” มาซาฮิโระพูดพลางยิ้มให้ริน
“ข้าว่าเยอะไปด้วยซ้ำนะคะ” รินพูดแล้วลงจากหลังของอาชาสวรรค์ ที่ย่อตัวลงอย่างนอบน้อม เพื่อให้รินลงได้ง่ายขึ้น ก่อนที่รินจะพยายามยกมัดผักผลไม้ที่อยู่บนหลังของมัน เพื่อเอาเขาไปในปราสาท แต่ก็หนักใช่เล่นจนรินเดินเซเล็กน้อย
“ให้ข้าช่วยดีกว่านะครับ” มาซาฮิโระรีบเดินเขาไปประคองรินที่กำลังเซนั้นทันที ก่อนจะรับมัดผักนั้นมาถือเอง
“ขอบคุณนะคะ” รินรีบผละออกทันทีที่ชายหนุ่มมาประคอง อาจจะเพราะเป็นปฏิกิริยาของสตรีที่มีสามีแล้ว ที่ไม่อยากให้ชายอื่นแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่จำเป็น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจแต่อย่างใด
“ท่านเข้าไปพักผ่อนในปราสาทก่อนเลยครับ ของพวกนี้เดี๋ยวข้าจะถือเข้าไปให้เอง”
รินพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในปราสาท เพื่อมองหาสามีที่เธอแสนจะเป็นห่วงว่ากลับมาหรือยัง รินเดินเข้ามาจนถึงสะพานข้ามบ่อเล็กๆ ในปราสาท ก็เห็นสามีคนที่เธอห่วงหาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน แต่...กลับกำลังเดินโอบไหล่สตรีนิรนามผู้หนึ่งอยู่อย่างอ่อนโยน รินอึ้งหนัก พลางมองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะเอ่ยเรียกสามีด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“ท่าน..เส็ตโช..มา..รู..”
ลมที่พัดมาเบาๆ พัดพาเอาเสียงที่สั่นเครือนั้นให้ไปกระทบใบหูของอสูรหนุ่ม เส็ตโชมารูปรายตามองตามเสียงนั้น ก่อนจะปล่อยแขนแกร่งออกจากไหล่ของคนที่พามาด้วย แล้วเดินขึ้นมาบนสะพานเพื่อให้เห็นคนที่เอ่ยชื่อเขาชัดขึ้น
“เจ้าเป็นใคร?!”
“...” เสียงอันเยือกเย็นประจำตัว เป็นเสียงที่ไม่เคยถูกใช้พูดกับริน รินแทบจะกลืนน้ำลายลงคอที่ได้ยิน ไม่ใช่เพราะน้ำเสียง แต่เพราะ...คำพูดที่เอ่ยออกมา เส็ตโชมารูคนเดิมของเธอหายไปไหน...
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร? เข้ามาในปราสาทของข้าทำไม?!!” น้ำเสียงเยือกเย็นนั้นหนักแน่นขึ้น เป็นคำถามที่ทำให้รินแทบจะทรุดลงไปกับพื้นได้ไม่ยาก
“รินไงคะ ท่าน..เส็ตโชมารู จำริน..ไม่ได้หรือคะ…” เสียงสั่นเครือของริน เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา น้ำสีใสไหลคลอนัยน์ตาสีน้ำตาล แต่ก็ไม่ไหลลงมาอาบแก้มสีชมพูนั้นแต่อย่างใด
อสูรหนุ่มครุ่นคิดชื่อนั้นในสมองอยู่พักหนึ่ง รินหรอ? ทำไม..เหมือนเคยได้ยินที่ไหน? แล้วข้าจะไปรู้จักกับมนุษย์ได้ยังไง? อสูรหนุ่มสับสนอย่างหนัก ก่อนจะตอบเสียงเข้มใส่รินไป
“ริน...ใคร?...ข้าไม่รู้จักทั้งนั้น!!”
อสูรสาวที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังอสูรหนุ่มเริ่มรู้สึกกังวล เกรงว่าถ้าเส็ตโชมารูจำรินได้ขึ้นมา แผนของเธอก็จะพัง แถมเธออาจจะไม่ได้ตายดีอีกด้วย
รินค่อยๆ เดินขึ้นไปบนสะพาน เพื่อจะเข้าใกล้อสูรหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยพูดกับเขาอีกครั้ง
“ท่าน..เส็ตโชมารู รินไงคะ.. รินเอง.. ได้โปรด..อย่าทำแบบนี้… อย่าลืมรินแบบนี้...”
มือขวาน้อยๆ ของริน ค่อยๆ เอื้อม หมายจะสัมผัสใบหน้าที่แข็งกร้าวของอสูรหนุ่ม รินเอ่ยพูดแล้วสบนัยน์ตาสีอำพันนั้นอย่างอ้อนวอน เส็ตโชมารูยืนนิ่ง มองกลับไปที่รินด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง อสูรสาวเริ่มดูท่าไม่ดีจึงคิดจะใช้มนตร์กับเส็ตโชมารูให้แรงขึ้น และกำลังจะร่ายมนตร์แต่ทว่า...
เพี๊ยะ!!
หยดน้ำตาที่ไม่ได้อาบรดแก้ม แต่หากล่วงหล่นลงพื้นไม้ของสะพานนั้นราวกับเม็ดฝน มือน้อยถูกปัดออกด้วยมือแกร่งนั้นอย่างไม่ใยดี เสียงปัดดังพอที่จะทำให้คนที่แบกข้าวของตามหลังรินมาได้ยินอย่างชัดเจน คนถูกปัดนั้นแทบล้มเซ แรงปัดนั้นทำให้เข้าใจดีว่าคนตรงหน้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว.. อสูรสาวยืนมองเหตุการณ์อย่างพึงใจ พรางแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าหมั่นไส้
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแตะต้องตัวข้า”
“ท่านรินเกิดอะไรขึ้นครับ?” มาซาฮิโระรีบวิ่งมาที่ต้นเสียง แค่เพียงมองรินเท่านั้น เขาก็รับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างได้ทันที
“ได้โปรด…” เสียงสั่นเครือนั้นอ้อนวอนอีกครั้ง แต่ไม่เป็นผล เส็ตโชมารูเบือนหน้าหนีเธอทันที แค่เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจของรินแทบแตกสลาย ชายหนุ่มที่มองรินนั้นแทบคลั่ง กัดฟันกรอด ที่เห็นรินเจ็บถึงเพียงนี้
ผัวะ!!!
หมัดขวาของชายหนุ่มถูกชกเข้าที่ใบหน้างามนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เลือดสีแดงฉานซึมออกจากมุมปากเรียวนั้น อสูรหนุ่มใช้นิ้วปาดเช็ดอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนที่มือทั้งสองของชายหนุ่มจะกำแน่นไปที่คอเสื้อกิโมโนของเส็ตโชมารู
“แก!! ไอ้สารเลว!! แกทำกับท่านรินแบบนี้ได้ยังไง! ทำได้ยังไง!!!” เขาพูดอย่างโมโหพลางกำหมัดอีกครั้ง
“พอเถอะค่ะท่านมาซาฮิโระ…” รินเอ่ยห้ามไว้ ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ อย่างอ้อนวอน
“พวกแก เป็นมนุษย์สินะ ข้าเกลียดมนุษย์ ออกไปให้ห่างๆ ข้า ไม่งั้นจะฆ่าพวกเจ้าซะ!!” ่
“...” มาซาฮิโระคลายมือออกจากคอเสื้อของอสูรหนุ่ม ก่อนจะถอยไปยืนอยู่ข้างหน้าริน
“ออกไปจากปราสาทของข้าเดี๋ยวนี้!!”
“...” ฝันของรินเป็นจริงเสียแล้ว เสียงในฝันนั่นคือเสียงของเขาจริงๆ ข้าถูกไล่ออกจากปราสาทสินะ น่าขำสิ้นดีทั้งทีเคยบอกว่าเป็นปราสาทของข้า แต่ข้าก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นของข้าอยู่แล้ว จะจากไปก็ไม่ได้เสียดายอะไร.. รินได้แต่คิดพลางมองไปรอบปราสาทที่เธอรักเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าบอกให้ออกไป!!!”
รินปาดน้ำตาพลางปรายตามองใบหน้างามนั้นอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะหันหลังเดินจ้ำอ้าวออกไปโดยไม่กล่าวอะไรอีก มาซาฮิโระเองก็จ้องนัยน์ตาสีอำพัน และอสูรสาวตนนั้นอย่างโกรธแค้น เมื่อเห็นรินเดินออกไป เขาก็รีบเร่งฝีเท้าตามรินออกไปเช่นกัน
แปลกดีที่เส็ตโชมารูไม่แม้แต่จะโต้ตอบหมัดนั้นกลับไป เพียงแต่ไล่ให้ออกไปเท่านั้น พอเห็นใบหน้าของสตรีชาวมนุษย์คนนั้น ทำไม...ข้าไม่กล้าแม้แต่จะทำอะไร นางเป็นใครกัน…
มาซาฮิโระเดินออกมาหน้าปราสาท ก็พบว่ารินหายไป… เขาเดินวนหารินรอบปราสาทแต่ก็ไม่พบ ยิ่งค่ำมืดเช่นนี้ยิ่งร้อนรน ทางที่ยังไม่ได้หาก็มีเพียงแค่ในป่าเท่านั้น ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปในป่าทันที ไม่นานเสียงสะอื้นที่ดูจะพยายามกลั้นก็ดังเข้าหูของชายหนุ่ม เขาเดินไปตามเสียงนั้น แล้วก็พบ…
รินนั่งก้มหน้ากอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เสียงสะอื้นอย่างเจ็บปวดดังออกมาไม่หยุด ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มแทบทรุด เขาไม่อยากเห็นรินเป็นแบบนี้ มาซาฮิโระเดินตรงไปหารินอย่างเบาๆ ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของริน รินเงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างช้าๆ น้ำตามากมายบนใบหน้าทำให้ชายหนุ่มแทบขาดใจ ยิ่งรินเจ็บมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเจ็บกว่าที่ไม่สามารถช่วยอะไรคนตรงหน้าได้เลย ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือแกร่งนั้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของรินอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยปลอบ
“อย่าร้องเลยนะครับท่านริน น้ำตาไม่เหมาะกับท่านรินหรอกครับ”
ชายหนุ่มเริ่มใจชื้นขึ้น เมื่อคำปลอบของเขาทำให้สาวน้อยตรงหน้าเริ่มลดเสียงสะอื้นลง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่เขาคิดอยู่ทันที
“ถ้าท่านรินยังไม่มีที่ไป ได้โปรด..ไปอยู่กับครอบครัวของข้านะครับ ทุกคนยินดีต้อนรับท่านรินเสมอ” เขาพูดพลางยิ้มให้รินอย่างจริงใจ
รินครุ่นคิดในคำพูดของชายหนุ่ม ตอนนี้เธอเองก็ไม่มีที่ไปจริงๆ จะกลับไปที่หมู่บ้านเดิมนั้นก็ไกลนัก ถ้าจะต้องมาที่ถ้ำจอมเวททุกวัน วันๆ คงจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินทาง แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะยังอยากไปฝึกเวทอีกหรือเปล่า เพราะถึงเธอจะมีพลัง แต่เธอก็ไม่มีใครให้ปกป้องอีกแล้ว...
“ข้าไม่อยากอ่านใจท่านหรอกนะครับ ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าท่านจะคิดอะไรอยู่ แต่ข้า...อยากให้ท่านไปกับข้า ไปเถอะนะครับ..” เขาพูดขึ้นเพราะเห็นรินเงียบไปนาน หลังจากสงครามโทรจิตครานั้น มาซาฮิโระก็พยายามไม่อ่านใจริน โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว รินจะได้สบายใจเวลาอยู่กับเขา เขาเองก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บใจในเรื่องบางเรื่องด้วย รินมองหน้าชายหนุ่ม นัยน์ตาสีไพลินนั้นฉายให้เห็นแต่ความจริงใจอันแรงกล้า จนในที่สุดรินก็ตัดสินใจ
“ค่ะ..รินจะไปกับท่าน”
-------------------------------------------------
จบตอนที่ 11
“ท่านเส็ตโชมารู” รินยิ้มให้อสูรหนุ่ม
“เจ้ารอข้านานรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ รินออกมาเมื่อครู่เอง”
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
“เอ่อ...ท่านเส็ตโชมารูคะ”
“อะไรรึ?”
“รินอยากไปเยี่ยมสุสานท่านคาเอเดะน่ะค่ะ ให้รินไปได้ไหมคะ?”
“ได้สิ ข้าจะไปด้วย”
รินและเส็ตโชมารูขี่อะอุนทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านของมนุษย์ที่คุ้นเคยดี เมื่อถึงที่หมายทั้งคู่ก็บังคับอะอุนลงไปที่ป่าใกล้ๆ ก่อนจะลงจากหลังของอะอุน โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
“งั้นท่านรอที่นี่นะคะ เดี๋ยวรินกลับมา ไม่นานหรอกค่ะ”
“อืม”
อสูรสาวผมยาวสลวยสีขาวสะอาดตา กับนัยน์ตาหวานสีทอง และริมฝีปากสีชาด สวมชุดกิโมโนที่ดูก็รู้ว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ กำลังยืนซุ่มมองอสูรหนุ่มอยู่หลังต้นไม้ในป่าหนาทึบอย่างเงียบเชียบ
“ท่านผู้นี้รึชื่อเส็ตโชมารู รูปงามสมคำล่ำลือในหมู่ปีศาจจริงๆ”
เปรี้ยง!!
แซ่พิษถูกเรียกใช้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่อสูรหนุ่มรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ด้านหลัง แต่ก็ยังรวดเร็วไม่เท่าผู้ที่ถูกโจมตี ที่บัดนี้หายตัวไปเสียแล้ว
“หึ! หนีไปได้งั้นรึ?” เขาสบถพลางเหลือบมองทางด้านหลัง แต่ทางด้านหน้าสาวน้อยผู้เป็นภรรยาก็เดินกลับมาจากการไปเยี่ยมสุสานเรียบร้อยแล้ว เห็นสามีท่าทางแปลกๆ จึงเอ่ยถาม
“ท่านมองหาอะไรงั้นหรือคะ?”
“เปล่าหรอก ไปกันได้แล้ว”
“ค่ะ”
-------------------------------------------------
ณ ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ ที่นอกจากทางฝั่งตะวันตกจะมีอาณาจักรสุนัขอสูรจิ้งจอกเงินที่ยิ่งใหญ่แล้ว ทางฝั่งตะวันออกนั้น ก็มีอาณาจักรสุนัขอสูรจิ้งจอกขาวจากแผ่นดินใหญ่ ที่มีความยิ่งใหญ่ไม่ย่อหย่อนไปกว่ากันเลย แต่หากนั่นเป็นเรื่องจริงเมื่อนานมาแล้ว ปัจจุบันอาณาจักรนี้เสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากปัญหาภายในที่หัวหน้าเผ่าเองไม่มีบุตรชายสืบทอดราชบัลลังก์ ส่วนลูกสาวที่มีมากมายนั้นก็ได้คู่ครองที่เป็นมนุษย์ไปเสียหมดทุกคน ถึงอาณาจักรนี้จะถือครองดินแดนในแถบตะวันออกอยู่มากดังเดิม แต่เผ่าที่ขาดผู้ที่จะมาเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูอาณาจักรเช่นนี้ ถ้าถูกรุกรานขึ้นมา ก็มิอาจจะต่อกรใดๆ ได้เช่นกัน เพราะแม่ทัพที่เคยแข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดสามารถล้มได้ บัดนี้ก็ชราภาพไปเต็มทีแล้ว
ประตูหน้าปราสาทถูกเปิดออก ปรากฏร่างอสูรสาวนัยน์ตาสีทอง กำลังย่างก้าวเข้ามาในปราสาทอย่างสง่างาม ท่ามกลางข้ารับใช้ที่ก้มเคารพขนาบอยู่ทั้งสองข้างทาง บ่งบอกฐานะองค์หญิงที่ยิ่งใหญ่ของเธอ อสูรสาวเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าบัลลังก์สีทองอันโอฬาร ก่อนจะนั่งลงเพื่อเคารพผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นอย่างนอบน้อม อสูรสูงวัยนัยน์ตาสีทอง ที่มีใบหน้าราวกับถอดพิมพ์เดียวกันมากับคนตรงหน้า ติดจะแตกต่างก็เพียงเพศและความชราภาพเท่านั้น
“ไงล่ะ คาโอริ ได้ทำตามที่ข้าสั่งหรือยัง?” อสูรสูงวัยเอ่ยถามลูกสาวคนสุดท้องของตระกูล
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้าเห็นอสูรที่ชื่อเส็ตโชมารูนั่นแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าข้าได้ข่าวมาแว่วๆ ว่าเส็ตโชมารูนั่น แต่งงานไปแล้วนะเจ้าคะ แถมยังเป็นมนุษย์อีกด้วยเจ้าค่ะ”
“เรื่องนั้นข้าไม่เห็นรู้มาก่อน เจ้านั่นมันเกลียดมนุษย์ไม่ใช่รึไงกันนะ? หึ! แต่แบบนี้สิถึงจะสนุก! มนุษย์งั้นรึ? มันก็แค่มนุษย์ งั้นก็ดี จัดการเอามันมาเป็นของเจ้าให้ได้ ทำวิธีใดก็ได้ ให้มันแต่งตั้งเจ้าให้เป็นชายาแทนมนุษย์นั่น เพื่ออาณาจักรของเรา”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
-------------------------------------------------
ณ ปราสาทอะจิไซ
**********
“ออกไปจากปราสาทของข้าเดี๋ยวนี้!!”
“...”
“ข้าบอกให้ออกไป!!!”
**********
“ฝันแบบนี้อีกแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นอีกรึเปล่านะ?...” รินลืมตาตื่นอย่างเงียบๆ แล้วคิดในใจพลางหันไปมองใบหน้ายามหลับของสามีที่นอนอยู่ฟูกข้างๆ อย่างกังวลใจ ทุกครั้งที่ฝันมักไม่ใช่เรื่องดี รินได้แต่นอนคิด ก่อนจะข่มตาหลับลงไปอีกครั้ง
-------------------------------------------------
ณ ถ้ำจอมเวท
“ตอนเย็นข้าจะมารับเหมือนเดิม” อสูรหนุ่มพูดพลางมองมาซาฮิโระที่ยืนอยู่ปากถ้ำนอกเขตอาคม จนรินเองต้องมองตามอย่างสงสัยว่าทำไมทั้งสองถึงต้องจ้องกันราวกับจะฆ่ากันให้ตายแบบนั้นด้วย แต่ก็ปล่อยผ่านไป เพราะตอนนี้ก็ยังไม่ได้จะฆ่ากัน คงไม่ต้องใส่ใจมาก
“ค่ะ ท่านเส็ตโชมารู” พูดจบอสูรหนุ่มก็ขี่อะอุนทะยานขึ้นฟ้าไปเหมือนกับทุกครั้ง รินเดินเข้าไปทักทายบุคคลที่มักจะรอเธออยู่ปากถ้ำเป็นประจำทุกวัน ด้วยน้ำเสียงที่สดใส
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านมาซาฮิโระ”
“อรุณสวัสดิ์ครับท่านริน ท่านพ่อเรียกหาแหนะครับ”
“มีเรื่องสำคัญอะไรรึเปล่าคะ?” รินสงสัย
“มีแน่นอนครับ ตามข้ามาสิครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้ พร้อมกับผายมือเชื้อเชิญรินเข้าไปด้านในถ้ำ เดินมาไม่นานก็ปรากฏพบชายชราที่คุ้นเคย นั่งอยู่กับสาวน้อยผู้เป็นลูกสาว พร้อมกับกล่องกำปั่นขนาดไม่ใหญ่มากสีทองอร่าม วางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงใหญ่
“อ้าว เจ้าริน มาแล้วรึ? มานี่ซิ” ชายชราเอ่ยทัก
“นี่..อะไรคะ?” รินนั่งลงบนเบาะตรงข้ามกับวากานะ แล้วชี้ไปที่กล่องอย่างสงสัย
“นี่เป็นกำปั่นที่ใช้เก็บอัญมณีที่ไว้ใช้ถ่ายทอดพลังเวทเหมือนกับของข้า” ชายชราพูดพลางชี้ไปที่อัญมณีทรงกลม ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นมือไม่มาก และไม่มีสี บนคฑาของตน ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัญมณีที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นั่นคือศิลาคงโง(เพชร)
“เอ๊ะ? นี่ไม่ใช่คฑาหรอคะ?”
“ตัวคฑาน่ะข้าทำขึ้นมาทีหลัง เพราะอัญมณีมันใหญ่ แล้วข้าต้องเก็บเอาไว้ไม่ให้ห่างตัว แท้จริงแล้วพลังมันอยู่ในนี้ต่างหาก ของวากานะกับมาซาฮิโระก็มีนะ” ชายชราพูด พลางหันมองบุตรทั้งสอง เพื่อบอกให้หยิบอัญมณีของแต่คนให้รินดู
วากานะล้วงหยิบสร้อยที่คล้องคอในกิโมโนออกมาให้รินดู สร้อยนั้นมีอัญมณีสีม่วง(อเมทิสต์) ทรงกลม ขนาดเท่าลูกนัยน์ตา ส่วนมาซาฮิโระก็หยิบดาบที่เหน็บข้างเอวของตนออกมา อัญมณีสีเขียว(มรกต) แท่งยาว ถูกพันไว้ด้วยผ้าและหนังสัตว์ เพื่อทำเป็นที่จับดาบคู่กายของเขา
“พวกข้าเป็นตระกูลจอมเวทอยู่แล้ว พลังในตัวของพวกข้ามันก็มีตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้คฑาเหมือนนักเวททั่วไป แต่ก็ต้องมีอัญมณีนี้ไว้ใช้กักเก็บพลังเวท เผื่อยามจำเป็นครับ” ชายหนุ่มอธิบายให้รินฟัง
“แต่เจ้าไม่เหมือนพวกข้า...แต่กลับมีพลังมากมาย นั่นคงจะเป็นโชคชะตาบางอย่าง เจ้าถึงได้รับพลังนั้นมา” ชายชราเอ่ยทัก
“โชคชะตาหรอคะ?”
“พวกที่มีพลังเวทมักจะมีความสามารถพิเศษบางอย่างติดตัวมาด้วย อย่างของมาซาฮิโระก็สามารถอ่านความคิด แล้วก็มองอดีตใครก็ได้ ถ้าอยากจะทำ ส่วนวากานะนางน่ะสามารถคลายมนตร์ชั่วร้ายได้ แล้วก็ทำให้คนที่ใกล้ตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ แต่ก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และต้องใกล้จะตายเท่านั้นด้วย”
“โห สุดยอดเลยนะคะ” รินพูดพลางเบิกตากว้างอย่างสนใจในพลังของทั้งคู่ โดยเฉพาะพลังของวากานะ ที่เธอเองก็พึ่งรู้วันนี้ แต่แล้วเธอก็ต้องกลับมาสงสัยกับคำถามของชายชราอีกครั้ง
“แล้วเจ้าล่ะริน”
“เอ๊ะ?”
“เจ้าไม่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเจ้าบ้างรึ?”
“...” รินครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธอฝัน ฝันที่มักจะเป็นลางบอกเหตุของเธอ มันจะเกี่ยวอะไรกับพลังรึเปล่านะ? แต่แล้วมาซาฮิโระก็พูดสิ่งที่เธอกำลังคิดออกมา
“ฝันของท่านรินอาจจะเป็นลางบอกเหตุ พูดง่ายๆ คือ ท่านรินมีญานหยั่งรู้ สามารถล่วงรู้อนาคต โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เลวร้าย หรือเหตุการณ์ที่เป็นอันตราย ข้าว่านั่นคงจะเป็นความสามารถพิเศษของท่านรินครับ” เขาพูดแล้วยิ้มพลางมองไปที่ริน
“เอ่อ..ค่ะ..” รินมองกลับอย่างอึ้งๆ เล็กน้อย ที่มาซาฮิโระยังสามารถอ่านใจเธอได้ฉมังดีเหมือนเดิม
“งั้นก็ดี มาเลือกอัญมณีของเจ้าเถอะ จริงๆ แล้วนี่เป็นของตระกูลของข้า แต่สำหรับศิษย์เอกของข้า ข้าจะมอบให้ซักอัน จะได้มีไว้ใช้ไม่ต้องไปตามหาเอง เพราะมันก็คงจะหายากน่าดู” ชายชราพูดพลางเปิดกล่องกำปั่นนั้นอย่างเบามือ
เมื่อเปิดออกก็พบอัญมณีขนาดเท่าๆ กันกับของวากานะ วางเรียงกันอยู่สามชิ้น บนผ้ากำมะหยี่สีแดงสด รินมองความสวยงามของมันอยู่ซักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบชายชราตรงหน้า
“แต่รินเกรงใจหนิคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะท่านริน ท่านพ่อน่ะถ้าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว” วากานะบอก
“อธิษฐานสิครับ เหมือนกับที่ท่านเคยเลือกคฑาเวท” มาซาฮิโระพูดบอกรินอีกคน
รินพยักหน้ารับ ก่อนจะหลับตา แล้วตั้งสมาธิ ไม่นานแสงสว่างก็ปรากฏจนเล็ดรอดเข้าไปในเปลือกตาที่ปิดอยู่ของริน เมื่อรินลืมตาสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ อัญมณีสีรุ้ง(โอปอล์) ทรงรี ลอยอยู่เบื้องหน้า พร้อมส่องประกายสวยงามระยิบระยับ รินเอื้อมมือไปหยิบสิ่งนั้นมาไว้ในมือ แต่ขนาดของมันดูจะใหญ่ขึ้นมาหน่อยพอมาอยู่ในมือของเธอ
“สวยจังเลยค่ะ...”
“อืม..ก็เหมาะกับเป็นเจ้าดี ถ้าฝึกฝนเรื่อยๆ อัญมณีนั้นก็จะใหญ่ขึ้นจนพอๆ กับของข้าเลยล่ะนะ” ชายชราพูด
“จริงหรอคะ?” รินถามอย่างสนใจ
“จริงสิครับท่านริน” มาซาฮิโระตอบ
“งั้นก็ฝึกเลยแล้วกัน ฝึกทำกับข้าวให้ข้า เพราะข้าเริ่มจะหิวแล้ว ฮ่าๆ เอาฝีมือเจ้านะเจ้าริน รสมือเจ้าดีข้าชอบ” ชายชราพูดพลางขำเบาๆ แต่ลูกสาวของเขาดูท่าจะไม่ขำด้วย
“เอ๊ะ? ท่านพ่อหมายความว่าข้ารสมือแย่รึคะ?” วากานะหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อถาม พลางมองไปที่บิดาของตนอย่างสงสัย
“ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้นซักนิด ไปๆ แยกย้ายไปทำได้แล้ว” ชายชราพูดก่อนจะเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไป ปล่อยให้ทั้งสามยืนมองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนที่สาวๆ จะแยกย้ายกันไปทำอาหาร ส่วนมาซาฮิโระก็เดินตามบิดาออกไป
-------------------------------------------------
ณ ปราสาทของอาณาจักรสุนัขอสูรจิ้งจอกเงิน
เส็ตโชมารูนั่งอ่านสาส์นตั้งแต่เช้า จนตอนนี้เข้าสู่เที่ยงวันแล้ว เขาเองไม่มีท่าทีที่จะหยุดอ่านเลยซักนิด อาจจะเพราะมีจุดมุ่งหมายเป็นภรรยาสาวที่ตอนนี้อยู่ที่ถ้ำจอมเวทกับคนที่มักจะทำให้เขาหงุดหงิดทุกครั้งเวลาเจอหน้า จนพักหลังๆ มา เขาเองก็เหมือนจะมีความสามารถพิเศษใหม่ นั่นคือสามารถสะสางกองสาส์นที่มากมายตรงหน้าได้ในเวลาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น เพราะอยากจะลงไปรับภรรยากลับปราสาทแทบใจจะขาด ก่อนที่มาซาฮิโระจะทำอะไรรินตอนที่เขาไม่อยู่
แต่วันนี้กองสาส์นมันดันมากกว่าทุกวัน เพราะมีของนายหญิงของปราสาท ที่บัดนี้เดินทางกลับไปที่บ้านเกิดทางเหนือ กว่าจะกลับมาก็คงอีกหลายเดือน เขาเองได้แต่ถอดถอนใจ ที่จะต้องรับภาระที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขามาเพิ่มอย่างปฏิเสธไม่ได้
จาเค็นที่ช่วยงานอยู่ในห้องทำงานเห็นท่าทีเจ้านายดูเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะกลัวจะไปรบกวนสมาธิในการอ่านสาส์น แต่แล้วมันก็ได้กลิ่นบางอย่างมาจากหน้าประตูห้องทำงาน จาเค็นจึงเดินออกไปดู ก็พบบ่าวไพร่คนหนึ่งที่มันเองก็ไม่คุ้นหน้ายกอาหารว่างมา ทั้งที่เจ้านายหรือมันเองก็ไม่ได้สั่ง
“แต่จะว่าไปท่านเส็ตโชมารูก็ดูจะอ่อนล้า ไปบอกท่านดีไหมนะ? เผื่อท่านอยากจะรับซักหน่อย” จาเค็นคิดพลางเดินกลับไปหาเจ้านายของมัน
“เอ่อ..ท่าเส็ตโชมารูขอรับ”
“อะไร” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“คือ..ข้ารับใช้ยกน้ำชากับขนมมาให้ขอรับ ท่านจะรับไหมขอรับ”
“...” ความเงียบเป็นสัญญาณที่คนสนิทอย่างจาเค็นรู้ดีว่าเส็ตโชมารูปฏิเสธแน่นอน เพราะตั้งแต่รินทำอาหารให้เขาทาน เส็ตโชมารูก็ไม่เคยรับอาหารที่นี่เลยซักครั้ง มันจึงตัดสินใจเดินไปที่ประตูเพื่อบอกให้บ่าวเอาอาหารว่างนั้นกลับไป
เส็ตโชมารูไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากกองงานตรงหน้า แต่ทว่า...กลิ่นแบบนี้..หอมเหมือนกับอาหารของริน...กลิ่นนั้นเกิดทำให้เขาอยากอาหารขึ้นมาเสียเฉยๆ ฉับพลันเขาก็เอ่ยเรียกจาเค็นก่อนที่มันจะเดินไปถึงประตู
“จาเค็น!”
“ขอรับ”
“ให้เอาเข้ามาได้” จาเค็นอึ้งกับการกระทำของเจ้านาย แต่ก็ไม่ได้กล่าวท้วงอะไร พลางเดินไปที่ประตู เพื่อบอกให้บ่าวยกอาหารว่างเข้ามา
ข้ารับใช้สาวคลานถือถาดที่มีขนมและน้ำชาเข้ามาอย่างช้าๆ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานของเส็ตโชมารูมากนัก
“นี่เจ้าค่ะ”
“ออกไปได้แล้ว ทั้งคู่!”
“เอ่อ...ขอรับ/เจ้าค่ะ”
เส็ตโชมารูลุกจากโต๊ะทำงานมานั่งตรงโต๊ะเล็ก ที่บัดนี้มีขนมและน้ำชาที่เป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคย แต่เมื่อมองดูแล้วทั้งขนมและน้ำชานั้นก็ดูจะธรรมดาๆ ไม่เหมือนกับของที่รินทำ แต่ทำไม..กลิ่นนี้มันถึง..
เขายกชาขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ เพียงแค่จิบเดียวเท่านั้น มันทำให้ความรู้สึกของเขาราวกับต้องการอะไรบางอย่าง และพร้อมที่จะลืมเลือนบางอย่าง โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่นานน้ำชาและขนมก็ถูกนำเข้าปากเรียวนั้นจนหมดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ก่อนที่สุดท้ายเส็ตโชมารูจะฟุบหลับบนโต๊ะเล็กนั้นไปในที่สุด
ข้ารับใช้สาวคลานออกจากห้องทำงานมา แล้วเดินอยู่แถวระเบียงทางเดิน ชุดบ่าวที่สวมนั้นกลายกลับไปเป็นกิโมโนเนื้อดีที่สวมใส่ประจำ อสูรสาวนัยน์ตาสีทอง ริมฝีปากสีชาดนั้นแสยะยิ้มอย่างพึงใจในแผนที่วางไว้
“อีกไม่นานหรอก ท่านเส็ตโชมารู ท่านจะได้เป็นของข้า แล้วอาณาจักรของท่านพ่อจะได้กลับมายิ่งใหญ่ดังเดิมเสียที”
-------------------------------------------------
ณ ถ้ำจอมเวท
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านริน วันนี้มาเร็วจังเลยนะคะ”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เอ่อ...พอดีวันนี้ท่านเส็ตโชมารูท่านรีบๆ น่ะ ท่านก็เลยมาส่งเร็วหน่อย” รินตอบอย่างเลี่ยงๆ
“คงจะรีบน่าดูเลยนะเนี่ย นี่ยังไม่ทันจะเช้าดีเลย” วากานะคิดในใจพลางมองออกไปนอกถ้ำ ที่ท้องฟ้ายังไม่ทอแสงตะวันใดๆ
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เส็ตโชมารูมีท่าทีที่แปลกไป ถึงเขาจะยังมารับมาส่งรินตามปกติ แต่เขาแทบจะไม่พูดคุยกับเธอเลย เมื่อกลับถึงปราสาทเขาจะอาบน้ำแล้วเข้านอนก่อนเธอ รุ่งเช้าเขาจะตื่นก่อนเธอ ไม่ทานอาหารเช้าแบบที่เธอเคยทำให้ทุกวัน แต่กลับนั่งเหม่อลอย ถามอะไรก็เงียบ ราวกับมีเพียงแค่ร่างแต่ไร้ซึ่งวิญญาณมาสถิตย์ เธอเองก็อยากจะถามจาเค็นคนสนิทที่น่าจะรู้อาการของเจ้านายของมัน แต่ก็ไม่ได้กลับมาที่ปราสาทอะจิไซเลย อาจจะเพราะเส็ตโชมารูให้เฝ้าปราสาทใหญ่ไว้ เพราะนายหญิงของปราสาทไม่อยู่ ยิ่งวันนี้ยิ่งรู้สึกว่าแปลกกว่าทุกวัน ที่ดูรีบและร้อนรน มาส่งเธอทั้งที่ตะวันยังไม่ทันจะขึ้นจากขอบฟ้าดี หรือว่าที่ปราสาทใหญ่มีอะไรรึเปล่านะ?
“แล้วท่านอาจารย์ กับท่านมาซาฮิโระล่ะ”
“ท่านพ่อนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องเวทน่ะค่ะ ท่านทำทุกวันอยู่แล้ว ส่วนท่านพี่อีกใกล้ๆ เช้าก็จะออกมาจากห้องเองแหละค่ะ เวลาประจำอยู่แล้ว”
“เวลาประจำ?” รินขมวดคิ้วสงสัย
“ก็เวลาที่ท่านรินจะมาไงล่ะคะ” วากานะยิ้ม
“งั้น..หรอ?” รินพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“ท่านรินเนี่ยเป็นคนที่วิเศษไปเลยนะคะ ที่ทำให้ท่านพี่ของข้าที่จากเป็นคนเงียบๆ พูดมากได้ขนาดนี้”
“ท่านมาซาฮิโระเนี่ยนะเป็นคนเงียบๆ” รินแทบไม่เชื่อ เพราะปกติก็เห็นเขาออกจะพูดมากเสียด้วยซ้ำ
“จริงๆ นะคะ ขนาดกับข้าเองท่านพี่ยังพูดแทบจะนับคำได้ ไม่ว่าลูกศิษย์ของท่านพ่อจะมาซักกี่คน ท่านพี่ก็ไม่เคยสนใจ ออกจะเก็บตัวอยู่แต่ในถ้ำเสียด้วยซ้ำ”
“...” รินตั้งใจฟังที่วากานะพูดอย่างเงียบๆ
“แต่พอท่านรินมา ท่านพี่ก็ออกมาต้อนรับท่านเองเลย แถมยังช่วยฝึกเวทให้ท่านด้วย เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นตั้งแต่เกิดมาเนี่ยแหละค่ะ” วากานะขำออกมาเบาๆ แต่การสนทนานั้นก็ต้องหยุดลง เมื่อชายที่วากานะกล่าวถึงโผล่มายืนอยู่ด้านหลังของเธอ
“อะแฮ่ม! แล้วเจ้าชอบให้ข้าเป็นแบบไหนล่ะ? แบบเงียบๆ หรือแบบพูดมาก หึ!” ชายหนุ่มนัยน์ตาสีไพลินจ้องมองน้องสาวราวกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาได้ยินที่เธอพูดทุกอย่างแล้ว
“เอ่อ...ก็ชอบทั้งคู่แหละค่ะ แล้วแต่สถานการณ์” วากานะผงะเล็กน้อยก่อนจะตอบพี่ชาย
“แต่วันนี้เจ้าน่ะพูดมากไปแล้วนะ ว่าไหมครับท่านริน” ชายหนุ่มพูด แล้วหันไปยิ้มให้ริน
“ข้าว่าก็ดีนะคะ นานๆ วากานะจะพูดซักที ดูสดใสดีออก” รินยิ้ม
“งั้นข้าไม่กวนพวกท่านดีกว่า ข้าขอตัวไปเตรียมอาหารนะคะ” วากานะพูดจบแล้วเดินออกจากตรงนั้นทันที เหลือไว้เพียงรินและพี่ชายของเขาที่กำลังแอบมองใบหน้าของรินอยู่อย่างเงียบๆ โดยที่รินกำลังมองตามหลังวากานะอยู่
“ครอบครัวของท่านดูอบอุ่นดีนะคะ” รินเอ่ยชม
“ก็เพิ่งจะมาเป็นช่วงหลังๆ นี่แหละครับ ช่วงที่ท่านรินมา ที่นี่ก็ดูครึกครื้นขึ้น วากานะเองก็คงจะอยากได้พี่สาว…”
“...” รินหันมองหน้าชายหนุ่มอย่างสงสัย
“คือ..หมายถึง..เอ่อ.. ข้ากับท่านพ่อเองก็เป็นบุรุษ ก็ไม่อาจจะเข้าใจจิตใจของอิสตรีได้ดีกว่าอิสตรีด้วยกันเองน่ะครับ” ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ เพราะคำพูดของเขาอาจจะทำให้รินจับความในใจของเขาที่มีต่อรินได้
“นั้นสินะคะ ข้าเองก็เคยมีพี่ชาย ข้าก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของวากานะดี” รินยิ้มบางๆ พลางก้มหน้าลงด้วยสีหน้าที่หมองลงเล็กน้อย
“...” มาซาฮิโระที่เห็นใบหน้าของรินก็เข้าใจทันที ความสุขที่เคยมีของรินก่อนที่พ่อ แม่ และพี่ชายจะถูกโจรป่าฆ่าตายทั้งที่เธอเองยังเด็ก มันหายไป ถึงให้นึกย้อนถึงแค่ไหนมันก็คงไม่กลับมา เมื่อรินเงยหน้าขึ้นก็พบกับชายชราที่คุ้นเคย ใบหน้านั้นกลับมายิ้มแย้มอีกครั้งก่อนจะเอ่ยทักคนตรงหน้า
“อ้าว..ท่านอาจารย์ อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“ไงเจ้าริน วันนี้จะฝึกหนักหน่อยนะ ได้อัญมณีไปแล้วต้องลองฝึกใช้ดูซักหน่อย”
“ยังไงก็ได้ค่ะ ข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”
“มาซาฮิโระก็ช่วยๆ กันหน่อยล่ะ”
“ครับ ท่านพ่อ”
รินถูกฝึกให้ใช้พลังเวทผ่านอัญมณีที่เธอได้รับ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรสำหรับรินนัก เพราะเธอเป็นคนที่เรียนรู้อะไรได้รวดเร็วอยู่แล้ว เวลาฝึกที่เนินนาน บัดนี้เข้าสู่เที่ยงวันจนจะคล้อยบ่ายแล้ว มาซาฮิโระเองก็ขอตัวแยกออกไปฝึกดาบในป่าใกล้ๆ เหลือแต่เพียงชายชราและรินที่ตอนนี้นั่งอ่านตำราเวทอยู่
“เจ้าริน” ชายชราเอ่ย
“คะ ท่านอาจารย์”
“ข้าถามเจ้าจริงๆ นะ ที่เจ้ามาฝึกใช้เวทกับข้า เจ้าจะเอาพลังไปใช้ทำอะไรรึ?”
“ข้า...อยากเอาพลังไปปกป้องท่านเส็ตโชมารูน่ะค่ะ แล้วก็ปกป้องตัวข้าเองด้วย” รินตอบในสิ่งที่เธอคิดมาตลอด
“เอาพลังไปปกป้องอสูรเนี่ยนะ! เจ้าเนี่ยคิดอะไรแปลกๆ”
“ก็ท่านลำบากเพราะข้ามามากแล้วหนิคะ ข้าก็อยากจะช่วยแบ่งเบาความลำบาก ที่ข้าเป็นคนนำพามาให้ท่านบ้าง อีกอย่างข้า..คงทนไม่ได้ที่จะเห็นท่านตายไปต่อหน้าต่อตา เพราะต้องมาคอยช่วยข้า”
“แล้วถ้าเจ้าตาย แทนที่จะเป็นคนรักของเจ้าล่ะ?” ชายชราถามเพราะอยากให้รินลองมองอีกมุม เพราะเห็นรินมักจะทุ่มเทเพื่อเส็ตโชมารูตลอด โดยที่ไม่เคยห่วงตัวเองเลย
“...” ตั้งแต่รู้ว่าชีวิตจะต้องเจอกับอะไร รินเองแทบจะไม่เคยคิดเรื่องตายเลย ว่าเธอจะตายยังไง เพราะอายุขัยของเธอก็ไม่ได้ยืนยาวอะไร ยังไงซักวันเธอก็ต้องตายอยู่ดี แต่ที่ทำมาทั้งหมดก็เพียงเพราะแค่อยากให้คนที่เธอรักมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่ต้องมาจบชีวิตลงเหมือนพ่อของเขา ที่จะต้องมาตายเพราะช่วยมนุษย์อย่างเธอ ความคิดของรินนั้นถึงจะไม่ได้พูดออกมา แต่ชายชราตรงหน้าก็ล่วงรู้ได้ทันที ชายชราจึงตัดสินใจว่าจะให้เธอล่วงรู้บางอย่างจากเขาบ้าง
“ตามข้ามาสิ ข้าจะให้ดูอะไร”
รินเดินตามชายชรามาในห้องๆ หนึ่งที่มีการลงเขตอาคมไว้อย่างแน่นหนา ดูราวกับเป็นห้องเก็บสมบัติล้ำค่า ชายชราร่ายมนตร์เพื่อปลดเขตอาคมนั้น ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เมื่อเข้ามาก็เป็นอย่างที่รินคิด ในห้องนั้นมีบรรดาเงินทองของมีค่ามากมายกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงก็มีเก็บสะสมไว้ในนี้ แต่สิ่งที่สะดุดตารินนั้นไม่ของที่กล่าวมา แต่เป็นศิลาแผ่นหนาสองนิ้ว ขนาดเท่าเบาะรองนั่ง ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง บนศิลาถูกสลักเป็นอักษรที่เธอพอจะอ่านออก ชายชราที่เห็นรินดูจะสนใจในสิ่งที่เขาตั้งใจจะให้เธอดู เขาจึงตัดสินใจเล่าบางอย่างให้เธอฟัง
“นี่เป็นศิลาที่จารึกมนตร์ปราบปีศาจขั้นสูง สูงมากๆ ที่ข้าเป็นคนคิดขึ้นมาเอง แต่คนที่ใช้คือภรรยาของข้า เมื่อประมาณ 70 ปีก่อน ปีศาจมากมายหมายจะเอาชีวิตของข้า เพราะมันโกรธแค้น ที่ข้าไปปราบพวกมัน ช่วงจังหวะหนึ่งที่พลังของข้าอ่อนแรงลง ปีศาจเหล่านั้นก็ลอบเข้ามาทำร้ายข้า ข้าลังเลอยู่นานที่คิดจะหยิบศิลานี่ขึ้นมาใช้ แต่ภรรยาของข้า..นางไม่ลังเลเลยซักนิด นางอยู่กับข้าตลอดเวลา แน่นอนว่านางย่อมรู้วิธีใช้มนตร์นี้ดี ไม่นานปีศาจที่มากมายจนท่วมท้นนภาก็พลันหายลับ เหลือไว้แต่เพียงศิลาแผ่นนี้ เพียงเพื่อจะปกป้องข้า นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นางจากโลกนี้ไป” ชายชราเล่าพลางนึกถึงเหตุการณ์นั้นด้วยใบหน้าที่เศร้าเล็กน้อย
“ทำไมล่ะคะ? ทำไมภรรยาของท่านถึง...ก็แค่ใช้มนตร์เองนะคะ”
“มนตร์บางบทมันก็เหมือนดาบสองคมนะเจ้าริน ภรรยาของข้า มีพลังไม่พอที่จะใช้มนตร์บทนี้ ร่างกายของนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้มนตร์บทนั้นสัมฤทธิ์ผลไปในทันที…”
“...” จากที่ชายชราเล่า รินรับรู้ได้ถึงความเศร้าใจอย่างที่สุดของคนตรงหน้า รวมไปถึงความเสียสละอันแรงกล้าของภรรยาของเขาด้วย
ชายชรามองรินซักพัก ก่อนจะลองยื่นข้อเสนอบางอย่าง ที่เขาคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับริน สิ่งที่ชายชราเองได้เห็นก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชะตากรรมของรินและเส็ตโชมารูในอนาคตอันใกล้นี้ อาจจะอีกปี หรือสองปี เขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ถ้าได้เห็นเช่นนี้แล้ว สำหรับเขาเอง ยังไงมันก็คงต้องเกิดขึ้นเป็นแน่ แต่ก็ไม่ได้บอกให้รินรับรู้แต่อย่างใด
“ที่ข้าให้เจ้ามาดูก็ไม่ใช่อะไร ข้าแค่คิดว่าตัวเจ้าน่าจะใช้มนตร์บทนี้ได้ เพราะพลังในตัวเจ้ามีมากกว่าภรรยาของข้ามากนัก ถ้าเจ้าสนใจข้าจะ…” ยังไม่ทันพูดจบเสียงที่ดูจริงจังของสาวน้อยก็ดังขึ้น
“ข้าสนใจค่ะ ถ้าท่านอาจารย์จะกรุณาสอนให้ข้า!”
“ได้สิ ถ้าเจ้าต้องการ แต่ว่า..ข้ามีข้อแม้บางอย่าง”
“ข้อแม้หรือคะ?”
“ถึงแม้เจ้าจะมีพลังมากก็จริง แต่ก็ยังมีขีดจำกัดของเวลา พลังของเจ้ายังไม่สามารถใช้ได้เต็มที่ จนกว่าจะเข้าสู่วัยเบญจเพส เพราะฉะนั้นถึงตอนนี้เจ้าจะสามารถสร้างมนตร์ของเจ้าเองขึ้นมาได้ แต่ก็ยังไม่สามารถใช้ได้ จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร เข้าใจใช่ไหมเจ้าริน”
“ค่ะ” รินรับปากอย่างว่าง่าย
“งั้นก็ดี”
เมื่อจบบทสนทนาของทั้งสอง เซย์เมย์ก็เริ่มการสอนสร้างมนตร์ขั้นสูงต่างๆ ให้กับรินทันที รินเองก็ดูจะมีสมาธิมากเป็นพิเศษ สนใจกับสิ่งที่เซย์เมย์สอน จนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็เย็นจนจะย่ำค่ำแล้ว รินรีบร้อนเก็บของแล้วเดินออกมานอกถ้ำทันที เพราะป่านนี้เส็ตโชมารูคงจะมารอเธอนานแล้ว แต่ทว่า..นอกเขตอาคมของถ้ำ ที่ๆ เส็ตโชมารูมักจะมารอเธอประจำพร้อมกับอะอุน บัดนี้ไม่มีผู้ใดเลย รินยืนรออยู่พักใหญ่ จนมาซาฮิโระเองที่ยืนมองรินอยู่ด้วยความเป็นห่วง ต้องเดินออกจากเขตอาคมมาหาเธอ
“นี่ก็เย็นมากแล้วนะครับท่านริน ให้ข้าไปส่งดีกว่าไหมครับ”
“เอ่อ..ข้ากลัวจะสวนทางกันน่ะค่ะ เผื่อท่านเส็ตโชมารูอาจจะมีธุระ ข้าจะรอก่อนก็แล้วกันค่ะ”
มาซาฮิโระยิ้มบางๆ และพยักหน้ารับทราบเบาๆ เขายืนรอเป็นเพื่อนริน จนรับรู้ได้ถึงความเนิ่นนานจากท้องฟ้าที่เปลี่ยนจากสีฟ้าอมส้ม จนบัดนี้มันเปลี่ยนเป็นสีครามจนจะเกือบจะดำสนิทแล้ว
“ให้ข้าไปส่งเถอะนะครับท่านริน นี่ก็จะค่ำแล้ว เดินทางกลางคืนมันจะอันตรายนะครับ” ชายหนุ่มพูดกับรินอีกครั้ง รินเองที่ได้ฟังก็รับคำอย่างเกรงใจ
“งั้นข้ารบกวนด้วยนะคะ” ในใจของรินตอนนี้มีแต่ความเป็นห่วงอสูรหนุ่ม หลายวันที่เขาทำท่าทีแปลกๆ นั่น ยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเส็ตโชมารูรึเปล่านะ?
-------------------------------------------------
ณ ปราสาทของอาณาจักรสุนัขอสูรจิ้งจอกเงิน
ปราสาทที่เงียบสงัด เพราะนายหญิงของปราสาทไม่อยู่ มีแต่เพียงอสูรหนุ่มตรงหน้าที่มันกำลังเดินตามหลังเพื่อไปส่งเจ้านายที่ลานหน้าปราสาท เพราะมันยังต้องอยู่เฝ้าปราสาทใหญ่จนกว่านายหญิงจะกลับมา
สำหรับจาเค็นแล้วตอนนี้เส็ตโชมารูราวกับถูกผีสิง หลายวันที่ผ่านมางานกองยักษ์ถูกโยนมาให้มันทำทั้งหมด โดยที่เจ้านายมันไม่ทำอะไรเลย นอกจากเอาแต่นั่งพะเน้าพะนอคลอเคลียบ่าวสาวที่มันไม่คุ้นหน้าคนนั้นอย่างผิดวิสัย ขนาดว่าอยากอยู่กับรินมากแค่ไหน เจ้านายของมันก็ยังไม่เคยซักครั้งที่จะขาดความรับผิดชอบได้ขนาดนี้ จาเค็นได้แต่ส่ายหัว นี่ไม่ใช่เจ้านายของมันแน่ๆ แล้วเจ้ารินจะเป็นยังไงบ้างนะ เจ้ารินจะรู้สึกเหมือนข้ารึเปล่า? รู้สึกถึงความแปลกไปของเส็ตโชมารู..
มันเดินตามหลังเจ้านายมันซักพักจนมาถึงลานหน้าปราสาท มันถอนหายใจก่อนจะเอ่ยถามอย่างจริงจัง ถึงสิ่งที่เจ้านายของมันจะทำต่อจากนี้
“ท่านเส็ตโชมารูขอรับ”
“อะไร!”
“ท่านจะเอาบ่าวคนนั้นกลับไปปราสาทด้วยจริงๆ รึขอรับ?”
“หุบปากซะ จาเค็น อย่าให้ข้าได้ยินว่าเจ้าเรียกนางว่าบ่าวเช่นนี้อีก ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
“...” จาเค็นเบิกตากว้างอย่างตกใจในคำพูดของเจ้านาย นี่ไม่ใช่เจ้านายของมันจริงๆ ด้วย เส็ตโชมารูคนที่หายใจเข้าออกก็เป็นริน ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว แต่แล้วบ่าวสาวคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้น พลางเกี่ยวแขนเส็ตโชมารูไว้แน่น ก่อนจะหันมาหามัน
“ถ้าไม่รู้ว่าจะเรียกข้าว่าอะไร ก็เรียกข้าว่าท่านคาโอริสิ เรียก!!” สิ้นเสียงนั้น กลิ่นหอมหวนก็ลอยเตะจมูกของจาเค็น กลิ่นนั้นพลางทำให้สติขาวโพลนราวกับถูกสะกดจิต ก่อนที่จาเค็นจะพูดออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว
“ขอรับ ท่านคาโอริ”
ไม่นานนักจาเค็นก็คืนสติได้ เหมือนความจำมันหายไปช่วงหนึ่ง เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นนะ แล้วเส็ตโชมารูกับบ่าวคนนั้นหายไปไหน ถ้าลงไปปราสาทจริงๆ แล้วเจ้ารินล่ะ? จาเค็นได้แต่เดินกระวนกระวายอยู่ลานหน้าปราสาทนั้น ก่อนที่จะต้องทำใจเพราะยังไงมันก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี แต่อย่างน้อยๆ ก็ขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรเลย..
-------------------------------------------------
ณ ปราสาทอะจิไซ
รินกับมาซาฮิโระเดินทางกลับมาถึงปราสาทพร้อมกับอาชาสวรรค์พาหนะคู่ใจของชายหนุ่ม โดยที่หอบหิ้วผักผลไม้ และของป่าหลายต่อหลายมัดที่ได้มาเป็นของตอบแทน จากการที่พบคนบาดเจ็บในป่าระหว่างทาง รินจึงช่วยรักษาและพาไปส่งที่หมู่บ้าน ซึ่งสำหรับมาซาฮิโระแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเมื่อก่อนที่เคยได้มาส่งริน ระหว่างทางรินก็มักจะช่วยเหลือคนอื่นแบบนี้เสมอ
“สมกับเป็นท่านรินนะครับเนี่ย ได้ของกินมาเยอะเลย” มาซาฮิโระพูดพลางยิ้มให้ริน
“ข้าว่าเยอะไปด้วยซ้ำนะคะ” รินพูดแล้วลงจากหลังของอาชาสวรรค์ ที่ย่อตัวลงอย่างนอบน้อม เพื่อให้รินลงได้ง่ายขึ้น ก่อนที่รินจะพยายามยกมัดผักผลไม้ที่อยู่บนหลังของมัน เพื่อเอาเขาไปในปราสาท แต่ก็หนักใช่เล่นจนรินเดินเซเล็กน้อย
“ให้ข้าช่วยดีกว่านะครับ” มาซาฮิโระรีบเดินเขาไปประคองรินที่กำลังเซนั้นทันที ก่อนจะรับมัดผักนั้นมาถือเอง
“ขอบคุณนะคะ” รินรีบผละออกทันทีที่ชายหนุ่มมาประคอง อาจจะเพราะเป็นปฏิกิริยาของสตรีที่มีสามีแล้ว ที่ไม่อยากให้ชายอื่นแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่จำเป็น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจแต่อย่างใด
“ท่านเข้าไปพักผ่อนในปราสาทก่อนเลยครับ ของพวกนี้เดี๋ยวข้าจะถือเข้าไปให้เอง”
รินพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในปราสาท เพื่อมองหาสามีที่เธอแสนจะเป็นห่วงว่ากลับมาหรือยัง รินเดินเข้ามาจนถึงสะพานข้ามบ่อเล็กๆ ในปราสาท ก็เห็นสามีคนที่เธอห่วงหาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน แต่...กลับกำลังเดินโอบไหล่สตรีนิรนามผู้หนึ่งอยู่อย่างอ่อนโยน รินอึ้งหนัก พลางมองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะเอ่ยเรียกสามีด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“ท่าน..เส็ตโช..มา..รู..”
ลมที่พัดมาเบาๆ พัดพาเอาเสียงที่สั่นเครือนั้นให้ไปกระทบใบหูของอสูรหนุ่ม เส็ตโชมารูปรายตามองตามเสียงนั้น ก่อนจะปล่อยแขนแกร่งออกจากไหล่ของคนที่พามาด้วย แล้วเดินขึ้นมาบนสะพานเพื่อให้เห็นคนที่เอ่ยชื่อเขาชัดขึ้น
“เจ้าเป็นใคร?!”
“...” เสียงอันเยือกเย็นประจำตัว เป็นเสียงที่ไม่เคยถูกใช้พูดกับริน รินแทบจะกลืนน้ำลายลงคอที่ได้ยิน ไม่ใช่เพราะน้ำเสียง แต่เพราะ...คำพูดที่เอ่ยออกมา เส็ตโชมารูคนเดิมของเธอหายไปไหน...
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร? เข้ามาในปราสาทของข้าทำไม?!!” น้ำเสียงเยือกเย็นนั้นหนักแน่นขึ้น เป็นคำถามที่ทำให้รินแทบจะทรุดลงไปกับพื้นได้ไม่ยาก
“รินไงคะ ท่าน..เส็ตโชมารู จำริน..ไม่ได้หรือคะ…” เสียงสั่นเครือของริน เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา น้ำสีใสไหลคลอนัยน์ตาสีน้ำตาล แต่ก็ไม่ไหลลงมาอาบแก้มสีชมพูนั้นแต่อย่างใด
อสูรหนุ่มครุ่นคิดชื่อนั้นในสมองอยู่พักหนึ่ง รินหรอ? ทำไม..เหมือนเคยได้ยินที่ไหน? แล้วข้าจะไปรู้จักกับมนุษย์ได้ยังไง? อสูรหนุ่มสับสนอย่างหนัก ก่อนจะตอบเสียงเข้มใส่รินไป
“ริน...ใคร?...ข้าไม่รู้จักทั้งนั้น!!”
อสูรสาวที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังอสูรหนุ่มเริ่มรู้สึกกังวล เกรงว่าถ้าเส็ตโชมารูจำรินได้ขึ้นมา แผนของเธอก็จะพัง แถมเธออาจจะไม่ได้ตายดีอีกด้วย
รินค่อยๆ เดินขึ้นไปบนสะพาน เพื่อจะเข้าใกล้อสูรหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยพูดกับเขาอีกครั้ง
“ท่าน..เส็ตโชมารู รินไงคะ.. รินเอง.. ได้โปรด..อย่าทำแบบนี้… อย่าลืมรินแบบนี้...”
มือขวาน้อยๆ ของริน ค่อยๆ เอื้อม หมายจะสัมผัสใบหน้าที่แข็งกร้าวของอสูรหนุ่ม รินเอ่ยพูดแล้วสบนัยน์ตาสีอำพันนั้นอย่างอ้อนวอน เส็ตโชมารูยืนนิ่ง มองกลับไปที่รินด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง อสูรสาวเริ่มดูท่าไม่ดีจึงคิดจะใช้มนตร์กับเส็ตโชมารูให้แรงขึ้น และกำลังจะร่ายมนตร์แต่ทว่า...
เพี๊ยะ!!
หยดน้ำตาที่ไม่ได้อาบรดแก้ม แต่หากล่วงหล่นลงพื้นไม้ของสะพานนั้นราวกับเม็ดฝน มือน้อยถูกปัดออกด้วยมือแกร่งนั้นอย่างไม่ใยดี เสียงปัดดังพอที่จะทำให้คนที่แบกข้าวของตามหลังรินมาได้ยินอย่างชัดเจน คนถูกปัดนั้นแทบล้มเซ แรงปัดนั้นทำให้เข้าใจดีว่าคนตรงหน้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว.. อสูรสาวยืนมองเหตุการณ์อย่างพึงใจ พรางแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าหมั่นไส้
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแตะต้องตัวข้า”
“ท่านรินเกิดอะไรขึ้นครับ?” มาซาฮิโระรีบวิ่งมาที่ต้นเสียง แค่เพียงมองรินเท่านั้น เขาก็รับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างได้ทันที
“ได้โปรด…” เสียงสั่นเครือนั้นอ้อนวอนอีกครั้ง แต่ไม่เป็นผล เส็ตโชมารูเบือนหน้าหนีเธอทันที แค่เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจของรินแทบแตกสลาย ชายหนุ่มที่มองรินนั้นแทบคลั่ง กัดฟันกรอด ที่เห็นรินเจ็บถึงเพียงนี้
ผัวะ!!!
หมัดขวาของชายหนุ่มถูกชกเข้าที่ใบหน้างามนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เลือดสีแดงฉานซึมออกจากมุมปากเรียวนั้น อสูรหนุ่มใช้นิ้วปาดเช็ดอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนที่มือทั้งสองของชายหนุ่มจะกำแน่นไปที่คอเสื้อกิโมโนของเส็ตโชมารู
“แก!! ไอ้สารเลว!! แกทำกับท่านรินแบบนี้ได้ยังไง! ทำได้ยังไง!!!” เขาพูดอย่างโมโหพลางกำหมัดอีกครั้ง
“พอเถอะค่ะท่านมาซาฮิโระ…” รินเอ่ยห้ามไว้ ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ อย่างอ้อนวอน
“พวกแก เป็นมนุษย์สินะ ข้าเกลียดมนุษย์ ออกไปให้ห่างๆ ข้า ไม่งั้นจะฆ่าพวกเจ้าซะ!!” ่
“...” มาซาฮิโระคลายมือออกจากคอเสื้อของอสูรหนุ่ม ก่อนจะถอยไปยืนอยู่ข้างหน้าริน
“ออกไปจากปราสาทของข้าเดี๋ยวนี้!!”
“...” ฝันของรินเป็นจริงเสียแล้ว เสียงในฝันนั่นคือเสียงของเขาจริงๆ ข้าถูกไล่ออกจากปราสาทสินะ น่าขำสิ้นดีทั้งทีเคยบอกว่าเป็นปราสาทของข้า แต่ข้าก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นของข้าอยู่แล้ว จะจากไปก็ไม่ได้เสียดายอะไร.. รินได้แต่คิดพลางมองไปรอบปราสาทที่เธอรักเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าบอกให้ออกไป!!!”
รินปาดน้ำตาพลางปรายตามองใบหน้างามนั้นอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะหันหลังเดินจ้ำอ้าวออกไปโดยไม่กล่าวอะไรอีก มาซาฮิโระเองก็จ้องนัยน์ตาสีอำพัน และอสูรสาวตนนั้นอย่างโกรธแค้น เมื่อเห็นรินเดินออกไป เขาก็รีบเร่งฝีเท้าตามรินออกไปเช่นกัน
แปลกดีที่เส็ตโชมารูไม่แม้แต่จะโต้ตอบหมัดนั้นกลับไป เพียงแต่ไล่ให้ออกไปเท่านั้น พอเห็นใบหน้าของสตรีชาวมนุษย์คนนั้น ทำไม...ข้าไม่กล้าแม้แต่จะทำอะไร นางเป็นใครกัน…
มาซาฮิโระเดินออกมาหน้าปราสาท ก็พบว่ารินหายไป… เขาเดินวนหารินรอบปราสาทแต่ก็ไม่พบ ยิ่งค่ำมืดเช่นนี้ยิ่งร้อนรน ทางที่ยังไม่ได้หาก็มีเพียงแค่ในป่าเท่านั้น ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปในป่าทันที ไม่นานเสียงสะอื้นที่ดูจะพยายามกลั้นก็ดังเข้าหูของชายหนุ่ม เขาเดินไปตามเสียงนั้น แล้วก็พบ…
รินนั่งก้มหน้ากอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เสียงสะอื้นอย่างเจ็บปวดดังออกมาไม่หยุด ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มแทบทรุด เขาไม่อยากเห็นรินเป็นแบบนี้ มาซาฮิโระเดินตรงไปหารินอย่างเบาๆ ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของริน รินเงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างช้าๆ น้ำตามากมายบนใบหน้าทำให้ชายหนุ่มแทบขาดใจ ยิ่งรินเจ็บมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเจ็บกว่าที่ไม่สามารถช่วยอะไรคนตรงหน้าได้เลย ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือแกร่งนั้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของรินอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยปลอบ
“อย่าร้องเลยนะครับท่านริน น้ำตาไม่เหมาะกับท่านรินหรอกครับ”
ชายหนุ่มเริ่มใจชื้นขึ้น เมื่อคำปลอบของเขาทำให้สาวน้อยตรงหน้าเริ่มลดเสียงสะอื้นลง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่เขาคิดอยู่ทันที
“ถ้าท่านรินยังไม่มีที่ไป ได้โปรด..ไปอยู่กับครอบครัวของข้านะครับ ทุกคนยินดีต้อนรับท่านรินเสมอ” เขาพูดพลางยิ้มให้รินอย่างจริงใจ
รินครุ่นคิดในคำพูดของชายหนุ่ม ตอนนี้เธอเองก็ไม่มีที่ไปจริงๆ จะกลับไปที่หมู่บ้านเดิมนั้นก็ไกลนัก ถ้าจะต้องมาที่ถ้ำจอมเวททุกวัน วันๆ คงจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินทาง แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะยังอยากไปฝึกเวทอีกหรือเปล่า เพราะถึงเธอจะมีพลัง แต่เธอก็ไม่มีใครให้ปกป้องอีกแล้ว...
“ข้าไม่อยากอ่านใจท่านหรอกนะครับ ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าท่านจะคิดอะไรอยู่ แต่ข้า...อยากให้ท่านไปกับข้า ไปเถอะนะครับ..” เขาพูดขึ้นเพราะเห็นรินเงียบไปนาน หลังจากสงครามโทรจิตครานั้น มาซาฮิโระก็พยายามไม่อ่านใจริน โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว รินจะได้สบายใจเวลาอยู่กับเขา เขาเองก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บใจในเรื่องบางเรื่องด้วย รินมองหน้าชายหนุ่ม นัยน์ตาสีไพลินนั้นฉายให้เห็นแต่ความจริงใจอันแรงกล้า จนในที่สุดรินก็ตัดสินใจ
“ค่ะ..รินจะไปกับท่าน”
-------------------------------------------------
จบตอนที่ 11
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ