Conquerhearts ปฏิบัติการพิชิตหัวใจ
เขียนโดย NannyCandy
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 19.31 น.
แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559 15.37 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
8) คำใบ้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter 7 คำใบ้
“บอกฉันสักคำต้องทำยังไง จะใช้อะไรดลใจเธอดี~>O<” เสียงร้องเพลงอันโหยหวนของฟางดังเข้าหูฉันไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วล่ะ แถมมันยังร้องวนไปวนมาแต่เพลงเดิมและท่อนเดิมด้วย! จนฉันอดที่จะหันไปวีนไม่ได้เมื่อหมดความอดทน
“แกไม่ช่วยฉันคิดก็เงียบๆ หน่อยได้มั๊ย!?” ฉันโวยวายลั่นจนคนอื่นหันมามอง
ตอนนี้ฉันกับฟางกำลังนั่งกันอยู่ที่ร้านคอฟฟี่ช็อปร้านเดิมในมหาวิทยาลัย(ดูเหมือนในนี้มันจะมีร้านแบบนี้ร้านเดียวซะด้วยสิ) หลังจากที่หมดคลาสเรียนของวันนี้แล้ว และฉันก็กำลังใช้ความคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดีกับการแก้ดวงตกส่วนยัยเพื่อนรักนอกจากจะไม่ช่วยคิดแล้วยังมานั่งร้องเพลงกรอกหูอีกต่างหาก เสียงก็ใช่ว่าจะเพราะพริ้งอะไร =*=
“เพลงนี้มันโดนกับชีวิตแกตอนนี้มากเลยนะยะ ฉันก็เลยร้องให้ฟัง เผื่อว่าแกจะคิดอะไรออกบ้าง >_<”
“มีใครเคยบอกมั๊ยว่าเสียงร้องเพลงเป็นสิ่งเดียวที่บกพร่องในร่างกายแก” ทันทีที่ฉันพูดจบด้วยสีหน้าเซ็งๆ คนโดนว่าก็ทำท่าฮึดฮัดถลึงตาใส่
“มีแกพูดคนเดียวนี่แหละ!” พูดจบก็ย่นจมูกใส่ฉันด้วย นี่ฉันพูดความจริงแล้วมันผิดตรงไหนเหรอคะ
“ถือว่าโชคดีนะที่แกมีเพื่อนอย่างฉัน เพราะคนอื่นไม่กล้าพูดไง หลอกลวงไม่น่าคบ =.,=”
“เออยะ!”
“ทะเลาะอะไรกันเนี่ยสองสาว” เสียงอันคุ้นหูของพี่ชายฉันดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินมานั่งลงที่ เก้าอี้หัวโต๊ะ(ตัวเดิมเป๊ะ) นี่มันสภากาแฟที่เราสามคนเอาไว้ใช้นั่งสุมหัวกันขนาดย่อมๆ เลยนะเนี่ย
“ก็ไอ้ฟางน่ะสิ แหกปากร้องเพลงอยู่นั่นแหละ ฉันทนรำคาญกับความหอน เอ๊ย โหยหวนไม่ไหวเลยเทศน์ซะหน่อย =.,=” ฉันตอบแบบขอไปที
“TTOTT” << สีหน้าของฟาง
“แหม ตั้งแต่โดนไอ้โมะจูจุ๊บเมื่อคืนนี่ดูจะอารมณ์แปรปรวนเหลือเกินนะ” พี่ขนมเข่งพูดขำๆ
“จริงสิ! ฉันก็ลืมแซวแกเรื่องนี้ไปเลย >_<” ฟางทำท่าทางกระดี้กระด๊าด้วยความตื่นเต้น มันพูดว่า ลืมแซว หมายความว่ามันรู้เรื่องนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ? ฉันจำได้ว่ายังไม่ได้เล่าให้มันฟังนะ แล้ว….
“พี่เข่ง! พี่ไปเล่าให้มันฟังตอนไหนเนี่ย” ฉันหันไปหาพี่ชายตัวแสบทันทีพลางหรี่ตาลงอย่างจับผิด ข่าวนี่ไวยิ่งกว่าพวกปาปารัซซี่อีกนะ
“เมื่อ…เมื่อเช้าตอนเจอน้องฟางที่หน้าคณะ =.,=” พี่ขนมเข่งทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ก่อนที่จะตอบ
“ฉันอุตส่าห์จะแกล้งลืมไปแล้วแท้ๆ” ฉันบ่นอุบ
แล้วนี่นั่งมาจะชั่วโมงนึงแล้วยังคิดอะไรไม่ออกเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งเจอแต่ทางตัน โทโมะก็รักยัยพม่าหน้าตุ๊กตาลวงโลกนั่นซะเหลือเกิน! ฉันยกมือขึ้นมาทึ้งหัวตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมที่ยุ่งอยู่แล้วเป็นปกติกลับยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงสวย! ตอนนี้ฉันมีภารกิจที่ต้องทำ นั่นก็คือการทำให้โทโมะเลิกกับยัยพม่า จากนั้นก็ต้องทำให้เขามาเป็นแฟนฉันให้ได้…ว่าแต่ฉันลืมอะไรไปหรือเปล่า?
“เมื่อกี้เห็นฉันเห็นไอ้ฌอนแวบๆ ไม่คิดว่าวันนี้มันจะมีแรงมาเรียน” พี่ขนมเข่งพูดขึ้น แล้วมันก็ทำให้ฉันนึกออกทันทีว่าฉันลืมอะไร…
ฉันต้องคอยหนีไม่ให้ไอ้บ้าหัวสีบานเย็นนั่นลวนลามน่ะสิ!
โอย นี่สินะที่เรียกว่าดวงตกน่ะ!
“จริงเหรอ! มันไม่ได้อยู่แถวนี้ใช่มั๊ย” ฉันถามพลางสอดส่องสายตาไปรอบๆ บริเวณนี้ด้วยความระแวง
“เปล่า ถึงอยู่แถวนี้มันก็ไม่กล้าเข้ามาหาแกตอนฉันอยู่หรอก” คนพูดยืดอกขึ้นทันทีหลังจากพูดจบ ก็จริงนะ หมอนั่นคงไม่กล้าเข้ามาทำอะไรฉันต่อหน้าต่อตาพี่ขนมเข่งหรอก ไม่อย่างนั้นอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไปทำเรื่องชั่วๆ ก็เป็นได้
“โชคดีนะเนี่ยที่เมื่อคืนโทโมะไปช่วยแกทันน่ะ” ฟางพูดเสริม เรื่องนี้ฉันเป็นคนเล่าให้ยัยนี่ฟังเองแหละ
“นั่นสิ” พี่ขนมเข่งพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย
ไม่รู้ทำไมพอได้ยินชื่อโทโมะฉันก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่ใช่ตอนที่ขามาช่วยฉันนะ แต่ตอนที่…ว่าจะลืมแล้วเชียวยัยแก้วเอ๊ย! -///-
“ช่างเถอะ! ยังไงฉันก็รอดมาแล้ว มาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อดีกว่า”
“ฉันว่า…” พี่ขนมเข่งเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องเก็บคำพูดไปเพราะเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของยัยฟางที่วางอยู่บน โต๊ะ ตอนนี้สายตาทั้งสามคู่มองไปที่เครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมที่กำลังส่ง เสียงร้องและสั่นด้วยความสนใจ แต่ฉันก็อ่านชื่อคนที่โทรเข้ามาไม่ถนัดเพราะมองจากฝั่งนี้มันกลับหัว
ตื้ดดด~ ครืดดด~ ตื้ดดด~ ครืดดด~ ตื้ดดด~ ครืดดด~
“แม่หมอ…” ฟางอ่านชื่อของคนที่โทรเข้ามาเบาๆ แต่ทว่าฉันกับพี่ขนมเข่งได้ยินชัดเจนพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของโทรศัพท์ทันที
“ยัยแม่หมอที่ทักฉันหรือเปล่า” ฉันถามขึ้น
“เป๊ะเลย…สะ…สวัสดีค่ะแม่หมอ” ฟางเงยหน้าขึ้นมาตอบก่อนที่จะคว้าโทรศัพท์ไปกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปตามสายอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“…” ฉันเงียบแล้วมองฟางด้วยความสงสัย เพราะหลังจากที่ยัยนั่นเอ่ยทักทายฝ่ายตรงข้ามไปก็ทำหน้าแปลกๆ แล้วเหลือบมองมาที่ฉัน ว่าแต่ยัยนี่ถึงกับขนาดมีเบอร์แม่หมอเลยเหรอ สงสัยจะเอาไว้โทรไปนัดวันดูดวงอะไรพวกนี้ล่ะมั้ง พวกหมอดูนี่ก็ชอบมีนามบงนามบัตรเหมือนกันนะ
“แม่หมออยากคุยกับแก…” ฟางพูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้ ฉันมองการกระทำนั้นด้วยความฉงนแต่ก็ยังไม่ได้รับมา
“คุยกับฉัน?” ฉันถามเสียงสูงพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“เออสิ ฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ถ้าให้เดาคงเรื่องดวงแกล่ะมั้ง” ฉันขมวดคิ้วทันทีที่คนตรงหน้าพูดจบ คราวนี้จะทักอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย!?
“ฮาโหลววว~-3-” ฉันรับโทรศัพท์มาในที่สุดก่อนที่จะพูดทักทายไปด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
(นังหนูใช่มั๊ย)
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ได้ชื่อหนู =.,=”
(…) ป๊าด! อึ้งไปเลยสิคะ หึหึ
(…ไม่เป็นไร ข้าว่าจะโทรมาชี้แนะบอกคำใบ้เกี่ยวกับการแก้ดวงสักหน่อย ถ้างั้นก็แค่นี้…)
“เฮ้! หยุด!!!O[]O”
ตึ้ง!!!
ฉันตะโกนลั่นพร้อมกับลุกขึ้นยืน ทำให้เก้าอี้ที่ฉันนั่งล้มตึงลงไปหนอนหงายท้องอยู่กับพื้นทันที แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจเพราะสิ่งเดียวที่กำลังเรียกความสนใจทั้งหมดของฉันก็คือ คนที่กำลังพูดอยู่ปลายสายตอนนี้เท่านั้น!
(หืม)
“แก้วใจ…คนที่เจ๊ทักว่าดวงตกยี่สิบปีไง เจ๊มีอะไรก็ว่ามา =.,=”
(นังหนู…เอ็งเรียกข้าว่าอะไรนะ) ปลายสายถามเสียงสูง โอย เวลานี้ยังจะมาเรื่องมากอะไรอีกเนี่ยคะ
“แม่หมอค่ะ…เรียกว่าแม่หมอ -_-;”
(อ่อ อื้ม…ตอนนี้เอ็งเจอคนที่ข้าบอกแล้วสินะ…) ยัยเจ๊นี่มีญาณทิพย์อย่างนั้นเหรอ?
“ก็ใช่มั้งคะ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ”
(ไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายๆ หรอก ยิ่งสิ่งนั้นมีค่าและสำคัญ…) ขอย้ำอีกครั้งว่าฉันไม่เข้าใจที่ยัยแม่หมอนี่พูดเลย ตั้งแต่ที่ครั้งนั้นที่ฉันโดนทักว่าดวงตกแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงต้องพูดอะไรให้มันดูมีหลักการเข้าใจยากอะไรแบบนี้ด้วย พูดภาษาที่ฟังปุ๊บแล้วเข้าใจปั๊บไม่ได้หรือไงนะ
“เอาล่ะค่ะ เข้าเรื่องเถอะ คำใบ้อะไรเหรอค่ะ =.,=” ฉันไม่อยากจะฟังเรื่องราวที่มันออกทะเลมากเท่าไหร่หรอกนะ!
(นี่แหละแก่นสารของเรื่อง…ถ้าเอ็งยังไม่แน่ใจ ข้าจะบอกให้ว่า เอ็งมาถูกทางแล้ว)
“แล้ว?”
(ก็มาถูกทางแล้วไง) ฉันว่านอกจากฉันจะไม่เข้าใจที่แม่หมอพูดแล้ว แม่หมอก็จะไม่เข้าใจที่ฉันพูดเหมือนกันนะ เฮ้อ! สื่อสารกันลำบากซะจริงเลย
“คือ…หนูหมายถึง แล้วยังไงต่อ น่ะค่ะ แบบว่า เอิ่ม…มา ถูกทางแล้วยังไงต่อเหรอคะ” ฉันว่ายัยแม่หมอนี่ต้องรู้เห็นทุกอย่างว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง ฉันต้องทำอะไรบ้าง แล้วผลมันจะเป็นยังไง แต่ว่ากั๊กเอาไว้ไม่ยอมบอก เพื่อให้ฉันไปผจญชะตากรรมด้วยตนเองแบบนี้…
ไม่เชื่อลองคิดดูสิ ถ้าแม่หมอบอกฉันว่าเดี๋ยวหมาตัวนั้นจะวิ่งไล่…ฉันก็จะเดินไปทางอื่น ทีนี้ก็ไม่โดนไล่แล้ว…เฮ้อ! แต่ความจริงก็คือ ไม่มีสิ่งไหนได้มาง่ายๆ สินะ อ๊ะ! ฉันเข้าใจที่แม่หมอพูดเมื่อกี้แล้วล่ะ TT_TT
(เอ็งนี่ได้คืบจะเอาศอก)
“ก็ตอนนี้มันตัน คิดไม่ออกจริงนี่คะแม่หมอ -3-” ฉันจีบปากจีบคอพูด
(ข้าจะใจดีใบ้ให้อีกเรื่องก็ได้นะ)
“ความจริงทุกเรื่องก็น่าจะ…”
(โลภมากมักลาภหายนะนังหนูเอ๋ย…) ฉันตั้งใจถอนหายใจอย่างแรงให้แม่หมอได้ยิน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะนอกจากแม่หมอเหมือนจะไม่สนใจฉันแล้วยังพูดขัดขึ้นยืนยันที่จะให้อีก เพียงคำใบ้เดียวเท่านั้น
(คำใบ้ก็คือ…แฟนเขา)
“โอ๊ย! ฉันรู้แล้วน่าว่าต้องเป็นแฟนหมอนั่นให้ได้ถึงจะหายดวงตกน่ะ T^T” ฉันเผลอเหวี่ยงใส่ปลายสายทันทีด้วยความโมโห ไอ้เราก็อุตส่าห์ลุ้น พูดมาสองพยางค์ ที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว เฮอะ!
(เมื่อกี้ข้าพูดว่าอะไรนะ เหมือนข้าจะลืมอะไรไป…)
“จะไปรู้มั๊ยล่ะคะ ก็บอกมาว่าแฟนเขาๆ เอ๊ะหรือว่า…” แฟนเขาที่แม่หมอบอกจะหมายถึงแฟนของเขา หรือก็คือแฟนของโทโมะ นั่นก็คือ…
ยัยพม่าหน้าตุ๊กตาแอ๊บแบ๊วจอมลวงโลก! (<< ยาวไป -_-^)
(ข้ารู้แล้ว! ข้าพูดตกไป…ความจริงก็คือ เอ๊ย! คำใบก็คือ…แฟน สวม เขา)
“ห๊า?” ฉันทำเสียงสูงทันที ไม่เข้าใจอะนี่บอกเลย…เดี๋ยวนะ!
ยัยพิม!
ฉันเก็ทไอเดียขึ้นมาทันทีเมื่อหน้าขาวๆ ของยัยพม่านั่นแวบเข้ามาในหัว…ยัยพิมสวมเขาให้โทโมะ ยัยนั่นต้องมีอะไรชั่วร้ายปิดบังอยู่แน่ๆ!
หึหึ เธอเสร็จฉันแน่ยัยพม่าหน้าวอก!
(ข้าคิดว่าเอ็งฉลาดพอที่จะเข้าถึงคำใบ้ของข้า…ไว้คุยกันใหม่เมื่อข้าต้องการ…ตื้ดๆๆๆๆ) ฉันยกโทรศัพท์ออกจากหูทันทีเมื่อได้ยินเสียงตัดสายไปของแม่หมอ ก่อนที่จะเดินตัวลอยกลับมานั่งเก้าอี้ที่เดิมซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนเก็บมัน ให้ตั้งขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นวะไอ้แก้ว” พี่ขนมเข่งถามพลางเอาศอกตั้งกับโต๊ะแล้วเท้าคาง ฉันยื่นโทรศัพท์คืนให้ฟางที่ทำหน้าอยากรู้ไม่แพ้กับพี่ชายของฉันซักเท่าไหร่ ก่อนที่จะสบตาทั้งสองคนสลับกันอยู่สองสามครั้งแล้วตัดสินใจเล่าให้ฟัง
“แม่หมอให้คำใบ้มาน่ะ…เขาบอกว่าโทโมะโดนยัยพม่าสวมเขาอยู่”
ถึงว่าสิ…โดนสวมเขาอยู่นี่เอง ฉันไม่แปลกใจเลยที่เขาค่อนข้างไม่ฉลาด แล้วก็หลงยัยนั่นจนโงหัวไม่ขึ้นขนาดนี้ ยัยพิมนี่มันร้ายกาจมาก! ฉันรู้สึกรังเกียจยัยนั่นมากขึ้นกว่าเดิมหลายล้านเท่าเลยล่ะ แล้วก็เริ่มจะสงสารโทโมะขึ้นมาแล้วด้วย คงจะรู้ไม่ทันมารยาหญิงของแฟนตัวเองสินะ -.,-
“ยัยนั่นมีกิ๊กเหรอ O_O” ฟางเบิกตาโพลง
“พี่ว่าชู้มากกว่ากิ๊กว่ะ” พี่ขนมเข่งพูดขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ พี่ชายฉันนี่ยังไงนะ เดี๋ยวก็ผีเข้าผีออก ทีเมื่อคืนยังทำท่าไม่อยากจะเชื่อที่ฉันพูดอยู่เลย
“แรงอะ!” ฟางหันไปพูดเสียงแหลมใส่พี่ขนมเข่ง รายนั้นก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย
“จะอะไรก็ช่างเถอะ งานนี้ฉันต้องทำให้โทโมะรู้ธาตุแท้ของยัยนั่นให้ได้ หึหึ :)” ฉันยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วกดไปที่เบอร์ ของโทโมะก่อนที่จะโทรออกทันทีโดยไม่รั้งรอ
(ฉันขอเบอร์เขามาจากพี่ขนมเข่งเมื่อนานมาแล้วน่ะ)
“โทรหาใครวะ” พี่ชายฉันทำคิ้วผูกกันพร้อมกับมองมาด้วยความอยากรู้
“:)” ฉันยิ้มตอบกลับไป โดยไม่พูดอะไร พลางตั้งใจฟังเสียง ตื้ดดด~ เพื่อรอให้ปลายสายรับอย่างใจจดใจจ่อ งานนี้นายต้องขอบคุณฉันแน่ที่ทำให้นายตาสว่าง!...โทโมะ!!!
“น้องสาวพี่มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ นั่งยิ้มคนเดียวก็เป็น” เสียงกระซิบของยัยฟางที่บอกพี่ขนมเข่งมันลอยมาเข้าหูฉันโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉันก็ทำเพียงแค่หันไปมองยัยนั่นตาเขียวเท่านั้น เพราะตอนนี้โทโมะรับสายแล้ว!
(ฮัลโหล) น้ำเสียงนิ่งๆ เรียบๆ ที่ดังมาตามสายนั่นทำให้ฉันนึกหน้าเขาตอนพูดออกเลยล่ะ
“นี่ฉันเองนะ”
(เสียงคุ้นๆ นะครับ…ฉันไหนครับ) ถ้ารู้ว่าเป็นฉันเขาคงจะไม่พูดคำว่า ครับ สินะ T^T
“แก้วใจไง ขอบคุณที่อุตส่าห์คุ้นเสียงฉันนะ -_-”
(…) เงียบไปแล้ววว~ หมอนั่นคงต้องคิดอยู่แน่ๆ ว่าฉันโทรไปทำไม หรือไม่ก็เอาเบอร์เขามาจากไหน แต่เขาก็น่าจะเดาถูกว่าฉันเอามาจากพี่ขนมเข่งล่ะมั้ง
“เอ่อ…”
(…)
เงียบนานไปมั๊ยเนี่ย?
“ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ…” ฉันถามหยั่งเชิง เพื่อเขาจะอยากรู้ขึ้นมาบ้างว่าฉันโทรไปทำไม ที่นี้ล่ะ! ฉันก็จะแฉยัยพม่าให้เละไม่เป็นท่าเลย! โฮะๆๆ
(อืม…ตื้ดๆๆๆๆๆๆ) ฉันอ้าปากพะงาบๆ ทันทีด้วยความช็อคเมื่อเขาตอบ อืม กลับมาคำเดียว แล้วตัดสายทิ้งด้วยความรวดเร็ว
อ๊ากกก! นายมันร้ายกาจเหมือนแฟนนายไม่มีผิด!
กล้าตัดสายฉันทิ้งได้ยังไง!
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ปล่อยให้โง่อย่างนี้ต่อไปดีมั๊ยเนี่ย!” แต่คิดไปคิดมาก็คงไม่ดีแน่ เพราะถ้าฉันไม่ช่วยเขา ฉันก็จะไม่หายดวงตกเหมือนกัน นี่ชาติที่แล้วฉันไปทำเวรทำกรรมอะไรร่วมกับหมอนี่มานะถึงหนีกันไม่พ้น ฮึ่ย!
“หึหึ พี่รู้แล้วว่ามันโทรหาใคร” พี่ขนมเข่งหัวเราะในลำคอก่อนที่จะหันไปพูดกับยัยฟาง
“ฟางว่าฟางเองก็รู้แล้วเหมือนกันค่ะ =_=”
“-0-” ฉันทำหน้าเหวี่ยงใส่สองคนนั้นทันที
“แกโทรหาไอ้โมะใช่มั๊ย?” พี่ขนมเข่งหันกลับมาจ้องฉันเขม็ง
“ก็ใช่อะดิ”
“มันตัดสายทิ้งใช่มั๊ย?”
“โห! นี่เข่งมาสิงอยู่ในโทรศัพท์ฉันหรือเปล่าเนี่ย -0-” ฉันพูดประชดให้กับความรู้ทันของพี่ชายตัวเอง
“ทำแบบนี้แสดงว่าหมอนั่นไม่อยากคุยกับแกชัวร์เลย!” ฟางเสนอความเห็น
“ฉันรู้แล้วน่า ทำยังไงดีล่ะทีนี้ -3-” ฉันพูดเสียงอ่อยอย่างจนปัญญา
“แกก็ไปบอกมันด้วยตัวเองสิ” พี่ขนมเข่งพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาผลักฉันเบาๆ จนฉันโยกไปตามแรงนั่นเล็กน้อย
“งั้นเย็นนี้…” ฉันกำลังจะบอกว่าเย็นนี้จะไปเจอโทโมะที่ริกกี้เวย์ แต่ก็ต้องถูกขัดขึ้นด้วยประโยคจากคนรู้ทันคนที่สองซะก่อน
“ต่อให้แกไปบอกโทโมะทุกวันเขาก็ไม่เชื่อหรอก…” ฟางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงจริงจังก่อนที่จะเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “…แกต้องหาหลักฐานมัดตัวยัยพิม” พูดจบเจ้าตัวก็เก๊กหน้าสวยขึ้นมาทันที
“…” ฉันเงียบไปทันทีเมื่อรู้ว่าต้องเจอกับอะไร และต้องทำอะไร…ไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้ยัยผู้หญิงสองหน้าคนนั้นเลยจริงๆ แต่ทำไงได้ อยากได้แฟนเขาก็ต้องทำความรู้จักเอาไว้เยอะๆ สินะ! พอพูดแบบนี้แล้วฉันดูเป็นนางร้ายเลยแฮะ แต่ความจริงแล้วฉันเป็นคนดีมากนะ T^T
“เฮ้อ! ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าน้องพิมสุดสวยแฟนไอ้โมะจะเป็นคนไม่ดี -3-” พี่ขนมเข่งพูดก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ
“พูดอย่างนี้แสดงว่าพี่เชื่อฉันแล้วใช่มั๊ย *0*” ฉันทำตาเป็นประกายให้พี่ชายตัวเองทันทีด้วยความดีใจ
“ก็มีน้องสาวคนเดียวนี่ครับ…ไม่เชื่อน้องจะให้ไปเชื่อแมวที่ไหนล่ะ อีกอย่างนะ…ฉันเห็นแกมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่ ฉันรู้ดีว่าแกเป็นคนยังไง…ไอ้แก้วน้องเข่ง >_<”
“ซึ้งจัง *-*” ฟางทำตาเยิ้มและสีหน้าเคลิ้มฝันกับประโยคที่พี่ขนมเข่งพูดจนฉันรู้สึก หมั่นไส้ขึ้นมาทันที ฉันเป็นน้องสาวแท้ๆ ยังซึ่งไม่เท่าเลยเนี่ย -.-
“พูดอะไรเลี่ยนๆ ฉันจะเป็นเบาหวานเอา” ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเพื่อกลบเกลื่อนความดีใจที่เอ่อล้นขึ้นมา ถ้าไม่ได้เกิดมาเป็นน้องสาวของผู้ชายคนนี้ฉันคงเสียใจแย่เลยล่ะ
“เออๆ วันหลังฉันจะเกลียดแกไอ้แก้วใจ ไอ้น้องไม่รักดี งอนโว้ย! -0-” พี่ชายคนดีของฉันโวยวายก่อนที่จะลุกขึ้นเดินหนีออกไปจากร้านทันที แต่ฉันก็ไม่คิดจะตามหรอกนะ -_-^
“บทจะเป็นเด็กน้อยขึ้นมาก็เหมือนซะเหลือเกิน -_-^” ฉันพูดอย่างเนือยๆ ก่อนที่จะหยิบแก้วชาเย็นขึ้นมาดูดจ๊วบๆเพื่อดับกระหาย
“แกไม่ตามไปง้อพี่เข่งหน่อยเหรอ” ฟางพูดพลางหันไปมองทางที่พี่ชายฉันเดินออกไป แต่ว่าตอนนี้เขาเดินเลี้ยวหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ไม่อะ พี่เข่งก็แกล้งงอนไปงั้นแหละ…ฉันว่าตอนนี้เรามาวางแผนกระชากหน้ากากยัยพม่าดีกว่า” ฉันพูดอย่างมุ่งมั่น ยิ่งทำภารกิจนี้สำเร็จเร็วแค่ไหน ฉันก็จะหายซะ…
กริ้ง!
ซ่า!~
…ซวยเร็วขึ้นเท่านั้น =*=
“ว๊ายแก ฉันขอโทษ T^T” ฟางเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าที่เก้าอี้อีกตัวแต่จังหวะที่ยกมันข้ามเหนือโต๊ะ ขึ้นมานั้นสายมันดันไปเกี่ยวกับแก้วน้ำเปล่าของเจ้าตัวแล้วมันก็ล้มมาทางฉัน! น้ำเปล่ากับน้ำแข็งที่อยู่ในแก้วนั้นพากันไหลลงจากโต๊ะมาสู่ขาของฉันด้วยความรวดเร็วพอๆ กับน้ำป่าไหลหลาก T_T
มันเป็นการย้ำเตือนว่าให้ฉันรีบทำให้โทโมะมาเป็นแฟนให้เร็วที่สุดเลย พูดแล้วเหมือนเป็นเรื่องบ้าบอ แต่ฉันเชื่อโดยสนิทใจแล้วว่าฉันดวงตกจริงๆ T^T
“ฉันว่าเราไปที่อื่นกันเถอะ” ฉันพูดพร้อมกับยืนขึ้น ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นมาสะพายไหล่ข้างเดียว
“แกโกรธฉันเหรอ U.U” ฟางทำหน้าสำนึกผิด
“เปล่า…ฉันเย็นขา TOT” พูดจบก็เดินนำออกมาทันโดยไม่รอยัยฟางที่ทำหน้าโล่งอกแล้วรีบลุกขึ้นเดินตามมา
“ดีนะที่เป็นน้ำเปล่า ถ้าเป็นกาแฟล่ะก็ต้องไปล้างในห้องน้ำแน่ -3-” ฉันบ่นอุบส่วนคนต้นเหตุก็เดินคอตกอยู่ข้างๆ โดยไม่ตอบอะไร
“…”
“แกจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าอะ” ฉันหยุดเดินแล้วหันไปถามฟาง คนโดนถามหันเงยหน้าขึ้นมาหลังจากก้มมองหาเศษเหรียญที่พื้น(ประชดน่ะ)อยู่นานพลางทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะตอบออกมา
“กลับเลยก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าแกยังไม่กลับฉันอยู่เป็นเพื่อนก่อนก็ได้”
“ยังหรอก เดี๋ยวรอพี่เข่งเรียนอีกวิชานึง เลิกเย็นๆ นั่นแหละ…แก กลับไปก่อนดีกว่า อีกนานเลย” ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงเท่านั้น วันนี้ฉันกับยัยฟางมีเรียนแค่ตอนเช้าเหมือนกันน่ะ ก็เลยว่างตอนบ่ายยาวเลย
“กลับไปก็ไม่รู้จะทำอะไร อยู่กับแกก่อนดีกว่า” เมื่อฟางพูดดังนั้นฉันจึงก้าวเดินต่อทันที ว่าแต่ฉันจะเดินไปไหนเนี่ย ยังไม่มีจุดหมายเลย แล้วนี่ก็เดินมาถึงลานจอดรถของนักศึกษาแล้วด้วย -_-^
“เฮ้ยแก! นั่นมันฌอนไม่ใช่เหรอ” เสียงของฟางพร้อมกับมือของเจ้าตัวที่ชี้ไปยังที่หนึ่งในลานจอดรถเรียกให้ฉันหันไปมองทันที
“ท่าทางลับๆ ล่อ น่าสงสัยชะมัดเลย” ฉันเอ่ยขึ้นพลางหรี่ตาลงมองผู้ชายหัวสีบานเย็นที่ยืนพิงรถคันหนึ่งอยู่พลาง มองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครจะมาเห็น ถึงฉันจะอยู่ไม่ไกลจากเขามากนักแต่เขาก็ไม่เห็นหรอกเพราะฉันกับฟางยืนอยู่ที่มุมตึกน่ะสิ แต่จากตรงนี้มองเห็นหมอนั่นชัดเจนเลยล่ะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ(ฝีมือพี่ชายฉันแน่ๆ) ตรงดั้งมีปลาสเตอร์ยาปิดแผลไว้ ถึงว่าสิพี่ขนมเข่งบอกว่ายังกระทืบไม่สะใจ เพราะสภาพยังไม่เรียกว่า เละ
“นั่นสิ”
“แล้วแกไปเคยเจอหรือรู้จักหมอนั่นตอนไหนอะ” ฉันหันมามองคนข้างๆ ด้วยความสงสัย
“ความจริงฉันเคยเห็นหมอนี่ในมอนานแล้วนะ ใครๆ ก็รู้กันทั่วว่าเขาไม่ค่อยถูกกับโทโมะ มีแต่แกนั่นแหละที่ไปอยู่หลังเขามา -_-^” ฉันอยากบีบคอยัยนี่จริงๆ เลย สรุปว่ามีฉันคนเดียวฉันมั๊ยที่ไม่รู้จักคนพวกนี้น่ะ ทั้งโทโมะ ทั้งฌอน
“เฮ้ย! นั่นมันรถโทโมะ O_O” ฉันเบิกตาโตทันทีหันกลับไปมองตรงที่ฌอนยืนอยู่อีกครั้งแล้วพบว่ารถคันที่เขา ยืนพิงอยู่นั้นเป็นคันเดียวกับที่ฉันโดนบังคับให้นั่งกลับมาที่บ้านเมื่อคืน นี้!
“แกจำผิดหรือเปล่า” ฟางถามเสียงสูง
“ไม่ ฉันจำดะ…หลบ เร็ว” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ ก็เหมือนฌอนจะมองมาทางนี้พอดี ฉันจึงดึงยัยฟางให้หลบมาที่ด้านหนึ่งของตึกทันที หวังว่าหมอนั่นคงไม่เห็นเราสองคนนะ
“ใจหายหมดเลย T^T” ฟางยกมือขึ้นมากุมไว้ที่หัวใจของตัวเองแล้วถอนให้ออกมาเบาๆ
“ไอ้บ้านั่นมันต้องทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ เลย” ฉันพูดขึ้นก่อนที่จะค่อยๆ โผล่หัวออกไปมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว
“หายไปซะแล้ว เร็วชะมัด!” ฉันพูดขึ้นพร้อมกับมองทั่วบริเวณลานจอดรถแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของฌอนอยู่ในนั้น
“หมอนั่นต้องทำอะไรสักอย่างกับรถโทโมะแน่ๆ” ฟางเสนอความเห็นขึ้นซึ่งมันก็เหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้เป๊ะ
“ไปดูกันเถอะ” ฉันดึงแขนฟางให้เดินตามมาทันที แล้วก็มาถึงที่รถของโทโมะจนได้ แต่เราก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จนกระทั่งสายตาของฉันเหลือบลงไปยังล้อรถ…
“ไอ้บ้านั่นแกล้งปล่อยลมยาง!” ฉันเพ่งไปที่ล้อรถอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าฉันไม่ได้ตาฝาดแล้วมโนว่ายางมัน แบนไปเอง ก่อนที่จะเดินรอบรถเพื่อให้เห็นล้อทั้งสี่ สิ่งที่ฉันได้พบก็คือมันโดนปล่อยลมยางออกทั้งหมดเลย
ฌอน…นายมันหมาลอบกัดจริงๆ เลยนะ!
“ทำอะไรน่ะ!” เสียงแหลมของใครบางคนดังขึ้น ทำให้ฉันกับฟางหันไปมองทันที ก่อนที่คนข้างๆ ฉันจะหันมากระซิบถาม
“ยัยนี่หน้าคุ้นๆ แฟนโทโมะใช่มั๊ย”
“ใช่ แฟนโทโมะ แต่คงเป็นได้อีกไม่นาน :)” ฉันตอบเสียงดังพลางจ้องหน้าพิมที่เพิ่งเดินเข้ามา อย่างจงใจยั่วโมโห
“มั่นหน้าตัวเองนักนะ คิดเหรอว่าจะแย่งเขาไปได้น่ะ” พิมเขยิบเข้ามาใกล้ฉันพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่รอดไรฟัน แหม ช่างจิกกัดซะเหลือเกินนะ แต่คนอย่างแก้วใจไม่กลัวหรอก!
“เธอมันร้ายอย่างนี้เองหรอกเหรอ!” ฟางแวดขึ้นทันทีอย่างทนไม่ไหวเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางนางร้ายของพิม
“แกเป็นใคร...อ๋อ เพื่อนเธอสินะแก้วใจ แล้วนี่พากันมาทำอะไรที่รถโมะล่ะเนี่ย” พิมดัดจริตพูดพลางมองสำรวจรถของแฟนตัวเองก่อนที่สายตาของหล่อนจะเลื่อนลง ไปยังล้อรถจนได้
“นี่เธอสองคน…คิดจะแกล้งฉันกับโมะอย่างนั้นเหรอ!?” พิมเบิกตาโตทันที พร้อมกับจ้องฉันเขม็ง
“ฉันกับเพื่อนไม่ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้หรอก ปัญญาอ่อน!” ฉันกระแทกคำว่า ปัญญาอ่อน เข้าที่หน้าของพิมเต็มๆ จนยัยนั่นหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นเจ้าตัวก็ปรับสีหน้าเป็นขึงขังเหมือนเดิม
“เธอไม่รอดแน่ หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ หึ!” พิมพูดเสียงรอดไรฟันอีกครั้งก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงของใครอีกคนดังขึ้น ฉันเลื่อนสายตามองไปยังด้านหลังของพิมแล้วก็พบกับโทโมะที่กำลังเดิน หน้าเครียดตรงมาทางนี้
“โทโมะ” ฉันเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา แล้วก็รู้ทันทีว่าเมื่อเขาเดินมาถึงฉันจะต้องเจอเรื่องบ้าอะไร…
“มีอะไรกัน” โทโมะถามเสียงเรียบเมื่อเดินมาถึงก่อนที่จะดึงแขนพิมให้ถอยหลังกลับไป ยืนข้างๆ ตัวเองพลางมองฉันกับฟางเหมือนเราสองคนไปทึ้งหัวยัยพม่านั่น
“เอ่อ…” พิมตีหน้าเศร้าแล้วแกล้งทำอ้ำๆ อึ้งๆ
“เธอสองคน…มาทำอะไรกันตรงนี้” โทโมะถามอย่างไม่ไว้ใจ พลางมองฉันกับฟางสลับกัน ก่อนที่สายตาของเขาจะมาหยุดลงที่ฉันด้วยการจ้องอย่างหาเรื่อง
“ฉันมีเรื่องจะบอกนาย…” ฉันตั้งใจจะบอกเรื่องที่ฌอนปล่อยลมยางรถเขาออก แต่ก็ต้องถูกขัดขึ้นซะก่อน
“จะไปไหนก็ไป ฉันจะถอยรถออก”
“คงถอยไม่ได้หรอกค่ะโมะ…ก็สองคนนี้เขาเล่นปล่อยลมยางออกหมดแล้ว” พิมแกล้งพูดเสียงเศร้า ฉันอยากจะกระโจนเข้าไปตบยัยนี่ซะจริงๆ เลย!
“พูดอะไรหน่อยสิแก บอกไปสิว่าเราไม่ได้ทำ” ฟางกระซิบข้างๆ หูฉันให้ได้ยินแค่สองคน
ฉันต้องบอกความจริงใช่มั๊ย?
แล้วเขาจะเชื่อฉันเหรอ?
“…”
“เราสองคนไม่ได้ทำนะ!” เมื่อเห็นว่าฉันยังคงยื่นเงียบอยู่ ฟางก็เลยตัดสินใจบอกเอง แต่ดูเหมือนมันจะล้มเหลวนะ
“ไม่จริงค่ะ พิมเห็นกับตาว่าสองคนนี้กำลังช่วยกันปล่อยลมยาง แต่พิมมาห้ามไม่ทัน พอมาถึงเขาก็ทำเสร็จแล้ว >_<”
เห็นกับตา? สาบานมั๊ยล่ะว่าพูดจริงน่ะ เฮอะ!
“อย่างนั้นเหรอ” โทโมะหันหน้าไปถามพิม ก่อนที่จะหันกลับมาจ้องฉันอย่างไม่เป็นมิตร
แววตาของคนโง่มันก็เป็นแบบนี้แหละ!
แค่มองสายตาฉันก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่…เขาไม่เชื่อว่าฉันกับฟางไม่ได้ทำ…เขา เลือกที่จะเชื่อแฟนตัวเอง แต่เขาก็ทำถูกหรือเปล่านะที่เชื่อคำพูดของแฟนตัวเองมากกว่าฉันที่ตั้งใจจะทำ ให้พวกเขาเลิกกันน่ะ ถ้าดูจากสถานะของยัยพิมกับฉันแล้วคำพูดของฉันมันดูเบาไม่มีน้ำหนักยิ่งกว่าปุยนุ่นซะอีก เหอะๆๆ
“จะแก้ตัวอะไรกันอีกมั๊ย” น้ำเสียงเย็นเยียบของโทโมะที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ทันที
“พูดไปก็เท่านั้น ในเมื่อนายมันโง่ งี่เง่า เชื่อแฟนตัวเองมากกว่า”
“แล้วจะให้ฉันเชื่อ คนอื่น อย่างเธอมากกว่างั้นเหรอ” คำถามของเขาเปรียบเหมือนมีคนเอามีดนับสิบอันมาทิ่มลงที่กลางใจฉันฉันทันที
คนอื่นอย่างฉัน ไม่มีทางทำให้เขาเชื่อได้จริงๆ สินะ
“ฉัน ไม่ ได้ ทำ” ฉันเอ่ยรอดไรฟันช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ในเมื่อพิมเห็นเองกับตา ฉันคงเชื่อเธอไม่ได้หรอก”
“แล้วนายเห็นเองกับตาหรือไง!!!” ฉันตะโกนออกไปใส่หน้าเขาด้วยความโมโห คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่เชื่อ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ภารกิจของฉันจะสำเร็จล่ะเนี่ย!
“…” เขานิ่งไปทันทีเมื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของฉัน
พลั่ก!!!
“ฮึ่ย!” ฉันเข้าไปผลักหน้าอกโทโมะเต็มแรง จนเขาเซไปเล็กน้อย แล้วฉันก็เดินกระแทกไหล่เขาออกมาจากตรงนั้นทันที
“อ้าวเฮ้ย! รอด้วยสิไอ้แก้ว!” เสียงฟางจะโกนพร้อมกับวิ่งตามมาข้างหลัง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย! ตั้งใจ จะหาทางจับผิดยัยพม่านั่นเพื่อหาหลักฐานมากระชากหน้ากากใสซื่อออก แต่ยังไม่ทันจะคิดออกว่าต้องทำยังไง ดันมาโดนยัยบ้านั่นใส่ร้ายก่อนซะได้ โทโมะยิ่งต้องเกลียดฉันมากกว่าเดิมแน่ๆ มันน่าเจ็บใจชะมัดเลย! หึ!!! หัวเราะร่าไปก่อนเถอะยัยพม่า…
เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับแก้วใจ…
แล้วจะรู้ว่าหัวเราะทีหลังมันดังกว่า!
------------------------------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป---------------------------------------------------------
แพะรับบาปอย่างแก้วใจของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป? โทโมะจะโง่อีกนานมั๊ย? ก๊ากกกกกกกก ชีวิตพระเอกแค่โดนรีดด่า เอิ๊กๆๆๆๆ
1 ตอน 1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจดีๆ ที่ส่งให้กันนะคะ :)กดโหวตให้เค้าด้วยนะฮะ ^O^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ