Conquerhearts ปฏิบัติการพิชิตหัวใจ

9.4

เขียนโดย NannyCandy

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 19.31 น.

  21 chapter
  861 วิจารณ์
  31.82K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559 15.37 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

8) คำใบ้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter 7 คำใบ้

 

 

 

          “บอกฉันสักคำต้องทำยังไง จะใช้อะไรดลใจเธอดี~>O<” เสียงร้องเพลงอันโหยหวนของฟางดังเข้าหูฉันไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วล่ะ แถมมันยังร้องวนไปวนมาแต่เพลงเดิมและท่อนเดิมด้วย! จนฉันอดที่จะหันไปวีนไม่ได้เมื่อหมดความอดทน

 

 

 

           “แกไม่ช่วยฉันคิดก็เงียบๆ หน่อยได้มั๊ย!?” ฉันโวยวายลั่นจนคนอื่นหันมามอง

 

 

 

            ตอนนี้ฉันกับฟางกำลังนั่งกันอยู่ที่ร้านคอฟฟี่ช็อปร้านเดิมในมหาวิทยาลัย(ดูเหมือนในนี้มันจะมีร้านแบบนี้ร้านเดียวซะด้วยสิ) หลังจากที่หมดคลาสเรียนของวันนี้แล้ว และฉันก็กำลังใช้ความคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดีกับการแก้ดวงตกส่วนยัยเพื่อนรักนอกจากจะไม่ช่วยคิดแล้วยังมานั่งร้องเพลงกรอกหูอีกต่างหาก เสียงก็ใช่ว่าจะเพราะพริ้งอะไร =*=

 

 

 

            “เพลงนี้มันโดนกับชีวิตแกตอนนี้มากเลยนะยะ ฉันก็เลยร้องให้ฟัง เผื่อว่าแกจะคิดอะไรออกบ้าง >_<”

 

 

 

           “มีใครเคยบอกมั๊ยว่าเสียงร้องเพลงเป็นสิ่งเดียวที่บกพร่องในร่างกายแก” ทันทีที่ฉันพูดจบด้วยสีหน้าเซ็งๆ คนโดนว่าก็ทำท่าฮึดฮัดถลึงตาใส่

 

 

 

           “มีแกพูดคนเดียวนี่แหละ!” พูดจบก็ย่นจมูกใส่ฉันด้วย นี่ฉันพูดความจริงแล้วมันผิดตรงไหนเหรอคะ

 

 

 

           “ถือว่าโชคดีนะที่แกมีเพื่อนอย่างฉัน เพราะคนอื่นไม่กล้าพูดไง หลอกลวงไม่น่าคบ =.,=”

 

 

 

           “เออยะ!”

 

 

 

           “ทะเลาะอะไรกันเนี่ยสองสาว” เสียงอันคุ้นหูของพี่ชายฉันดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินมานั่งลงที่ เก้าอี้หัวโต๊ะ(ตัวเดิมเป๊ะ) นี่มันสภากาแฟที่เราสามคนเอาไว้ใช้นั่งสุมหัวกันขนาดย่อมๆ เลยนะเนี่ย

 

 

 

          “ก็ไอ้ฟางน่ะสิ แหกปากร้องเพลงอยู่นั่นแหละ ฉันทนรำคาญกับความหอน เอ๊ย โหยหวนไม่ไหวเลยเทศน์ซะหน่อย =.,=” ฉันตอบแบบขอไปที

 

 

 

          “TTOTT” << สีหน้าของฟาง

 

 

 

          “แหม ตั้งแต่โดนไอ้โมะจูจุ๊บเมื่อคืนนี่ดูจะอารมณ์แปรปรวนเหลือเกินนะ” พี่ขนมเข่งพูดขำๆ

 

 

 

          “จริงสิ! ฉันก็ลืมแซวแกเรื่องนี้ไปเลย >_<” ฟางทำท่าทางกระดี้กระด๊าด้วยความตื่นเต้น มันพูดว่า ลืมแซว หมายความว่ามันรู้เรื่องนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ? ฉันจำได้ว่ายังไม่ได้เล่าให้มันฟังนะ แล้ว….

 

 

 

          “พี่เข่ง! พี่ไปเล่าให้มันฟังตอนไหนเนี่ย” ฉันหันไปหาพี่ชายตัวแสบทันทีพลางหรี่ตาลงอย่างจับผิด ข่าวนี่ไวยิ่งกว่าพวกปาปารัซซี่อีกนะ

 

 

 

          “เมื่อ…เมื่อเช้าตอนเจอน้องฟางที่หน้าคณะ =.,=” พี่ขนมเข่งทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ก่อนที่จะตอบ

 

 

 

          “ฉันอุตส่าห์จะแกล้งลืมไปแล้วแท้ๆ” ฉันบ่นอุบ

 

 

 

          แล้วนี่นั่งมาจะชั่วโมงนึงแล้วยังคิดอะไรไม่ออกเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งเจอแต่ทางตัน โทโมะก็รักยัยพม่าหน้าตุ๊กตาลวงโลกนั่นซะเหลือเกิน! ฉันยกมือขึ้นมาทึ้งหัวตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมที่ยุ่งอยู่แล้วเป็นปกติกลับยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงสวย! ตอนนี้ฉันมีภารกิจที่ต้องทำ นั่นก็คือการทำให้โทโมะเลิกกับยัยพม่า จากนั้นก็ต้องทำให้เขามาเป็นแฟนฉันให้ได้…ว่าแต่ฉันลืมอะไรไปหรือเปล่า?

 

 

 

          “เมื่อกี้เห็นฉันเห็นไอ้ฌอนแวบๆ ไม่คิดว่าวันนี้มันจะมีแรงมาเรียน” พี่ขนมเข่งพูดขึ้น แล้วมันก็ทำให้ฉันนึกออกทันทีว่าฉันลืมอะไร…

 

 

 

          ฉันต้องคอยหนีไม่ให้ไอ้บ้าหัวสีบานเย็นนั่นลวนลามน่ะสิ!

 

 

 

          โอย นี่สินะที่เรียกว่าดวงตกน่ะ!

 

 

 

          “จริงเหรอ! มันไม่ได้อยู่แถวนี้ใช่มั๊ย” ฉันถามพลางสอดส่องสายตาไปรอบๆ บริเวณนี้ด้วยความระแวง

 

 

 

          “เปล่า ถึงอยู่แถวนี้มันก็ไม่กล้าเข้ามาหาแกตอนฉันอยู่หรอก” คนพูดยืดอกขึ้นทันทีหลังจากพูดจบ ก็จริงนะ หมอนั่นคงไม่กล้าเข้ามาทำอะไรฉันต่อหน้าต่อตาพี่ขนมเข่งหรอก ไม่อย่างนั้นอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไปทำเรื่องชั่วๆ ก็เป็นได้

 

 

 

          “โชคดีนะเนี่ยที่เมื่อคืนโทโมะไปช่วยแกทันน่ะ” ฟางพูดเสริม เรื่องนี้ฉันเป็นคนเล่าให้ยัยนี่ฟังเองแหละ

 

 

 

          “นั่นสิ” พี่ขนมเข่งพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

 

 

 

          ไม่รู้ทำไมพอได้ยินชื่อโทโมะฉันก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่ใช่ตอนที่ขามาช่วยฉันนะ แต่ตอนที่…ว่าจะลืมแล้วเชียวยัยแก้วเอ๊ย! -///-

 

 

 

          “ช่างเถอะ! ยังไงฉันก็รอดมาแล้ว มาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อดีกว่า”

 

 

 

          “ฉันว่า…” พี่ขนมเข่งเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องเก็บคำพูดไปเพราะเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของยัยฟางที่วางอยู่บน โต๊ะ ตอนนี้สายตาทั้งสามคู่มองไปที่เครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมที่กำลังส่ง เสียงร้องและสั่นด้วยความสนใจ แต่ฉันก็อ่านชื่อคนที่โทรเข้ามาไม่ถนัดเพราะมองจากฝั่งนี้มันกลับหัว

 

 

 

          ตื้ดดด~ ครืดดด~ ตื้ดดด~ ครืดดด~ ตื้ดดด~ ครืดดด~

 

 

 

          “แม่หมอ…” ฟางอ่านชื่อของคนที่โทรเข้ามาเบาๆ แต่ทว่าฉันกับพี่ขนมเข่งได้ยินชัดเจนพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของโทรศัพท์ทันที

 

 

 

          “ยัยแม่หมอที่ทักฉันหรือเปล่า” ฉันถามขึ้น

 

 

 

          “เป๊ะเลย…สะ…สวัสดีค่ะแม่หมอ” ฟางเงยหน้าขึ้นมาตอบก่อนที่จะคว้าโทรศัพท์ไปกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปตามสายอย่างกล้าๆ กลัวๆ

 

 

 

          “…” ฉันเงียบแล้วมองฟางด้วยความสงสัย เพราะหลังจากที่ยัยนั่นเอ่ยทักทายฝ่ายตรงข้ามไปก็ทำหน้าแปลกๆ แล้วเหลือบมองมาที่ฉัน ว่าแต่ยัยนี่ถึงกับขนาดมีเบอร์แม่หมอเลยเหรอ สงสัยจะเอาไว้โทรไปนัดวันดูดวงอะไรพวกนี้ล่ะมั้ง พวกหมอดูนี่ก็ชอบมีนามบงนามบัตรเหมือนกันนะ

 

 

 

          “แม่หมออยากคุยกับแก…” ฟางพูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้ ฉันมองการกระทำนั้นด้วยความฉงนแต่ก็ยังไม่ได้รับมา

 

 

 

          “คุยกับฉัน?” ฉันถามเสียงสูงพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

 

 

 

          “เออสิ ฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ถ้าให้เดาคงเรื่องดวงแกล่ะมั้ง” ฉันขมวดคิ้วทันทีที่คนตรงหน้าพูดจบ คราวนี้จะทักอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย!?

 

 

 

          “ฮาโหลววว~-3-” ฉันรับโทรศัพท์มาในที่สุดก่อนที่จะพูดทักทายไปด้วยน้ำเสียงกวนประสาท

 

 

 

            (นังหนูใช่มั๊ย)

 

 

 

          “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ได้ชื่อหนู =.,=”

 

 

 

           (…) ป๊าด! อึ้งไปเลยสิคะ หึหึ

 

 

 

           (…ไม่เป็นไร ข้าว่าจะโทรมาชี้แนะบอกคำใบ้เกี่ยวกับการแก้ดวงสักหน่อย ถ้างั้นก็แค่นี้…)

 

 

 

           “เฮ้! หยุด!!!O[]O”

 

 

 

            ตึ้ง!!!

 

 

 

            ฉันตะโกนลั่นพร้อมกับลุกขึ้นยืน ทำให้เก้าอี้ที่ฉันนั่งล้มตึงลงไปหนอนหงายท้องอยู่กับพื้นทันที แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจเพราะสิ่งเดียวที่กำลังเรียกความสนใจทั้งหมดของฉันก็คือ คนที่กำลังพูดอยู่ปลายสายตอนนี้เท่านั้น!

 

 

 

            (หืม)

 

 

 

           “แก้วใจ…คนที่เจ๊ทักว่าดวงตกยี่สิบปีไง เจ๊มีอะไรก็ว่ามา =.,=”

 

 

 

            (นังหนู…เอ็งเรียกข้าว่าอะไรนะ) ปลายสายถามเสียงสูง โอย เวลานี้ยังจะมาเรื่องมากอะไรอีกเนี่ยคะ

 

 

 

           “แม่หมอค่ะ…เรียกว่าแม่หมอ -_-;”

 

 

 

           (อ่อ อื้ม…ตอนนี้เอ็งเจอคนที่ข้าบอกแล้วสินะ…) ยัยเจ๊นี่มีญาณทิพย์อย่างนั้นเหรอ?

 

 

 

            “ก็ใช่มั้งคะ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ”

 

 

 

           (ไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายๆ หรอก ยิ่งสิ่งนั้นมีค่าและสำคัญ…) ขอย้ำอีกครั้งว่าฉันไม่เข้าใจที่ยัยแม่หมอนี่พูดเลย ตั้งแต่ที่ครั้งนั้นที่ฉันโดนทักว่าดวงตกแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงต้องพูดอะไรให้มันดูมีหลักการเข้าใจยากอะไรแบบนี้ด้วย พูดภาษาที่ฟังปุ๊บแล้วเข้าใจปั๊บไม่ได้หรือไงนะ

 

 

 

           “เอาล่ะค่ะ เข้าเรื่องเถอะ คำใบ้อะไรเหรอค่ะ =.,=” ฉันไม่อยากจะฟังเรื่องราวที่มันออกทะเลมากเท่าไหร่หรอกนะ!

 

 

 

            (นี่แหละแก่นสารของเรื่อง…ถ้าเอ็งยังไม่แน่ใจ ข้าจะบอกให้ว่า เอ็งมาถูกทางแล้ว)

 

 

 

           “แล้ว?”

 

 

 

           (ก็มาถูกทางแล้วไง) ฉันว่านอกจากฉันจะไม่เข้าใจที่แม่หมอพูดแล้ว แม่หมอก็จะไม่เข้าใจที่ฉันพูดเหมือนกันนะ เฮ้อ! สื่อสารกันลำบากซะจริงเลย

 

 

 

            “คือ…หนูหมายถึง แล้วยังไงต่อ น่ะค่ะ แบบว่า เอิ่ม…มา ถูกทางแล้วยังไงต่อเหรอคะ” ฉันว่ายัยแม่หมอนี่ต้องรู้เห็นทุกอย่างว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง ฉันต้องทำอะไรบ้าง แล้วผลมันจะเป็นยังไง แต่ว่ากั๊กเอาไว้ไม่ยอมบอก เพื่อให้ฉันไปผจญชะตากรรมด้วยตนเองแบบนี้…

 

 

 

            ไม่เชื่อลองคิดดูสิ ถ้าแม่หมอบอกฉันว่าเดี๋ยวหมาตัวนั้นจะวิ่งไล่…ฉันก็จะเดินไปทางอื่น ทีนี้ก็ไม่โดนไล่แล้ว…เฮ้อ! แต่ความจริงก็คือ ไม่มีสิ่งไหนได้มาง่ายๆ สินะ อ๊ะ! ฉันเข้าใจที่แม่หมอพูดเมื่อกี้แล้วล่ะ TT_TT

 

 

 

            (เอ็งนี่ได้คืบจะเอาศอก)

 

 

 

            “ก็ตอนนี้มันตัน คิดไม่ออกจริงนี่คะแม่หมอ -3-” ฉันจีบปากจีบคอพูด

 

 

 

           (ข้าจะใจดีใบ้ให้อีกเรื่องก็ได้นะ)

 

 

 

            “ความจริงทุกเรื่องก็น่าจะ…”

 

 

 

            (โลภมากมักลาภหายนะนังหนูเอ๋ย…) ฉันตั้งใจถอนหายใจอย่างแรงให้แม่หมอได้ยิน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะนอกจากแม่หมอเหมือนจะไม่สนใจฉันแล้วยังพูดขัดขึ้นยืนยันที่จะให้อีก เพียงคำใบ้เดียวเท่านั้น

 

 

 

          (คำใบ้ก็คือ…แฟนเขา)

 

 

 

           “โอ๊ย! ฉันรู้แล้วน่าว่าต้องเป็นแฟนหมอนั่นให้ได้ถึงจะหายดวงตกน่ะ T^T” ฉันเผลอเหวี่ยงใส่ปลายสายทันทีด้วยความโมโห ไอ้เราก็อุตส่าห์ลุ้น พูดมาสองพยางค์ ที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว เฮอะ!

 

 

 

            (เมื่อกี้ข้าพูดว่าอะไรนะ เหมือนข้าจะลืมอะไรไป…)

 

 

 

            “จะไปรู้มั๊ยล่ะคะ ก็บอกมาว่าแฟนเขาๆ เอ๊ะหรือว่า…” แฟนเขาที่แม่หมอบอกจะหมายถึงแฟนของเขา หรือก็คือแฟนของโทโมะ นั่นก็คือ…

 

 

 

            ยัยพม่าหน้าตุ๊กตาแอ๊บแบ๊วจอมลวงโลก! (<< ยาวไป -_-^)

 

 

 

            (ข้ารู้แล้ว! ข้าพูดตกไป…ความจริงก็คือ เอ๊ย! คำใบก็คือ…แฟน สวม เขา)

 

 

 

            “ห๊า?” ฉันทำเสียงสูงทันที ไม่เข้าใจอะนี่บอกเลย…เดี๋ยวนะ!

 

 

 

            ยัยพิม!

 

 

 

            ฉันเก็ทไอเดียขึ้นมาทันทีเมื่อหน้าขาวๆ ของยัยพม่านั่นแวบเข้ามาในหัว…ยัยพิมสวมเขาให้โทโมะ ยัยนั่นต้องมีอะไรชั่วร้ายปิดบังอยู่แน่ๆ!

 

 

 

            หึหึ เธอเสร็จฉันแน่ยัยพม่าหน้าวอก!

 

 

 

            (ข้าคิดว่าเอ็งฉลาดพอที่จะเข้าถึงคำใบ้ของข้า…ไว้คุยกันใหม่เมื่อข้าต้องการ…ตื้ดๆๆๆๆ) ฉันยกโทรศัพท์ออกจากหูทันทีเมื่อได้ยินเสียงตัดสายไปของแม่หมอ ก่อนที่จะเดินตัวลอยกลับมานั่งเก้าอี้ที่เดิมซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนเก็บมัน ให้ตั้งขึ้น

 

 

 

           “เกิดอะไรขึ้นวะไอ้แก้ว” พี่ขนมเข่งถามพลางเอาศอกตั้งกับโต๊ะแล้วเท้าคาง ฉันยื่นโทรศัพท์คืนให้ฟางที่ทำหน้าอยากรู้ไม่แพ้กับพี่ชายของฉันซักเท่าไหร่ ก่อนที่จะสบตาทั้งสองคนสลับกันอยู่สองสามครั้งแล้วตัดสินใจเล่าให้ฟัง

 

 

 

           “แม่หมอให้คำใบ้มาน่ะ…เขาบอกว่าโทโมะโดนยัยพม่าสวมเขาอยู่”

 

 

 

          ถึงว่าสิ…โดนสวมเขาอยู่นี่เอง ฉันไม่แปลกใจเลยที่เขาค่อนข้างไม่ฉลาด แล้วก็หลงยัยนั่นจนโงหัวไม่ขึ้นขนาดนี้ ยัยพิมนี่มันร้ายกาจมาก! ฉันรู้สึกรังเกียจยัยนั่นมากขึ้นกว่าเดิมหลายล้านเท่าเลยล่ะ แล้วก็เริ่มจะสงสารโทโมะขึ้นมาแล้วด้วย คงจะรู้ไม่ทันมารยาหญิงของแฟนตัวเองสินะ -.,-

 

 

 

            “ยัยนั่นมีกิ๊กเหรอ O_O” ฟางเบิกตาโพลง

 

 

 

           “พี่ว่าชู้มากกว่ากิ๊กว่ะ” พี่ขนมเข่งพูดขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ พี่ชายฉันนี่ยังไงนะ เดี๋ยวก็ผีเข้าผีออก ทีเมื่อคืนยังทำท่าไม่อยากจะเชื่อที่ฉันพูดอยู่เลย

 

 

 

           “แรงอะ!” ฟางหันไปพูดเสียงแหลมใส่พี่ขนมเข่ง รายนั้นก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย

 

 

 

           “จะอะไรก็ช่างเถอะ งานนี้ฉันต้องทำให้โทโมะรู้ธาตุแท้ของยัยนั่นให้ได้ หึหึ :)” ฉันยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วกดไปที่เบอร์ ของโทโมะก่อนที่จะโทรออกทันทีโดยไม่รั้งรอ

 

 

 

          (ฉันขอเบอร์เขามาจากพี่ขนมเข่งเมื่อนานมาแล้วน่ะ)

 

 

 

 

           “โทรหาใครวะ” พี่ชายฉันทำคิ้วผูกกันพร้อมกับมองมาด้วยความอยากรู้

 

 

 

            “:)” ฉันยิ้มตอบกลับไป โดยไม่พูดอะไร พลางตั้งใจฟังเสียง ตื้ดดด~ เพื่อรอให้ปลายสายรับอย่างใจจดใจจ่อ งานนี้นายต้องขอบคุณฉันแน่ที่ทำให้นายตาสว่าง!...โทโมะ!!!

 

 

 

           “น้องสาวพี่มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ นั่งยิ้มคนเดียวก็เป็น” เสียงกระซิบของยัยฟางที่บอกพี่ขนมเข่งมันลอยมาเข้าหูฉันโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉันก็ทำเพียงแค่หันไปมองยัยนั่นตาเขียวเท่านั้น เพราะตอนนี้โทโมะรับสายแล้ว!

 

 

 

            (ฮัลโหล) น้ำเสียงนิ่งๆ เรียบๆ ที่ดังมาตามสายนั่นทำให้ฉันนึกหน้าเขาตอนพูดออกเลยล่ะ

 

 

 

           “นี่ฉันเองนะ”

 

 

 

            (เสียงคุ้นๆ นะครับ…ฉันไหนครับ) ถ้ารู้ว่าเป็นฉันเขาคงจะไม่พูดคำว่า ครับ สินะ T^T

 

 

 

            “แก้วใจไง ขอบคุณที่อุตส่าห์คุ้นเสียงฉันนะ -_-”

 

 

 

           (…) เงียบไปแล้ววว~ หมอนั่นคงต้องคิดอยู่แน่ๆ ว่าฉันโทรไปทำไม หรือไม่ก็เอาเบอร์เขามาจากไหน แต่เขาก็น่าจะเดาถูกว่าฉันเอามาจากพี่ขนมเข่งล่ะมั้ง

 

 

 

            “เอ่อ…”

 

 

 

              (…)

 

 

 

          เงียบนานไปมั๊ยเนี่ย?

 

 

 

          “ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ…” ฉันถามหยั่งเชิง เพื่อเขาจะอยากรู้ขึ้นมาบ้างว่าฉันโทรไปทำไม ที่นี้ล่ะ! ฉันก็จะแฉยัยพม่าให้เละไม่เป็นท่าเลย! โฮะๆๆ

 

 

 

          (อืม…ตื้ดๆๆๆๆๆๆ) ฉันอ้าปากพะงาบๆ ทันทีด้วยความช็อคเมื่อเขาตอบ อืม กลับมาคำเดียว แล้วตัดสายทิ้งด้วยความรวดเร็ว

 

 

 

          อ๊ากกก! นายมันร้ายกาจเหมือนแฟนนายไม่มีผิด!

 

 

 

          กล้าตัดสายฉันทิ้งได้ยังไง!

 

 

 

          “ไอ้บ้าเอ๊ย! ปล่อยให้โง่อย่างนี้ต่อไปดีมั๊ยเนี่ย!” แต่คิดไปคิดมาก็คงไม่ดีแน่ เพราะถ้าฉันไม่ช่วยเขา ฉันก็จะไม่หายดวงตกเหมือนกัน นี่ชาติที่แล้วฉันไปทำเวรทำกรรมอะไรร่วมกับหมอนี่มานะถึงหนีกันไม่พ้น  ฮึ่ย!

 

 

 

          “หึหึ พี่รู้แล้วว่ามันโทรหาใคร” พี่ขนมเข่งหัวเราะในลำคอก่อนที่จะหันไปพูดกับยัยฟาง

 

 

 

           “ฟางว่าฟางเองก็รู้แล้วเหมือนกันค่ะ =_=”

 

 

 

            “-0-” ฉันทำหน้าเหวี่ยงใส่สองคนนั้นทันที

 

 

 

           “แกโทรหาไอ้โมะใช่มั๊ย?” พี่ขนมเข่งหันกลับมาจ้องฉันเขม็ง

 

 

 

           “ก็ใช่อะดิ”

 

 

 

           “มันตัดสายทิ้งใช่มั๊ย?”

 

 

 

           “โห! นี่เข่งมาสิงอยู่ในโทรศัพท์ฉันหรือเปล่าเนี่ย -0-” ฉันพูดประชดให้กับความรู้ทันของพี่ชายตัวเอง

 

 

 

           “ทำแบบนี้แสดงว่าหมอนั่นไม่อยากคุยกับแกชัวร์เลย!” ฟางเสนอความเห็น

 

 

 

           “ฉันรู้แล้วน่า ทำยังไงดีล่ะทีนี้ -3-” ฉันพูดเสียงอ่อยอย่างจนปัญญา

 

 

 

           “แกก็ไปบอกมันด้วยตัวเองสิ” พี่ขนมเข่งพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาผลักฉันเบาๆ จนฉันโยกไปตามแรงนั่นเล็กน้อย

 

 

 

           “งั้นเย็นนี้…” ฉันกำลังจะบอกว่าเย็นนี้จะไปเจอโทโมะที่ริกกี้เวย์ แต่ก็ต้องถูกขัดขึ้นด้วยประโยคจากคนรู้ทันคนที่สองซะก่อน

 

 

 

           “ต่อให้แกไปบอกโทโมะทุกวันเขาก็ไม่เชื่อหรอก…” ฟางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงจริงจังก่อนที่จะเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “…แกต้องหาหลักฐานมัดตัวยัยพิม” พูดจบเจ้าตัวก็เก๊กหน้าสวยขึ้นมาทันที

 

 

 

            “…” ฉันเงียบไปทันทีเมื่อรู้ว่าต้องเจอกับอะไร และต้องทำอะไร…ไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้ยัยผู้หญิงสองหน้าคนนั้นเลยจริงๆ แต่ทำไงได้ อยากได้แฟนเขาก็ต้องทำความรู้จักเอาไว้เยอะๆ สินะ! พอพูดแบบนี้แล้วฉันดูเป็นนางร้ายเลยแฮะ แต่ความจริงแล้วฉันเป็นคนดีมากนะ T^T

 

 

 

           “เฮ้อ! ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าน้องพิมสุดสวยแฟนไอ้โมะจะเป็นคนไม่ดี -3-” พี่ขนมเข่งพูดก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ

 

 

 

           “พูดอย่างนี้แสดงว่าพี่เชื่อฉันแล้วใช่มั๊ย *0*” ฉันทำตาเป็นประกายให้พี่ชายตัวเองทันทีด้วยความดีใจ

 

 

 

           “ก็มีน้องสาวคนเดียวนี่ครับ…ไม่เชื่อน้องจะให้ไปเชื่อแมวที่ไหนล่ะ อีกอย่างนะ…ฉันเห็นแกมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่ ฉันรู้ดีว่าแกเป็นคนยังไง…ไอ้แก้วน้องเข่ง >_<”

 

 

 

           “ซึ้งจัง *-*” ฟางทำตาเยิ้มและสีหน้าเคลิ้มฝันกับประโยคที่พี่ขนมเข่งพูดจนฉันรู้สึก หมั่นไส้ขึ้นมาทันที ฉันเป็นน้องสาวแท้ๆ ยังซึ่งไม่เท่าเลยเนี่ย -.-

 

 

 

            “พูดอะไรเลี่ยนๆ ฉันจะเป็นเบาหวานเอา” ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเพื่อกลบเกลื่อนความดีใจที่เอ่อล้นขึ้นมา ถ้าไม่ได้เกิดมาเป็นน้องสาวของผู้ชายคนนี้ฉันคงเสียใจแย่เลยล่ะ

 

 

 

           “เออๆ วันหลังฉันจะเกลียดแกไอ้แก้วใจ ไอ้น้องไม่รักดี งอนโว้ย! -0-” พี่ชายคนดีของฉันโวยวายก่อนที่จะลุกขึ้นเดินหนีออกไปจากร้านทันที แต่ฉันก็ไม่คิดจะตามหรอกนะ -_-^

 

 

 

            “บทจะเป็นเด็กน้อยขึ้นมาก็เหมือนซะเหลือเกิน -_-^” ฉันพูดอย่างเนือยๆ ก่อนที่จะหยิบแก้วชาเย็นขึ้นมาดูดจ๊วบๆเพื่อดับกระหาย

 

 

 

           “แกไม่ตามไปง้อพี่เข่งหน่อยเหรอ” ฟางพูดพลางหันไปมองทางที่พี่ชายฉันเดินออกไป แต่ว่าตอนนี้เขาเดินเลี้ยวหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

 

 

 

           “ไม่อะ พี่เข่งก็แกล้งงอนไปงั้นแหละ…ฉันว่าตอนนี้เรามาวางแผนกระชากหน้ากากยัยพม่าดีกว่า” ฉันพูดอย่างมุ่งมั่น ยิ่งทำภารกิจนี้สำเร็จเร็วแค่ไหน ฉันก็จะหายซะ…

 

 

 

            กริ้ง!

 

 

 

             ซ่า!~

 

 

 

          …ซวยเร็วขึ้นเท่านั้น =*=

 

 

 

            “ว๊ายแก ฉันขอโทษ T^T” ฟางเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าที่เก้าอี้อีกตัวแต่จังหวะที่ยกมันข้ามเหนือโต๊ะ ขึ้นมานั้นสายมันดันไปเกี่ยวกับแก้วน้ำเปล่าของเจ้าตัวแล้วมันก็ล้มมาทางฉัน! น้ำเปล่ากับน้ำแข็งที่อยู่ในแก้วนั้นพากันไหลลงจากโต๊ะมาสู่ขาของฉันด้วยความรวดเร็วพอๆ กับน้ำป่าไหลหลาก T_T

 

 

 

          มันเป็นการย้ำเตือนว่าให้ฉันรีบทำให้โทโมะมาเป็นแฟนให้เร็วที่สุดเลย พูดแล้วเหมือนเป็นเรื่องบ้าบอ แต่ฉันเชื่อโดยสนิทใจแล้วว่าฉันดวงตกจริงๆ T^T

 

 

 

            “ฉันว่าเราไปที่อื่นกันเถอะ” ฉันพูดพร้อมกับยืนขึ้น ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นมาสะพายไหล่ข้างเดียว

 

 

 

           “แกโกรธฉันเหรอ U.U” ฟางทำหน้าสำนึกผิด

 

 

 

           “เปล่า…ฉันเย็นขา TOT” พูดจบก็เดินนำออกมาทันโดยไม่รอยัยฟางที่ทำหน้าโล่งอกแล้วรีบลุกขึ้นเดินตามมา

 

 

 

           “ดีนะที่เป็นน้ำเปล่า ถ้าเป็นกาแฟล่ะก็ต้องไปล้างในห้องน้ำแน่ -3-” ฉันบ่นอุบส่วนคนต้นเหตุก็เดินคอตกอยู่ข้างๆ โดยไม่ตอบอะไร

 

 

 

            “…”

 

 

 

           “แกจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าอะ” ฉันหยุดเดินแล้วหันไปถามฟาง คนโดนถามหันเงยหน้าขึ้นมาหลังจากก้มมองหาเศษเหรียญที่พื้น(ประชดน่ะ)อยู่นานพลางทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะตอบออกมา

 

 

 

           “กลับเลยก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าแกยังไม่กลับฉันอยู่เป็นเพื่อนก่อนก็ได้”

 

 

 

           “ยังหรอก เดี๋ยวรอพี่เข่งเรียนอีกวิชานึง เลิกเย็นๆ นั่นแหละ…แก กลับไปก่อนดีกว่า อีกนานเลย” ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงเท่านั้น วันนี้ฉันกับยัยฟางมีเรียนแค่ตอนเช้าเหมือนกันน่ะ ก็เลยว่างตอนบ่ายยาวเลย

 

 

 

           “กลับไปก็ไม่รู้จะทำอะไร อยู่กับแกก่อนดีกว่า” เมื่อฟางพูดดังนั้นฉันจึงก้าวเดินต่อทันที ว่าแต่ฉันจะเดินไปไหนเนี่ย ยังไม่มีจุดหมายเลย แล้วนี่ก็เดินมาถึงลานจอดรถของนักศึกษาแล้วด้วย -_-^

 

 

 

            “เฮ้ยแก! นั่นมันฌอนไม่ใช่เหรอ” เสียงของฟางพร้อมกับมือของเจ้าตัวที่ชี้ไปยังที่หนึ่งในลานจอดรถเรียกให้ฉันหันไปมองทันที

 

 

 

           “ท่าทางลับๆ ล่อ น่าสงสัยชะมัดเลย” ฉันเอ่ยขึ้นพลางหรี่ตาลงมองผู้ชายหัวสีบานเย็นที่ยืนพิงรถคันหนึ่งอยู่พลาง มองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครจะมาเห็น ถึงฉันจะอยู่ไม่ไกลจากเขามากนักแต่เขาก็ไม่เห็นหรอกเพราะฉันกับฟางยืนอยู่ที่มุมตึกน่ะสิ แต่จากตรงนี้มองเห็นหมอนั่นชัดเจนเลยล่ะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ(ฝีมือพี่ชายฉันแน่ๆ) ตรงดั้งมีปลาสเตอร์ยาปิดแผลไว้ ถึงว่าสิพี่ขนมเข่งบอกว่ายังกระทืบไม่สะใจ เพราะสภาพยังไม่เรียกว่า เละ

 

 

 

           “นั่นสิ”

 

 

 

            “แล้วแกไปเคยเจอหรือรู้จักหมอนั่นตอนไหนอะ” ฉันหันมามองคนข้างๆ ด้วยความสงสัย

 

 

 

           “ความจริงฉันเคยเห็นหมอนี่ในมอนานแล้วนะ ใครๆ ก็รู้กันทั่วว่าเขาไม่ค่อยถูกกับโทโมะ มีแต่แกนั่นแหละที่ไปอยู่หลังเขามา -_-^” ฉันอยากบีบคอยัยนี่จริงๆ เลย สรุปว่ามีฉันคนเดียวฉันมั๊ยที่ไม่รู้จักคนพวกนี้น่ะ ทั้งโทโมะ ทั้งฌอน  

 

 

 

           “เฮ้ย! นั่นมันรถโทโมะ O_O” ฉันเบิกตาโตทันทีหันกลับไปมองตรงที่ฌอนยืนอยู่อีกครั้งแล้วพบว่ารถคันที่เขา ยืนพิงอยู่นั้นเป็นคันเดียวกับที่ฉันโดนบังคับให้นั่งกลับมาที่บ้านเมื่อคืน นี้!

 

 

 

            “แกจำผิดหรือเปล่า” ฟางถามเสียงสูง

 

 

 

           “ไม่ ฉันจำดะ…หลบ เร็ว” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ ก็เหมือนฌอนจะมองมาทางนี้พอดี ฉันจึงดึงยัยฟางให้หลบมาที่ด้านหนึ่งของตึกทันที หวังว่าหมอนั่นคงไม่เห็นเราสองคนนะ

 

 

 

           “ใจหายหมดเลย T^T” ฟางยกมือขึ้นมากุมไว้ที่หัวใจของตัวเองแล้วถอนให้ออกมาเบาๆ

 

 

 

           “ไอ้บ้านั่นมันต้องทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ เลย” ฉันพูดขึ้นก่อนที่จะค่อยๆ โผล่หัวออกไปมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว

 

 

 

          “หายไปซะแล้ว เร็วชะมัด!” ฉันพูดขึ้นพร้อมกับมองทั่วบริเวณลานจอดรถแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของฌอนอยู่ในนั้น

 

 

 

           “หมอนั่นต้องทำอะไรสักอย่างกับรถโทโมะแน่ๆ” ฟางเสนอความเห็นขึ้นซึ่งมันก็เหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้เป๊ะ

 

 

 

           “ไปดูกันเถอะ” ฉันดึงแขนฟางให้เดินตามมาทันที แล้วก็มาถึงที่รถของโทโมะจนได้ แต่เราก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จนกระทั่งสายตาของฉันเหลือบลงไปยังล้อรถ…

 

 

 

            “ไอ้บ้านั่นแกล้งปล่อยลมยาง!” ฉันเพ่งไปที่ล้อรถอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าฉันไม่ได้ตาฝาดแล้วมโนว่ายางมัน แบนไปเอง ก่อนที่จะเดินรอบรถเพื่อให้เห็นล้อทั้งสี่ สิ่งที่ฉันได้พบก็คือมันโดนปล่อยลมยางออกทั้งหมดเลย

 

 

 

            ฌอน…นายมันหมาลอบกัดจริงๆ เลยนะ!

 

 

 

            “ทำอะไรน่ะ!” เสียงแหลมของใครบางคนดังขึ้น ทำให้ฉันกับฟางหันไปมองทันที ก่อนที่คนข้างๆ ฉันจะหันมากระซิบถาม

 

 

 

           “ยัยนี่หน้าคุ้นๆ แฟนโทโมะใช่มั๊ย”

 

 

 

           “ใช่ แฟนโทโมะ แต่คงเป็นได้อีกไม่นาน :)” ฉันตอบเสียงดังพลางจ้องหน้าพิมที่เพิ่งเดินเข้ามา อย่างจงใจยั่วโมโห

 

 

 

           “มั่นหน้าตัวเองนักนะ คิดเหรอว่าจะแย่งเขาไปได้น่ะ” พิมเขยิบเข้ามาใกล้ฉันพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่รอดไรฟัน แหม ช่างจิกกัดซะเหลือเกินนะ แต่คนอย่างแก้วใจไม่กลัวหรอก!

 

 

 

            “เธอมันร้ายอย่างนี้เองหรอกเหรอ!” ฟางแวดขึ้นทันทีอย่างทนไม่ไหวเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางนางร้ายของพิม

 

 

 

           “แกเป็นใคร...อ๋อ เพื่อนเธอสินะแก้วใจ แล้วนี่พากันมาทำอะไรที่รถโมะล่ะเนี่ย” พิมดัดจริตพูดพลางมองสำรวจรถของแฟนตัวเองก่อนที่สายตาของหล่อนจะเลื่อนลง ไปยังล้อรถจนได้

 

 

 

           “นี่เธอสองคน…คิดจะแกล้งฉันกับโมะอย่างนั้นเหรอ!?” พิมเบิกตาโตทันที พร้อมกับจ้องฉันเขม็ง

 

 

 

           “ฉันกับเพื่อนไม่ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้หรอก ปัญญาอ่อน!” ฉันกระแทกคำว่า ปัญญาอ่อน เข้าที่หน้าของพิมเต็มๆ จนยัยนั่นหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นเจ้าตัวก็ปรับสีหน้าเป็นขึงขังเหมือนเดิม

 

 

 

           “เธอไม่รอดแน่ หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ หึ!” พิมพูดเสียงรอดไรฟันอีกครั้งก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงของใครอีกคนดังขึ้น ฉันเลื่อนสายตามองไปยังด้านหลังของพิมแล้วก็พบกับโทโมะที่กำลังเดิน หน้าเครียดตรงมาทางนี้

 

 

 

           “โทโมะ” ฉันเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา แล้วก็รู้ทันทีว่าเมื่อเขาเดินมาถึงฉันจะต้องเจอเรื่องบ้าอะไร…

 

 

 

            “มีอะไรกัน” โทโมะถามเสียงเรียบเมื่อเดินมาถึงก่อนที่จะดึงแขนพิมให้ถอยหลังกลับไป ยืนข้างๆ ตัวเองพลางมองฉันกับฟางเหมือนเราสองคนไปทึ้งหัวยัยพม่านั่น

 

 

 

           “เอ่อ…” พิมตีหน้าเศร้าแล้วแกล้งทำอ้ำๆ อึ้งๆ

 

 

 

           “เธอสองคน…มาทำอะไรกันตรงนี้” โทโมะถามอย่างไม่ไว้ใจ พลางมองฉันกับฟางสลับกัน ก่อนที่สายตาของเขาจะมาหยุดลงที่ฉันด้วยการจ้องอย่างหาเรื่อง

 

 

 

          “ฉันมีเรื่องจะบอกนาย…” ฉันตั้งใจจะบอกเรื่องที่ฌอนปล่อยลมยางรถเขาออก แต่ก็ต้องถูกขัดขึ้นซะก่อน

 

 

 

           “จะไปไหนก็ไป ฉันจะถอยรถออก”

 

 

 

           “คงถอยไม่ได้หรอกค่ะโมะ…ก็สองคนนี้เขาเล่นปล่อยลมยางออกหมดแล้ว” พิมแกล้งพูดเสียงเศร้า ฉันอยากจะกระโจนเข้าไปตบยัยนี่ซะจริงๆ เลย!

 

 

 

            “พูดอะไรหน่อยสิแก บอกไปสิว่าเราไม่ได้ทำ” ฟางกระซิบข้างๆ หูฉันให้ได้ยินแค่สองคน

 

 

 

            ฉันต้องบอกความจริงใช่มั๊ย?

 

 

 

            แล้วเขาจะเชื่อฉันเหรอ?

 

 

 

             “…”

 

 

              “เราสองคนไม่ได้ทำนะ!” เมื่อเห็นว่าฉันยังคงยื่นเงียบอยู่ ฟางก็เลยตัดสินใจบอกเอง แต่ดูเหมือนมันจะล้มเหลวนะ

 

 

 

              “ไม่จริงค่ะ พิมเห็นกับตาว่าสองคนนี้กำลังช่วยกันปล่อยลมยาง แต่พิมมาห้ามไม่ทัน พอมาถึงเขาก็ทำเสร็จแล้ว >_<”

 

 

 

              เห็นกับตา? สาบานมั๊ยล่ะว่าพูดจริงน่ะ เฮอะ!

 

 

 

              “อย่างนั้นเหรอ” โทโมะหันหน้าไปถามพิม ก่อนที่จะหันกลับมาจ้องฉันอย่างไม่เป็นมิตร

 

 

 

              แววตาของคนโง่มันก็เป็นแบบนี้แหละ!

 

 

 

              แค่มองสายตาฉันก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่…เขาไม่เชื่อว่าฉันกับฟางไม่ได้ทำ…เขา เลือกที่จะเชื่อแฟนตัวเอง แต่เขาก็ทำถูกหรือเปล่านะที่เชื่อคำพูดของแฟนตัวเองมากกว่าฉันที่ตั้งใจจะทำ ให้พวกเขาเลิกกันน่ะ ถ้าดูจากสถานะของยัยพิมกับฉันแล้วคำพูดของฉันมันดูเบาไม่มีน้ำหนักยิ่งกว่าปุยนุ่นซะอีก เหอะๆๆ

 

 

 

              “จะแก้ตัวอะไรกันอีกมั๊ย” น้ำเสียงเย็นเยียบของโทโมะที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ทันที

 

 

               “พูดไปก็เท่านั้น ในเมื่อนายมันโง่ งี่เง่า เชื่อแฟนตัวเองมากกว่า”

 

 

 

              “แล้วจะให้ฉันเชื่อ คนอื่น อย่างเธอมากกว่างั้นเหรอ” คำถามของเขาเปรียบเหมือนมีคนเอามีดนับสิบอันมาทิ่มลงที่กลางใจฉันฉันทันที

 

 

 

              คนอื่นอย่างฉัน ไม่มีทางทำให้เขาเชื่อได้จริงๆ สินะ

 

 

 

              “ฉัน ไม่ ได้ ทำ” ฉันเอ่ยรอดไรฟันช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

 

 

              “ในเมื่อพิมเห็นเองกับตา ฉันคงเชื่อเธอไม่ได้หรอก”

 

 

 

              “แล้วนายเห็นเองกับตาหรือไง!!!” ฉันตะโกนออกไปใส่หน้าเขาด้วยความโมโห คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่เชื่อ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ภารกิจของฉันจะสำเร็จล่ะเนี่ย!

 

 

 

              “…” เขานิ่งไปทันทีเมื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของฉัน

 

 

 

              พลั่ก!!!

 

 

              

              “ฮึ่ย!” ฉันเข้าไปผลักหน้าอกโทโมะเต็มแรง จนเขาเซไปเล็กน้อย แล้วฉันก็เดินกระแทกไหล่เขาออกมาจากตรงนั้นทันที

 

 

 

              “อ้าวเฮ้ย! รอด้วยสิไอ้แก้ว!” เสียงฟางจะโกนพร้อมกับวิ่งตามมาข้างหลัง

 

 

 

              นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย! ตั้งใจ จะหาทางจับผิดยัยพม่านั่นเพื่อหาหลักฐานมากระชากหน้ากากใสซื่อออก แต่ยังไม่ทันจะคิดออกว่าต้องทำยังไง ดันมาโดนยัยบ้านั่นใส่ร้ายก่อนซะได้ โทโมะยิ่งต้องเกลียดฉันมากกว่าเดิมแน่ๆ มันน่าเจ็บใจชะมัดเลย! หึ!!! หัวเราะร่าไปก่อนเถอะยัยพม่า…

 

 

 

              เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับแก้วใจ…

 

 

 

              แล้วจะรู้ว่าหัวเราะทีหลังมันดังกว่า!

 

 

 

 

------------------------------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป---------------------------------------------------------

 

 

แพะรับบาปอย่างแก้วใจของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป? โทโมะจะโง่อีกนานมั๊ย? ก๊ากกกกกกกก ชีวิตพระเอกแค่โดนรีดด่า เอิ๊กๆๆๆๆ  

1 ตอน 1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจดีๆ ที่ส่งให้กันนะคะ :)กดโหวตให้เค้าด้วยนะฮะ ^O^

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา